เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถ้าคนไม่มีหลักเกณฑ์ พอเขาพูดสิ่งใดเราก็คล้อยตามเขาไป นี่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา เวลาเขาพูดอะไรก็คล้อยตามเขาไปหมดแหละถ้าเราไม่มีหลัก แต่ถ้าเรามีหลักของเรา ความจริงคือความจริงไง ถ้าเขาเอาความจริงได้ ความจริงนั้นมันเป็นประโยชน์
คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทุกคน แต่คนแสวงหาความสุข ความสุขหาที่ไหนล่ะ ความสุขแสวงหามานั้นมันปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นความสุขของโลกไง โลกเขายกย่องสรรเสริญ โลกเขายอมรับกัน แต่โลกเขายอมรับกัน เราเอามาแล้วมันกดถ่วงหัวใจเราขนาดไหน แต่มันก็เป็นหน้าที่ใช่ไหม เราต้องแสวงหาสิ่งนั้นมา แต่แสวงหาสิ่งนั้นมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ความสุขจริงๆ หากันไม่เป็น ถ้าความสุขจริงๆ จะหากันเป็น ดูสิ คนเห็นภัยในวัฏสงสาร เราอยู่กับโลกเรามีความทุกข์ ละได้ วางได้ เรามาบวช ถ้ามาบวชแล้ว เรามาบวชแล้วเราจะขวนขวาย เราแสวงหา เพราะเราเห็นว่ามันเป็นทุกข์ไง ถ้ามันเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะมันแบกรับ มันแบกหามไว้ใช่ไหม
แล้วให้วางๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วให้ละให้วาง ถ้าละวางได้มันก็มีความสุข ละวางได้มันก็มีความปลอดโปร่ง ละวางได้ ละวางได้ สมบัติมันไม่หายไปไหนหรอก สมบัติมันก็เป็นของเราไง เราบอก ละวางได้แล้ว
ละวาง ละวางก็โอนมาให้ฉันสิ โอนมาให้ฉันหมดเลย คนวางได้จริงก็ต้องโอนมาให้ฉันเลย
โอนอะไร เขาละวาง เขาละวางในใจ เวลาเขาชำระกิเลส เขาชำระในใจ สังโยชน์มันผูกมัดที่หัวใจ เวลาเขาปลดเปลื้องสังโยชน์ได้แล้ว ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอตทัคคะทางลาภสักการะคือพระสีวลี พระสีวลีจะมั่งมีขนาดไหน จะสมบูรณ์ขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์กว่า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ เป็นผู้แต่งตั้ง เป็นผู้ที่รู้ลึกซึ้งมากกว่านั้น มันมีมากขนาดไหน มันมีมากมันก็เป็นสมบัติของโลก เป็นสมบัติของโลกมันก็เป็นสมบัติที่เจือจานกัน แต่หัวใจที่มันปล่อยวางได้ มันสุขมันสบาย มันปล่อยมันวาง
แต่ถ้ามันไปแบกหามนะ ของมันตั้งอยู่ตั้งไกล ทำไมมันมากดทับหัวใจเราล่ะ ของมันกดถ่วงในหัวใจเราหรือเปล่า มันอยู่ในตู้เซฟนะ มันอยู่ในธนาคารนะ มันไม่เห็นอยู่บนหัวใจเราเลย ทำไมมันหนักใจล่ะ
หนักใจมาก เพราะเราวางไม่ได้ไง คำว่า วางๆ มันวางที่ทิฏฐิมานะของเรา มันวางเพราะความผูกมัดของเรา มันไม่ใช่สลัดทิ้งไปหรอก ความทิ้งไป เห็นไหม คนที่มีบุญกุศล ทำขนาดไหนก็ได้บุญกุศลของเขา เราปรารถนาบุญกุศล เราไม่ต้องการเอาอกุศลที่มันบีบคั้นหัวใจ เราปรารถนาสิ่งนั้น ถ้าปรารถนาสิ่งนั้น นี่เป็นความเห็นของโลก
เวลาเรามาบวชพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว เวลาการบวชพระได้บุญกุศลมหาศาล บุญกุศลก็เป็นบุญกุศลนะ บุญกุศลเป็นบุญกุศล แต่บุญกุศลบวชขึ้นมาแล้วมันบวชแต่ร่างกายไง มันไม่ได้บวชจิตใจไง เวลามาบวชจิตใจ เราบวชมาแล้ว ยกเข้าหมู่แล้วพระต้องมาประพฤติปฏิบัติกัน
เวลาปฏิบัตินะ นี่พระบวชใหม่ บวชใหม่มันติดนิสัยฆราวาสมา พอฆราวาส ภิกษุบวชใหม่ จับอะไรผิดไปหมดเลย นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด อะไรมันผิดไปขนาดนั้น มันผิดเพราะอะไร เพราะเราคุ้นเคยกับความเป็นฆราวาสไง เราคุ้นเคยกับความเป็นฆราวาส คิดว่าจับต้องสิ่งใดมันก็ถูกไปหมด แต่พระไม่ได้ เพราะวัตถุมันควรจับและไม่ควรจับ เขาเรียกวัตถุอนามาส วัตถุอนามาสนะ จับ เป็นอาบัติทุกกฏ เช่น อาวุธ
เวลามีด ดูพระกรรมฐานเราสิ เวลามีดเขาเก็บไว้ เขาจะพกไว้เพื่อใช้ประโยชน์นะ ปลายมีดเขาจะหักทิ้ง เพราะปลายมีดเป็นอาวุธ บางคนเขาคิดขนาดนั้นนะ แต่ถ้าเราคิดว่าไม่ได้เป็นอาวุธ เราใช้เพื่อประโยชน์
วัตถุอนามาส ของที่ไม่สมควรจับ แม้แต่ผลไม้นี่ไปแตะต้องไม่ได้นะ เพราะแตะต้องแล้วนี่วัตถุอนามาส เพราะไปแตะต้องมันเสียกิริยาของสมณะ โอ้โฮ! จับผลไม้นี่แสดงว่าอยากกินเนาะ โอ้โฮ! ลูบคลำ เมื่อไหร่มันจะแก่เสียที ถ้าแก่แล้วก็เด็ดมาถวายอาตมา
ไม่ให้ทำเพราะอะไร เพราะวัตถุมันเป็นวัตถุ แต่เวลาเราไปจับต้องขึ้นมา มุมมองของโลกมันมหาศาล โลกมันโลกวัชชะ โลกเขาติเตียน ถ้าโลกเขาติเตียน นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เราก็ว่ามันไม่ผิดหรอก แต่เราไม่รู้หรอก อะไรถูก อะไรผิด เวลาถ้าเราทำถูก ทำผิด นี่พูดถึงว่าเริ่มต้นจะปฏิบัติ มันเป็นศีล ศีล สมาธิ ปัญญา พอเป็นศีลขึ้นมา ศีลเป็นกติกา เป็นกรอบ มันยุ่งไปหมด
เราไม่ต้องไปทบทวน เรารักษาเจตนาของเรา รักษาหัวใจของเราอันเดียว ถ้ารักษาหัวใจ อะไรที่ทำได้ มองเขา ถ้ามองเขา เขาทำสิ่งใด เราก็ทำตามนั้น แล้วทำตามนั้นไปก่อน แล้วพอเรามาศึกษา ไปเปิดบุพพสิกขา ไปเปิดวินัยมุข เราจะรู้ไปหมดแหละ แต่ความรู้อย่างนั้น เวลาเราบวชมาแล้ว เวลาเราน้อยขึ้นมา เราต้องการบวชหัวใจของเรา
ถ้าเราต้องการบวชหัวใจของเรา มันต้องมีคำบริกรรมพุทโธๆๆ บ่มเพาะ บ่มเพาะใจของเรา ถ้าบ่มเพาะใจของเรานะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่คุณค่า เพราะว่าวิธีการทั้งหมดเข้าสู่ความสงบของใจ ใจเวลาเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดมรรค มรรค เวลาผลของมันก็คืออกุปปธรรม กุปปธรรม-อกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ทุกอย่างไม่คงที่ แต่เวลาปฏิบัติถึงที่สุดแล้วเป็นอกุปปธรรมมันจะเป็นผลอยู่ข้างหน้านั่น ถ้าผลอยู่ข้างหน้า มันเป็นวิธีการทั้งนั้นแหละ แล้วเราก็เอาวิธีการจับต้นชนปลาย หันรีหันขวางเลยนะ จะทำให้มันถูกหมด
ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปห่วงว่ามันจะถูกหรือมันจะผิด เราทำไปก่อน ถ้ามันถูกต้องดีงามขึ้นไปแล้วเดี๋ยวผลมันตอบรับ มันจะมีผลออกมา ถ้าผลออกมา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลยนะ ถ้าจิตสงบเข้าไปมันจะฝังใจมาก เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่รู้จักตัวเอง ชื่อพ่อแม่ก็ตั้งให้ ไม่พอใจก็ไปเปลี่ยนเอาที่กรมการปกครอง ไม่เคยรู้จักตัวสักที พอจิตมันสงบเข้าไปนะ โอ้โฮ! นี่ตัวตนของเราไง ตัวตนของเรานะ ไอ้ชื่อที่เขาตั้งให้นี่สมมุติทั้งนั้นแหละ สมมุตินะ ดูสิ แม่ตั้งให้ ไปเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้
เวลาสมมุติ ดูสิ เวลาสมมุติ ภาษาแตกต่างกัน เขาก็พูดภาษาแตกต่างกัน แต่เขาสื่อความหมายเป็นอันเดียวกัน นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิธีการปฏิบัติแตกต่างหลากหลายมากเลย แต่ผลของมันก็คือเข้าไปสู่ความสงบของใจอันนั้น ถ้าเข้าไปสู่ความจริง ไปสู่ความสงบของใจอันนั้น มันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นตัวตนของเรา ตัวตนของเรามันมีค่ามาก มีค่าเพราะเหตุใด มีค่าเพราะเวลามันเวียนว่ายตายเกิด ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณๆ แต่สิ่งที่เรากระทบอยู่นี่มันเป็นโสตวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ มันเป็นวิญญาณอายตนะ มันเป็นวิญญาณกระทบ วิญญาณกระทบมันต้องมีพลังงาน พลังงานคือปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิจิต
ปฏิสนธิจิตมันรับรู้กระทบโดยผิวหนัง อายตนะกระทบ ความคิดเกิดขึ้นมากระทบหัวใจ ความคิดก็ไม่ใช่จิต แต่มันเกิดขึ้นจากจิต เวลาคิดขึ้นมามันก็กระทบจิต ถ้าความคิดเป็นจิต เวลาเราคิดไม่ออก อยากคิดเรื่องดีๆ คิดไม่ออกหรอก คิดไม่ออก คิดไม่ได้ เราคิดไม่ได้ก็ตายน่ะสิ ก็ความคิดเป็นจิต ความคิดไม่มีก็ต้องตาย ทำไมความคิดไม่มีทำไมมันไม่ตายล่ะ
เพราะความคิดมันไม่ใช่จิต มันเกิดจากจิต เห็นไหม มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนคือใจ มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ สัมผัส ความสัมผัสคือความคิด มโน มโนคือพลังงาน ปฏิสนธิจิตมันกระทบ พอกระทบขึ้นมา มันเกิดรับรู้ รับรู้ เบื่อหน่ายไปหมด มันเบื่อหน่ายไปหมด ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา ตัวตนของเรา เราเห็นตัวตนของเรา โอ้โฮ! โอ้โฮ!
