เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ มี.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะนี้เป็นธรรมะเพื่อบำรุงหัวใจนะ เราเกิดมาต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เขาบอกทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้วสุขสมบูรณ์แล้ว เราควรจะมีความสุขพอสมควร ความสุขนี้ความสุขประสาโลกไง แต่ถ้าความสุขทางหัวใจ เราต้องมีสัจธรรม สัจจะ สัจธรรมคือธรรมของจริง แต่ถ้ามันไม่ใช่สัจธรรม เราบอกว่าเราพอใจๆ...สิ่งนั้นไม่ใช่สัจธรรม สิ่งนั้นไม่ใช่สัจธรรม มันเป็นสมมุติ สมมุติมีอยู่ชั่วคราว มันแปรปรวนของมันเป็นธรรมดา

ถ้าแปรปรวนเป็นธรรมดา ดูสิ เราดูแลลูกหลานของเรา เราก็อยากให้ลูกหลานของเรามีปัญญา ให้ลูกหลานของเรามีสติปัญญาเพื่อแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ถ้าแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ชีวิตของเขาจะไม่ลำบากจนเกินไปนัก เพราะโลกนี้ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก มันมีของล่ออยู่ตลอดเวลาไง

ดูสิ เวลาเด็กของเรา เด็กของเรา เราพยายามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกยาเสพติด ถ้ายาเสพติด ถ้ามันไปยุ่งเกี่ยวแล้วทำอย่างไร ยุ่งเกี่ยวแล้วเราพยายามจะต้องมีเหตุผลชักนำเขาให้เขาละวางให้ได้ ถ้าละวางไม่ได้ มันเป็นความเดือดร้อนไปในครอบครัวเราตลอดชีวิตเลยล่ะ มันเป็นความเดือดร้อนนะ เราจะต้องดูแลรักษาเขา ถ้าดูแลรักษาเขา ถ้าเราพยายามแสวงหาสิ่งใดเพื่อว่าให้เขาอยู่ได้ๆ มันจะถลำลึกไปเรื่อย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเราล่ะ ถ้าหัวใจของเรา หัวใจของเรา หัวใจนี้เรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจนี้ต้องหาที่พึ่ง เราแสวงหาความสุข สัจจะความจริงกัน เราจะแสวงหาที่ไหน เราไปวัดไปวา ไปวัดไปวา วัดมันก็เป็นสถานที่อยู่ของผู้ทรงศีล ถ้าไปวัดไปวา ไปรื้อค้น รื้อค้นมันก็อิฐหินทรายปูนเหมือนกัน บ้านเราก็อิฐหินทรายปูนเหมือนกัน บ้านเรา เราก็ก่อสร้างขึ้นมาจากวัสดุก่อสร้าง วัดก็สร้างมาจากวัสดุก่อสร้างเหมือนกัน

ถ้าเราไปค้นหาที่วัด ค้นหาที่วัด เราอยากได้สัจจะอยากได้ความจริง ไปค้นหาที่วัด วัดมันอยู่ที่ไหนล่ะ

แต่ถ้ามันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าค้นหาความจริง เพราะปฏิบัติ เวลาเราอาบเหงื่อต่างน้ำ เวลาลงมือลงแรงขึ้นมา สิ่งนั้นว่ามันเป็นความทุกข์ๆ นั่นล่ะมันจะไปค้นคว้า นั่นล่ะมันจะไปหาสัจจะความจริง ไปหาสัจจะความจริงที่ไหน จิตใจของเราเวลามันแส่ส่าย มันเร่ร่อน เวลาแส่ส่ายเร่ร่อน มันติดยาเสพติด มันชอบของมัน อะไรที่มันชอบของมัน มันชอบของมัน แต่มาพุทโธๆ สิ่งนี้เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งของเรา เวลามาอย่างนี้มันไม่ชอบมา มันไม่อยากมา สิ่งนี้มันมีประโยชน์กับเราไง มันมีประโยชน์กับหัวใจไง เราจะดูแลรักษาหัวใจของเราไม่ให้มันเร่ร่อนอย่างนั้น ถ้ามันเร่ร่อนอย่างนั้น มันเร่ร่อน มันเร่ร่อนแล้วมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเราด้วยไง ถ้าฟังธรรมๆ เพราะเหตุนี้ ฟังธรรมเพราะเหตุนี้

