เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ โยมอุตส่าห์มาไง อุตส่าห์มีศรัทธามีความเชื่อ อุตส่าห์มีศรัทธาความเชื่อนะ ความเชื่อของเราเป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์เพราะอะไร ถ้าเราไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ เราจะไม่ค้นคว้า เราจะไม่เชื่อ เราจะไม่แสวงหาสิ่งใด การแสวงหานั้นแสวงหาเพื่อใคร เรามีเป้าหมาย เรามีความเชื่อของเรา เราถึงแสวงหา ทรัพย์สมบัติ ทุกคนคิดว่าสมบัตินี้เป็นที่พึ่งที่อาศัย แต่มันก็เป็นที่พึ่งอาศัยจริงๆ เพราะเวลาเราอยู่กับโลก เราเห็นความทุกข์ความยากขึ้นมา

คนที่เห็นภัยในวัฏสงสาร คำว่า “เห็นภัยในวัฏสงสาร” เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นทุกข์นัก ก็มาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเพื่ออะไร? บวชเป็นพระเพื่อเป็นนักรบจะรบกับกิเลสของตัวเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเห็นความสำคัญของปัจจัย ๔ บาตรนี้เป็นของเธอ เวลาถาม ปัตตัง ของใครเนี่ย เพราะยืมบวชไม่ได้ ต้องเป็นสมบัติส่วนตัว พระมีสมบัติคือบริขาร ๘ เท่านั้น ปัตตัง อามะ ภันเต ของข้าพเจ้าเจ้าค่ะ นี่ผ้าของใคร ผ้าไตร ๓ ผืน ถ้าของข้าพเจ้าเจ้าค่ะ ธมกรก สิ่งนี้บริขาร ๘

บริขาร ๘ หมายความว่า สิ่งที่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัย เราเห็นว่าเราแสวงหาแก้วแหวนเงินทองขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต เพื่อความมั่นคงของชีวิตใช่ไหม ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราเป็นธรรม เราใช้เพื่อเป็นประโยชน์ๆ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาใช้เพื่อเป็นโทษนะ ถ้าใช้เพื่อเป็นโทษ คนถ้ามาวัดมาวามาฟังธรรมเพราะมีศรัทธามีความเชื่อ เพราะมีศรัทธาความเชื่อไง พอความเชื่อ ความเชื่อแล้วเขาค้นคว้า

การค้นคว้านี่มาวัดมาวา มันจะมาวัดอย่างไรล่ะ เวลาเราไม่มี เวลาไม่มี เวลามันบริหารจัดการได้ มันแบ่งได้ ถ้าคนรู้จักแบ่งเวลา ถ้าแบ่งเวลาได้อย่างนั้น แล้วถ้ามันไม่มีเวลาจริงๆ ไม่มีเวลาจริงๆ ดูสิ เวลาเข้าพรรษาหลวงตาท่านบอกว่าให้อธิษฐานว่าตักบาตรพระวันละองค์ก็ยังดี คำว่า “ยังดี” ดูสิ เวลาเราทำงานทำการแล้วสิ้นเดือนมีเงินเดือนออก เราก็ได้ใช้สอยทั้งเดือนนั้นใช่ไหม เวลาทำงานถึงสิ้นเดือนแล้ว สิ้นเดือนบริษัทมีปัญหาขึ้นมา เขาไม่จ่ายเงินเดือนขึ้นมา เราจะเอาอะไรใช้สอยล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเราๆ เราใส่บาตรพระวันละองค์ๆ ถ้าเราใส่บาตร เรายังได้เห็นสมณะ ได้เห็นสมณะ จิตใจมันจะเร่ร่อนขนาดไหนมันก็ได้มีที่พึ่งที่อาศัย ดูสิ ท่านเป็นสมณะ ท่านละทิ้งมาจากโลก ท่านเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งของท่าน เราใส่บาตรๆ เตือนสติเราไง เราก็เลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพด้วยหน้าที่การงานของเรา เราเลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพมาแล้ว เลี้ยงชีพแล้วทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ

ดูสิ เวลากรมอุตุฯ เขาเตือนไว้ พายุจะเข้านะ ถ้าพายุเข้า ให้อพยพให้หนี เวลาพายุเข้านะ เวลามันพัดบ้านเรือนพังพินาศไปหมดเลย บ้านเรือนของคนที่มันเสียหายเล็กน้อย เขาก็ซ่อมแซมของเขา บ้านเรือนไหนที่มันพังราบไปเลย เขาก็นั่งเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา

เวลาเวียนว่ายตายเกิด เราจะเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา คนที่มีสติปัญญาเขาหาเงินหาทองมา หาเงินหาทองมาเพื่อเลี้ยงชีพ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ธรรมะมีคุณค่าขนาดนั้นเชียวหรือ ทำไมถึงกับต้องเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมล่ะ เพราะมันมีสัจธรรมอันนี้ไง เพราะมีสัจธรรม จิตใจคนที่อบอุ่นเพราะมันมีเป้าหมาย เวลาเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีความตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เราระลึกถึงพุทโธ คำอุทานของเราสมัยโบราณ ถ้าตกใจก็พุทโธๆ นี่เวลาตกใจไง

แต่ของเราไม่ใช่ตกใจ เราบริกรรมไว้ให้จิตใจเรามีความอบอุ่นในหัวใจของเรา เราไม่ปล่อยจิตใจของเราให้เร่ร่อน นี่สละชีวิตเพื่อรักษาธรรมเชียวหรือ ถ้ารักษาธรรม ถ้าจิตใจที่มันมั่นคง ถึงจะมีพายุเข้ามาขนาดไหน เราก็หลบหลีกของเรา ถ้าบ้านเรือนเราชำรุดเสียหาย เราก็ซ่อมแซม ถ้าบ้านเรือนเราพังราบไปเลยนะ ถ้าเรามีปัญญา เราก็ซ่อมแซม เราก็สร้างของเราขึ้นมาใหม่ ถ้าสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะมันเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ นี่เรื่องของวัตถุนะ แล้วชีวิตเราล่ะ ชีวิตเรา เรามีภัยไหม

ถ้าเรามีภัยในหัวใจของเรา ดูสิ เวลาเรามีศรัทธามีความเชื่อ เรามาศึกษาของเรา ศึกษาเพื่ออะไร ศึกษาธรรมะๆ เพื่ออะไร เวลาทางโลก ทางโลกเวลาเขาอ้อนวอนขอเอาเพื่อประสบความสำเร็จๆ เรามีการกระทำของเรามันถึงประสบความสำเร็จ คนเรามีพรสวรรค์ แต่ไม่แสวงหาเลย พรสวรรค์นั้นมันก็ซุกอยู่ในหัวใจเรานี่แหละ คนเรามีพรสวรรค์นะ แล้วพยายามขวนขวายแสวงหา แสวงหาเพื่อฝึกฝนเพื่อความเป็นจริงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ความเป็นจริงๆ เราขยันหมั่นเพียรของเรา กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดีของเราหอมทวนลมไง ต้องหอมทวนลม ถ้าตกทุกข์ได้ยาก มีสิ่งใดมันจะมีคนเจือจานไง กลิ่นของคนขี้เกียจ คนมักง่าย คนคัดค้าน คนขี้คร้าน จะทำสิ่งใด เขาจะช่วยเหลือเขาก็ไม่กล้า จะค้ำจุนอย่างไร ดูสิ ค้ำโพธิ์ๆ ค้ำไว้เพื่อให้มันเจริญงอกงาม ไอ้นี่ค้ำไว้มันจะล้มทับเอา มันจะล้มทับเราอยู่แล้วมันจะไปค้ำอะไรล่ะ แต่ต้นโพธิ์นั้นมีความแข็งแรงพอเพียง เราค้ำๆๆ นี่เราค้ำโพธิ์