ทำความสงบของใจเข้ามา พระองค์ใดก็แล้วแต่ นักปฏิบัติคนใดก็แล้วแต่ เวลาจิตมันสงบแล้วมันมีคุณค่า มีคุณค่า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วหาซื้อไม่ได้ มีเงินแสน เงินล้าน กี่ล้านหาซื้อ ไม่มีขายในท้องตลาด หาซื้อขายที่ไหนเขาก็ขายให้ไม่ได้ เวลาสุขภาพ เขาบอกว่าสุขภาพไม่มีซื้อขาย สุขภาพต้องทำขึ้นมาเอง สุขภาพจะแข็งแรงเพราะเราดูแลสุขภาพของเราเอง
จิต จิตเวลาเราค้นคว้า เราจะไปหาที่ไหนล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้ก็แนะเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านก็ต้องรู้หลักการของท่าน เราทำความจริงของเราขึ้นมา
บวชแล้ว เวลาบวชนี่ได้บุญมาก ได้บุญเพราะอะไร ได้บุญเพราะเราค้ำชูศาสนา ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นญาติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้ามาเป็นญาติ เป็นญาติเป็นหว่านเครือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าจิตของเรามีคุณธรรมขึ้นมา ศาสนทายาท เราเป็นทายาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีคุณธรรมในใจของเรา ถ้าคุณธรรมในหัวใจมันประเสริฐขนาดไหน
ถ้าเราบวชมาเป็นสมมุติ บวชมาเป็นสมมติสงฆ์ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ แล้วเราก็ฝึกหัดๆ หน้าที่การงานของเราก็มี เพราะเกิดในหมู่ชน ในหมู่ชนใดมันก็มีภาระรับผิดชอบไปทั้งนั้นแหละ ภาระรับผิดชอบมันของเล็กน้อยมาก เวลาเราเบื่อหน่าย เราคิดสิ เราคิดว่าเวลาเราอาบเหงื่อต่างน้ำ มันทุกข์ขนาดไหน ไอ้นี่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เดินไปเดินมา โลกเขามองกันเขาบอก เดินไปเดินมา งานนี้ใครก็ทำได้
ลองมาเดินสักครึ่งวันสิ เดินสักวันหนึ่ง พอเดินไปเดินมาแล้วเดี๋ยวใจมันไม่อยู่หรอก
ว่า พระทำอะไร วันๆ ไม่เห็นทำอะไร เดินไปเดินมา
ไอ้เดินไปเดินมาถ้ามันไม่มีสติ หลวงตาท่านบอกว่าสุนัขมันยังเดินได้ สุนัขมันวิ่งด้วย เราเป็นพระ เราเป็นพระ เราต้องมีสติ เรามีสติ เรามีคำบริกรรมของเรา ถ้าเรามีคำบริกรรมของเรา เรามีคำบริกรรม เราฝึกฝนของเรา เราจะหาความจริงของเรา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วมันจะไปหาที่ไหนล่ะ หาซื้อที่ไหนก็ไม่มี มันหาได้ในกลางหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เห็นไหม ถ้ามันเข้าไปสู่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเข้าไปสู่พุทโธของเรา เข้าไปสู่หัวใจของเรา ถ้าเข้าไปสู่ใจของเรา มันแสวงหาที่ไหนล่ะ
เวลาทางโลกเขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จแล้ว เขาทำซ้ำทำซาก เขาทำด้วยความชำนาญของเขา เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราเจอพุทโธ เราเจอสัมมาสมาธิ แล้วเราอยากได้อีกๆ จับพลัดจับผลู จับพลัดจับผลูเพราะอะไร เพราะกิเลสมันต่อต้านไง กิเลสมันมีอำนาจเหนือหัวใจของเรา กิเลสคืออวิชชา ความไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวตนของเรา แต่รู้ข้างนอก รู้ทุกอย่าง รู้ทุกอย่างเพื่อขับไสให้ใจมันออกไปเอา ขับไสให้ใจมันส่งออก ให้หัวใจมันเพ่นพ่านออกไปข้างนอก แต่ไม่รู้จักตัวมันเอง นี่กิเลสมันปิดหูปิดตา แล้วมันพยายามผลักดันให้เราส่งออกไปหมด แล้วเราเคยเข้าไปสู่จิตใจของเรา เข้าไปสู่ความสงบ แล้วเราจะเข้าไปสู่ความสงบอีกมันก็ต่อต้าน