เวลาเราคิดขึ้นมา เวลาเราคิดขึ้นมา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา มันเป็นปริยัติ มันเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษาเล่าเรียนๆ ศึกษาเล่าเรียนเป็นสัญญา เป็นความจำได้ เวลาจำได้ใหม่ๆ มันก็ซาบซึ้ง เดี๋ยวมันก็จืดชืด มันจืดชืด แต่ถ้าเรามีสติของเรา เราพุทโธๆ ของเรา ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันจะจืดชืดไหมล่ะ มันไม่จืดชืดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย

ดูโลกเขาสิ เขาพูดความจริงกัน เขาบอกว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนพูดมันจะตาย แต่นี่เหมือนกัน ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ถ้าหัวใจสัมผัสแล้วมันไม่ตายกับใจนั้น ใจนั้นมันสัมผัสแล้วมันฝังหัวใจไปตลอด คนทำความสงบของใจเข้ามาได้หนหนึ่งมันจะผูกพันมาก อยากได้ อยากได้ด้วยความไม่เข้าใจของเรา เพราะเราไม่เคยทำงานสิ่งนี้ พอเราอยากได้ขึ้นมา นี่ตัณหาซ้อนตัณหา

แต่เวลาเราอยากได้ในปัจจุบันนี้ล่ะ เราอยากได้นะ อธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทานบารมี ศีลบารมี มีปัญญาบารมี มีอธิษฐานบารมี อธิษฐานคือเป้าหมาย ถ้าเป้าหมายคือเรายังไม่ถึงเป้าหมายนั้น ก็ประพฤติปฏิบัติของเราให้มันถึงเป้าหมายนั้น ถ้าถึงเป้าหมายนั้นมันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา สันทิฏฐิโกมันยืนยันกลางหัวใจของเราไง แต่นี่เป้าหมายนั้นนะ เราก็ผูกพันกับเป้าหมายนั้น มันก็เหมือนหัวใจที่เร่ร่อนนั่นแหละ หัวใจที่เร่ร่อนมันเสพติด เสพติดกับอารมณ์ เสพติดกับความพอใจของตัว มันเสพติด มันผูกพันของมัน ดูสิ มันไม่ต้องคิดเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ต้องไปคิดถึงมันเลยล่ะ มันมีอยู่แล้ว มันกระตุ้นขึ้นมา มันฟูขึ้นมาตลอดเวลา มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหนล่ะ

นี่ยาเสพติด มันติดพันของมันอยู่แล้วนะ แต่เราจะหักห้ามมัน เราจะหักห้าม การจะหักห้ามคือหักดิบ เราจะไม่มีเลย เราจะไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเลย...มันจะไม่มีได้อย่างไร ก็ของมันมีอยู่ มันมีที่มาที่ไป มันมีเชื้อไขของมันไง

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราถึงบอกว่าให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบเข้ามาแล้วเรามาแยกแยะค้นคว้าเอาว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แยกแยะความผิดแล้วเราก็ปล่อยวางความผิดนั้น ปล่อยวางๆ ปล่อยวาง ปล่อยวางมันไม่สมุจเฉทปหาน มันไม่ขาด แล้วทำอย่างไรจะให้มันขาดล่ะ ถ้ามันจะขาดได้ มันขาดได้จากภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา

ทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นการโต้เถียงกัน โต้แย้งกันในสังคม “ทำไมต้องทำความสงบของใจเข้ามา ทำไมใจต้องสงบ ความสงบนั้นไม่ใช่ปัญญา เราจะใช้ปัญญาของเราไปเลย” เห็นไหม ยาเสพติด ยาเสพติด มันจะใช้น้อยใช้มากก็แล้วแต่ มันเสพติด สมุทัย สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก ถ้าตัณหาความทะยานอยาก ความคิด ความคิดโดยกิเลส ความคิดโดยกิเลสนะ ความคิดโดยยาเสพติด ความคิดโดยความเป็นสารพิษ ความคิดมันมีสารพิษขึ้นมามันไปไหนไม่รอด เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา

ดูสิ เราจะฟื้นฟูร่างกายของเรา เราจะฟื้นฟูจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็งขึ้นมา พอคนเข้มแข็ง ถ้ามันเข้มแข็งมันก็เท่าทันอารมณ์ของเรา อารมณ์นี้มันคิดมาทำไม ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ คนภาวนาเป็น ภาวนาถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ถึงวงรอบของมัน มันจะรู้ต้นสายปลายเหตุหมดเลย