ค้ำโพธิ์ก็คือค้ำปัญญานี่แหละ ค้ำโพธิ์คือโพธิ พุทธะเพื่อค้ำปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา พอเรามีศรัทธาความเชื่อ เราค้นคว้านะ ค้นคว้าเพราะอะไร เพราะเวลาคนที่ไม่ปฏิบัติ ดูสิ เวลาเขาจะสังคายนา เขาบอกว่าภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างไรไม่รู้ สุตมยปัญญาเขาอธิบายได้ อธิบายว่าสุตมยปัญญา ปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญา คนเรามีจินตนาการอยู่แล้ว แล้วภาวนามยปัญญามันมาจากไหนล่ะ มันเป็นอย่างไรล่ะ แต่เวลาเขามีปัญหา เห็นไหม ตอนนั้นเราอยู่บ้านตาด ข่าวนี้ไปถึงบ้านตาดไง เขาบอกว่ามันอธิบายไม่ได้ สงสัยแบบว่าจดจารึกเกินมา

โอ้โฮ! หลวงตาท่านขึ้นเลย นี่แหละคือหัวใจของศาสนา หัวใจมันอยู่ที่นี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมเพราะภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากความหมั่นเพียรไง ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา ที่ธรรมมันมีค่าๆ มีค่าอย่างไร ภาวนามยปัญญา

“ภาวนามันจะมีปัญญาหรือ โอ้! ศึกษาเล่าเรียนยังไม่รู้เลย แล้วมันหลับหูหลับตา พระกรรมฐานไม่มีการศึกษา หลับหูหลับตามันจะไปรู้อะไร”

จิตใจของคน เวลาเราทุกข์เรายาก จิตใจของคนมันเบียดเบียนเราขนาดไหน แล้วถ้าเรามีสติปัญญายับยั้งหัวใจเราได้ เวลาปัญญาอบรมสมาธิก็ทึ่งแล้ว ปัญญาอย่างนี้มีด้วยหรือ เพราะปัญญาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะจิตมันสงบ จิตสงบมันเกิดปัญญารู้แจ้ง รู้แจ้งที่ว่าต้องสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เวลาพญามารมันครอบงำหัวใจของสัตว์โลก เวลาเราเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน มันต่อรองทั้งนั้นแหละ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ สะดุ้งมารๆ เวลาเอาเข้าจริงๆ เป็นบุคลาธิษฐาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พญามารมันขนกองทัพมันมาเลยล่ะ มันจะทำให้บัลลังก์การภาวนานั้นสะดุดลง

“เราได้สร้างบุญญาธิการมามหาศาล แม่ธรณีนี้เป็นพยาน เพราะเวลาทำบุญกุศลนี้กรวดน้ำไว้มหาศาล”

น้ำท่วมมารตายหมดเลย น้ำท่วมนี่บุคลาธิษฐานไง แต่จริงๆ แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันฟาดฟันกันๆ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ว่าหัวใจของศาสนามันอยู่ที่นี่ มันอยู่ที่มรรคญาณ อยู่ที่สัจธรรมที่มันเกิดขึ้นมาจากใจ ดูสิ ปฏิสนธิจิต จิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดนะ แล้วเวลาภาวนามยปัญญามันเกิดบนจิต แล้วมันชำระล้าง มันสำรอกมันคายพญามาร กองทัพมารทำลายมันหมดเลย ทำลายมันด้วยมรรคญาณ นี่ไง แล้วถ้าภาวนามยปัญญา ปัญญาเป็นอย่างไร นี่คุณค่าของธรรมๆ

ชีวิตหนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดมาแล้วเรามีชีวิตนี้มา ถ้าเราสร้างสมบุญญาธิการมา เราประกอบอาชีพสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จ จังหวะและโอกาส อำนาจวาสนาของคน ถ้าทำสิ่งใดมันขาดตกบกพร่องๆ เราก็ต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เพราะนี่คือการกระทำ การกระทำกรรมดีไง เราบอกว่าเราเกิดมากรรมมันให้ผลๆ...ใช่ กรรมมันให้ผลแน่นอน กรรมให้ผลมาจนเด็กบางคนคิดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลย เด็กบางคนคิดของเขาไปตามประสาประชดชีวิตของเขาไป

ทางวิทยาศาสตร์ การเลี้ยงบุตร เขียนเป็นตำราเลย ถ้าเลี้ยงอย่างนี้ สภาวะแวดล้อมอย่างนี้ ทำอย่างนี้แล้วลูกเราจะเป็นคนดีทั้งหมดเลย ถ้าเป็นคนดีทั้งหมด อันนี้เป็นสภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมมันมีผลบ้าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นที่ใจของเขา ใจของเขา ดูสิ ในพระไตรปิฎกมันมีลูกนก ๒ ตัว ตัวหนึ่งเขาไปเลี้ยงไว้ในหมู่โจร อีกตัวหนึ่งเขาไปเลี้ยงไว้ในวัด เขาดูความรู้สึกนึกคิดของมันไง อยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องนี้จะมีเยอะมากเลย นี่สภาวะแวดล้อมๆ ไง เราก็จะเลี้ยงลูกแบบตำรา วิทยาศาสตร์เขียนไว้หมดเลย ขีดเส้นให้เดินเลย นี่วิทยาศาสตร์เชื่อกันอย่างนั้น

แต่เวลาเรื่องบุญกุศล สิ่งนั้นมันเป็นหน้าที่ พ่อแม่ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำอย่างนั้นเพื่อลูกของเรา พ่อแม่ทุกคนต้องพยายามให้ลูกเราประสบความสำเร็จ ให้ลูกเราเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ แต่เวลาทำไปแล้ว ถ้าเราพูดโดยขาดสติแม้แต่คำเดียว เด็กมันจับมับ! มันไปคิดแล้ว มันไปคิดแล้ว นี่ไง ถ้าเด็กมันมีภูมิคุ้มกัน บุญกุศล จริตนิสัย อำนาจวาสนาของเขาดี เขาพูดอะไรมา พอเราพูดอะไรผิดไปปั๊บ เด็กมันจับได้นะ อ๋อ! ท่านเผลอ ท่านไม่ตั้งใจพูดอย่างนั้น มันคิดได้ มันคิดได้ พอมันคิดได้มันก็ไม่มีไฟเผาลนใจมันไง ถ้ามันคิดได้ๆ นี่คืออำนาจวาสนาของเขา มันต้องมีบุญกุศลต่อเนื่องกันมา

เวลากรรม เขาบอกว่าเวลากรรม เพราะเราก็ทำแต่ความเลวร้ายมา ถ้าเราทำแต่ความเลวร้ายมานะ เราจะไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก มนุษย์สมบัตินี้มีค่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกการเกิดเป็นมนุษย์นี้มีค่ามากๆ มีค่าเพราะอะไร มีค่าเพราะทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ จะทำสิ่งใดก็ได้ แล้วแต่เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีสติปัญญามากน้อย ดูสิ เราทำหน้าที่การงานกันมหาศาล แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นไม้ เวลาท่านสำเร็จขึ้นมา ท่านวางรากฐานไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ

แล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี ดูสิ เวลาเรามีความสุข เราคิดถึงใคร แม้แต่พระโสณะ พระมหินท์ เวลาคิดถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาลูกของพระเจ้าอโศก เวลาพ่อมาให้บวช บวชแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เขาระลึกถึงพ่อเขานะว่าบุญคุณนี้มันมาจากไหน บุญคุณนี้มาจากไหน เวลาสาวกสาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดแห่งทุกข์มันจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดไหน คนที่ให้วิชาการเรา ให้ทางเรา คนที่บอกเรา มันจะมีบุญคุณขนาดไหน ฉะนั้น เวลามันซาบซึ้งบุญคุณ มันซาบซึ้งบุญคุณมาก ไม่ต้องมาบอกกัน

เวลาบอกกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก...ระลึกจริงหรือเปล่าล่ะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร แล้วเราดำรงชีวิตอย่างไร ถ้าดำรงชีวิต ถ้าเราเชื่อมั่นของเรา เราดำรงชีวิตของเราให้มันถูกต้องดีงามขึ้นมา ความดีอันนั้น กรรมดีๆ มันจะให้ผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดี

“แล้วทำความดีทำไมไม่ได้ดีสักที ทำไม่ได้ดีสักที”

ทำความดีแล้วตีโพยตีพายให้คนเห็นความดีเรา ไอ้นั่นมันความดีจัดฉาก ไอ้นั่นจ้างบริษัทโฆษณาทำ เดี๋ยวเราจะจ้างบริษัทโฆษณาเขียนประวัติเรานี่ กูจะเกิดมาจากบนฟ้านู่นน่ะ มันจ้างทำหมดแหละ แล้วความดีเราทำของเรา ความดีเป็นความดีของเรา มันเป็นความดีในหัวใจของเรา ทำความดีแล้วมีความสุข ทำความดีแล้วสบายใจ สบายใจ หมายความว่า ความสุจริตมันคุ้มครอง มันคุ้มครองเรานะ ความคุ้มครองปลอดภัย

“ศีล” ผู้ที่มีศีลเขาจะเข้าสังคมไหนก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ มันองอาจกล้าหาญทั้งนั้นแหละ

“ทุศีล” เราไม่กล้าไปไหนหรอก มันผิดพลาดไปหมด มันระแวง

แต่มันก็มีทางการแพทย์ เขาเรียกว่าคน ๒ อารมณ์ เวลามันออกไปมันองอาจกล้าหาญนะ เวลาอีกอารมณ์หนึ่งล่ะ เพราะเขารู้ไง ความลับไม่มีในโลก จิตใจนี้พอมันมีสิ่งใดขึ้นมาแล้วมันสะดุ้งสะเทือนทุกทีแหละ ถ้ามีสิ่งใดไปกระเทือนมัน ฉะนั้น เราควรทำความดีที่นี่ เพราะเราต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งข้างนอกและข้างใน

เวลาหลวงตาท่านพูด ดีโลกกับดีธรรม เวลาโลกก็ดี ธรรมะก็ดี ดีทั้งนอกดีทั้งใน ถ้าข้างในมันดีแล้วข้างนอกมันดีไปหมดแหละ คำว่า “ดีไปหมด” ข้างในมันดีแล้ว มันไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ของเราเป็นอย่างนี้ เราใช้สอยเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นแหละ แต่ถ้าข้างในมันไม่ดีนะ มันน้อยใจ แล้วข้างนอกนี่ขาดแคลนไปหมด ดูสิ กรณีพระเทวทัตก็เกิดเพราะเหตุนี้

พระเทวทัตเริ่มคิดจะปกครองสงฆ์ อยากมีชื่อเสียงก็เพราะว่านางวิสาขา อยู่ในสุตตันตปิฏก นางวิสาขาท่านจะไปวัดไปวาไปฟังธรรมตลอด ฉะนั้น พอนางวิสาขาไปวัด ท่านก็มีน้ำปานะถือไปด้วย ไปถวายพระ แล้วเวลานางวิสาขามาก็ “อันนี้ถวายพระอานนท์ อันนี้ถวายพระนันทะ” ไม่เคยถวายเทวทัตเลย แล้วมันบวชมาในสถานะเดียวกัน เพราะพระเทวทัตเป็นลูกผู้น้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พ่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะกับพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นพี่เป็นน้องกัน เทวทัตเป็นลูกผู้น้อง พระนันทะก็เป็นลูกผู้น้อง เป็นลูกพี่ลูกน้องกันมาทั้งนั้นแหละ นี่สหชาติ แล้วถวายองค์นั้น ถวายองค์นี้ แต่ไม่เคยถวายเทวทัตเลย นี่ความคิดมันเกิดไง “เราจะทำอย่างไรให้เขาคิดถึงเราบ้าง เราจะทำอย่างไรให้เขาเห็นคุณค่าเราบ้าง” มีฤทธิ์มีเดชก็แสดงออกอย่างนั้นไง