พญามารนะ มันต่อต้าน พอมันต่อต้าน เอ๊ะ! มันต้องทำอย่างนี้ เอ๊ะๆๆ ต้องทำอย่างนี้ เอ๊ะๆ ต้องทำอย่างนี้ เอ๊ะๆ นั่นล่ะวางให้หมดเลย บริกรรมพุทโธของเราไปเรื่อยๆ พุทโธๆๆ ของเราไปเรื่อยๆ
เวลาเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันสมควรแล้วมันต้องระงับของมันได้ ถ้ามันสงบระงับของมันได้ นี่ความจริง ความจริงนะ สิ่งในโลกนี้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลามันเป็นอกุปปธรรมแล้วมันเหนืออนัตตา มันพ้นไปจากความเป็นอนัตตา มันพ้นไปเพราะอะไร
มันพ้นไป เห็นไหม ดูสิ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติได้สัจธรรมความจริง มันเป็นธรรมของส่วนตนไง มันเป็นธรรมของจิตดวงนั้นไง มันไม่ใช่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ไง เวลามันประพฤติปฏิบัติไป สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความแปรปรวนทั้งหมด เวลามันปฏิบัติไปแล้ว อกุปปธรรมๆ มันไม่แปรปรวน ไม่แปรปรวน มันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่อะไรทั้งสิ้น แต่มันปฏิบัติไปเป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา เราหาที่นี่ เราปฏิบัติที่นี่
โลกเขาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้น ไม่พอใจความทุกข์ทั้งนั้น แต่เวลาผู้ที่มีบุญบารมีเกิดมา ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จไปทั้งนั้น มีคนเกื้อหนุนมาตลอด เขาก็มีความสุขประสาโลกเขา นี่สุขโดยสมมุติ เขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นยอดปรารถนาของเขา แต่ถึงที่สุดแล้ว ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องดับขันธ์ไปที่สุด เขาได้ทำอะไรเป็นประโยชน์กับเขาบ้าง ถ้าเขาได้ทำอะไรเป็นประโยชน์กับเขาบ้าง จิตดวงนั้นมันจะมีบาปมีบุญอันนั้นสืบเนื่องต่อเนื่องไป
แต่เรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำมา เราก็ประสบความสำเร็จได้ เราก็แสวงหามาได้ แต่เราเป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์ เราไม่ใช้สอยฟุ่มเฟือยไปกับโลกเขา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราสร้างสมบารมีของเราขึ้นมาให้เป็นบารมีของเราขึ้นมา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ได้มากได้น้อยขึ้นมา มันจะเกิดปัญญา คนเราใครเกิดมาก็เกิดอยากเป็นคนฉลาด คนฉลาดเกิดจากการนั่งสมาธิ การนั่งสมาธิ เวลาจิตมันสงบระงับขึ้นมาแล้วมันเกิดภาวนามยปัญญา มันจะฝังหัวใจนั้นไป