แต่ขณะคนที่ภาวนา ดูสิ คนที่ทำงานเริ่มต้น คนที่ทำงานเริ่มต้น ทำงานยังไม่เป็น อาบเหงื่อต่างน้ำทำงานลำบากมาก แต่พอเขาทำงานเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทำงานด้วยความชำนาญของเขา ด้วยความคล่องตัวของเขา ทำงานแล้วได้ผลของเขา ก็ลำบากเหมือนกัน แล้วถ้าพูดถึงทำงานเสร็จแล้ว วางไว้แล้วมันยังห่วงงานนั้น มันก็ลำบากเหมือนกัน ไม่ทำอะไรเลย มันนั่งก็ยังลำบาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไปแล้ว ถ้ามันมีปัญญาไปแล้ว จิตสงบแล้ว ถ้ามันใช้ปัญญาไปแล้ว ถ้ามันเป็นสุตมยปัญญา เป็นจินตมยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นขั้นตอนของมัน ถ้ามันปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างนี้ เวลามันปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วทำอย่างไรต่อ มันยังไม่สืบทอดต่อไป มันต้องมีกระบวนการของมัน มันยังมีต่อเนื่องไป ถ้าต่อเนื่องไป จากสุตมยปัญญาเป็นจินตมยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา เวลาพิจารณาไป จิตมันสงบแล้วเราเอาสิ่งนั้นมาแยกแยะ จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วมันก็อยู่เฉยของมัน นี่สมาธิหัวตอ ถ้ามันหัวตอมันก็ครอบงำไว้อย่างนั้นแหละ หัวตอๆ หัวตอ เดินไปสะดุดนะ “โล่ง ว่างไปหมดเลย” เดี๋ยวมันสะดุดตอล้มเองนั่นแหละ

นี่ไง จิตสงบเข้าไปแล้วถ้าทำสิ่งใดไม่ได้เดี๋ยวมันก็เสื่อมหมดแหละ ถ้ามันเสื่อมหมดแล้วเราก็มาปรับทุกข์นะ “ปฏิบัติแล้วมันก็ทุกข์ขนาดนี้นะ ปฏิบัติมันไม่เห็นมีสิ่งใดเลย”

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ทางโลกใครมีปัญญา มีสติปัญญาขึ้นมา มีความวิริยอุตสาหะขึ้นมา เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา แล้วถ้าเขามีสติปัญญาขึ้นมา สติปัญญามันแยกถูกแยกผิดได้ไง อะไรสิ่งใดที่เป็นความผิด ความผิดเรายังไม่เคยประสบขึ้นมา เราเชื่อ เราพอใจ เราทำไป เดี๋ยวมันก็ผิด พอผิดแล้วมันก็จะรู้เอง

แต่ถ้าจิตใจมันไม่มีกำลัง จิตใจคนเราไม่มีจุดยืน เวลามันผิดไปแล้ว ผิดก็ผิดไปแล้วเนาะ อ้าว! ก็ผิดมันไปเรื่อยแหละ ไปเลย แต่ถ้ามันผิดขึ้นมา มันรู้ ถ้ามันรู้ขึ้นมา ถ้ารู้แล้วเราจะฟื้นฟูเราขึ้นมาให้มันถูกต้องขึ้นมา มันต้องทำความสงบของใจให้มากขึ้น ทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ทำให้มันมากขึ้น

ฉะนั้น เวลาคนที่ปฏิบัติไปแล้ว เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันทุกข์ยากเพราะความมักง่าย มันทุกข์ยากเพราะเราไม่ไตร่ตรองเราให้ดี มันไม่ใช่ทุกข์ยากเพราะเราปฏิบัติธรรมหรอก

การปฏิบัติธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ครูบาอาจารย์เราก็ปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ การประพฤติปฏิบัตินั้น คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ความอุตสาหะนะ ความอุตสาหะในการใช้ปัญญาในจิต

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานคนเข้ามาคร่ำครวญนะ มากราบไหว้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” ไอ้บูชาด้วยอามิส บูชาด้วยสิ่งที่เป็นดอกไม้ธูปเทียน เขาก็บูชากันอยู่แล้ว แต่ถ้าปฏิบัติบูชามันบูชาเข้าในหัวใจเลย ถ้ามันปฏิบัติบูชามันได้สัมผัสเลย “เธอปฏิบัติบูชาเราเถิด”

นี่ก็เหมือนกัน เราจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่หัวใจของเรามันเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ เป็นสสารรู้ที่มีชีวิตที่มหัศจรรย์มากนะ สสารมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันแปรสภาพแปรปรวนไปตามธรรมชาติของมัน โลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้แปรปรวนไปหมด เห็นไหม ว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ธรรมชาติก็แปรปรวน แต่สสาร ธาตุรู้มันมหัศจรรย์มาก มันมหัศจรรย์เพราะมันเป็นธาตุ มันเป็นสสารที่มีชีวิต สันตติมันมีชีวิตได้อย่างไร แล้วเวลามันปฏิสนธิไปในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เกิดมาเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเกิดได้อย่างไร แล้วจิตนี้มันมาจากไหน ถ้าจิตสงบเข้าไปมันจะไปรู้ไปเห็นของมัน