เหตุมันเกิดขึ้น เหตุมันเกิดขึ้น ถ้าข้างในไม่ดี ข้างนอกมันเห็นแล้วมันขาดตกบกพร่อง ถ้าเป็นเรานะ อ้าว! น้ำปานะ น้ำปานะเดี๋ยวให้เณรประเคนให้ ทำไมจะต้องให้นางวิสาขามาให้ด้วย อ้าว! ไร่สวนเยอะแยะไปหมด น้ำปานะก็ผลไม้นั่นน่ะมากรอง เณรเก็บก็ได้ ใครเก็บก็ได้

นี่ไง ลาภสักการะ แม้แต่เขาเอามาให้ ถ้าลาภมา เขาไม่สักการะ เขาไม่นอบน้อมให้ตน ตนเองก็กระเทือนหัวใจแล้ว แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำนะ เวลาพระมา สิ่งใดมา ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ท่านสมควรจะเทศนาว่าการ ท่านจะเทศนาว่าการ แต่ถ้ามีคฤหัสถ์มา ท่านจะให้หลวงตาเป็นคนรับแขกเลย ท่านจะหลบ

“มหาเรียนมา เรียนธรรมะมาแล้วพูดกับโยมเสีย”

หลวงปู่ขาวเวลาอยู่ที่ถ้ำกลองเพล ถ้ามีรถบัสขึ้นมาปั๊บ ท่านขึ้นบนภูเขาเลย ตกเย็นแล้วรถกลับไปแล้วท่านถึงจะลงมา นี่คนที่มีคุณธรรม แล้วเขาไปถามหลวงปู่ขาวว่าทำไมหลวงปู่ขาวท่านทำอย่างนั้นล่ะ

ท่านบอกเลยนะ “เทศน์จนตาย สองแสนคนจะได้สักสองคนไหม” มันมาฟังกันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาทั้งนั้นแหละ จิตใจมันมีความจริงมากน้อยแค่ไหน นี่พูดถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง ท่านรู้ เอาน้ำรดหัวตอไม่รู้เรื่องหรอก ฟังธรรมๆ เวลาแสดงออกไปนั่นน่ะ ตอทั้งนั้นแหละ แล้วก็น้ำรดไป เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจเขาบ้าง มีสิ่งใดที่เขาเอาไปเป็นประโยชน์กับเขาบ้าง เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา ท่านต่อสู้กับกิเลสมา ท่านเห็นว่ากิเลสมันขนาดไหน

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะบรรลุธรรม พญามารมันขนกองทัพมันมาเลย นี่ก็เหมือนกัน เราจะปฏิบัติไป คนปฏิบัติ เวลาบอกว่าเวลาคิดถึงตั้งแต่เด็กๆ

ยังดีไม่คิดถึงตั้งแต่ในท้อง ไม่คิดถึงอดีตชาติ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ระลึกอดีตชาติไปเลย เป็นชั้นๆๆ เข้าไปเลย เพราะอะไร เพราะมันต้องล้างให้เกลี้ยง ต้องล้างให้สะอาด ถ้าไม่สะอาด ไม่สะอาด บรรลุธรรมไม่ได้ ไม่สะอาด สิ้นกิเลสไม่ได้ นั่นล่ะคือที่มาของกิเลส นั่นล่ะคือพันธุกรรมของมัน เพราะทำให้จริตนิสัยเกิดอย่างนั้น นั่นยังไงมันถึงทำให้เด็กเราคิดแตกต่างกัน เพราะตรงนั้นแหละทำให้เด็กมีความคิดแตกต่างกัน แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราจะชำระล้าง นี่ภาวนามยปัญญาไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาในหัวใจของศาสนา ปัญญาที่เลอเลิศนี่ไง

