เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะปลอบประโลมหัวใจของเรานะ หัวใจของเราทุกข์ยากมาก มีโยมเขามาถามไงว่า เขาทำความดีเยอะมหาศาลเลย แต่ความดีของเขาทำไมไม่ให้ผลเขาเลย ชีวิตเขามีแต่ความทุกข์ยากมากไง
ดูสิ ดูทางกวีเขาบอกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวนะ สะเทือนถึงดวงดาวเพราะสภาวะแวดล้อมไป มันมีผลไปทั้งนั้นแหละ เด็ดดอกไม้ไปสะเทือนถึงดวงดาว ไอ้เราอยากทำคุณงามความดี เราก็โค่นต้นไม้เลย โค่นต้นไม้ ดวงดาวมันจะได้สั่นไหวไง เราไปโค่นต้นไม้ โค่นต้นไม้มันยิ่งเสียหาย โค่นต้นไม้มันทำลายสภาวะแวดล้อม
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เป็นเพราะว่าสภาวะแวดล้อมความเป็นจริงไง เรามาฟังธรรมะๆ ธรรมะข้อเท็จจริงไง ทำดีได้ ทำชั่วได้ชั่ว แต่ทำความดีทำไมมันไม่ได้ดี มันไม่ได้ดี ไม่ได้ดีเพราะเหตุใดล่ะ ถ้ามันไม่ได้ดี คนเราทำดีแล้วมันมีกรรมเก่า-กรรมใหม่
กรรมเก่า คนเรามีความขัดแย้งมา มีความเศร้าหมองมา มีความอะไรมา มันเห็นสิ่งใดมันไม่ถูกใจไปหมด เราทำความดีกับคนอื่นนะ เราทำน้อยกว่านี้อีก เขาหาว่าเราดีมากเลย แต่คนคนนี้ เราทุ่มเทให้เขาขนาดนี้ เขาบอกเราไม่มีความดีเลย ทำไมถึงไม่มีความดีล่ะ ความดีอันนั้นเพราะเขาไม่ชอบ เพราะเขาไม่ชอบ ทำสิ่งใดก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ เป็นความดีก็เป็นไม่ดี แต่ถ้าเป็นความดีนะ เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีก็คือความดี ความดีกับความดีเพื่อตัวเราเอง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำความดีเพื่อหัวใจของเราไง ถ้าทำความดีเพื่อหัวใจของเรา เรามีศีลมีธรรม มีศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เพื่อเป็นความปกติของใจ เราทำความดี เราทำของเราแล้ว ความลับไม่มีในโลก เราทำสิ่งใดผิดพลาด เราก็รู้เองว่าเราเป็นคนทำ ถ้าเราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็รู้เองว่าเราเป็นคนทำ ใครเขาจะว่าดีว่าชั่วนั่นปากของเขา มันอยู่ที่การกระทำของเรา เราทำคุณงามความดี อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหม เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ส่งข่าวเป็นชั้นๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวไป สัจธรรมมันได้เคลื่อนแล้ว สัจจะมันมีแล้ว ธรรมจักรเคลื่อนแล้ว ใครจะย้อนกลับไปอีกไม่ได้ เพราะมันเป็นความจริงแล้ว นี่เทวดาเขาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม ผู้ที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็จ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาทำลาย เขาวางแผนทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำดีไหม? ทำดีมหาศาลเลย ถ้าน้อยใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องน้อยใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็น้อยใจ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นน้อยใจเลย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลอบภิกษุนะ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรม ๘ เบียดเบียน ให้นึกถึงเรานะ เราตถาคตโดนรุนแรงกว่าพวกเธอมากมายนัก แต่เราตถาคตได้ทำลายอวิชชา ภวาสวะ ภพ เขาทำเพื่อให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ็บช้ำ แต่เพราะไม่มีภวาสวะ ไม่มีสิ่งใดรองรับ มันเลยผ่านทะลุไปหมดเลย มันไม่มีใครเจ็บช้ำ มันไม่มีใครเลย เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายสิ่งที่เก็บความเศร้าหมอง ทำลายสิ่งที่เก็บเอามาคิดซ้ำคิดซากอยู่ในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายสิ่งนี้แล้ว ถ้าทำลายสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะเข้าถึงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย
ถ้าเราเข้าใจเรื่องสัจธรรม เราเด็ดดอกไม้ก็สะเทือนถึงดวงดาว เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นข้อเท็จจริง ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราเข้าใจถึงสัจจะข้อเท็จจริงแล้ว เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ทำคุณงามความดีมันก็เป็นคุณงามความดีของเราไง
ถ้าเด็ดดอกไม้มันไม่สะเทือนถึงดวงดาวสักที ก็โค่นต้นไม้ซะ โค่นต้นไม้เลย ให้มันสะเทือนสักที เขาจะได้เห็นความดีของเรา มันก็ไม่เห็นความดีของเราหรอก เพราะเขาไม่ชอบ เขาไม่ชอบ เขาไม่เห็นดีเห็นงามกับเรา แต่ถ้าเขาชอบ เราไม่ต้องเด็ดดอกไม้หรอก เขาเอาดอกไม้มามอบให้ เห็นไหม
อันนั้นเวลาเราคิดไง เวลาเราคิดอย่างนี้มันคิดส่งออก คิดส่งออกมันก็มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจนะ คิดส่งออกแล้วเราก็มีแต่ความทุกข์นะ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เอาออกจากหัวใจ ให้สละออก ให้ละให้วาง ให้ละวาง ทำดีก็ต้องทำความดีของเราต่อเนื่องไป คนจะทำดีทำชั่ว มันมีการกระทำ เวลาพูดถึงกรรมๆ เวลาพูดถึงกรรมปั๊บ เราเองทำชั่วมาตลอดเลย เพราะเรามีแต่กรรมบีบคั้นหัวใจ ไม่มีกรรมดีอะไรเลยหรือ ทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้
มันมีความดีมหาศาล ความดีมหาศาลเพราะเรายังมีสิทธิในการกระทำ ไปดูคนติดคุกสิ คนติดคุกนะ มันบอกถ้ามันพ้นจากคุกมันจะบวช พ้นจากคุกมันจะทำความดี แต่มันโดนติดคุกอยู่น่ะ นี่ก็เหมือนกัน ผลของวัฏฏะๆ คนที่เขาไม่ได้เกิดเป็นเรา คนที่เขาเกิดมาทุกข์ยากขึ้นมา เขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา เราเกิดทุกข์ยากแล้วเรามีอิสรภาพ เรามีอิสรภาพแล้วทำสิ่งใดก็ได้ แต่มีสติปัญญาหรือเปล่า ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะทำความดีของเรา แล้วความดีเรามองไม่เห็นไง มันไม่สะเทือนดวงดาวสักที ทำดีไม่มีใครชมว่าเราดี ไม่มีใครปรบมือให้สักทีเลย ไม่มีใครชมว่าเราเป็นคนดีสักทีเลย...แล้วทำไมต้องให้คนชมล่ะ ทำไมต้องให้เขาชมล่ะ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระอรหันต์ มรรคญาณ ไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้ กินข้าว ใครเป็นคนกิน คนนั้นก็รู้รส นั่งมองเขากินแล้วก็กลืนน้ำลายอึกๆ อยู่นั่นแหละ อยากจะอิ่มสักที ไม่เคยอิ่มเลย นั่งมองเขาแล้วก็กลืนน้ำลายอยู่นั่นแหละ กินสิ กินๆ
นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดี เราทำๆๆ แล้วเราไม่มองใคร แล้วไม่ต้องให้ใครเขาชื่นชมเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีคือความดี เวลาพระเราทำคุณงามความดีนะ หลวงตาท่านพูดบ่อย ไอ้ที่ว่าเวลาทุกข์เวลายาก อย่ามาพูดนะว่าโยมจะมาทุกข์ยากเท่ากับพระ ท่านบอกเลยนะ แม้แต่เราอดนอนผ่อนอาหาร เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราตั้งสัจจะเอาชนะตัวเอง มันเอาชีวิตเข้าแลก ท่านบอกเลยนะ เวลาทางโลกเขามันก็เหมือนกับคนติดคุก วันๆ ก็เหลาตอกสองอันสามอัน แค่หมดไปวันๆ เท่านั้นแหละ แล้วก็บอกว่าทุกข์ๆ
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราขวนขวายของเรา เราก็ว่าเราทุกข์ เราทุกข์อย่างนี้เราทุกข์เพื่อดำรงชีวิต ทุกข์เพื่อดำรงธาตุขันธ์ แต่เวลาจะเอาชนะกิเลสนะ จะเอาชนะตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราพูดคำนี้ประจำ เพราะอะไร เพราะคำว่า ดำริ ไง มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย
ความดำริเป็นความคิดไหม เวลาเรามีความคิด มารมันครอบงำมาตลอดไง ฉะนั้น เวลาเราคิด เราทำอะไร มันคิดโดยอวิชชาทั้งนั้นแหละ มันคิดโดยกิเลสทั้งนั้นแหละ มันคิดโดยที่ไม่รู้เท่าทันตัวเองทั้งนั้นแหละ เวลามันคิด มันไม่รู้เท่าทันตัวเอง คิดโดยมาร มารมันขี่หัวอยู่ แล้วมันก็สั่งให้เราคิดตามที่มันพอใจ แล้วเราก็คิดของเราไปอย่างนี้
มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราอีกไม่ได้เลย
เวลาความคิด ความทุกข์ความยากของเรา เราก็คิดของเราไป แต่เวลาเราจะเสียสละ ดูสิ เวลาพระเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา งานที่เอาชีวิตเข้าแลกเราก็ไม่เห็น เวลางานเอาชีวิตเข้าแลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาอดอาหาร ๔๙ วัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทุกรกิริยามาตลอด ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาตลอด ไอ้เราก็ไปเห็นพระ พระมันก็เลียนแบบไง ไอ้พระที่ว่าอยากได้อยากดี มันจะโค่นต้นไม้สะเทือนถึงดวงดาวไง มันก็เดินออกมาจากป่า นี่เพิ่งออกมาจากป่านะ สดๆ ร้อนๆ เลยนะ แต่มันเป็นความจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเป็นความจริงนะ เขาสงบระงับ
พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านออกบิณฑบาต พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญา เห็นการก้าวเดินของท่านด้วยความมีสติปัญญาอย่างนั้น พระองค์นี้จิตใจต้องร่มเย็นจริง ถ้าไม่ร่มเย็น กิริยาแสดงออกอย่างนี้ไม่ได้ ท่านถึงตามไปๆ นะ รอจนพระอัสสชิท่านฉันอาหารจบแล้วถึงขอฟังธรรมๆ เพราะอะไร เพราะพระสารีบุตรท่านพยายามขวนขวายของท่าน แล้วท่านไปอยู่กับสัญชัย สัญชัยบอกว่า ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ทำอย่างไรล่ะ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ใช่ต่อเนื่องไป
เหมือนเราปฏิเสธไปเรื่อย ไม่ใช่ ไม่เอา ไม่มี...ไม่มีแล้วมีจริงหรือเปล่า ไม่ทุกข์ๆ ไม่ลำบาก อู๋ย! มีแต่ความสุข...สุขจริงหรือเปล่า ไม่จริงสักเรื่อง แต่พระสารีบุตรเรียนกับเขาจนจบแล้ว ถามอาจารย์ว่ามีอะไรต่อไหม? หมดแล้ว สอนแค่นี้ หมดไส้หมดพุงแล้ว
พระสารีบุตรสัญญาไว้กับพระโมคคัลลานะ เป็นเพื่อนกัน มาศึกษาร่วมกัน ถ้าเราเจอครูบาอาจารย์นะ ถ้ามีคนชี้นำ ต้องบอกนะ ต้องบอกกันนะ อย่าทิ้งกันนะ ทุกข์ด้วยกันไง เป็นเพื่อนกัน สนิทกัน คุ้นชินกันมา แล้วก็มาศึกษาร่วมกัน...โทษนะ แล้วก็มาโดนหลอกด้วยกัน สัญญากันไว้ ถ้าใครเจอครูบาอาจารย์ที่ชี้นำที่บอกได้ อย่าทิ้งกันนะ อย่าทิ้งกัน เพราะมันทุกข์ไง
เวลาพระสารีบุตรไปเจอพระอัสสชิบิณฑบาตอยู่ ด้วยกิริยา เพราะโดนหลอกมาเยอะแล้ว ตามพระอัสสชิไป พระอัสสชิฉันอาหารจบแล้วไง ท่านบวชเพื่อใคร ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ก็ถามเลย ทำมาอย่างไร ทำมาอย่างไร ไอ้หัวใจที่มันสงบระงับทำมาอย่างไร
โอ๋ย! เราผู้บวชใหม่ เพิ่งปฏิบัติใหม่ พระอรหันต์ เห็นไหม นี่ไง พระแท้ๆ เขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขาเก็บไว้ในใจ ครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านต่อสู้กับกิเลสมา ท่านประหัตประหารกับมันมา ท่านรู้ว่ามันยากเย็นขนาดไหน แต่เวลาท่านพูดออกมาว่า เราเป็นผู้บวชใหม่
แล้วบวชมาจากใคร
บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เย ธมฺมาฯ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้น เวลาทุกข์ยากขึ้นมาก็เอ็งหามาทั้งนั้น เขาให้เด็ดดอกไม้ก็ไปโค่นต้นไม้ซะ เขาให้ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีก็เพื่อเรา ทำคุณงามความดีก็เพื่อให้โลกเขายกย่องซะ ทำคุณงามความดีก็คอยมองว่าเขาจะเห็นความดีเราหรือเปล่า ทำความดีถ้าไม่มีใครมองก็ไม่ทำ ถ้ามีคนมอง ทำเยอะๆ ถ้าไม่มีใครมอง ไม่ทำอะไรเลย
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุที่ทำนั้นมันถูกต้องดีงามหรือเปล่า ย้อนกลับไปดับที่เหตุนั้น
พอฟังนะ เพราะคนมันทุกข์ คนมันทุกข์แล้วคนมันค้นคว้าอยู่ คนมันขวนขวายอยู่ ดูสิ ปฏิบัติกับสัญชัยมา เขาว่าหมดไส้หมดพุงแล้ว เป็นอาจารย์เก่งมากเลย แต่มันยังทุกข์ พอมาเจอธรรมะของพระอัสสชิ มันทิ่มเลย มันทิ่มเข้ากลางหัวใจ มันปิ๊ง! เป็นพระโสดาบันเลย เอาคำพูดนี้ไปเล่าให้พระโมคคัลลานะฟัง พระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมาทันทีเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะปัญญามันพร้อม
คือคนมันทุกข์มันยาก มันโดนบีบคั้น มันโดนทุกอย่างเต็มที่ แล้วมันอยากออก แต่มันไม่มีใครบอกไง พอมีคนบอกก็พุ่งเลย ไอ้ของเราท่องกันปากเปียกปากแฉะ รู้ไปหมดเลย แต่ออกไม่ได้ พอออกไม่ได้ จะบอกว่าอย่างนี้ก็ซาดิสม์ คือว่าต้องให้เจ็บช้ำมากกว่านี้ใช่ไหม ต้องให้ทุกข์ยากมากกว่านี้ใช่ไหมถึงจะได้ออกได้ไง ถ้ามันทุกข์ยาก มันเจ็บช้ำ มันก็อยากจะไป
แต่นี่มันนอนจมไง นอนจมแล้วก็คิดในใจว่า อู๋ย! ฉันอยากจะประพฤติปฏิบัติ ฉันอยากจะมีคุณธรรม แต่ทำไมไม่วิจัยวิเคราะห์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาอบรมสมาธิ เอาธรรมะมาตรึกแล้วใคร่ครวญ แล้วชีวิตเรามันมาจากไหน เกิดมาทำไม เกิดมาอยู่เพื่ออะไร ตายแล้วมีอะไรติดมือไป ได้ทำพินัยกรรมไว้หรือยัง พินัยกรรมจะมอบให้ใคร สมบัตินี้ แล้วเรามีอะไรไป เรามีอะไรไป
นี่ไง เรามีคุณงามความดีไปเท่านั้นนะ เรามีคุณงามความดีของเราไป ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในศีล สมาธิ ปัญญา ใครมีสมาธิ จิตตั้งมั่น ใครมีปัญญา ปัญญาจะแทงทะลุกิเลสอวิชชา ใครมีศีล สมาธิ ปัญญาจะเป็นสมบัติของเรา ผู้ที่ปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดูสิ มันอกุปปธรรม อกุปปธรรมกับใจนี้มันเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้อง ไม่ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่ต้องๆ เพราะเวลาอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เอาอยู่แล้ว ยังต้องอุทิศส่วนกุศลอะไรไปให้อีก ไม่ต้องๆ เขาอิ่มเต็มของเขาไปแล้ว เขาพอแล้ว เราเอาของเราไป เราปฏิบัติของเรา เราทำเพื่อเราอย่างนี้ไง จิตใจของเราอย่างนี้มันถึงจะเป็นสัจธรรมจริงไง แล้วต่อไปนี้มันจะเด็ดดอกไม้มันจะสะเทือนถึงดวงดาวไหมล่ะ
มันจะสะเทือนหรือไม่สะเทือน เราก็ไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน ไม่บีบคั้นใจของตัวเราเอง แต่เราทุกข์เรายากไง แล้วเราว่าทำคุณงามความดีแล้วทำไมคุณงามความดีไม่ตอบสนองเราเสียที ทำไมคุณงามความดีมันไม่ตอบสนอง ทำแต่คุณงามความดีอยู่นี่
ความดีก็คือความดี ความดีคือเราเกิดมา อริยทรัพย์ เกิดมาได้เป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วมีศักยภาพได้ทำคุณงามความดี ได้สร้างสมบุญญาธิการ สิ่งที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จๆ มันตัดทอนๆ ตัดทอนนี่เราทำอะไรมาล่ะ เราทำอะไรมา ดูสิ คนเราเกิดมาสุขภาพไม่แข็งแรง เราทำอะไรมา คนที่เขาสุขภาพแข็งแรง เขาพร้อมแล้ว เขาสุขภาพแข็งแรง เขาทำอะไรเขาก็สมบูรณ์ของเขา ไอ้เราสุขภาพไม่แข็งแรง เราทำอะไรก็เพื่อบำรุงสุขภาพของเราให้แข็งแรงขึ้นมาก่อน
จิตใจของเราก็เหมือนกัน เราทำอะไรมามันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ทำไมคนอื่นเขาทำมามันถึงสมบูรณ์ของเขาล่ะ ที่พูดนี้พูดไม่ให้น้อยใจนะ พูดนี้พูดเพื่อให้หาเหตุหาผลไง ถ้าหาเหตุหาผลแล้ว มันเด็ดดอกไม้มันก็สะเทือนถึงดวงดาว เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวเพราะมันเข้าใจเรื่องสัจจะ เข้าใจถึงเรื่องความเป็นจริง แต่นี่เราเข้าใจส่วนเดียวเสี้ยวเดียว ศึกษาผิวเผินก็ว่าเราทำความดีแล้ว ทำความดีแล้ว ศึกษาผิวเผินไง ผิวเผินมันก็ได้ผิวเผิน ผิวเผินนะ ศึกษาแล้วมันจะเป็นความดีของเรา มันกลับมาทำให้เราเสียใจช้ำใจขึ้นขึ้นอีก
ก็พระพุทธเจ้าสอนน่ะ
หลวงตาท่านพูดบ่อย ให้ประพฤติปฏิบัติไป ถ้าผิดจะพาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้าสอนแล้วเราก็ทำตามนั้น...ทำผิวเผินไง แต่เราทำเข้าไป อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ทำเข้าไปให้เข้าไปถึงใจเรา ทิ่มเข้าไปสู่กลางหัวใจเรา แล้วดูสิ มันจะน้อยใจอีกไหม ดูสิ มันจะคร่ำครวญไหม มันจะคร่ำครวญวิโยคไปหาอะไร ถ้าเรารักษาหัวใจของเรา เราจะคร่ำครวญไปหาใคร เราจะดูแลใจดวงนี้ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เอวัง