คนที่ฉลาด การนั่งสมาธิทำให้คนฉลาด แต่คนที่ฉลาดเขาต้องใช้ความคิด เขาต้องใช้ปัญญาของเขา ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาของโลกียปัญญา ปัญญาของปฏิสนธิจิต ปัญญาของพญามาร ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาสร้างโลก แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาแล้วมันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญามันเหนือโลก ปัญญามันจะพ้นจากโลก ปัญญามันจะเหยียบย่ำโลกนี้ มันจะข้ามพ้นจากโลกนี้ไป ถ้ามันจะข้ามพ้นจากโลกนี้ไป นี่ธรรมะเหนือโลก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครเป็นคนแสวงหาล่ะ
เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราก็ว่าเราต่ำต้อย เราทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่ห่มธงชัยพระอรหันต์ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นผู้ที่จะเห็นภัยในวัฏสงสาร เป็นผู้จะข้ามพ้นจากโลก ถ้าเป็นผู้ที่จะข้ามพ้นจากโลก คนอย่างนั้นหรือเป็นคนที่ต้อยต่ำ คนอย่างนั้นหรือเป็นคนที่ไร้ศักยภาพ คนอย่างนั้นหรือเป็นที่ไม่มีอำนาจวาสนา คนอย่างนั้นต่างหากที่จะพ้นจากโลก คนอย่างนั้นต่างหากที่มีสติ สมาธิ ปัญญา คนอย่างนั้นต่างหากมีมหาสติ-มหาปัญญา คนอย่างนั้นต่างหากจะมีมรรคญาณเข้าสู่หัวใจของตน ทำใจให้มันหลุดพ้นไปจากวัฏสงสาร เห็นไหม
โลกเขาปรารถนาความสุขของเขา เขาเกลียดความทุกข์ แต่เขาก็แสวงหาได้ตามประสาโลก เราวางโลกไว้แล้วเราเข้ามาสู่ธรรม เข้ามาสู่ธรรม เราประพฤติปฏิบัติของเราให้สู่สัจจะความจริง เอาใจของเรานะ ใจของเราไว้ในอำนาจของเรา อำนาจของเราด้วยสติ อำนาจของเราด้วยสมาธิ แล้วเกิดวิปัสสนา เกิดภาวนามยปัญญา เราจะเห็นเลยว่ามรรคญาณมันสำคัญขนาดไหน ธรรมจักร จักรที่มันจะชำระล้างอวิชชา ชำระล้างพญามาร พญามารที่มันมีอำนาจที่มันปิดบังหัวใจของคน พญามารที่มันปิดหัวใจของสัตว์โลก แล้วเกิดสัจธรรมมีดวงตาของธรรม ดวงตาของดวงใจมันเปิดของเราขึ้นมา ดวงตาของใจมันเปิดขึ้นมา มันชำระล้าง มันสำรอก ใจดวงนี้ประเสริฐ ใจดวงนี้ข้ามพ้น ใจดวงนี้มันเหนือโลก โลกมองไม่เห็น โลกเห็นเป็นไปไม่ได้ แต่เราจะทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรา นี่เราเป็นคนมีศักยภาพ เราเป็นคนมีอำนาจวาสนา เราทำเพื่อเหตุนี้
ทำบุญกุศลเพื่ออำนาจวาสนาบารมี เพื่อทำบุญแล้วให้จิตใจมันเปิดกว้าง เราเสียสละได้ เราเข้าใจได้ กิเลสมาบิดเบือนเราไม่ได้ ฉะนั้น เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ฟังเพื่อสะเทือนหัวใจของเรา สะเทือนหัวใจของเรานะ ให้หัวใจมันองอาจ มันกล้าหาญ เกาะเกี่ยวการภาวนา ไม่อย่างนั้นมันเหงามันหงอย มันเศร้ามันสร้อย มันเอาแต่ตัดทอนตัวเองไง
แต่ถ้ามีปัญญาๆ มันจะทำส่งเสริมปัญญาของตนไง ส่งเสริมขึ้นมาให้แก่กล้า ส่งเสริมขึ้นมาให้มีกำลัง ส่งเสริมขึ้นมาเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความเป็นจริงของเราไง แล้วประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงของเรา สมกับความปรารถนาว่าเราเกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เราแสวงหาแต่ความจริง สัตว์อาชาไนยมันจะหาแต่ของดีๆ ทั้งนั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่อหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ เอวัง