ถ้ารู้ ถ้าเห็น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “อนันตริยกรรม”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ปัจจุบันนี้ผมมีทุกข์มากกับการที่ต้องดูแลแม่ที่ป่วยหนัก ต้องวิ่งพาแม่ไปโรงพยาบาลอาทิตย์ละ ๓-๔ วัน ภาระทางการงานก็ต้องทำ บางทีเหนื่อยมากจนจิตมันก็คิดอกุศลอยากให้แม่ไปสบาย ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันผิด เลยมีข้อถามหลวงพ่อดังนี้
๑. การคิดเช่นนี้ หากว่าแม่ตายไป จะเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่
๒. ผมควรวางจิตอย่างไรดีครับเพื่อไม่ให้มันคิดอกุศลแบบนี้อีก
ขอความกรุณาหลวงพ่อแนะนำด้วย
ตอบ : นี่เวลาหน้าที่ไง เวลาหน้าที่ของเรา ลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรามีชีวิตมาจากพ่อจากแม่นะ แล้วมีจากพ่อจากแม่ ถ้าแม่เป็นแม่ที่มีคุณธรรม แม่ที่ดีมาก เราจะมีความภูมิใจ แต่คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ไง แต่พ่อแม่เรา เวลามันทุกข์มันยาก พ่อแม่เราไม่เทียมหน้าเทียมตาคนอื่น ก็พ่อแม่ของเรา ก็พระอรหันต์ของเรา ถ้าพระอรหันต์ของเราเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ ทำไม ถ้าพระอรหันต์ของเรา เราก็ต้องภูมิใจในพ่อแม่ของเรา
ฉะนั้น พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราแสวงหาพระอรหันต์นอกบ้านกัน เราแสวงหาคุณงามความดีจากนอกบ้านกัน เราก็แสวงหาความดีนอกจากร่างกายของเรา ถ้าเราแสวงหาความดีจากในบ้านของเรานะ แสวงหาความดีจากพ่อแม่ของเรา เราก็เหมือนกับเราปฏิบัติเพื่อแสวงหาความดีจากหัวใจของเรา
ทีนี้พอเรามาศึกษา พอศึกษามาว่า พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราต้องมีความกตัญญู เราต้องดูแลพ่อดูแลแม่ สุดท้ายแล้วความทุกข์มันบีบคั้นเพราะเราต้องพาพ่อพาแม่ไปโรงพยาบาล เราต้องดูแลรักษาพ่อแม่
เวลาพ่อแม่เจ็บหนักนะ ในทางการแพทย์ ผู้ที่เจ็บหนักที่ใกล้จะเสียชีวิต บางโรงพยาบาลมันรีด รีดเอาแต่ผลประโยชน์ เห็นอย่างนั้นมันก็เศร้าใจนะ
เรามีลูกศิษย์คนหนึ่งเขามีการศึกษานะ เขาเป็นดอกเตอร์ แล้วแม่เขาป่วยหนัก พอแม่เขาป่วยหนัก เขามีเงินมาก แล้วมีพี่น้องหลายคนไง พอพี่น้องหลายคน จนหมอมันรีดเอาสตางค์จนหมอมันไม่อยากได้สตางค์อีกแล้ว มันพูดกับครอบครัวของเขาบอกว่า พี่น้องให้ปรึกษากัน ให้ปรึกษากันว่าจะปล่อยวางเมื่อไหร่ เพราะว่าถ้าจะให้ดูแลไป มันดูแลนะ เขาเป็นเบาหวานด้วยไง เขาตัดมาจนเหลือแต่ตัว ตัดขา ตัดมาหมด เพราะเทคโนโลยีมันสูงใช่ไหม มันก็ดูแลได้มาตลอดใช่ไหม เขาบอกมันตายแล้ว ตัวมันเขียวแล้ว แต่เขาก็ยังใช้ท่อช่วยหายใจอยู่อย่างนั้นน่ะ
