ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ฉลาดทำ

๕ เม.ย. ๒๕๕๘

ฉลาดทำ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่องสอบถามเกี่ยวกับการพิจารณาจิตครับ

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพเป็นอย่างสูงครับ เนื่องจากกระผมได้ทดลองบริกรรมพุทโธๆ ได้สักระยะแล้ว แต่จิตก็ยังไม่สงบ ไม่รวมเป็นสมาธิ และบางครั้งรู้สึกปวดหัวมาก แต่กระผมก็ยังไม่ละความพยายาม

มีอยู่ครั้งหนึ่งในขณะกำลังนั่งสมาธิภาวนา กระผมได้ทดลองกลั้นลมหายใจ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้ค้นพบสภาวะนิ่งรู้ที่อยู่ตรงหน้า มีความรู้สึกเหมือนตัวผมที่แท้จริงหดไปอยู่ตรงจุดนี้ และรู้สึกเหมือนกายนี้เป็นแค่เปลือกนอกที่เหมือนตัวตนของผมนิ่งและรู้อยู่ภายใน

ลักษณะนิ่งรู้นี้เด่นชัดมากบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งผมได้ทดลองซ้ำๆ กันหลายวัน และทดลองใช้คำบริกรรมประกอบคือพุทโธ-ผู้รู้ซึ่งขณะนี้ผมไม่ต้องกลั้นหายใจแล้ว เพียงแต่ตั้งสติก็สามารถกลับมาสู่สภาวะนิ่งรู้ (ผู้รู้-พุทโธ) ได้อย่างรวดเร็วทันที

เมื่อผมกลับมาอยู่ตรงจุดนี้ได้สักระยะ ผมก็ออกพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกแยกแยะขันธ์ที่ผ่านเข้ามา เพื่อไม่ให้หมุนเป็นอารมณ์ความรู้สึกได้ ซึ่งบางครั้งก็ปล่อยจนโล่ง ทำให้สภาวะนิ่งรู้นี้เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้บางครั้งจะเกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกได้ แต่สภาวะนิ่งรู้นี้ก็ยังเด่นอยู่ ไม่ได้รวมกับอารมณ์ความรู้สึกนั้น แต่แยกออกเป็นคนละส่วนกัน อารมณ์ก็ส่วนหนึ่ง ตัวผู้รู้อารมณ์ก็ส่วนหนึ่ง

และเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนร่วมงานด่าว่าผมด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างรุนแรง ผมก็ตั้งสติและกลับมาอยู่ที่ตัวนิ่งรู้นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมไม่รู้สึกทุกข์หรือโกรธเขาแม้แต่น้อย แต่สภาวะนิ่งรู้นี้เด่นชัดขึ้น และเกิดปีติตามมา โดยที่ความนิ่งรู้นี้ยังชัดและแยกออกเป็นคนละส่วนกับปีติที่เกิดขึ้น

กระผมมีคำถามอยากกราบเรียนหลวงพ่อดังนี้คือ

. สภาวะนิ่งรู้ที่ผมเข้าใจว่าเป็นตัวแท้ของผมคือจิตใช่หรือไม่ครับ

. วิธีการปฏิบัติที่ผมใช้ตัวรู้นี้ออกพิจารณาอารมณ์ความรู้สึก เป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ครับ และควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อความก้าวหน้าต่อไปครับ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก

ตอบ : นี่คือคำถาม เห็นไหม คำถามสภาวะนิ่งรู้อยู่ สภาวะนิ่งรู้อยู่ สมัยนี้ สมัยในปัจจุบันนี้ เรานี่ปัญญาชน คนที่เข้าวัดนี่แปลกนะ สมัยก่อนเราเข้าวัดไปจะมีคนแก่คนเฒ่าเนาะ สมัยนี้คนเข้าวัดมา เขามาที่นี่เขาทึ่งนะว่าโอ้โฮ! หลวงพ่อ เดี๋ยวนี้มีแต่วัยรุ่นเข้าวัดเขาภูมิใจนะ เดี๋ยวนี้เขาภูมิใจกันมากว่าคนเข้าวัดอายุมันลดลง คือว่าเด็กๆ เขาเข้าวัดกันแล้ว

แต่ก่อนคนเข้าวัดต้องอายุมากแล้วถึงจะเข้าวัด เด็กๆ ไม่กล้าเข้าวัดนะ เข้าวัดไปแล้วเขาบอกว่า เออ! พวกนี้น่าจะมีปัญหาถึงได้มาวัด แต่เดี๋ยวนี้เพราะมีการศึกษา มีการศึกษา มีความเข้าใจขึ้น เห็นไหม เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปโรงพยาบาล เจ็บไข้ได้ป่วยทางจิตก็ไปหาจิตแพทย์

แต่ความจริงในหลวงพูดเลยนะ จิตแพทย์คือพระ ในเมืองไทยมีพระเยอะแยะเลย เพราะพระเวลาศึกษาผ่านธรรมะ ธรรมะมันแก้ไข แก้ไขความบกพร่องของใจ นี่แหละจิตแพทย์ที่ดีที่สุดเลยล่ะ เพียงแต่ว่าพระที่บวชมาแล้วได้ประพฤติปฏิบัติ ได้รู้ความจริงบ้างหรือเปล่า ถ้ารู้ความจริงขึ้นมา มันเหมือนหมอ หมอสามารถดูแลคนไข้ได้ หมอสามารถวินิจฉัยโรคได้ หมอสามารถแก้ไขได้

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติแล้ว คนไม่เคยเป็นสมาธิทำให้เป็นสมาธิได้ พอเป็นสมาธิแล้วมีความสุขได้อย่างไร คนที่ทำสมาธิล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไร คนที่ทำสมาธิ พันธุกรรมของจิตของเขา ถ้าเขาปฏิบัติได้ง่ายรู้ง่าย คนคนนั้นเขามีอำนาจวาสนา บางคนปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติแล้วกระเสือกกระสน อันนี้คือถ้าบอกว่า โทษนะ เพราะเวรกรรมของเขา ทุกคนก็จะน้อยใจอีก โอ้โฮ! เวรกรรมเราน่าดูเลย เราลำบากน่าดูเลย...มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ น่ะ มันเป็นเวรกรรมของเขา ถ้าเวรกรรมของเขา