รู้เห็นก็แค่รู้เห็น รู้เห็นแล้วมันต้องมาแยกแยะไง รู้เห็นแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนมรรค “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ในการประพฤติปฏิบัติถ้ามีมรรค มรรคต้องเป็นมรรคความจริงสิ ไม่ใช่มรรคที่เราจินตนาการของเราขึ้นมาเองไง ถ้าจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบูชาไง ถ้าปฏิบัติบูชา เราจะเข้าไปถึงพุทธะของเรา เข้าไปถึงธาตุรู้ของเรา ถ้าเข้าถึงธาตุรู้ของเรา

เราเกิดมาทางโลกนะ มันเรื่องความจริง โลกนี้เป็นโลกสมมุติ เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ การที่เกิดมา เกิดมา การเกิดของสัตว์โลก การเกิดของสัตว์โลก บุญพาเกิด บาปพาเกิด คำว่า “บาปพาเกิด” วาระของเขาเป็นบาปเป็นกรรม เขาต้องทุกข์ยากของเขา เวลาบุญพาเกิด เกิดมา เกิดมาอุดมสมบูรณ์ เกิดมามีความสุข ความสุขทางโลกนะ

ความสุขทางโลกนี้ไม่มี ความสุขทางโลกเขา เขาว่าความสุขของเขา นี่มันเป็นผลของวัฏฏะมันต้องเกิด เราจะบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะผลของวัฏฏะมันต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ มันจบสิ้นไม่ได้ แต่มันจบสิ้นไม่ได้ เวลามันเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ

ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาบอกว่า พระไม่เห็นทำงานทำการอะไรเลย พระทำงานหนักหนาสาหัสสากรรจ์กว่าโลกหลายเท่านัก เพราะว่าพระต้องชนะใจตัวเองให้ได้ การนั่งสมาธิภาวนาเพื่อเอาใจไว้ในอำนาจของตัวเองนี่สุดยอดของงานเลยล่ะ เพราะมันทุ่มเททั้งหมด มันทุ่มเท ทุ่มเทเพื่อเอาใจไว้ในอำนาจของเราไง ถ้าทุ่มเทเอาใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้าจิตเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้ามันเข้าสมาธิได้มันก็ร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขแล้วมันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่า เห็นคุณค่าของการเกิดไง

เกิดมาแล้วถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าใครเกิดแล้วไม่ได้บวช ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เหยียบแผ่นดินผิด เหยียบแผ่นดินผิด นี่ก็เหมือนกัน เราสงบแล้ว เราเจอภวาสวะ เจอภพชาติของเรา แล้วเราไม่เกิดปัญญาขึ้นมา มันไม่ต่อเนื่องขึ้นไปไง เราค้นหาหัวใจของเรา ค้นหาภวาสวะ ค้นหาปฏิสนธิจิต จิตที่เป็นตัวตนที่มันเวียนว่ายตายเกิด จิตถ้ามันสงบเข้าไปแล้วมันต้องฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา นี่การขุดคุ้ยหากิเลส

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เขาจะสนทนาธรรมกัน ถ้าคนสนทนาธรรม จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงเขาบอก “เออ! ภาวนาเป็น จะมีโอกาส พิจารณาไป”

แต่ถ้าพูดถึงเวลาสนทนาธรรม “นี่มันสงบ มันใช้ปัญญาไปเลย” ไอ้ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาของกิเลส มันเป็นปัญญาของสัญญาที่จำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เขาไม่เป็นความจริงหรอก

ฉะนั้น เขาต้องใช้อุบายอย่างใด จะใช้อุบาย จะเตือนสติให้จิตดวงนั้นได้ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นเป็นต้นทาง นั้นเป็นต้นทางที่เขาจะก้าวเดินไป จิตของเขาจะก้าวเดินไป

เวลาภาวนาเป็นเหมือนจิตก้าวเดินไป เหมือนกับเราจะก้าวเดินไป จิตก้าวเดินไปคือวิวัฒนาการของจิต เวลาจิตมันจะก้าวเดิน มันวิวัฒนาการ มันพัฒนาของมัน มันพัฒนาขึ้น พอพัฒนาขึ้น ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล

เวลามันก้าวเดินมันยกขึ้นเป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ไอ้พวกเราฟังก็งงนะ “พูดซ้ำๆ ซากๆ พูดวนๆ เวียนๆ สงสัยอาจารย์จะขาดสติแล้วมั้ง พูดก็ย่ำอยู่กับที่ ไม่เห็นก้าวเดินเลย” เพราะมันภาวนาไม่เป็น

ไอ้คนภาวนาเป็นพอบอกเป็นวิวัฒนาการของมัน โอ้โฮ! เขาทึ่งมากนะ มันทึ่งมาก อู้ฮู! คนคนหนึ่งทำไมมันทำได้ขนาดนั้น จิตใจดวงหนึ่ง วิวัฒนาการทำไมทำได้สูงส่งขนาดนั้น แล้วทำสูงส่งขนาดนั้น สูงส่งที่ไหนล่ะ? ก็สูงส่งในใจนั่นล่ะ ไม่มีใครรู้ด้วยหรอก มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แต่รู้ได้ต่อเมื่อเวลาท่านแสดงธรรม พอแสดงขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านแสดงธรรม ท่านแสดงข้อเท็จจริงนั่นล่ะ แล้วเรามีความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา เราจะปฏิบัติขึ้นไป

ถ้าปฏิบัติขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะจะลานิพพาน พระอรหันต์กับพระอรหันต์ท่านรู้กัน ท่านเข้าใจกัน มันไม่มีการที่ว่าเราจะมาคาดเดา เราจะพูดไปโดยจินตนาการของเรา ผู้ที่เขารู้จริง เขารู้ คนที่เขาทำเป็น เขารู้ ถ้าเขารู้ขึ้นมา แต่เขาเก็บไว้ภายในไง เขาเก็บไว้ภายในเพราะว่าสิ่งนี้มันเหนือโลก โลกรู้กับเราไม่ได้หรอก เว้นไว้แต่ผู้ที่ปฏิบัติด้วยกัน แล้วถ้าผู้ปฏิบัติผิดด้วยกันก็สังคมผู้ที่ปฏิบัติผิด ถ้าสังคมที่ปฏิบัติถูกแบบของครูบาอาจารย์เรา ท่านไม่ไว้หน้านะ

เวลาอยู่ด้วยกัน หลวงตาท่านบอกอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อกับลูก เวลาท่านพูดนะ หลวงปู่มั่นท่านเมตตาหลวงตามาก เพราะท่านชราภาพ ท่านต้องการคนที่ไว้ใจได้ เวลาเข้าไปอุปัฏฐากท่าน ท่านรักอย่างกับลูกนะ แต่ท่านบอกว่าพูดธรรมะไม่ได้เลย ถ้าพูดธรรมะแล้วไม่มีลูก ไม่มีพ่อ ไม่มีอะไรๆ ทั้งสิ้น ความจริงเป็นความจริง ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ไม่มีสิ่งใดมาต่อรองได้ ไม่มีสิ่งใดเลย ถ้าพูดถึงธรรมะนะ

แต่ถ้าอยู่ประสาโลกนะ ผูกพันกับแบบพ่อกับลูก พ่อที่ชราภาพ หลวงปู่มั่นที่ท่านชราภาพแล้ว หลวงตาท่านอุปัฏฐากอุปถัมภ์ ท่านดูแลของท่าน ท่านรักของท่าน เวลาคุยกันกะหนุงกะหนิง พูดกันอย่างกับพ่อกับลูก แต่ถ้าหันเข้าเรื่องธรรมะ เรื่องสัจธรรม ไม่มี เสมอภาค ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เพื่อจะต้องการเราสู่ความจริง

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติให้เป็นความจริง ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีความจริง ความจริงแสดงออกได้ รู้ได้ แล้วถ้ารู้ได้มันเป็นข้อเท็จจริง นี่วันพระ วันพระเราแสวงหาสิ่งนี้ เป็นอัตตสมบัตินะ สมบัติของเรา

เราทำหน้าที่การงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเลี้ยงหัวใจของเรา ให้หัวใจของเรามันมีความสุขบ้าง ให้หัวใจของเราผ่อนคลายจากการเบียดเบียนของกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยากบ้าง ให้มันพอใจ ให้มันมีความสุขในหัวใจของเรา ความสุขที่หาได้ในใจเราไม่ต้องไปหาที่ไหน หาที่นี่ แต่เขาไม่รู้จักกัน เขาพยายามจะหาความสุขกัน แต่เขาหาไม่เจอ แต่ถ้านั่งลง หลับตา ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ เราจะไปเฝ้าพุทธะ เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเรา เอวัง