ทีนี้พี่น้องตกลงกันไม่ได้ เพราะพี่น้องบางคนก็รักแม่มาก คนนู้นก็รักมาก ถ้าเอ็งเอาออก มึงไม่รัก ไอ้นี่เขามีการศึกษาไง พอมีการศึกษา เป็นพี่น้องกัน เขาก็ดูมาตลอด แล้วพอตกลงได้ มันหมดเวรหมดกรรม ตกลงกันได้ พอตกลงกันได้ พอชักสายออก ตัวเขียวหมดเลย แล้วทางการแพทย์บอกว่ามันตายมานานแล้ว มันตายมานานแล้วไง แต่ตายมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตรงนี้เขาเลยแบบว่าเศร้าใจมาก เขาเศร้าใจมาก
พอสุดท้ายเขามาหาเราเลย เขาลาออกจากงานหมดนะ เขาจะบวชเลย เขาบอกว่า ไอ้การที่ว่าได้ดูแลพ่อแม่นี่แหละ ได้ดูแลแม่ มันสะเทือนใจมาก เห็นถึงชีวิตไง เห็นถึงชีวิตว่ามันเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นขนาดไหน กรณีนี้มันมีมาตลอดใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน บอกว่า ถ้ากรณีพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ เราไม่ได้ติเลยนะ เราไม่ติว่าเขามีความคิดอย่างนี้ เพราะความคิดอย่างนี้ คิดดูสิว่า พ่อแม่เรา แม่ของเราเจ็บไข้ได้ป่วย แบบว่าทางการแพทย์รักษาไม่ได้แล้ว ว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วถ้ารักษาไม่ได้ เพราะคนที่มาหาเรา เวลาพ่อแม่เขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็จะแบบว่ามาทำบุญ บังสุกุลถึงพ่อถึงแม่ให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย บางคนก็หายเจ็บไข้ได้ป่วย แต่บางคนมันอาการหนัก เขาก็พูดทำนองว่า ถ้าพ่อแม่หายได้ก็ขอให้หาย ถ้ามันรักษาไม่ได้ก็ขอพ่อแม่ให้ไปสบาย
คือว่าถ้ารักษาหายก็ขอให้หายมาเลย ถ้ารักษาไม่หาย ภาษาเรานะ ก็ให้เสียชีวิตไปเลย จบ มีคนคิดอย่างนี้เยอะ ทีนี้เราจะย้อนกลับมาคำถามนี่ไง เราจะบอกว่า คำถาม พอเราศึกษาธรรมะแล้วมันก้ำกึ่งว่า อ้าว! ถ้าเราคิดอย่างนี้แสดงว่าเราก็เป็นลูกอกตัญญูน่ะสิ
บางทีเราเห็น เห็นว่ามันเหนื่อยมาก พาไปโรงพยาบาล ๓ วัน ๔ วัน ต้องไปโรงพยาบาลตลอด ไอ้เรื่องนี้มันเป็นคุณธรรม เป็นหน้าที่นะ อย่าเสียใจ ตอนที่มีชีวิตแล้วรักษาอยู่อย่างนี้ เพราะเวลาท่านเสียไปแล้ว เราจะมาเสียใจทีหลังว่าเราไม่ได้ทำคุณงามความดีหรือเราไม่ได้ดูแลให้สมบูรณ์
ตอนที่มีชีวิตอยู่ขอให้ดูแลให้สมบูรณ์ ขอให้ดูแลให้สมบูรณ์ ให้สมกับความเป็นมนุษย์ แล้วถ้ามันสมบูรณ์แล้ว เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้น จำเป็นว่าเขาต้องเสียชีวิตไป อันนั้นมันก็กรรมของสัตว์ กรรมของเขาไง ก็กรรมของพ่อแม่เรา พ่อแม่เราท่านได้ทำบุญทำกรรมมาแบบนี้ เราก็ได้ดูแลจนสุดความสามารถ สุดสายป่าน ว่าอย่างนั้นเลย
มันจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ชีวิตเราได้มาเพราะท่าน ได้ลืมตามองโลกก็เพราะท่าน ได้มีชีวิตอยู่นี้ก็เพราะท่าน ฉะนั้น มีสิ่งใดให้ได้ทั้งชีวิต ว่าอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ให้ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มันต้องให้ด้วยความมีสติมีปัญญา ถ้ามันมีความจำเป็นว่ามันเป็นการรักษาไม่ได้ มันเป็นการที่ว่ามันต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต มันก็ต้องให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะไปขวางความเป็นจริงใช่ไหมว่าท่านจะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเรากตัญญู เราจะขืนไว้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นความจริงอย่างนี้มันไม่เป็นอนันตริยกรรม ไม่เป็น ไม่เป็นหรอก
การที่เป็นอนันตริยกรรม เวลาทางโลกเขาทำความผิด องค์ความผิดเขาต้องสมบูรณ์ ศาลถึงตัดสินมีความผิดอย่างนั้น
ไอ้นี่พาพ่อแม่ไปโรงพยาบาล ควักเงินควักทองดูแลพ่อแม่ แต่เราคิดว่าพ่อแม่ให้ไปสบายนี่เป็นอนันตริยกรรม แล้วไอ้คนที่ไม่ดูแลพ่อแม่มันเลยนั่นคนดีใช่ไหม
มีลูกศิษย์เขาดูแลพ่อแม่เขาคนเดียวตลอดนะ เวลาพ่อแม่เขาตาย พี่น้องเขามาเต็มเลย มาปรึกษาเขาว่าจะจัดงานศพอย่างใด เขาบอกว่า ตามความสบายของพวกเอ็งเลย ตอนมีชีวิตอยู่ ข้าได้ทำเต็มสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้มันเป็นงานศพไง ตอนมีชีวิตอยู่ เขาดูแลอยู่คนเดียว ดูแลอยู่คนเดียว อุ้มเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาสนใจเลย แต่พอแม่ตายตูม โอ้โฮ! มีคนรักแม่เยอะแยะเลย มาจัดงานใหญ่โต เขาบอกพี่น้องเขา ใครมีความคิดอย่างไร เชิญตามสบายนะ เพราะเขาอุปัฏฐากแม่เขามาเต็มที่แล้ว เขาได้เห็นมาตลอดไง แล้วมันสะเทือนใจ สะเทือนใจใช่ไหม เราดูแลอยู่คนเดียว ไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่มันสะเทือนหัวใจไง ทีนี้พอพ่อแม่เสียปั๊บ อู๋ย! เขามากันเต็มเลย มานั่นก็คือมาเพื่อศักดิ์ศรีของเขา มาเพื่อหน้าตาของเขา
เวลาพ่อแม่อยู่ จริงๆ นะ ลูกทุกคนนะ พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย แค่ไปเยี่ยม พ่อแม่ก็ภูมิใจแล้ว เวลาพ่อแม่ป่วย เอ็งเคยได้มาดูมาแลไหม เวลาพ่อแม่เอ็งตาย โอ้โฮ! ปรึกษากันเลย จะจัดงานใหญ่โตขนาดไหน ไอ้นั่นเป็นความคิดของเขานะ
ฉะนั้น กรณีนี้ที่ว่าเขามีความคิดอย่างนี้แว็บขึ้นมา “๑. การคิดเช่นนี้ หากว่าแม่ตายไป จะเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่”
ไม่ ไม่เป็น ไม่เป็นเด็ดขาด ถ้าเป็นนะ หนึ่ง การฆ่าพ่อฆ่าแม่มันต้องลงมือทำ ไอ้นี่มันไม่ลงมือทำ แต่ไอ้ความคิดอย่างนี้มันเป็นความคิดที่ว่าเราคิดว่าดีไง เราคิดว่าดี เราคิดว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่หมดทางรักษาแล้ว ถ้าเขาจะไปด้วยความสะดวกสบาย เขาเรียกมีบุญนะ คนนอนตายนี่เขามีบุญมาก ไอ้เราเจ็บกระเสาะกระแสะ โอ้โฮ! เจ็บปวดตลอด คนเขานอนหลับไป ตายไปเลย ทุกคนต้องการอย่างนั้นน่ะ หลับไปเลย นั่นน่ะเขามีบุญ