ถ้าคนไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยรู้เห็นมัน มีแต่ชื่อมัน รู้แต่ชื่อมัน ศึกษามาสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างไร รูปแบบเป็นอย่างไร คุณสมบัติมันเป็นอย่างไร มันมีฤทธิ์เดชอย่างไร มันฆ่ากิเลสอย่างไร

เกิดจากความใส่ใจของเรากันเอง เกิดจากความใส่ใจของเรานะ เกิดจากความใส่ใจของเรา เกิดจากการแสวงหาของเรา มันเกิดมาจากจิต เกิดจากจิตดวงใด ชำระล้างกิเลสดวงนั้น มันเกิดมาจากจิตของเรา คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีพุทธะ ยังมีจิตใจอยู่ในร่างกายนี้ ใครมีสติปัญญาค้นคว้าแสวงหาเพื่อประโยชน์กับจิตดวงนี้

โลก โลกธรรม ๘ เขาจะเสียดสี ถากถาง เยาะเย้ย มันเป็นเรื่องของกิเลสไง กิเลสมันจะเยาะเย้ย ถากถาง เสียดสี แล้วผู้ปฏิบัติธรรมก็อ่อนด้อยคล้อยตามเขาไป ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมจิตมีกำลังยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดมั่น ในสมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกปฏิบัติทีแรกไม่มีใครเห็นด้วยทั้งนั้นแหละ ท่านไม่มีใครเห็นด้วย ไม่มีใครส่งเสริม ท่านก็พยายามทำของท่านมาจนประสบความสำเร็จของท่าน เอาชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง แล้ววางข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้พวกเราได้ก้าวเดิน

ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีการเดินนำหน้าไป เราจะทำกันอย่างไร ก็มาเถียงกัน ของเอ็งถูก ของข้าผิดอยู่วันยังค่ำนี่แหละ เพราะตาบอดคลำช้างด้วยกัน แต่เพราะมันมีคุณธรรมในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเห็นกิเลสไง ท่านรู้จักมันไง ท่านถึงหลบหลีก คนอย่างนี้หรือจะประพฤติปฏิบัติ กำลังใจขนาดนี้หรือจะประพฤติปฏิบัติ ท่านถึงได้หลบหลีก คนที่เข้าไปเผชิญกับมันจะรู้ว่ามันหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหน

พญามารร้ายนัก ถ้าไม่ร้ายนัก มันไม่ปิดหูปิดตาพวกเรามาขนาดนี้ แล้วปิดหูปิดตามา เวียนว่ายตายเกิดมาขนาดนี้ กระเสือกกระสนกันมา ทำบุญกุศลกันมาเพื่อให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ไง ทำบุญทำกุศลกันมาเพื่อให้จิตใจเรามั่นคงไง พันธุกรรมของจิตให้มันคิดดีๆ บ้าง ให้มันแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมันบ้าง อย่าหาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาลนตัวเองอยู่อย่างนี้เลย พยายามของเรา นี่ธรรมโอสถ

ธรรมโอสถหาได้ที่ไหนล่ะ ธรรมโอสถมันเป็นสัจธรรม พยายามแสวงหา ถ้าขึ้นมาในหัวใจมันเป็นสัจจะความจริง ถ้าในพระไตรปิฎกเป็นธรรมสาธารณะ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์วางสิ่งนี้ไว้ให้เราค้นคว้า ให้เราศึกษา มันเป็นสาธารณะ มันยังไม่เป็นของเรา

ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาแล้วแสวงหาของเรา ค้นคว้าของเรา มันจะเป็นธรรมโอสถของเรา มันจะชำระล้างหัวใจของเรา มันจะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง