ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ลับๆ ล่อๆ

๑๖ พ.ค. ๒๕๕๘

ลับๆ ล่อๆ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องขอฟังคำสอนค่ะ

กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกมีคำถามเกี่ยวกับของจริงและของปลอม ทางที่ถูก ของจริงนั้นมันต้องเห็นกายก่อนเสมอใช่ไหมคะ

ลูกก็ยอมรับว่ายังภาวนาไปไม่ถึงไหนหรอกค่ะ ลูกก็ละอายใจต่อหลวงพ่ออยู่ค่ะที่ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติเข้มข้นเหมือนคนอื่นๆ เขา และก็ดันอยากจะคุยด้วยนะคะ ลูกก็กลัวหลวงพ่อนะคะ แต่ลูกก็ยังอยากจะถาม เพราะลูกก็พยายามทำของลูกอยู่ค่ะ ได้นิดๆ หน่อยๆ ลูกก็พยายามอยู่ค่ะ

ลูกแอบไปฟังเทปเดิมๆ ของหลวงพ่อเมื่อครั้งเริ่มแรกๆ เรื่อยมา ลูกก็ได้เข้าใจแนวทางมากขึ้นค่ะ แต่ต้องขอโทษนะคะ ที่ผ่านมานั้นมั่วมากไปพักใหญ่ๆ เพราะลูกศึกษามาน้อย ยังไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ ตอนนี้ลูกพยายามทำเหมือนหลวงพ่อสอนที่ว่า ถ้าอยู่กับพุทโธจะไม่เสีย ก็รู้สึกว่าอยู่กับพุทโธได้มากขึ้น นานขึ้น ก็พยายามพุทโธไปเรื่อยๆ ค่ะ ถึงจะยังไม่เคยเห็นกาย ลูกก็พยายามทำอยู่ค่ะ แต่มันก็มีลักษณะแบบนี้มากขึ้น คือคล้ายๆ ยังรู้สึกตัวอยู่ระดับหนึ่ง (เคลิ้มไป ไม่หลับไปเสียทีเดียวนะคะ) มันมีความคิดผุดขึ้นมาเป็นทอดๆ เป็นสายต่อๆ กันไป เมื่อรู้แล้ว ลูกพยายามจะดูสิ่งที่ว่ามันคืออะไร แล้วมันก็มักจะหยุดไป หายไป เป็นเหมือนอะไรที่ผลุบๆ โผล่ๆ นะคะ แล้วลูกก็พยายามตั้งสติใหม่ ประคองตัวไว้ พุทโธต่อไปนะคะ

ลูกจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายหลวงพ่อบอกว่าจับหัวใจให้ได้ ตอนนั้นลูกก็ไม่เข้าใจนะคะ หลวงพ่อหมายถึงตัวนี้ใช่ไหม หรือถ้ายังไม่ใช่ ไม่ถูก ก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้หลวงพ่ออธิบายด้วย

ตอบ : อธิบายเริ่มต้น เวลาปฏิบัติ เพราะเวลาปฏิบัติไป เขาปฏิบัติ แล้วเวลาเขาไปปฏิบัติแล้วมันมีหลักอยู่บ้าง พอไปเจอพระ พอพระเขาสอน เขาไปจับประเด็นว่ามันถูกหรือผิด พอมันถูกหรือผิดแล้ว เขาเขียนถามมาเรื่อยๆ ก็อบรมกันมาตลอด ตอนนี้พออบรมมาตลอด พอปฏิบัติไปแล้ว เริ่มต้นว่ามันสับสน มันไม่เข้าใจสิ่งใดเลย แต่พอมันจับทางได้ เห็นไหม จับทางได้ พอจับทางได้มันก็กลับมาอยู่กับความเป็นจริง

ถ้ากลับมาอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับพุทโธนี่ อยู่กับพุทโธ อยู่กับความรู้สึกเรานี่ อยู่กับพุทโธ อยู่กับความรู้สึก

แต่ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติเรา เราจะไปฟังเขาคุยกัน เวลาฟังเขาคุยกัน โดยส่วนใหญ่เขาจะบอกว่าเวลาเขาปฏิบัติไปแล้วเขาจะไปรู้ไปเห็น ไปรับรู้สิ่งใด เราก็ตื่นเต้น เราก็ตื่นเต้น เราก็อยากจะเป็นเหมือนเขา อยากจะเป็นเหมือนเขา อยากจะเห็นเหมือนเขา ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราไม่ได้เป็นเหมือนเขา เราไม่เห็นเหมือนเขา เราจะปฏิบัติไม่เป็น ไอ้คนที่ปฏิบัติแล้วจะต้องรู้ต้องเห็น ต้องเห็นสิ่งแปลกๆ นั้น คนนั้นเขาถึงจะปฏิบัติเป็น แล้วเราไปฟังเขา เขาพูดกันอย่างนั้นน่ะ แล้วเราก็เชื่อ

แต่เป็นความจริงนะ เวลาความจริง ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัตินะ ท่านบอกนั่นล่ะต้นเหตุจะให้เราออกนอกลู่นอกทาง ถ้าออกนอกลู่นอกทาง เพราะไปรู้ไปเห็นไง ไปรู้ไปเห็น ใครเป็นคนไปเห็นล่ะ

เวลาโยมมาหาเรา เขาบอกว่าเขารู้เห็นต่างๆ

เราบอกว่า โยมลืมตามองเห็นเราไหม

เห็น

โยมหลับตาเห็นเราไหม

ไม่เห็น

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันส่งออก มันไปรับรู้ จิตมันออกไปรับรู้ เราลืมตา เราหลับตา ตัวเรายังมีอยู่หรือเปล่า เราจะลืมตา เราจะหลับตา เราก็ยังอยู่นี่ใช่ไหม ถ้าเราลืมตา เราก็มองเห็นภาพทุกอย่างไปทั่ว ถ้าเราหลับตา ภาพนั้นก็จบ แต่เราก็ยังอยู่ไง

แต่ถ้าเรานึกพุทโธๆๆ เราไม่ส่งออก มันก็จะเป็นจิตมันเป็นความสงบไง โดยหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวัน ศีลคือความปกติของใจ ใจเป็นปกติคือว่ามีศีล

แต่ถ้าเป็นมโนกรรม เวลาจะเอาสมาธิ บอกว่า เราไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดเลย เรามีศีลสมบูรณ์ แต่เราก็ยังคิดนอกเรื่องอยู่นี่ ความคิดยังโผล่อยู่อย่างนี้ มันไม่ปกติไง ถ้ามันไม่ปกติ ถ้าเราพุทโธๆ ให้มันปกติ เห็นไหม ศีล สมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น พอจิตมันปกติ พอจิตมันปกติแล้ว ถ้ามันยกขึ้นสู่ปัญญา มันก็จะเป็นขั้นตอนเลย

ของแค่นี้ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ทำกันไม่เป็น ทำกันไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก มันไปไหนก็ไม่รู้ ไปข้างนอกหมดเลย แล้วก็ไปคุยกันนะ รู้นู่น เห็นนั่นเห็นนี่ ทุกคนก็ตื่นเต้น

แต่ถ้ามันเป็นจริต คนเราเป็นจริตนะ เราปฏิบัติขนาดไหน มันก็จะรู้จะเห็นอย่างนั้นน่ะ เช่น แม่ชีแก้ว แม่ชีแก้วเวลาปฏิบัติไป มันเป็นวาสนานะ คนเรามันเป็นการสร้างบุญกุศลมาด้วยกัน

เวลาแม่ชีแก้วยังเป็นวัยรุ่นอยู่ หลวงปู่มั่นท่านธุดงค์มา แล้วแม่ชีแก้วเป็นเด็กๆ มาใส่บาตร พอใส่บาตร ท่านยิ้มเลย ท่านยิ้มแล้วบอกว่าให้ไปวัดนะ ไปวัดแล้วท่านก็สอนแม่ชีแก้วปฏิบัติ พอแม่ชีแก้วปฏิบัติไปเห็นนิมิตต่างๆ ท่านจะแก้ไปเรื่อย

สุดท้ายแล้ว สุดท้ายเวลาท่านจะธุดงค์ต่อไป อย่าปฏิบัตินะ อย่าปฏิบัติเพราะมันไม่มีคนแก้ไข ถ้าเป็นผู้ชายจะให้บวชเณรไปด้วย นี่มันเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิง มันไปด้วยมันไปลำบาก ฉะนั้น มันก็อยู่กับโลกเขาไป เป็นกรรมของสัตว์ แต่ต่อไปจะมีคนมาแก้อยู่น่ะ

สุดท้ายก็หลวงตาไปแก้ พอหลวงตาไปแก้ เวลาหลวงตาท่านไปถึงนั้น ให้แม่ชีแก้วเล่าให้ฟัง พอแม่ชีแก้วเล่าให้ฟังนะ ท่านก็บอกเลย โอ้โฮ! ไปรู้ไปเห็น เทวดาเต็มไปหมดเลย แม่ชีแก้วยังภูมิใจนะว่าฉันภาวนาเก่ง

แต่หลวงตาท่านคิดได้ทันทีเลย นี่คนภาวนาเป็น อ๋อ! อย่างนี้เองที่หลวงปู่มั่นบอกไม่ให้ปฏิบัติ ถ้ามันไม่มีคนแก้ ไม่มีคนคุม ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันจะหลุด มันจะไปนอกเรื่องนอกราว

เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะธุดงค์ไป นี่เป็นผู้หญิงนะ เอาไปด้วยไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ชายจะบวชเณรแล้วเอาไปด้วย เพราะเอาไปด้วย เวลาปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ท่านคอยแก้ให้ได้ไง เวลาไปรู้ไปเห็นอะไรมันจะไม่เสีย แต่นี้เป็นผู้หญิง เอาไปด้วยไม่ได้ ก็ทิ้งไว้ก่อน อนาคตจะมีคนมาสอนหรอก อย่าปฏิบัตินะ อย่าปฏิบัติไปมาก เดี๋ยวพอมันออกรู้ออกเห็นไป ถ้าคนเราไปเห็นสิ่งใดที่มันตกใจได้ มันถึงกับทำให้ขาดสติได้ ทำให้เสียได้ ทำให้ถึงกับบ้าได้ ว่าอย่างนั้นเลย ฉะนั้น ท่านบอกว่าอย่าปฏิบัตินะ อย่าทำ เวลาต่อไปข้างหน้าจะมีคนมาสอน

แล้วพอหลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ไป แม่ชีแก้วก็บอกว่าอยากปฏิบัติ ด้วยความอยาก ก็ปฏิบัติแบบระวังเอา เห็นไหม ปฏิบัติแล้วระวังเอานะ กลัวมันจะเสีย ปฏิบัติไประวังไป แต่ไม่มีใครแก้

แต่พอหลวงตาท่านมา หลวงตาท่านเป็นพระหนุ่มใช่ไหม แม่ชีแก้วอายุก็มากขึ้น แล้วเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นใช่ไหม มันก็มีธรรมดา ตัวตนมันก็สูง แหม! พระเด็กๆ จะมาสอนเราได้อย่างไร แต่เวลาเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาท่านภาวนาจบแล้ว ท่านรู้ อ๋อ! อย่างนี้เองที่หลวงปู่มั่นไม่ให้ปฏิบัติเพราะมันส่งออก

แล้วเวลาหลวงตาท่านจะแก้ เห็นไหม เริ่มต้นคนมันเคยออกใช่ไหม ท่านบอกว่า ถ้ามันจะออกไปรู้บ้างก็ได้ หรือบางทีเราก็ตั้งสติไว้บ้างก็ได้ ได้ไหม

ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นเลย เพราะมันเคย สุดท้ายก็ไล่เลย พอไล่แล้ว ท่านเสียใจไง ที่มันจะระลึกได้เพราะความเสียใจ พอไล่แล้ว มันปรึกษาใครไม่ได้ จะทำอย่างไรก็ไม่ได้ แต่คำสั่งของหลวงตามันยังจำได้ว่าห้ามส่งออก ยังจำได้ แต่ด้วยทิฏฐิว่าทำไม่ได้ แต่พอโดนไล่ โดนไล่ มันปรึกษาใครไม่ได้แล้ว มันเข้าหลักประหารแล้ว มันต้องทำเอง ก็เลยตั้งใจเลย อ้าว! ท่านบอกไม่ให้ส่งออกก็ลองไว้ ดึงไว้ไม่ให้ส่งออก

พอรั้งไว้ไม่ให้ส่งออกจริงๆ โอ้โฮ! จิตมันเข้าไปสงบ พอจิตสงบไป มันไปเห็นกาย เห็นหลวงตามาในนิมิตเลย เอาดาบมาฟันร่างกายพับๆ เลย นั่นน่ะธรรมย่อยสลาย มันซึ้ง มันส่งออกรู้มาทั่วโลกธาตุ มันไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้เลย เวลาจิตมันสงบแล้ว พอไปเห็นสติปัฏฐาน มันแตกต่างอย่างไร มันอ๋อ! ขึ้นมานะ โอ้โฮ! ขึ้นไปกราบหลวงตา กราบแล้วกราบเล่า

อันนี้เรายกมาเปรียบเทียบว่า เวลาคนภาวนาแล้วอยากรู้อยากเห็น พอปฏิบัติไปก็เอามานั่งโม้กันคุยกันแต่เรื่องออกไปรู้ข้างนอก มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจเลย มันไม่เกี่ยวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเลย แต่เวลาเราจะทำความสงบของใจเข้ามาก็มาน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไม่ได้ ปฏิบัติแล้วปฏิบัติไม่ได้เหมือนเขา เขาปฏิบัติแล้วก็ไปรู้ไปเห็น เขาปฏิบัติไปรู้วาระจิต...ไร้สาระ

แต่มันจะพูดว่าไร้สาระได้ มันต้องมีหลักหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่มีหลักหน่อยหนึ่ง สาระหรือไม่สาระ เราไม่รู้ เป็นสาระหรือไม่เป็นสาระ เราไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาระและไม่เป็นสาระ เราก็เลยโลเลไปกับเขาด้วย แต่ถ้ามีหลักแล้ว มันรู้ว่าอะไรเป็นสาระ อะไรไร้สาระ มันก็เลยไม่ไปกับเขา ถ้าไม่ไปกับเขา มันก็เข้ามาคำถามไง

คำถามเขาบอกว่าแต่เดิมปฏิบัติไปแล้วล้มลุกคลุกคลาน แต่เขาบอกว่า และดันอยากจะคุยด้วยนะ

อยากจะคุยเพราะมันรู้ มันรู้แล้วมันแน่นหัวอก มันอยากระบาย แต่ระบายไปแล้วมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง

ฉะนั้น เพียงแต่ว่าเขาบอกว่า แล้วแอบไปฟังเทปเดิมๆ ของหลวงพ่อที่สอนไว้ แล้วก็พยายามจะกลับมา

กลับมาเพราะอะไร เพราะเราผิดพลาดไปแล้วไง คือเราทำมามาก เราล้มลุกคลุกคลานมามาก แล้วเราไม่ได้สิ่งใดเลย ฉะนั้น ตอนนี้เขาพยายามนึกถึงคำสอนหลวงพ่อบอกว่า ให้อยู่กับผู้รู้ ให้อยู่กับพุทโธ

คำนี้เราซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งเพราะหลวงตาเวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นท่านจะนิพพานไป ท่านสั่งเสียไว้ เพราะหลวงตา จิตท่านพิจารณาอสุภะ ท่านไปแรงมาก จิตที่คนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ภาวนามันจะรุนแรง กิเลสมันแรง ธรรมะก็แรง

ฉะนั้น เวลาแรง เวลาปฏิบัติไปข้างหน้า เวลาไม่มีทางไป ท่านถึงสั่งเสียไว้ หลวงปู่มั่นสั่งเสียไว้ ถ้ามันหาทางไปไม่ได้ มันจนตรอก ให้อยู่กับผู้รู้ ให้อยู่กับพุทโธ มันจะไม่เสีย ถ้าอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ เราอยู่กับตัวตนของเรา เราอยู่กับสติของเรา เราอยู่กับคำบริกรรมของเรา แล้วถ้าเราพุทโธ เราสร้างตัวตนเราได้ ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมามันต้องมีทางไป

คำนี้เป็นคำสั่งเสียของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสั่งเสียหลวงตา หลวงตาท่านก็มาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง แล้วเราก็จำขี้ปากมาย้ำอยู่นี่ อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ แล้วจะไม่เสีย แล้วเขาก็เห็นด้วย แล้วเขาก็มาทำ อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ เขาบอกว่า อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ

ถ้าการปฏิบัติถูกต้องมันจะเห็นสติปัฏฐาน คือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันนั้นยกขึ้นสู่วิปัสสนา

แต่โดยพื้นฐานของเรา เราอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ เราต้องการให้จิตเราสงบ เราต้องการให้เรามีกำลัง ถ้าเรามีกำลังแล้ว เวลาเราทำงานแล้วมันจะทำได้

ถ้ามีกำลังแล้ว หนึ่ง เราจะไม่โดนกิเลสฉุดลากไป กิเลสมันจะฉุดลาก ความคิดมันเกิดขึ้นมันจะเป็นเหยื่อล่อ แล้วมันก็ฉุดเราลากไป ไปภาวนา ไปเห็นนิมิต ไปเห็นรู้ต่างๆ มันก็พยายามจะฉุดลากเราไป การทำคุณงามความดีของเรา กิเลสมันคอยมาต่อรอง คอยมาฉุดกระชากลากเราไป แล้วเราก็บอกเราทำดี เราปฏิบัติ เราหวังดี แต่ไม่ได้บอกว่าเวลาปฏิบัติ เราหวังดี แต่กิเลสมันมาต่อรอง กิเลสมันคอยมาต่อรอง กิเลสมันคอยมาพลิกแพลง แล้วมันก็มาหลอกลวง แล้วเราก็ไปกับมัน

ฉะนั้น ถ้าเราอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธด้วยความเข้มแข็ง ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะมาต่อรองเราไม่ได้ เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ เราบรรลุนิติภาวะ ใครจะมาต่อรอง ใครจะมาชักนำไป เรามีจุดยืน เราไม่ไปตามนั้น

เขาบอกว่า ถ้าการปฏิบัติมันต้องเห็นกายใช่ไหมมันถึงจะเป็นสติปัฏฐาน มันถึงเป็นการปฏิบัติ

อันนั้นอนาคต เริ่มต้นให้รักษาตัวเองให้ได้ รักษาตัวเองให้ได้ ทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจสงบแล้ว เราจะมีจุดยืนของเรา เราจะอยู่กับโลกนี้โดยไม่ติดโลก

เราเป็นมนุษย์นี่ เรามีหน้าที่การงานของเรานี่ เราทำงานแล้วก็คือทำงาน ทำงานเพื่อหาเลี้ยงปาก แล้วถึงเวลาแล้วเราจะหาเลี้ยงใจเรา เราทำของเราได้ถ้าจิตเราดี

ถ้าจิตเราไม่ดีนะ มันน้อยเนื้อต่ำใจไปหมด แล้วมันก็จะประชดชีวิตด้วย ทำให้เราอยู่กับโลกหรือจะเลวกว่าโลกไปเลย อันนั้นถ้าเวลากิเลสมันได้ที เวลากิเลสมันได้ที มันขึ้นขี่คอแล้วนะ เรานี่แย่ไปเลย แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราควบคุมกิเลสไว้ได้นะ เราจะพอดำรงชีวิตได้ แต่ถ้าเราเห็นกายแล้วยกขึ้นวิปัสสนา นั้นมันจะทำให้เรามีคุณธรรมในใจ

ฉะนั้น เขาบอกว่า มันต้องเห็นกายใช่ไหม แต่ถ้าไม่เห็นกาย เพียงแต่ว่าเขาสงสัยว่าเวลาเขาอยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ เขาเห็นความคิดของเขา ความคิดที่มันผุดขึ้นมา ถ้าความคิดที่ผุดขึ้นมา มันมีความคิดผุดขึ้นมาแล้วส่งต่อเป็นทอดๆ เป็นสายต่อเนื่องกันไป แล้วเขาพยายามจะรู้เท่าอันนี้ อันนี้ใช่ไหมที่บอกว่าเราจับได้ อันนี้ใช่ไหมที่เราจับได้

ถ้าเรามีสติมีปัญญาพอนะ เราเห็นความคิด ที่ว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเน้นย้ำไง เน้นย้ำตลอดจิตเห็นอาการของจิต ความคิดมันเกิดจากจิต

คอมพิวเตอร์นะ ถ้ามันไม่มีไฟหรือไฟมันตก คอมพิวเตอร์ยังใช้งานไม่ได้เลย แล้วถ้ามันไม่มีโปรแกรมยิ่งใช้งานไม่ได้ใหญ่ แต่ถ้ามันไม่มีจิต ความคิดมันมาจากไหน เวลาเรามอง เรามีความทุกข์เพราะความคิด เราทุกข์เรายากก็เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่มันเกิดบนอะไรล่ะ ตุ๊กตามันทุกข์ไหม ตุ๊กตานี่ ตุ๊กตาที่วางอยู่มันทุกข์ไหม มันไม่มีหัวใจ มันไม่ทุกข์หรอก แร่ธาตุมันไม่ทุกข์หรอก ไอ้ทุกข์นี่มันทุกข์เพราะหัวใจของคน ถ้าหัวใจของคน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้จิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบแล้ว จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด

จะบอกว่า ที่มันผลุบๆ โผล่ๆ สิ่งนี้มันถูกต้องไหม ที่เห็น ที่หลวงพ่อให้จับได้

ถ้ามันจับได้ตามความเป็นจริงนะ เวลาปฏิบัติไปมันลับๆ ล่อๆ เวลามันทำไป แบบว่ากิเลสมันต่อรอง มันทำไม่ได้จริง ถ้าทำได้จริงนะ เวลาความคิดมันเกิดขึ้น มันจับได้ ถ้าจับได้ จิตเห็นอาการของจิต เราจะฝึกหัดภาวนาไปได้ ถ้าเราฝึกหัดภาวนาไปได้นะ พอจับได้ พิจารณาไปได้นะ เราจะภาวนาเป็น พอภาวนาเป็นนะ

เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ สุตมยปัญญาที่ศึกษาเล่าเรียนมา ชื่อมันทั้งนั้นน่ะ พอชื่อ นั่นเป็นชื่อของมันนะ คือธรรมะสาธารณะ คือสมบัติสาธารณะ ไม่ใช่สมบัติของเรา เราก็ใช้สอย

แต่ถ้าเป็นสมบัติของเรา มันแตกต่างกันนะ ความรู้สึกมันแตกต่างกัน เวลาจิตมันสงบแล้วนี่เป็นความรู้สึกของเรา ถ้าจิตมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตเห็นอาการของจิต เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง พอมันจับได้ นี่สมบัติส่วนตน นี่สมบัติของเรา

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจดวงใดปฏิบัติไม่มีมรรค มันจะเกิดผลขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีมรรค แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นที่เราทำอยู่นั้นมันคืออะไร นั่นคือสัญชาตญาณ คือสถานะของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มันมีความรู้สึกนึกคิด ก็ความรู้สึกนึกคิด เราเข้าใจว่าความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นธรรม แต่มันยังไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ธรรมเพราะอะไร เพราะสถานะ คำว่าสถานะนี่เป็นสิทธิ์ ความสิทธิ์ของมนุษย์มีธาตุ และขันธ์ แต่เวลาปฏิบัติ จิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม

เวลาปาราชิก นะ จิตถ้ามีฌาน เขาเรียกว่า ผู้ที่ไม่มีฌานแล้วอวดตนว่ามีฌาน ตั้งแต่ฌานขึ้นไป อวดอุตตริมนุสสธรรม ธรรมที่เหนือมนุษย์ จิตสงบ เวลาจิตสงบ พวกฌานพวกอะไรอวดอุตตริ มันเหนือโลกไง

ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีหลักของมันใช่ไหม ถ้าหลักของมัน ถ้ามันออกวิปัสสนาไป นี่สมบัติส่วนตน สมบัติส่วนใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเห็นอย่างนี้ปั๊บ ใจดวงนั้นถ้ามันใช้ปัญญาได้ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา มันจะภาวนาเป็น

ฉะนั้น เขาถามว่า สิ่งที่มันผลุบๆ โผล่ๆ ที่เขาจับได้ อันนี้หรือเปล่าที่หลวงพ่อบอกว่าต้องจับให้ได้ๆ จับหัวใจให้ได้

คำว่าจับให้ได้จับอาการให้ได้ จับความรู้สึกเราให้ได้ ถ้ามันจับได้ มันก็จับได้แบบโลก อย่างเช่นเวลาเราไปเที่ยวป่าช้า เราไปดูกายนอก เราดูร่างกายคนอื่นสิ ไปโรงพยาบาลไปเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย มันสะเทือนใจนะ เห็นแต่สายน้ำเกลือ เขาสะเทือนใจไหม นี่กายนอก เข้าไปดูทำไมล่ะ ดูให้มันสลดไง เราไปเที่ยวป่าช้ากัน ไปดูคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้มันสลด ให้จิตใจมันสลด ถ้าจิตใจมันสลดแล้วมันไม่เห่อเหิม

ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะมันเห่อเหิม มันฮึกเหิม มันเห่อเหิมจนเกินไป แต่เราดูกายนอกๆ ให้มันสลด ให้มันสลด ให้มันธรรมสังเวช พอสังเวชขึ้นมามันจะกลับมาสู่ตัวเรา ถ้ากลับมาสู่ตัวเรา ถ้าเราตั้งสติได้ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ นั่นล่ะคือความสงบ

แล้วพอสงบแล้วนะ มันเห็นกายอีกที มันเห็นโดยจิต จิตเห็นกายของเรา จิตเห็นกายของเรา ทีนี้จิตเห็นความคิดของเรา จิตเห็นเวทนาของเรา จิตเห็นธรรมของเรา เห็นไหม สติปัฏฐาน อันนี้ถือว่าเป็นแนวทาง แนวทางปฏิบัติ

ฉะนั้น ถ้ามันถูกต้องไหม เราว่าใช้ได้

ที่ว่าหลวงพ่อว่าจับให้ได้ๆ อย่างนี้ถูกไหม ให้หลวงพ่ออธิบายด้วย

อธิบายเสร็จแล้ว ถ้าจับได้นะ เราตั้งสติขึ้นไป เราพุทโธ เขาบอกเขากลับมาอยู่ที่ผู้รู้ อยู่ที่พุทโธ ทำของเราไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเจออาการแบบนั้น ถ้าเจออาการแบบนั้น นี่เป็นความดีของเรา

ให้มันเป็นความจริง แล้วตั้งสติไว้นะ เสร็จแล้วเวลาปฏิบัติไป ทุกขั้นตอนมันจะมีกิเลสเข้ามาคอยสอด กิเลสของเรามันอยู่ในใจของเรา แล้วมันพยายามจะมีอำนาจเหนือคุณธรรมที่เราสร้างขึ้น เราทำสิ่งใดเข้าไป มันจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน ยิ่งปฏิบัติละเอียดขึ้น มีความรู้มากขึ้น มารก็ละเอียดขึ้น

หลวงตาท่านเปรียบเทียบ เหมือนกับสวะอยู่บนน้ำ ถ้าน้ำขึ้น มันก็ขึ้นตาม น้ำลง มันก็ลงตาม จิตของเรา ถ้าจิตของเราต่ำต้อย กิเลสมันก็อยู่เหนือน้ำนั้น จิตของเราพัฒนาขึ้นเท่าไร กิเลสมันก็อยู่เหนือน้ำนั้น เพราะมันอยู่บนน้ำ

นี่ไง ปฏิบัติดีขนาดไหนก็แล้วแต่นะ ระวัง ต้องตั้งสติตลอด เพราะว่าสวะนี้ สิ่งเจือปนนี้มันอยู่บนน้ำ น้ำลง มันก็ลงตาม น้ำขึ้น มันก็ขึ้นตาม ปฏิบัติดีขนาดไหน ถ้าเราประมาท มันทำให้เราผิดพลาดได้ คือจะบอกว่าไม่ให้ประมาท ให้ตั้งใจ ตั้งใจทำของเรา นี่สมบัติของเรา สมบัติของมนุษย์ไง

สิ่งที่เราได้อยู่ปัจจัยเครื่องอาศัยนี้มันเป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลนะ แต่ถ้ามันปฏิบัติแล้วมันจะเป็นคุณสมบัติของเรา

อันนี้ในเว็บไซต์นะ อันนี้จบ พูดถึงว่า ถ้าเขาเห็นว่าความคิดมันส่งต่อทอดๆ ที่เขาจับได้นี่ใช่ไหม ที่ว่าหลวงพ่อให้จับได้ๆ

ถ้าใช่แล้วเขาบอกว่า หนูก็ปฏิบัติไม่ค่อยได้ แต่มันดันอยากจะคุย เขาว่านะ เขาเขียนเองนะ

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่าใช่นะ อย่าไปคุย ทำให้ดี ทำของเราให้ดี ให้มันจริงจัง เพราะกิเลสมันคอยทำให้เราผิดพลาดอยู่แล้ว เราตั้งใจของเรา ทำประโยชน์กับเราให้มันใช้ได้ อันนี้จบ

อันนี้คำถามเนาะ

ถาม : จิตใจที่มีความคิดไม่ดีไม่งามผุดขึ้นมาทั้งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น เราจะทำอย่างไรเวลาเกิดขึ้น หรือมีวิธีอบรมจิตอย่างไรไม่ให้ความคิดไม่ดีเกิดขึ้นเจ้าคะ ทำอย่างไรให้จิตใจตั้งมั่นเข้มแข็งและมีกำลังใจกำจัดกิเลส

ตอบ : เอาข้อ . ก่อนนะ ข้อ . ถ้าสิ่งใดที่มันเกิดขึ้น ความคิดอะไรที่มันเกิดขึ้นนะ มันเกิดขึ้นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม สิ่งนี้มันเป็น เราใช้คำว่าเป็นจริตนิสัย เป็นของเดิม

เวลาพระโพธิสัตว์ เวลาปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เวลาท่านประกาศธรรมนะ ท่านบอกว่า เรามีวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มีถึง ๘๐,๐๐๐ ปี

ถ้า ๘๐,๐๐๐ ปีมันก็เข้ามาตรงนี้ไง ตรงที่ว่าเวลาสร้างความเป็นพระโพธิสัตว์ อสงไขย อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่มันสร้างมา มันสร้างมาแตกต่างกันน่ะ ความสร้างมาแตกต่างกัน แตกต่างคือเวลา คือจำนวนที่มากขึ้นและน้อย ถ้าจำนวนที่น้อย ผลก็ตอบสนองได้น้อย ถ้าจำนวนที่มาก ผลตอบสนองที่ได้มาก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านถึงมีอำนาจวาสนาไง

พระสมณโคดมของเราถึงได้บอกว่า เราอำนาจวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี แล้วเราวางศาสนาไว้อีก ,๐๐๐ ปี

,๐๐๐ ปีกับ ๘๐,๐๐๐ ปี เวลามันแตกต่างกันมาก แต่มันก็เป็นอริยสัจเดียวกัน เราเอานี้เป็นพยาน เป็นพยานการยืนยันความคิดไง ความคิดมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นมันต้องมีที่มาที่ไป เพราะอะไร เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราไปทำสิ่งใด ภพชาติใด เราทำสิ่งใดไว้ มันก็ฝังเป็นบุญเป็นกรรมมา

พอฝังเป็นบุญเป็นกรรมมา แต่ในชาติปัจจุบันนี้ พอในชาติปัจจุบันนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามาเกิดในพระพุทธศาสนา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราอยากจะทำคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดีนะ เวลาคุณงามความดี สิ่งที่มันเป็นพันธุกรรมมันก็จะแสดงตัวของมันออกมา

มีนะ บางคนมาหาเรา บอกหลวงพ่อ เดินเข้ามาใกล้พระพุทธรูปไม่ได้เลย ยิ่งเดินเข้าใกล้พระพุทธรูป เสียงที่มันคิดติเตียนจะออกมาเยอะมาก ต้องอยู่ห่างๆแต่เขาก็บอกว่าหนูศรัทธามากนะ หนูเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากนะ

ใช่ ไอ้เชื่อมั่นมันเชื่อมั่นในชาติปัจจุบันนี้ไง แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่ไร้การควบคุมไง เพราะมันเกิดจากจิตใต้สำนึกมันควบคุมไม่ได้ ทีนี้มันควบคุมไม่ได้ ทีนี้เวลามันเกิดขึ้นมา เวลามันเกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เวลาเราไม่เข้ามาปฏิบัติ เวลาเกิดขึ้นอย่างนั้น เราก็ว่านี่เป็นความคิดเรา

แต่พอเราเข้ามาศึกษา เราเป็นชาวพุทธเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาบอกศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันคิดอย่างนี้มันไม่ปกติ เพราะเรามีธรรมะของพระพุทธเจ้ากรองไง พอกรอง มันรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดไง ถ้ารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เราก็ยึดตรงนี้ ยึดเอาตรงศีลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง เพราะเราถือศีล เรามีศีล เรามีศีล เรามีธรรม ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เราถึงรู้ว่ามันความคิดไม่ดี ความคิดไม่ดี เราก็ต้องแก้ไข

ถ้าเราแก้ไขนะ หนึ่ง ถ้าเรามีสติปัญญา พอคิดไม่ดี เราปัดทิ้งได้ สิ่งนี้ไม่ดี ไม่ควรคิด แต่ถ้ามันมีกำลังที่เหนือกว่า เรามีสติยับยั้งไว้ ยับยั้งไว้ แล้วเวลาเราสวดมนต์ทำวัตร เราจะบอกว่าให้ขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ไอ้กรณีอย่างนี้มันเป็นของเก่า มันเป็นของเก่าคือของที่มันสะสมมาอยู่จิตใต้สำนึก มันแสดงออกมาเฉยๆ แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ เรามีสติมีปัญญานะ เราก็ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รตนตฺตเย ปมาเทน ขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ขอขมา ถ้าเราไม่มีสิ่งใดไว้ สิ่งนี้จะไม่เกิด

นี่พูดถึงว่า ถ้าความคิดสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมันเกิดขึ้น แล้วเราไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่อยากให้เกิดขึ้น ขอขมาลาโทษไป ขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีที่มาที่ไปแล้วเราขอขมาลาโทษ แล้วเราตั้งใจปฏิบัติ มันจะแก้กันที่นี่ ถ้ามันแก้ที่นี่ เราตั้งใจ ตั้งสติ แล้วตั้งใจของเรา สิ่งนี้ถ้ามันเกิดขึ้น มันก็เบาลง เบาลงเพราะเรามีสติ เรารู้ทัน เรารู้ทันนะ พอรู้ทันแล้วเราไม่คิด เราห้ามคิด คือเราเปลี่ยนอารมณ์ เราคิดเรื่องใหม่ เรื่องนี้เราวางไว้ๆ ค่อยๆ แก้ไปอย่างนี้

กรณีอย่างนี้มันก็เหมือนกรณีเรานั่งหลับ กรณีนั่งหลับหรือคนตัวโยกตัวคลอน เราค่อยๆ แก้ ค่อยๆ แก้ มันไม่หายทีเดียว แต่มันจะเริ่มพัฒนาดีขึ้นๆ เวลาคนนั่ง เวลานั่งไป มันจะมีอาการเอียง มีอาการโยกคลอนต่างๆ เรารั้งตรงนี้ไว้ มันจะแก้อย่างนี้

หรือมีวิธีอบรมอย่างใดไม่ให้มีความคิดไม่ดีเกิดขึ้น

มันก็ไม่อยากให้มีเกิดขึ้น แต่ถ้ามันมี ภาษาเรานะ มันมีเชื้อเดิมของมันไง พันธุกรรมๆ พันธุกรรมของจิต แต่พันธุกรรมของจิตย้ำคิดย้ำทำ ถ้าใครย้ำคิดย้ำทำกับอารมณ์ของตัวเองเดิมๆ อย่างนั้น มันก็จะทำให้คนคนนั้นมีนิสัยใจคอแบบนั้น

แต่ถ้าความคิดอย่างนี้ เราแก้ไขของเรา เราไม่ย้ำคิดย้ำทำ เราพยายามคิดเรื่องอื่น พยายามสร้างคุณงามความดี มันก็แก้ไขสิ่งนี้ไปได้ นี่พูดถึงความคิด

ทำอย่างไรให้จิตตั้งมั่น เข้มแข็ง และมีกำลัง

ไอ้จิตตั้งมั่น จิตเข้มแข็งนี่นะ ไอ้ตั้งมั่น ตั้งมั่นเพราะทำสมาธิ ถ้าเรามีสมาธิ เราฝึกหัดของเราบ่อยๆ ครั้งเข้า เพราะเวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์นะ จิตท่านลง ท่านบอกว่าจิตดับไป วัน

คำว่าจิตดับพอจิตดับ คนเขาบอกว่ามันดับไม่ได้มันอะไร ก็คิดกันไป คำพูดของคนนี่นะ มันอยู่ที่ว่าใครรับรู้อารมณ์อย่างใด

คำว่าจิตดับของหลวงตาท่านดับจากความคิดฟุ้งซ่าน ธรรมดาคนมันก็มีความรู้สึกนึกคิด แต่เวลาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนะ ถ้าคืนไหนหลวงปู่มั่นเทศน์แล้วจิตท่านลงดีนะ ท่านบอกว่าจิตท่านดับไป วัน คือมันไม่รับรู้อะไรเลย มันไม่ส่งออก วัน สบาย มันอยู่ของมัน นี่ตั้งมั่น มันไม่ส่งออกไปเลย มันมั่นคงของมันไง มันเอกเทศเลย อยู่นี่สบาย วัน

ท่านบอกว่าเวลาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนะ บางวันจิตดับถึง วัน ดับจากอารมณ์ความฟุ้งซ่าน มันไม่ได้ดับตัวมันเอง ไม่มีหรอก

เขาบอกดับตัวมันเอง เขาว่าคนตายเท่านั้นไง คนมีชีวิตอยู่มันดับได้อย่างไร เพราะจิตมันดับไม่ได้

แต่ดับจากความฟุ้งซ่าน นี่จิตตั้งมั่น

. จิตตั้งมั่นเกิดจากกำลังของเราทำสมาธิหนึ่ง

. เกิดจากอำนาจวาสนา

คนเราจิตใจเข้มแข็งมีอำนาจวาสนา ถ้าในทางโลกเขาเรียกว่าเป็นไปโดยธาตุ ธาตุ เข้ากันโดยธาตุ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงลูกศิษย์ของพระสารีบุตรเป็นปัญญาวิมุตติหมด ฉลาดมาก ผู้ที่ฉลาดจะคบกับผู้ที่ฉลาด ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะ พวกที่มีฤทธิ์ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ แล้วใครทำเจโตวิมุตติทางฤทธิ์จะคุยกับพระโมคคัลลานะเข้าใจง่าย แล้วอยู่ในสังคมนั้น ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกทั้งหมด มันเข้ากันโดยธาตุ มันชอบ คือมันตรงจริต เห็นแล้วมันถูกใจ มันไปหมดเลย นี่มันโดยธาตุ

ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นพันธุกรรม ถ้าเราทำของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำคุณงามความดีโดยธาตุ โดยธาตุ พัฒนาขึ้นมา มันก็เข้มแข็ง

ไอ้นี่พูดถึงว่าความเข้มแข็ง ความเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็ง จิตใจที่มีหลัก เพราะเขาทำคุณงามความดีของเขามา เขาได้สร้างสมบุญญาธิการของเขามาเป็นภพเป็นชาติ นิสัยคนน่ะ คนที่อ่อนไหว คนที่เชื่อคนง่าย บางคนแบบว่าแข็งจนไม่ฟังใครเลย ทื่อ เอ็งก็ฟังเขาบ้างสิ แหม! ไม่ฟังใครเลย อันนี้มันก็ไม่ใช่เรื่อง เห็นไหม

เราเข้มแข็ง แต่เราก็ต้องมีเหตุมีผลฟังเขาหน่อย ฟังเขาบ้าง ฟังแล้ว เหตุผลเรามาใคร่ครวญ เราแยกได้นี่ อะไรผิดอะไรถูก เราแยกได้ เราฟังเขา ฟังเขาไม่ได้เสียหาย แต่มันตั้งมั่น คือชักจูงยาก ไม่ไปกับเขา กรณีนี้ บุญกุศลอย่างนี้สำคัญมากนะ

เราเห็นทางโลก แชร์ลูกโซ่ พูดทุกที เฮ้ย! เอ็งไปเชื่อเขาได้อย่างไร อยู่ดีๆ เอาเงินไปให้เขา มันทำได้อย่างไรวะ แล้วก็เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นซ้ำเป็นซากๆ เรามาคิดถึงหลักด้วยปัญญา มนุษย์เราไม่ควรโง่ขนาดนั้นนะ ทำไมเงินในกระเป๋านี่ไปควักให้เขาได้อย่างไรวะ ทำไมคิดได้อย่างนั้นน่ะ มันคิดแล้วมันแปลกใจนะ แปลกใจมาก ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

แต่ประสาเรานะ นี่เป็นพระ ดีอย่างหนึ่ง เขาไม่ค่อยมาหลอก ถ้าเป็นโยม เขาจะมาหลอกก็ได้ เวลาเขามาหลอก เขามาพูดยกย่องหน่อยเดียว เชื่อเขาอีก พูดอยู่อย่างนี้ ถ้าใครมายกหน่อยโอ้โฮ! ท่านพระสงบเป็นคนดี เป็นคนที่มีเมตตา ช่วยโลกมาเยอะโอ้โฮ! มันจะควักสตางค์แล้วนะ มันจะควักสตางค์แล้วโอ้โฮ! นี่เป็นคนเมตตามากเลย เขาร่ำลือเลยว่าหลวงพ่อสงบแจกเงินเลยล่ะมันจะจ่ายเลย มันจะเอา เขามายกย่องเรานี่ไปเลย

นี่พูดถึงความตั้งมั่นไง ความเข้มข้น ความตั้งมั่น มันอยู่กับจริตนิสัย นิสัยของคน นิสัยของคนกว่าจะได้มา เด็กๆ แต่ละคน นิสัยแต่ละนิสัย อำนาจวาสนาจริงๆ นะ พ่อแม่ได้มา พันธุกรรมพ่อแม่ได้มา ได้มาแต่ร่างกาย ครึ่งหนึ่งของพ่อ ครึ่งหนึ่งของแม่ มนุษย์คนหนึ่งของพ่อของแม่คนละครึ่ง ออกมาเป็นเรา นี่ร่างกายนะ แต่จิตใจของเขาทั้งหมด ปฏิสนธิจิตของเขา

แล้วถ้าเราได้ดวงจิตที่ดี ดวงจิตที่มีเมตตา ดวงจิตที่มีปัญญานะ โอ้โฮ! เขาจะพัฒนา เป็นอย่างไรก็ได้เป็นคนดี เขาจะผิดไปบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวเขาก็กลับมาดี แต่ถ้าคนนะ จิตใจของเขาประชดประชันชีวิตตลอด ทำแต่ความพอใจของเขา พ่อแม่นี่ทุกข์มาก พยายามจะช่วย

นี่พูดถึงความเข้มแข็ง แต่ความตั้งมั่น ความตั้งมั่นเราทำของเราได้ ฉะนั้นว่าจะมีกำลังที่กำจัดกิเลส ทุกคนก็อยากจะกำจัดกิเลส แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว ถ้าเรามีสติไว้ เวลาปฏิบัติต้องพยายามเชื่อกาลามสูตร ความเชื่อกาลามสูตร กาลามสูตร อย่าให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น อย่าให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่ากิเลสมันบังเงา

เวลากิเลสมันบังเงานะ กิเลสอยู่กับเรา กิเลสมันอยู่จิตใต้สำนึก เวลาเราพูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย

มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเราเวลาเราดำริ มีความดำริอยากคิด อยากทำอะไรมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเราพอเราดำริ มารก็เกิด มารก็ตามมา พอมารตามมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่เราก็เข้าใจมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรามารมันก็รู้

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปนะว่างๆ โอ๋ย! อย่างนี้เป็นมรรค โอ๋ย! อย่างนี้สมุจเฉทปหานนี่มารมันสวมรอยตลอด ทั้งๆ ที่เราจะกำจัดมันน่ะ

ฉะนั้น ถ้ากาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อไง เวลาปฏิบัติมันว่างๆ ว่างๆ มีสติหรือเปล่า ว่างๆ มันมีกำลังไหม ว่างๆ มันมีความรู้สึกจริงหรือเปล่า แล้วเราก็ทำซ้ำๆ ถ้ามันพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขาคิดได้แล้วเขาต้องพิสูจน์ พิสูจน์ทดสอบ ถ้ามันถูกต้อง ทดสอบยังใช้ได้ ทดสอบยังถูกอยู่ เออ! อย่างนี้ชักมีหลัก

ภาวนาเราก็เหมือนกัน อย่าเพิ่งเชื่อ กาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วพยายามปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามันเป็นจริง ความจริงมันก็คือความจริง พิสูจน์อย่างไรก็เป็นความจริง เพราะมันเป็นความจริงอยู่แล้ว มันเป็นความจริงอยู่แล้ว แล้วเรายิ่งพิสูจน์ยิ่งตรวจสอบ มันยิ่งชัดเจนๆๆๆ ขึ้น ชัดเจนจนเวลามันสมุจเฉท มันเป็นสมบัติของเราเลย มันเป็นจริงอยู่แล้ว ตรงนี้ถ้าเราตรวจสอบแล้วมันก็เป็นคุณสมบัติของเราใช่ไหม ไม่ใช่เราจะไปเชื่อเลยหรือตามเขาไปเลย อันนั้นเรายังไม่เชื่อใจ

นี่พูดถึงทำอย่างไรให้จิตตั้งมั่น เข้มแข็ง และมีกำลังใจกำจัดกิเลส

นี่เราพูดถึงตั้งแต่ที่มาที่ไปเลย ที่มาที่ไปคือว่าทุกคนมันมีเบื้องหลังมา ทุกคนมีอดีตชาติมา ไม่ใช่ว่าเวลาเราเกิดมาประชาธิปไตย เกิดเป็นมนุษย์แล้วเท่ากันหมด แต่ที่มาไม่เหมือนกัน ที่มาไม่เหมือนกัน คนสร้างบุญกุศลมาแตกต่างกัน แต่มาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่กำลังของจิต อำนาจวาสนาของคนถึงไม่เหมือนกัน

ทีนี้เวลาปฏิบัติไปแล้วครูบาอาจารย์ท่านดูตรงนี้ ท่านดูตรงนี้ ดูจริตดูนิสัย ดูเวลาปฏิบัติไปให้ตรงกับกิเลสของตัว ให้ตรงกับสิ่งที่ข้อมูลที่เราต้องไปแก้ไข แล้วถ้าใครแก้ไขโจทย์นั้น แก้ไขถูกต้องอันนั้น ผัวะ! มีคุณธรรมขึ้นมาเลย มันทำอย่างนั้น นี่เป็นความจริงอย่างนั้น

แต่ถ้าไปศึกษามา จำมา สูตรสำเร็จ สาธารณะ ยังไม่เป็นของใคร แต่เราปฏิบัติเวลาเป็นจริงแล้วมันจะเป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา มันจะเป็นอัตตสมบัติ

หลวงตาท่านเน้นย้ำมาก พระต้องมีสมบัติ สมบัติของพระคือศีลคือธรรม ศีลธรรมนี้เป็นสมบัติของพระ ทางโลกเขา สมบัติของเขาคือแก้วแหวนเงินทอง ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ แต่สมบัติของพระ อัตตสมบัตินี้ต้องเป็นศีลเป็นธรรมในหัวใจของพระ เอวัง