แต่ถ้าพระที่ปฏิบัติแล้ว คำว่าปฏิบัติแล้วนะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิมันรู้ได้ไง เพราะเป็นสมาธิ กว่าจะเป็นสมาธิมันจะปรับสภาพ มันมาอย่างไร ตอนที่ปรับสภาพ นั่นน่ะอาการของใจ ใจมันจะพัฒนาการของมัน ถ้าพัฒนาการของมัน จนมันไปสงบนิ่งรู้อยู่ นั่นน่ะคือสัมมาสมาธิ แล้วถ้าคนปฏิบัติ ถ้าพระที่ปฏิบัติแล้ว คนที่ยังไม่ปฏิบัติหรือคนที่เขาทุกข์ยากขึ้นมา เขาก็ทุกข์ยากอยู่ตรงนี้ แล้วเราจะสอนเขาอย่างไร

จะสอนเขา เหมือนกับคนจมน้ำ คนใกล้จมน้ำ เราก็โยนห่วงยางให้เขา เขาก็พยายามเกาะห่วงยางนั้นเพื่อเอาตัวพ้นจากการจมน้ำนั้น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเคยปฏิบัติแล้ว เราเคยว่ายน้ำเป็น เราว่ายน้ำได้ เราจะทำสมาธิได้ เราจะรู้เลยว่า ถ้าคนจมน้ำ ฉันจะไม่โดดลงไปเกาะแน่นอน ถ้าคนจมน้ำ

คนไม่เคยเห็นคนจมน้ำ มันโดดลงไปเลย มันจะไปช่วยเขา แล้วสุดท้ายมันก็กอดกันจมน้ำตายอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้าคนที่ว่ายน้ำเป็นนะ เห็นคนกระเสือกกระสนนะ เขาจะรีบหาสิ่งใดโยนเลย แล้วพยายามประคองเขา ดึงเขาเข้ามาสู่ฝั่งโดยที่ว่าไม่ให้เป็นอันตราย

เว้นไว้แต่คนตกใจ คนตกใจ คนไม่ได้คิด เห็นคนจมน้ำก็โดดลงไปเลย นึกว่าฉันว่ายน้ำแข็งมาก ฉันจะพาเขาเข้าฝั่งได้ โอ้โฮ! ด้วยความกลัวของเขา เขากอดแน่นเลย แข็งขนาดไหนมันก็ว่ายน้ำเข้าฝั่งไม่ได้ พากันตายทั้งคู่

นี่พูดถึงไง เวลาเขามีการศึกษาแล้ว เขาพัฒนาแล้ว ถ้ามีการศึกษา มีการพัฒนาแล้ว เขาจะเข้าวัดเข้าวาเพื่อประโยชน์กับเขา ถ้าประโยชน์กับเขา ฉะนั้น เวลาประโยชน์กับเขา เราจะบอกว่า เวลาในสมัยปัจจุบันนี้ทางวิทยาศาสตร์มันเจริญมาก ทางโลกนี้เจริญมาก เจริญเอาคนตกงานหมดน่ะ เพราะเขาใช้หุ่นยนต์ไง ตอนนี้เขาใช้หุ่นยนต์ คนจะไม่มีงานทำ เจริญจนคนไม่มีงานทำเลยแหละ เพราะโลกมันเจริญมาก เลยมีความทุกข์มาก โลกเจริญมาก มีความทุกข์มาก

จนเดี๋ยวนี้ทางยุโรปเขาเข้าใจได้เลยว่า สิ่งที่จะหาความสุขได้ หาความสุขได้จากการภาวนา หาความสุขได้จากความสงบของใจ สิ่งที่เป็นความเจริญของโลกเป็นคุณภาพชีวิตเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น ความสุขจริงๆ หาไม่ได้ ความสุขจริงๆ หาได้ในหัวใจนี้เท่านั้น เดี๋ยวนี้มีคนคิดได้ พอคิดได้ ทุกคนก็ย้อนกลับมา

นี่ฝรั่งมาบวชกันเยอะแยะเลย ฝรั่งมาบวชพระเยอะแยะ ฝรั่งเขาก็แสวงหา ไอ้เรากบเฝ้ากอบัว เป็นเจ้าของศาสนา กูต้องสนใจศาสนาบ้าง อายเขาไง อายเขา ฝรั่งมันยังมาศึกษาเลย แล้วเจ้าของศาสนาได้แต่มองตาปริบๆ ให้คนอื่นเข้ามาหาแต่คุณงามความดี เดี๋ยวนี้เลยเข้าวัดใหญ่เลย เพราะเห็นฝรั่งมาบวชไง ฝรั่งก็มาบวชพระเนาะ เราเป็นเจ้าของศาสนาเองเรายังมองข้ามเลย เลยเข้าวัดเข้าวา

ทีนี้เข้าวัดเข้าวาขึ้นมา ทีนี้พอเข้าวัดเข้าวามาแล้วมีการศึกษา พอมีการศึกษาแล้วมีการปฏิบัติ ถ้ามีการปฏิบัตินะ คนที่มีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนา ดูสิ หลวงตาท่านมีอำนาจวาสนาของท่านมาก ท่านมีการศึกษามาจนเป็นมหา เวลาท่านจะประพฤติปฏิบัติ ท่านไปหาผู้รู้จริง ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็พาสั่งพาสอน พาดูแลขึ้นมาจนท่านพ้นจากทุกข์ไปได้

แต่ในปัจจุบันเราจะมาปฏิบัติกัน เรามีการศึกษาไง พอมีการศึกษา เราก็ใช้ปัญญา ปัญญาที่กิเลสมันพาใช้มันก็แยกแยะหาทางออกของมันไง พอหาทางออกมันก็บอก นี่ไง ฉลาดทำไง ฉลาดทำก็จะมีทางนู้น จะมีทางนี้ จะลัดจะสั้น จะหาทางกันไป พระพุทธเจ้ารู้ ไอน์สไตน์เห็น ก็ว่ากันไปใหญ่เลย มันบ้าบอคอแตก มันไม่มีใครเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรอก

แล้วคนที่ปฏิบัติจริงได้ ดูมหายานนะ เวลาเขาถามลูกศิษย์เขา ถามเรื่องธรรมะ เขาจะลุกขึ้นยืน แล้วเม้มปาก แล้วนั่งลง อาจารย์เขาบอกนั่นล่ะของจริง ถูกต้อง ไอ้ขึ้นมาแล้วพล่ามๆๆ นั่นน่ะสมมุติทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน พอจะปฏิบัติ เพราะปัญญาเราเยอะไง พอปัญญาเยอะ ฉลาดไง พอฉลาดปั๊บ มันจะหาทางไปไง พอจะหาทางไป ไปติดกับหมดน่ะ พอไปติดกับนะ พอไปติดกับแล้ว ฉะนั้น พอไปติดกับแล้ว เวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงสอนพระ ท่านเห็นโทษของมัน เห็นโทษของกิเลสไง ท่านบอกจิตนี้มันเป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นได้ทุกอย่าง

ดูสิ เวลาคนนะ คนที่เป็นอาการทางจิตมันจินตนาการไป ดูคนเสพยาเสพติดสิ พอเสพยาเสพติด มันหลอน มันว่าคนจะมาฆ่ามัน มันนั่งอยู่นี่มันเห็นกองทัพทั้งกองทัพเลยจะฆ่ามัน มันเห็นไปหมด นี่จิตมหัศจรรย์นัก จิตมันร้ายกาจนัก แล้วมันเสริมด้วยกิเลสเข้าไป พอเสริมด้วยกิเลสก็เสริมด้วยปัญญาที่ศึกษาเข้าไป พอเสริมด้วยปัญญาที่ศึกษาเข้าไปมันก็ปฏิบัติของมัน โอ๋ย! แนวทางปฏิบัติเยอะมากเลย

แต่มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งสายหลวงปู่มั่น ท่านซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความจริง เวลาท่านเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อานาปานสติ วิธีการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ

ถ้าวิธีการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา มันก็มีสัมมาสมาธิ มีความสุข มีความตั้งมั่น พอมีความตั้งมั่น ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงขึ้นมาท่านพยายามจะยกขึ้น ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ให้เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาการรู้แจ้งกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตัว ไม่ใช่ปัญญาจะไปรู้ส่งออกวิชาชีพที่เราเป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้

ฉะนั้น เวลาการปฏิบัติ ที่ว่าฉลาดทำๆ นั่นล่ะมันโง่กว่ากิเลส กิเลสมันฉลาดกว่า มันเลยทำฉลาดทำไง ฉะนั้น เวลาฉลาดทำ นี่เราพูดถึงแนวทางปฏิบัตินะ เราเชื่อได้อย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ เวลาจะประพฤติปฏิบัติ อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น ให้กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่ว่าเออ! ท่านพูดเหมือนกับเราเลยเนาะ อืม! เราทำสมาธิได้อย่างที่ท่านพูดนี่มันไปเชื่อเขาไง

เขาไม่ให้เชื่อ เวลาปฏิบัติไม่ให้เชื่อ ให้ปฏิบัติตามความจริง อย่าเชื่อว่าอาจารย์เรา อย่าเชื่อว่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแล้วทำอย่างไร ไม่ให้เชื่อแล้วไม่ให้เข้าวัดหรือ

เวลาเข้าวัดนี่เขาเรียกศรัทธา สัทธาจริตนะ พวกที่สัทธาจริตจะเชื่อได้ง่าย ถ้าสัทธาจริตนะ พุทโธๆ ได้ง่าย แต่ถ้าเป็นพุทธจริตคือผู้ที่มีปัญญา พอพุทโธมันกำปั้นทุบดิน กินไม่เข้า คายไม่ออกก็พุทโธ อะไรๆ ก็พุทโธ พุทโธอย่างเดียว น่าเบื่อ ปัญญามันเยอะ อย่างนี้เขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาแยกแยะ ตรึกในธรรมแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนพระโมคคัลลานะ

เวลาพระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน ฟังเทศน์จากพระสารีบุตร พระสารีบุตรฟังเทศน์มาจากพระอัสสชิ ได้เป็นพระโสดาบันแล้วนะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ พอบวชเสร็จแล้วพระโมคคัลลานะรีบภาวนา นั่งสัปหงกโงกง่วง นั่งโงกง่วงเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ไงให้เอาน้ำลูบหน้า ให้ตรึกในธรรม

ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมคือตรึกในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าให้มันสงบลง อย่าให้มันหายไป อย่าให้มันเข้าข้างตัวเอง ให้ตรึกในธรรมไว้ การตรึกในธรรมไว้ มันบริหารจัดการ คือตัวมันมีการกระทำอยู่ มันจะไม่วูบหายไป

นี่ไง ทีนี้เวลาพุทธจริตก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ก็ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมก็ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในชีวิตของเรา ตรึกในความเห็นของเรา ตรึกในความทุกข์ยากในใจของเรา นี่ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิ ครูบาอาจารย์ของเรา กลุ่มชนหนึ่ง กลุ่มชนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านเป็นผู้นำมา ให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจเราสงบเข้ามามันก็จะเป็นข้อเท็จจริง

แล้วข้อเท็จจริง เรามีการศึกษาทางโลก แต่เวลาหลวงตาท่านไปศึกษา ท่านจบมหา แล้วท่านไปหาผู้ที่ชี้นำที่ถูกต้อง ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า ให้เอาปัญญา เอาความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดกับความเห็นที่เราศึกษามาใส่ลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา เพราะออกมามันจะเตะมันจะถีบ คือมันจะสร้างภาพ มันสร้างภาพแล้วสร้างจินตนาการไป แล้วปฏิบัติไปล้มลุกคลุกคลาน ทุกข์น่าดูเลยนะ แต่ไอ้คนปฏิบัติก็แหม! เก่งมาก แหม! ขยันหมั่นเพียร แต่ไอ้คนที่เขาทำมาแล้วเขารู้ เขาช่วยปกป้องไว้ เห็นไหม นั่นให้วางไว้

ฉะนั้น เวลาทำจริงๆ แล้วมันถึงจะกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ แล้วมันจะสงบเข้ามาเป็นข้อเท็จจริง