เราก็คิดอย่างนี้ไง คิดว่าถ้าแม่จะต้องเสีย แม่จะต้องไป ก็ให้ไปตามสะดวกไง คิดอย่างนี้มันจะเป็นอนันตริยกรรมตรงไหน มันไม่เป็นอนันตริยกรรม ทีนี้ถ้าพูดเลยเถิดไปมันจะเป็นเรื่องคดีอาชญากรรมแล้ว เอาแค่ธรรมะ
กรณีอย่างนั้นเพราะใจคนมันเจ้าเล่ห์แสนงอนนะ ใจคนนี่เจ้าเล่ห์มาก แล้วถ้าใครมีอะไรคิดอยู่อย่างนี้ พอหลวงพ่อพูดอย่างนี้ มันจะเอาคำพูดเราไปหนุนความคิดอันนั้น ใจคนนี้เจ้าเล่ห์มาก แต่เราเอาแค่คำถามว่า เป็นความวิตกกังวลว่า ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วจะเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่
ไม่เป็น ไม่เป็น แต่เราต้องดูแลพ่อแม่ต่อไปนะ ต้องดูแลต่อไปให้ดี
“๒. ผมควรวางจิตอย่างใดเพื่อไม่ให้มันเกิดอกุศลแบบนี้”
ก็วางจิตโดยปกติ มีสติไว้ พอมีสติ เราคิดแบบนี้ เราคิดแบบทางการแพทย์ คิดแบบเป็นวิทยาศาสตร์ไง แต่ถ้าเราจะไม่คิดแบบนั้น เราจะดูแลต่อไปจนสิ้นเวรสิ้นกรรมของพ่อของแม่ เราก็มีสติไว้ เรามีสติของเรา เรามีสติ ความคิดอย่างนี้ความคิดมันเกิดดับทั้งนั้นน่ะ แต่นี้พอเรามีความคิดอย่างนี้ แล้วเราเข้าใจว่ามันผิด พอมีความคิดว่ามันผิด มันจะย้ำคิดตรงนั้น มันจะคิดอยู่เรื่อยเลย มันจะผิด มันไม่ดีๆ ก็จะคิดอยู่เรื่อย ไอ้ที่ดีไม่คิดนะ
ฉะนั้น มีสติไว้ว่า เราคิดแบบทางวิทยาศาสตร์ คิดแบบทางการแพทย์ แต่เราก็รักแม่เราอยู่วันยังค่ำ เราก็ยังรักของเราอยู่นี่ เราก็ยังดูแลของเราอยู่ เหนื่อยไหม เหนื่อย ทุกไหม ทุกข์แน่นอน แต่มันจะเหนื่อยมันจะทุกข์ขนาดไหน มันก็เป็นผลของวัฏฏะไง เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายแน่นอน พ่อแม่ของเราก็เป็นแบบนี้ เราก็เป็นแบบนี้ ลูกของเรามาก็ต้องเป็นแบบนี้ต่อไปข้างหน้า เพียงแต่เวรกรรมของใครจะมากน้อยขนาดไหน เวรกรรมของใคร เวรกรรมใครสร้างสมมาอย่างใด อันนี้เราก็พยายามทำคุณงามความดีของเรา ตอนนี้เราทำของเรา
เราควรจะวางจิตอย่างไร
วางจิต เราต้องมีสติไว้ ทำถึงที่สุด ทำถึงที่สุดจนกว่าจะหมดวาระไป ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็จบ โดยที่ไม่ให้คิดอกุศล คำว่า “ไม่ให้คิดอกุศล” เรายังมีกิเลสอยู่ ไว้ใจไม่ได้หรอก คำว่า “ไม่ให้คิด” ก็คนตายแล้ว ซากศพคิดไม่ได้ แต่ความจริง จิตตายไปแล้วมันยังไปคิดอยู่นะ แต่ซากศพกองอยู่นั่น แร่ธาตุคิดไม่ได้ แต่จิตมันคิดได้ จิตนี้มหัศจรรย์นัก
จิตนี้มหัศจรรย์นัก หลวงปู่มั่นบอกจิตนี้มหัศจรรย์นัก เป็นได้หลากหลาย เป็นเทวดา อินทร์ พรหมได้เลย มนุสสเทโว เป็นมนุษย์เทวดา มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์ มนุษย์เปรต ใจนี้มันเป็นได้หลากหลายเลย มนุษย์คนเดียวนี่แหละ เป็นเทวดาก็ได้ ดูอย่างในหลวงเป็นเทวดาเลย ให้ทั้งประเทศ ให้ทุกอย่างเลย จะเป็นเทวดาก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นผีก็ได้ เพราะความคิดมันเป็น ความคิดนิสัยสันดานมันเป็น