นี่เขาถามมา เขาถามเรื่องการพิจารณาจิตของเขา แล้วหลวงพ่อไปไหน หลงทางไปไหน ไม่พูดเรื่องภาวนาเขาเลย

เราเห็นโลกมันเลอะเลือน โลกมันให้กิเลสครอบงำ แล้วมันก็จะถือเอาตัวตนเป็นใหญ่ ที่เราพูดนี่เพราะเราไม่ต้องการพูดเสียดสีใคร ไม่ต้องการพูดไปถึงกลุ่มชนใด ไม่ต้องการพูดวิธีการที่เขาปฏิบัติกันถูกหรือผิด เราไม่ต้องการพูดถึงบุคคล เราถึงพูดถึงกลุ่มของหลวงปู่มั่นที่ทำทางถูกต้องนี้เท่านั้น

แล้วคำถามเขาบอกว่า เวลาเขาปฏิบัติพุทโธๆ ก็ปฏิบัติไม่ได้ พุทโธไปแล้วมันก็ไม่สงบ แต่พอมากลั้นลมหายใจ มากลั้นลมหายใจ แล้วผมก็พุทโธบ้าง มันก็เข้าไปสู่สภาวะนิ่งรู้เลย

การกลั้นลมหายใจเหมือนรถ รถ ดูสิ เหมือนน้ำ เวลาน้ำมา เราจะรู้ว่ามีน้ำหรือไม่มีน้ำ เราต้องกั้นฝายกั้นน้ำไว้ มันจะมีน้ำใช่ไหม ถ้ากั้นฝายกั้นน้ำไว้แล้ว น้ำก็ไหลมาไม่ได้ เราไปกลั้นลมหายใจ เราไปกั้นอารมณ์ความรู้สึกเรากลั้นไว้ไม่ให้มันไป มันไปได้ไหม มันก็ไปไม่ได้ แล้วมันไปไม่ได้แล้วมันเป็นสภาวะนิ่งรู้นี่มันก็แปลก

การกลั้นลมหายใจ มีครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านสอน ท่านสอนว่าใครอยากจะรู้จิตของตัวเองให้กลั้นลมหายใจ พอกลั้นลมหายใจ มันคิดอะไรไม่ได้ มันอื้อ นั่นล่ะคือว่าตัวจิตแท้

การกลั้นลมหายใจ เราอยากพิสูจน์ว่าจิตเป็นอย่างไรไง คือเราอยากจะรู้สภาวะจิตของเรา เราไม่เคยเห็นสภาวะจิตของเราเลย เราภาวนาแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน เราทำสิ่งใดแล้วก็ไม่เป็นผลสักอย่างหนึ่งเลย เราอยากจะรู้จิตของเรา กลั้นลมหายใจซะ กลั้นลมหายใจแล้วตั้งสติไว้ พอกลั้นลมหายใจปั๊บ มันจะอั้นตู้ไปหมดเลย มันจะแน่นไปหมดเลย นั่นแหละคือตัวจิต แล้วมันจะกลั้นลมหายใจไว้ได้นานไหม ไม่ได้ เดี๋ยวมันขาดลมหายใจตาย เพียงแต่ว่าเรากลั้นลมหายใจได้นานหรือไม่นานเท่านั้นเอง

แต่พอเขากลั้นลมหายใจแล้วแบบว่ามันอยู่ในสภาวะนิ่งรู้

ถ้าพูดถึงเขาสภาวะนิ่งรู้ที่เขาปฏิบัติแล้ว ถ้าบอกว่ามีสภาวะนิ่งรู้แล้ว เขาก็มาใช้แยกแยะอารมณ์อะไร

อันนี้มันเป็นความเห็น มันเป็นความเห็นคือว่าสัญญาอารมณ์มันสร้างภาพ พอมันสร้างภาพแล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ มันสร้างภาพเหมือนที่ผู้ถามถามมานี่พอผมกำหนดพุทโธด้วย แล้วผมกำหนดกลั้นลมหายใจด้วย แล้วจิตผมมันก็ปล่อยวาง มีสภาวะนิ่งรู้อยู่ แล้วผมก็ใช้พิจารณา จิตใจของผมมันพัฒนา

ถ้ามันเป็นอย่างนี้ มันเป็นความเริ่มต้น จิตที่มันเป็นเบสิกเป็นพื้นฐาน ไอ้นี่มันก็เป็นความเห็นของตัวอย่างหนึ่ง มันก็เหมือนเรา เรามองอารมณ์สิ่งใดก็แล้วแต่ เราก็คิดว่าเราทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่พอเราเริ่มไปทำ ทำต่อไปมันจะพัฒนาขึ้นไปไม่ได้

เราจะบอกว่าพื้นฐานของจิตที่เป็นสมาธิมันไม่มั่นคง แล้วมันไม่มั่นคง มันไม่มีพื้นฐาน ไม่มีกำลัง ทำอะไรไปมันจะไปก้าวหน้าไม่ได้

แต่ตอนนี้ได้ ได้เพราะอะไร ได้เพราะว่าโดยปกติชีวิตของเรามันอยู่กับสังคม มันมีแต่ความบีบคั้น มันเบื่อหน่าย พอเรามาปฏิบัติปั๊บ มันปล่อยวางจากภาวะสังคม ภาวะความคิดทางสังคม แต่เรามาคิดเรื่องของตัวเราเอง มันก็อยู่ได้ พออยู่ได้มันก็ อืม! มหัศจรรย์ มันก็ดี มันเป็นเริ่มต้น เป็นพื้นฐานไง แต่ต่อไปข้างหน้ามันจะไปได้ไหมล่ะ มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้เพราะอะไร

มันไปไม่ได้เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเป็นธรรมะแท้มันจะไม่ขัดมันจะไม่แย้งกัน มันจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดสุตมยปัญญา คือปัญญาการศึกษา ศึกษาแล้วประพฤติปฏิบัติมันจะเกิดจินตมยปัญญา พอมีสัมมาสมาธิที่เข้มแข็งขึ้นมันจะเกิดภาวนามยปัญญา

ปัญญามันมีหลายระดับไง สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญามันจะพัฒนาของมันขึ้นไป เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการขัดการแย้งกัน มันจะพัฒนาการเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปโดยถูกต้องดีงามทั้งหมด

แต่ทีนี้ในมุมมองในผู้ถามบอกว่าผมกลั้นลมหายใจไว้ กลั้นไว้บ่อยๆ ทำหลายๆ วัน แต่กลั้นแล้วผมก็ยังพุทโธด้วย มีผู้รู้ด้วย

เพราะคำว่าผู้รู้กับพุทโธเราเน้นย้ำตลอด ห้ามทิ้งผู้รู้ ห้ามทิ้งพุทโธ คือห้ามทิ้งสติ ห้ามทิ้งผู้รู้ของเรา มันจะเจอสิ่งใดก็แล้วแต่ เราอยู่กับตัวตนของเรา มันจะไม่เสียหายไง

คนที่จะเสียหายคือทิ้งผู้รู้ ทิ้งผู้รู้คือเวลาไปเจออารมณ์ก็ไปเกาะอารมณ์ซะ ไปเจอสิ่งใดที่เกิดขึ้น นิมิตมันก็ทิ้งตัวเองไปอยู่ที่นั่นซะ พอมันทิ้ง มันจะห่างตัวตนไปเรื่อยๆ แล้วจะขาดสติ แล้วจะมีความเสียหายในการปฏิบัติ

แต่ถ้าเราไม่ทิ้งผู้รู้ เราไม่ทิ้งพุทโธ มันจะมีสิ่งใด เราก็อยู่กับผู้รู้ของเรา อยู่กับพุทโธของเรา มันจะเจอสิ่งใด ตัวตนเราก็ยังมั่นคงอยู่ จะเห็นอะไร ตัวเราก็ยังอยู่ จะประสบอะไร เราก็ยังอยู่ เห็นไหม มันไม่เสียหาย

ฉะนั้นว่า ห้ามทิ้งผู้รู้ ห้ามทิ้งพุทโธ เราพยายามจำขี้ปากหลวงตามา หลวงตาบอกว่าหลวงปู่มั่นสั่งไว้ ห้ามทิ้งผู้รู้ ห้ามทิ้งพุทโธ เราก็จำขี้ปากมานี่แหละ แล้วก็ย้ำๆๆ เพื่อให้คนที่ปฏิบัติไม่เสียหาย ไม่เสียหาย ถ้าเราไม่ได้อะไรข้างหน้า เราก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าเราได้ข้างหน้า ผู้รู้จะชัดขึ้น มันจะเด่นชัดขึ้น

เราจะบอกว่า การกลั้นลมหายใจนั้นมันทำได้ชั่วคราว แต่ถ้าจะเอาจริง มันต้องพุทโธ จิตมันจะละเอียดเข้ามา มันจะวางเข้ามา

อย่างที่ว่า เวลาพุทโธแล้วเขาบอกว่าเขามีอุปสรรคว่า ถ้ากำหนดพุทโธแล้วมันปวดหัวๆ แต่ถ้ามากลั้นลมหายใจ แล้วก็ผู้รู้ด้วย มันนิ่ง หยุดนิ่งอยู่

อันนี้อยู่ที่การแก้ไข เพราะว่าอุบายการปฏิบัติมันร้อยแปดพันเก้า มันได้ทุกอย่าง แต่ต้องมีสติ แล้วเราพัฒนาของเราให้มันถูกต้องของเราขึ้นมา

แล้วพอจิตเขาดีแล้ว เขาบอกว่าเขาได้แยกแยะ แม้แต่เวลาผลกระทบในที่ทำงาน มีคนที่เขามาจาบจ้วงด้วยความหยาบคาย กระผมยังมีสภาวะนิ่งรู้อยู่ได้

อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ อานิสงส์ในการปฏิบัติไง เห็นไหม ใครทานอาหารแล้วก็อิ่มหนำสำราญ ใครมีความเร่าร้อนก็อาบน้ำแล้วก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข จิตใจที่เร่าร้อนได้ประพฤติปฏิบัติแล้วมันก็มีอานิสงส์ มีกำลัง พอเจอผลกระทบขึ้นมามันก็แบบว่าก็วางได้ เขาจะจาบจ้วงอย่างไร อืม! มีสติพร้อม วางได้

แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติมา ไม่มีอานิสงส์ ใครอย่าว่าเลย มองหน้ามันยังไม่ยอม มองหน้ายังต้องมีเรื่อง แต่นี่ขนาดเขามาว่า เออ! มันมีอานิสงส์ อานิสงส์ของการปฏิบัติ

ไอ้เรื่องอานิสงส์ เรื่องจิตที่เป็น เราไม่ได้ปฏิเสธนะ คนปฏิบัติแล้วมันก็ต้องมีผลกระทบ มีอานิสงส์ มีความร่มเย็นเป็นสุข อย่างที่ถามมานี่เราเห็นด้วย ผู้ที่ปฏิบัติใหม่แค่นี้ก็ถือว่าเป็นผลงานของตัวเองดีแล้วแหละ แต่ที่เราพูดมาพรรณนามาตั้งแต่ต้น เราพรรณนามาในวงการปฏิบัติ

ในวงการปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อสิ้นสุดแห่งทุกข์ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อบูชาใคร ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อยอมจำนนกับคำสอนของใคร ไม่ใช่ให้ใครตั้งสำนักขึ้นมาประพฤติปฏิบัติ แล้วตั้งกติกาในการปฏิบัติ แล้วเราต้องไปยอมจำนนกับสำนักปฏิบัติใดก็แล้วแต่ เราไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อยอมจำนนกับใคร เราปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์

ถ้าปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ เรากำหนดกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ในการกำหนดพุทโธให้จิตมันมีสัมมาสมาธิ แล้วยกขึ้นวิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะพ้นจากทุกข์ แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำอยู่ด้วย มันพ้นจากทุกข์ได้ นี่พูดถึงปฏิบัติตามแนวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนา

แต่ถ้ามันมีวิธีการสั่งสอนที่เขาสอน สำนักใด วิธีการเขาสอนสิ่งใดนั้น ไอ้นั่นเป็นความเห็นของเขา ความเห็นของเขา กาลามสูตร ไม่เชื่อ กาลามสูตร ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อ ไม่เชื่อๆๆ แล้วเราปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา นี่จะเข้าคำถาม

. สภาวะนิ่งรู้ที่ผมเข้าใจว่าเป็นตัวผม คือจิตใช่ไหมครับ

จิตคือตัวผู้รู้ ทีนี้จิตมันโดนครอบไปด้วยขันธ์ สัญญาอารมณ์ไง ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณคนเกิดมามีธาตุ และขันธ์ ธาตุ คือร่างกาย นี่ธาตุ ขันธ์ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งนี้มันมีอยู่ ธาตุ และขันธ์ แม้แต่เวลาปฏิบัติสิ้นสุดแห่งทุกข์เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็มีสอุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ เป็นเศษทิ้ง เพราะธรรมธาตุ คือหัวใจที่บรรลุธรรมแล้วมันทิ้งหมดเลย มันไม่มีสังโยชน์ร้อยรัด มันเป็นอิสระต่อกัน มันไม่มีสิ่งใดเกี่ยวพันกัน เป็นอิสระต่อกัน แต่อยู่ด้วยกัน

ฉะนั้น เวลาขันธ์ ขันธ์ ก็ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ ก็ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ก็ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ ก็ไม่ใช่จิต จิตก็ไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่ เป็นอิสรภาพกันทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นความผูกพันกันเลย

พระอรหันต์ก็ยังมีธาตุ และขันธ์ แต่เป็นภาระ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่เป็นภาระที่ต้องดูแลกันจนกว่าจะสิ้นอายุขัย

แต่ถ้าเป็นปุถุชนเขาเรียกขันธมาร มันไม่ใช่เป็นภาระ มันกดขี่ มันขันธมาร มารมันขี่หัวอยู่น่ะ เวทนาก็ไม่ชอบ ทุกข์ก็ไม่ชอบ อะไรไม่ดีไม่งามไปเสียหมดเลย ไม่มีอะไรถูกใจแม้แต่อย่างเดียว อย่างเดียวก็ไม่ถูกใจ มันเป็นมารๆๆ มารทั้งนั้นเลย แต่มันก็มีด้วยกัน เห็นไหม ปุถุชนก็มีธาตุ และขันธ์ แต่มันเป็นขันธมาร มันเป็นของมาร มารมันข่มขี่ มารมันขี่หัวอยู่

แต่พระอรหันต์นะ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้งหลายเป็นภาระดูแล ไม่เกี่ยวไม่ข้องกัน อยู่กันโดยอิสรภาพ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างอาศัย อาศัยกันไปจนกว่าจะหมดอายุขัย พอหมดอายุขัยก็บ๊ายบาย ต่างคนต่างไป

ไอ้ของเรามันไม่บ๊ายบายหรอก อู้ฮู! ตายไปแล้ว ใครจะทำประวัติให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ประวัติทำความดีมาขนาดนี้ หนังสืองานศพกูจะดีขนาดไหน สมบัติได้แบ่งกันหรือยัง อู๋ย! มันคิดไปนู่น นี่เวลามันเป็น

ฉะนั้นบอกว่า ไอ้สิ่งที่ว่าภาระที่มันมีอยู่นี่มันมีอยู่แล้วไง แต่มันเป็นกิเลสหรือเป็นธรรมล่ะ ถ้าเป็นกิเลสก็เป็นของเรา ขันธมาร บีบบี้สีไฟอยู่อย่างนั้นน่ะ จิตของเราไง เขาบอกว่าสภาวะนิ่งรู้นี้คือจิตของผมหรือเปล่านี่มันก็บีบบี้สีไฟอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันทิ้ง มันทิ้งหมด ทิ้งๆ แบบมีๆ นี่แหละ ทิ้งๆ แบบที่เห็นๆ นี่แหละ ทิ้งๆ แบบอยู่ด้วยกันนี่แหละ ทิ้งหมดเลย อยู่ด้วยกันก็ทิ้ง ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกัน แต่อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน หายใจอยู่นี่ อยู่ด้วยกัน แต่ไม่เกี่ยวกันเลย นั่นน่ะของจริงเป็นแบบนั้น

แต่กว่าจะทิ้งได้ คนจะทิ้งได้มันต้องมีสติปัญญาพอสมควรมันถึงจะทิ้งสิ่งนี้ได้ นี่ไง วิปัสสนาญาณ ปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในจิตของตัวเอง รู้แจ้งในสังโยชน์ รู้แจ้งในการชำระการคายออก แต่มันจะรู้แจ้งขึ้นมา เราถึงบอกว่า ถ้ากลั้นอยู่ มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ากลั้นลมหายใจอยู่ มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะการกลั้นลมหายใจมันไม่อยู่ปกติ ดำรงชีวิตปกติไง แล้วมันจะก้าวหน้าไปได้อย่างไรล่ะ

แต่การกลั้นลมหายใจ เราไม่อยากเอ่ยชื่อพระที่แนะนำให้ทำ เราไม่อยากเอ่ยชื่อ นั่นใครจะแนะนำสิ่งใด มันเป็นประสบการณ์ของเขา เป็นประสบการณ์ของครูบาอาจารย์บางองค์ท่านมีจุดบอด คือว่าท่านมีจุดบอด ท่านนั่งหลับ ท่านก็พยายามเคลื่อนไหวซะ ถ้าคนที่ฟุ้งซ่านมาก ท่านก็มีคำบริกรรมของท่าน มันมีแต่ละองค์ ประสบการณ์ของแต่ละองค์ เพราะจิตมันไม่เหมือนกัน เราใช้คำว่าพันธุกรรมของจิตเหมือนกับลายนิ้วมือ เวลาไปโรงจำนำ กดโป้ ใช้ได้เลย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิต พันธุกรรมของมัน มันเหมือนกันมันไม่มีในโลก ฉะนั้น พระอรหันต์เหมือนกันไม่มี เพียงแต่ว่าเราจะต้องถือหลัก เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ถือหลักธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรฐาน มาตรฐานคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาตรฐานของพระพุทธศาสนา มาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเอามาตรฐานนี้ แล้วใครทำเสร็จแล้ว พอจบแล้วมันได้มาตรฐานนี้ก็ เออ! อันเดียวกัน แต่ถ้าไม่ได้มาตรฐานนี้ มันก็ฤๅษีชีไพรไง มันก็เจ้าสำนัก เจ้าสำนักเข้าทรง ทรงเจ้า

ตอนนี้ อู้ฮู! กำลังฮือฮากันมาก ตอนนี้ยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามา ชอบไอ้พวกเครื่องรางของขลัง กำลังขายดีมากเลย พระยังสู้ไม่ได้ พระยังหาตังค์ไม่ได้เท่ากับขายเครื่องรางของขลัง โอ๋ย! พระนี่หน้าแตก อายเขา ทั้งๆ ที่เจ้าของศาสนาหาผลประโยชน์ไม่ได้อย่างไอ้คนที่เข้ามาพึ่งพาอาศัย

นี่ตอบปัญหา ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็บอกอยู่ว่าจะไม่อยากเสียดสีใครไง เราไม่อยากจะระบุบุคคล เพราะว่าพูดไปแล้วเหมือนกับว่า ใครๆ ก็บอกว่าพระสงบอิจฉาคนทั้งโลกเลย อิจฉาเขาไปหมดเลย

ไม่ได้อิจฉาใครเลย พูดตามความเป็นจริง

ฉะนั้น เพราะว่า สิ่งที่บอกว่ากลั้นลมหายใจ แล้วทำมาอย่างนั้นน่ะ เราบอกว่า มันจะทำโดยปกติไม่ได้ไง การภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นปกติ แล้วมันจะพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป การที่จะปฏิบัติมันต้องเป็นสัจจะ เป็นสัจจะอริยสัจจะ แล้วมันจะพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

เราทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันทำต่อเนื่องไปไม่ได้ เราจะพัฒนาไปได้ไหม คนเราจะปฏิบัติมันต้องปฏิบัติโดยข้อเท็จจริง แล้วมันจะต่อเนื่องไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ขัดไม่แย้งกัน มันจะพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ฉะนั้น เรากำหนดพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ใช้ได้ อานาปานสติก็ได้ ระลึกถึงความตายก็ได้

แต่ถ้ากลั้นลมหายใจ กลั้นลมหายใจมันมีแต่เวลาจะเข้าอัปปนาสมาธิ เวลาลมหายใจมันจะขาด แต่ขาด มี ขาดที่หายใจอยู่ แต่มันไม่รับรู้ สักแต่ว่า เงียบ ดีกว่านี้เยอะเลย แต่อันนั้นคนที่เขาปฏิบัติได้จริง เขาคุยกันเขาเข้าใจไง

แต่ผู้ถามหลวงพ่อ ปีนบันไดไม่ไหวนะ เดี๋ยวตกก้อนเมฆ หลวงพ่อพูดอะไร ปีนบันไดฟังไม่ทันไง

ถ้าคนทันกันเขาพูดคำเดียวเขารู้กันหมด แต่ถ้าวุฒิภาวะมันต่างกัน คนหนึ่งพูดนะ อีกคนหนึ่งนะ อีก ๑๐ ปียังไม่เข้าใจเลย พอภาวนาไปถึงนะ อีก ๑๐ ปีข้างหน้า อ๋อ! อย่างนี้เอง ๑๐ ปี กว่ามันจะทำได้

ฉะนั้น เขาบอกว่าสภาวะนิ่งรู้นี้ ผมเข้าใจว่าเป็นตัวจิตของผมจริงใช่หรือไม่

ถ้าพูดถึงว่าถ้าเป็นตัวจิตก็ใช่ ตัวจิตแล้วเป็นสมาธิหรือเปล่า ถ้าเป็นสมาธิแล้วก้าวเดินหรือเปล่า

อันนี้พูดภาษาเรานะ เพราะคำถามมันเหมือนกับเขียนมาให้ถามว่าผมเป็นคนถามใช่หรือไม่”...ก็ต้องใช่ ก็เอ็งถามมา

นี่ก็เหมือนกันจิตผมเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่”...ก็ใช่ ก็จิตเอ็ง ก็เขียนลอกมาให้ตอบอย่างนี้ เขียนลอกมาเลยนะ ห้ามตอบเป็นอย่างอื่นนะ ต้องตอบมาเลยอย่างนี้ใช่หรือไม่ใช่

. วิธีการปฏิบัติ ผมใช้ตัวรู้นี้ออกพิจารณาอารมณ์ความรู้สึก เป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ครับ และควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อความก้าวหน้าต่อไป

ถ้าอารมณ์มันพิจารณาได้อย่างนี้ มันพิจารณาได้เพราะมีสติ พิจารณาได้เพราะมันทำ เดี๋ยวพอกิเลสมันแก่ขึ้นมากขึ้น มันก็จะพิจารณาไม่ได้ แม้แต่คนมีสมาธินะ เวลาสมาธิมันอ่อน มันยังพิจารณาไปไม่ได้เลย ต้องกลับมาตั้งสมาธิให้เข้มแข็งแล้วค่อยไปทำ พอปฏิบัติไปแล้วมันจะรู้

เหมือนมี เท้า คนเราถ้าจะเดินได้ต้องมี เท้า ถ้าใครมีเท้าเดียว ต้องมีไม้เท้าหรืออะไรถึงจะเดินไปได้ ไม่อย่างนั้นต้องกระโดดไป คนต้องมี เท้า ถึงจะก้าวซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวาไป นี่ก็เหมือนกัน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มันต้องไปคู่กัน

เพราะกำลังก็คือเท้าหนึ่ง ปัญญาก็คือเท้าหนึ่ง ปัญญามี แต่ไม่มีกำลัง กำลังมันไม่พอ ปัญญามันจะไปพิจารณาอะไร มันพิจารณาไปไม่ได้หรอก ปัญญามันจะพิจารณาไปได้มันต้องมีกำลังช่วยหนุน

ไอ้กำลังอย่างเดียวก็ไปไม่ได้ ไอ้เรานี่พันธุ์กล้ามเนื้อ ใหญ่มาก แข็งแรงมาก แต่โง่เป็นควาย ทำอะไรก็ไม่เป็น พันธุ์กล้ามเนื้อนี่นะ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เลย แต่ไม่มีปัญญา ทำอะไรได้ เอาไว้เชือด เชือดเอาเนื้อนี่กินอร่อย พันธุ์กล้ามเนื้อไง สมองไม่มี มีแต่กำลัง

กำลังอย่างเดียว ใช้ไปแล้วมันก็ไม่สมดุล ถ้าปัญญาอย่างเดียวก็ไม่ได้ กำลังอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยกัน เท้า สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มีกำลังด้วยแข็งแรงพอสมควร แล้วก็มีสมองด้วย ไม่ใช่มีแต่กำลัง แล้วไม่มีสมอง แล้วจะทำอะไร

มีแต่สมอง อู๋ย! สมองไบรต์มากเลย แต่นอนแหมะอยู่นี่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลุกก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่ได้ มีแต่มันสมอง เดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์ทำงานที่บ้านได้ ไอ้ทำงานที่บ้านมันก็อย่างว่า มันก็ทำไม่ได้หรอก นี่พูดถึงว่าเวลาปฏิบัติเป็นแบบนี้ไง

ฉะนั้น วิธีปฏิบัติของเขาถูกหรือไม่

ถ้าพิจารณาอารมณ์อย่างนั้น พิจารณาได้หมดน่ะ พิจารณาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด พิจารณาอย่างหยาบๆ ก็พิจารณาได้ ถ้าพิจารณาอย่างกลางมันสะเทือนกิเลสไง อย่างกลางคือมันเห็น มันเห็นสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม นั้นเป็นเครื่องการแสดงออกของกิเลส

กิเลสเป็นนามธรรม มันอาศัยผ่านกาย ผ่านเวทนา ผ่านจิต ผ่านธรรมนี่แหละออกไปหาผลประโยชน์ของมัน ถ้าจิตสงบแล้วจับมันได้นะ พอจับมันได้ จิตเห็นอาการของจิต จิตมันเห็นอาการของมัน จิตเห็นปฏิกิริยาของมัน จิตเห็นการกระทำของมัน จิตเห็นร่องรอยที่จิตมันออกไปหาผลประโยชน์ของมัน แล้วพิจารณาตรงนั้นปั๊บ มันจะวิปัสสนา มันจะปล่อยเข้ามา พอปล่อยเข้ามามันจะละเอียดขึ้น

ทำไมต้องมีปัญญา มหาปัญญา ทำไมต้องมีสติ มหาสติ ทำไมมันมีกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด ละเอียดสุด

กิเลสมันมีหลายซับหลายซ้อน ทีนี้หลายซับหลายซ้อน โดยวิธีการการตอบปัญหา เราตอบปัญหาไว้เพื่อเวลาพัฒนาขึ้นไปแล้วมันจะไม่ขัดแย้งกันไง

ถ้าบอกว่า ใครทำแล้วถูกไหม ถูก พอถูก เขากลับไปเลยนะ เขาบอกว่าเขาเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะหลวงพ่อบอกว่าถูก

โอ้โฮ! คำว่าถูกของเรามันให้ค่าจนคนเป็นพระอรหันต์ได้ เออ! แปลกเว้ย กูพูดทุกวันเลย ถูกๆๆ พูดได้ทุกวันเลย สงสัยพระอรหันต์เต็มประเทศไทยเลย ถูกๆๆ

คำว่าถูกคือว่าเขามาถูกทาง เขาทำมาถูกแล้วก็ถูก แต่คนทำมาถูกทาง อย่างเรา เรานิสัยดีไหม ดี ถ้าดีแล้วไม่ทำมาหากิน เราจะเอาอะไรกินล่ะ

อ้าว! ถูกไหม ถูก ถูกแล้วเอ็งจะทำมาหากินไหม เอ็งจะพัฒนาขึ้นไปอีกไหม เอ็งจะภาวนาไปอีกไหม ถ้าไปก็พัฒนาขึ้นไปสิ คำว่าถูก

ไปถึงบอกผิดหมดเลย อะไรก็ผิดเลย แล้วจะทำอย่างไร แล้วจะเริ่มต้นกันอย่างไร

มันถูกไหม ถูก ถูกแล้วพิจารณาต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่าถูกไหม ถูก พิจารณาถูกเพราะอะไร ถูกเพราะว่าถ้าเราไม่ได้พิจารณาอย่างนี้ เราก็ไม่มีช่องทาง เราก็ไม่มีประเด็นให้ถามมานี่ ที่มีประเด็นให้ถามมาก็เพราะภาวนาอย่างนี้มาใช่ไหม เพราะว่าเราใช้อารมณ์ใช่ไหม เราจับอารมณ์ใช่ไหม เราพิจารณาแล้ว มีใครเขามาจาบจ้วงหยาบคาย เรายังทนได้ เรายังมีปีติเลย เรายังมีความสุขเลย ถูกไหม ถูก นี่อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม ธรรมโอสถเกิดจากใจของเรา เรามีอานิสงส์ในใจเรา ทำให้จิตใจเราไม่เร่าร้อน แล้วเราจะเอามรรคเอาผลล่ะ

เอามรรคเอาผล เราก็ปฏิบัติต่อเนื่องไป ปฏิบัติต่อเนื่องไป เดี๋ยวจิตเห็นอาการของจิตนะ จิตเห็นความบกพร่องของตัวเอง จิตเห็นสิ่งที่มันเข้ามาครอบงำตัวเอง แล้ววิปัสสนาให้เห็นโทษของมัน สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิตัวตนที่ทิฏฐิมานะของเรายึดมั่นถือมั่นอะไร พันธุกรรมของมันชอบอะไรรักอะไร มันก็ยึดตรงนั้นแหละ แล้วไม่มีไปชำระล้างมันได้ ยกเว้นแต่วิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณเข้าไปรู้ไปเห็นขึ้นมา มันจะไปประหัตประหาร แล้วมันจะสำรอกมันจะคาย ถ้าคายของใครก็คายตรงนั้นน่ะ พอคายไปแล้วไม่ต้องถามพระพุทธเจ้าแล้ว มันออกมาจากอริยสัจ ออกมาจากสัจจะความจริง ออกมาจากมรรค

ศาสนาใดไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ศาสนาใดไม่มีปัญญา ศาสนานั้นฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่ปัญญาต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เห็นไหม เวลามันออกมา มาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรฐานเดียวกัน มันก็เป็นสัจจะความจริงอันเดียวกัน เอวัง