แต่ถ้าเรารักษาใจเราๆ รักษาใจเราให้เป็นคนดี รักษาใจเราเป็นคนดี เราคนหนึ่ง เดี๋ยวก็เป็นเปรต เดี๋ยวก็เป็นเทวดา เวลารักแม่ก็เป็นเทวดา เวลาคิดอย่างอื่นเป็นเปรต มันเป็นเปรตแล้ว
มีสติคิดไว้อย่างนี้เพื่อไม่ให้อกุศลเกิด คนเรายังมีความคิดอยู่ คนที่จะไม่คิดเลย จะเท่าทันความคิดได้ตลอดคือพระอรหันต์เท่านั้น แม้แต่พระอนาคามีก็ยังมีความคิดลึกๆ นะ ฉะนั้น เป็นพระอรหันต์เท่านั้น
เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่เรามีเป้าหมายอยากเป็น ฉะนั้น เราก็พยายามจะทำทางของเรา คือดูแลพ่อดูแลแม่ ดูแลสรรพสิ่ง อย่าให้เป็นเวรเป็นกรรม ให้เป็นหนทางที่โล่งโถง ให้เป็นหนทางเดินที่เราสะดวก เราทำของเราไว้ เพราะว่าถ้าเราไปทำสิ่งใดที่เป็นบาปอกุศล มันฝังใจไป ไปปฏิบัติมันก็ไปนั่งเสียใจไง ไม่น่าเลยๆ ไม่น่าเลยก็เป็นอดีตไปแล้ว ฉะนั้น ตอนนี้เป็นปัจจุบัน ตั้งสติไว้ ถ้าตั้งสติไว้ ไม่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนั้น มันก็เป็นว่า เป็นอนันตริยกรรมหรือไม่
ไม่ ไม่เป็น จบ เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป อันนี้สิยาวมาก
ถาม : เรื่อง “กราบขอคำชี้นำ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ วันนี้ผมขออนุญาตเล่าถวายสิ่งที่ผมพบและทราบ และกราบขอความเมตตาจากหลวงพ่อตามความเห็นหลวงพ่อสมควร
ในการภาวนาล่าสุดของผม ผมได้ทำสมาธิโดยการจับที่คำเทศน์ของหลวงพ่อเรื่อง “กิเลสเหยียบเมฆ” ครับ ระหว่างที่ฟังไปในขณะหนึ่งก็ปรากฏภาพร่างกายเป็นส่วนๆ ขึ้นมา แต่ผมคิดในใจว่าจะฟังเทศน์ให้จบเสียก่อน และเพราะผมไม่มั่นใจว่านี่คือความเห็นจริงหรือไม่ อีกทั้งผมรู้สึกว่าจิตของผมจดจ่อกับคำเทศน์จนเกิดสมาธิในขณะนั้นครับ
หลังจากเทศน์หลวงพ่อจบ ผมก็ใช้คำบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆต่อครับ บริกรรมได้ไม่นานก็เกิดภาพของหัวกะโหลกที่มีชิ้นเนื้อติดอยู่บ้าง ผมมองภาพนั้นจนปรากฏเป็นภาพใบหน้าของหญิงสาวที่สมบูรณ์ครับ และกลับมาเป็นภาพกะโหลกอีกครั้ง ทีแรกผมคิดว่าเห็นผีเข้าแล้ว จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงของผมเองว่า เราก็ผีตัวหนึ่งเหมือนกันนี่แหละ
หลังจากได้พิจารณาคำพูดที่ว่าผมก็เป็นผีตัวหนึ่ง ผมก็เห็นภาพโครงกระดูกครับ โครงกระดูกนั้นอยู่ในท่านั่งสมาธิประจันหน้ากับผมนั้นเลยครับ ผมนั่งดูโครงกระดูกนั้นทีละส่วนๆ ครับ ผมไม่มีความรู้สึกกลัวภาพที่ปรากฏเลยครับ แต่กลับรู้สึกดีใจและสะอิดสะเอียนไปพร้อมๆ กัน
ผมกำหนดจิตไปตามร่างกายของผมครับ กำหนดไปที่หัวก็เห็นภาพหัวกะโหลก มองทะลุเข้าไปก็ไปเห็นก้อนสมอง ผมเกิดปวดขาก็กำหนดจิตไปที่ขา ที่หัวเข่า ก็เกิดภาพกระดูกท้องขาและเอ็นหัวเข่า กำหนดไปที่หน้าท้องก็เกิดภาพตับไตลำไส้เรียงกัน
ผมพิจารณาว่า เมื่อเราตาย เราก็เป็นแบบนี้นี่เอง แล้วผมก็ได้ยินเสียงตัวเองอีกครั้งว่า ยังไม่ทันตายก็เป็นแบบนี้แล้ว กระดูกตับไตลำไส้อยู่ในตัวเราทั้งหมดทุกขณะที่ไปไหนมาไหนนี่แหละ
ผมพิจารณาไปเรื่อยๆ จนภาพเห็นชัดเริ่มรางๆ ลง และความรู้สึกขนลุกสะอิดสะเอียนคลายลง แล้วผมจึงออกจากสมาธิครับ
ผมอยากขอความเมตตาหลวงพ่อพิจารณาอธิบายถึงภาพและอาการของผมที่เล่ามาด้วยครับ และผมกราบขอคำแนะนำจากหลวงพ่อด้วย
ปล. ผมเคยส่งคำถามถามหลวงพ่อว่าการวิปัสสนาคือปัญญาของใคร หลังจากได้ฟังเทศน์หลวงพ่อที่เมตตาตอบ ตอนนี้ผมพอรู้บ้างแล้วครับ ที่ยังขาดก็คือความเพียรและสมาธิของผมที่ยังไม่ดีขึ้นครับ
ตอบ : อันนี้เขารายงานผลปฏิบัติ ถ้ารายงานผลปฏิบัติปั๊บ พอจิตเขาสงบแล้ว เห็นไหม เขาฟังเทศน์ คำว่า “ฟังเทศน์” เวลาฟังเทศน์ เราเกาะเสียงของครูบาอาจารย์ไป เราจะได้ประโยชน์มาก
เพราะธรรมดาความคิดเรามันฟุ้งซ่านมาก แล้วเราพยายามพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเพื่อจะควบคุมใจของเรา เราต้องลงทุนลงแรงเรามาก
แต่ขณะที่เราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านเทศน์เป็นสัจธรรม ถ้าเราอาศัยเกาะสิ่งนั้นไปแล้วจิตมันลง พอจิตมันลงปั๊บ จิตเป็นสมาธิปั๊บ พอเขาว่า ฟังเทศน์ไป จิตมันจะลง ผมก็พยายามขืนไว้จนกว่าเทศน์หลวงพ่อจะจบ พอเทศน์หลวงพ่อจบแล้ว ผมก็พุทโธ ธัมโม สังโฆต่อเนื่องไป พอต่อเนื่องไป จะเห็นเกิดภาพกะโหลก เห็นไหม ภาพกะโหลก มีชิ้นเนื้อติดมาด้วย
ถ้าจิตมันสงบ จิตมันสงบ มันจะเห็นนิมิตอย่างนั้นได้ เห็นกายได้
การเห็นกาย การเห็นกายมันเห็นได้หลากหลายมาก เหมือนสายตาเรานี่ สายตาเราจะเห็นภาพอะไรร้อยแปดพันเก้าไปหมดเลย แต่มันอยู่ที่วุฒิภาวะของคนมอง วุฒิภาวะของคนมองว่ามีวุฒิภาวะแค่ไหน ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะเขามองสิ่งใดแล้ววางหมดเลย เข้าใจหมด นักวิทยาศาสตร์เขามองอะไรเขาเฉยหมด
ไอ้เราไปมอง ตื่นไปหมดนะ พอบวชมา ๔๐ ปีไม่เคยเห็นไง ออกไปถนน เห็นอะไรก็ตื่นไปหมดเลย โอ้โฮ! เห็นแสงสียังตกใจเลย เพราะไม่เคยเห็น
แต่นักวิทยาศาสตร์เขาเฉย เขามีคำตอบหมด มองเห็นสิ่งใดก็มีคำตอบหมด มันจะไปตื่นเต้นอะไรล่ะ แต่ถ้าเราไม่มีคำตอบสิ มองเห็นอะไรก็โอ้โฮ! อยากได้อยากดี ตื่นเต้น หัวใจนี่หวั่นไหวไปหมดเลย
นี่พูดถึงว่าการเห็นไง ถ้าการเห็น เราเห็นอะไร แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตมันสงบ ที่มันเห็น เห็นก็อย่างที่เขาว่า พอเห็นอย่างที่เขาว่า บอกเห็นกะโหลกที่มีชิ้นเนื้อติดมา
เวลามองเข้าไป มองเข้าไปมันย่อยสลายได้ การเห็นกายมันไม่ใช่เห็นผี อย่างที่ว่าเขาตกใจ พอจิตมันสงบแล้ว พอเห็นกะโหลกขึ้นมา กลัว คนใหม่ๆ จะคิดอย่างนั้น เพราะคนที่ปฏิบัติใหม่จะเขียนคำถามมาถามมากว่าไม่อยากเห็นกาย ไม่อยากเห็นผี แต่อยากบรรลุธรรม
เราบอกว่า นี่ความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิด เราไปเห็นผีคือเห็นจิตวิญญาณคนอื่น แต่จิตเราสงบแล้วเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่มีองค์ความรู้พร้อม แล้วทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เราทดสอบเราทำวิจัยทุกอย่าง งานแต่ละชิ้นเสร็จสิ้นเป็นงานวิจัยของเรา
จิตสงบแล้วเห็นกาย จิตสงบแล้วเห็นกาย พอเห็นกายแล้ว ถ้ามันเปลี่ยนแปลงอย่างที่เขาว่า เห็นกะโหลกศีรษะมีหนังติดอยู่ เวลามองเข้าไป เขามองไปด้วยจิตของเขา ไม่ได้มองด้วยตา ไม่ได้มองด้วยสมอง เขามองไปด้วยจิตของเขา พอมองด้วยจิตของเขาไป มันจะไปเห็นก้อนสมอง ไปเห็นต่างๆ เห็นสมอง แล้วถ้ามันมีกำลังแล้วมันจะย่อยสลายของมันไป นี่ถ้ามันเห็นจริง คนเห็นจริง คนเห็นจริงมันพูด มันจะถูก ถ้าคนไม่เห็นนะ มันพูด พูดมันก็พูดไปอย่างนั้นน่ะ
ฉะนั้น สิ่งที่เขาเห็น พอเขาเห็นแล้วเขาตกใจว่ามันไม่อยากเห็นผี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตัวเอง
คำว่า “ได้ยินเสียงตัวเอง” นี่ธรรมะ ธรรมเกิดๆ เป็นอย่างนี้ ธรรมเกิดๆ นะ สัจธรรม สัจธรรมนะ ดูสิ ไฟฟ้าสถิตมันมีอยู่แล้ว ถ้าเมื่อไหร่มีพายุ มีก้อนเมฆ มันสันดาปกัน มันจะเกิดพลังงานทันทีเลย มันมีของมัน เห็นไหม แต่เวลามันปลอดโปร่ง มันอยู่ไหนล่ะ แต่ถ้ามันเกิดก้อนเมฆ มันเกิดความชื้นในก้อนเมฆ พอมันเกิดสันดาป มันมีอะไรล่ะ ฟ้าแลบ
จิต จิตถ้ามันมีกำลังของมัน จิตมีกำลังของมัน ถ้ามีกำลังแล้วมันเห็นกายของมัน มันเห็นกายมันแยกสลายของมันไป มันเห็นนิมิต ทำไมมันเป็นได้ล่ะ นี่เขาว่ามีคุณธรรมไง แต่ไอ้เราอยากเห็นโดยคิดไง ก็อยากเห็นฟ้าแลบใช่ไหม ก็เปิดไฟ มันทำได้หมดแหละ อันนี้เขาเรียกจินตมยปัญญา จินตนาการมันร้อยแปดพันเก้า
แต่ถ้าเป็นความจริง มันเป็นความจริงนะ ถ้าความจริง คนไม่เป็น ความจริงไม่รู้ พูดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นขึ้นมา ถ้าเป็นขึ้นมา ฉะนั้น เวลาเป็นจริงขึ้นมา
เพราะมันมีเราใช่ไหม มีเรา จิตมันถึงได้บอกว่า เห็น คิดว่ากลัวผี จู่ๆ ก็มีเสียงขึ้นมา เสียงบอกเสียงเตือนขึ้นมา
หลวงตา เวลาท่านพิจารณาของท่านสูงๆ นะ จิตนี้มันพิจารณาไป นั่งอยู่อย่างนี้ มองไป ว่างหมด ไม่มีวัตถุอะไรขวางได้เลย ท่านก็มหัศจรรย์ใจของท่านไง นี่ไง ว่าจิตเวลามันภาวนามันมหัศจรรย์ขนาดนี้
เราเป็นคนเห็นเอง เราเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ เราเชื่อในความเห็นของเรานะ แต่ของเราอยู่ทุกวัน เพราะเราอยู่ที่ไหนมันจะคุ้นชินใช่ไหม เราอยู่นี่ เราก็เห็นภูเขาตั้งหลายลูก แต่พอจิตมันดี มันมองไป ภูเขามันไม่มี เราตกใจไหม มองไปนี่มันทะลุไปเลย พอทะลุไป มันก็มหัศจรรย์ถึงความเห็นของตัว ไม่ใช่ตกใจนะ มหัศจรรย์
ท่านบอกว่าธรรมะมาเตือน ธรรมะมาเตือนว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นนี้เกิดจากจุดและต่อม สิ่งที่รู้ที่เห็น มันมีผู้รู้ มีผู้ที่แสดงออก ท่านก็สะดุดเลย ก็ยังหาไม่เจอ อะไรเป็นจุดอะไรเป็นต่อม หาไม่เจอ นี่คนที่มีคุณธรรม เสียงที่มันเกิดขึ้น หลวงตาท่านบอกว่าธรรมะมาเตือน ธรรมะมาเตือน
นี่ก็เหมือนกัน เวลาตัวเองเห็นกะโหลก เห็นต่างๆ คิดว่าผี อยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเกิดขึ้นมา เสียง ได้ยินขึ้นมาเอง ได้ยินเสียงตัวเองว่าเราก็เป็นผีตัวหนึ่ง เราก็เป็นผีนี่แหละ พอเป็นผีขึ้นมา จิตตัวนั้นมันรับรู้ มันไม่ตกใจ มันไม่ส่งออก มันก็เป็นประโยชน์ต่อเนื่องไป นี่พูดถึงว่าเวลาเขาเห็นจริง เวลาเห็นจริงมันจะเป็นประโยชน์อย่างนี้ ถ้าเห็นเป็นประโยชน์ นี่เวลามันเป็นไป
เวลามันเห็น เวลามันพิจารณาไป มันจะเกิดสิ่งที่ว่าเสียงที่เขาได้ยิน เขาเรียกว่าปัญญา เรามีความสงสัยอะไร เรามีความข้องใจสิ่งใด เวลาเห็นไปแล้วมันเคลียร์หมดไง แล้วมันเคลียร์หมดแล้วภาพนั้นมันจะสลายลง พิจารณากาย กายนี้ราบหมดเลย ถ้าคนพิจารณากายนะ
หลวงตาท่านพิจารณากาย พิจารณาของท่าน พิจารณา มันละลายไป หนังมันเปื่อยเน่าไป ทุกอย่างมันเปื่อยเน่าไป มันย่อยสลายไป มันหายไป จนเหลือแต่โครงกระดูก โครงกระดูกมันแข็ง มันไม่สลาย ท่านรำพึงต่อเลย ขอให้โครงกระดูกมันหายไป ท่านบอกว่าดินมันจะกลบ พรึบ! หายไปเลย อันนี้มันเป็น
เวลาพูดอย่างนี้ แล้วถ้าใครฟังธรรมะท่อนนี้แล้วไปภาวนาแล้วมาบอกเราว่า “ผมเห็นเป็นเนื้อมันละลายหมดเลย เห็นโครงกระดูกเลย แล้วผมเห็นแผ่นดิน”...เราไม่เชื่อคนนี้เลย เพราะหลวงตาท่านพูดไว้แล้ว มันเป็นสัญญา
เวลาคนเป็นหรือไม่เป็น เวลาหลวงตาท่านพูดนะ พอเป็นโครงกระดูก ท่านรำพึงในใจ คนเป็น มันเหมือนกับที่ว่าเวลามีฟ้าครึ้มฟ้าคะนอง มันจะมีพลังงาน จิตมันสงบแล้วมันมีของมัน มันเป็นไปของมัน เวลามันพิจารณาไป พอมันให้กระดูกกลายเป็นดิน ดินกลบทับกระดูกไปหมดเลย ราบหมด ไม่เหลือเลย แล้วมันเหลืออะไรล่ะ มันเหลืออะไร มันก็สังเวชไง มันก็สังเวช มันก็เป็นไป นี่พูดถึงการภาวนานะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเขาทำ เขาเขียนมาบอกว่าให้หลวงพ่อให้เมตตาแนะนำต่อเนื่อง
ถ้ามันเห็นอย่างนี้แล้วนะ เราจะบอกว่า สิ่งที่เขาเห็นมานี่คืออำนาจวาสนา คำว่า “อำนาจวาสนา” พวกเราเคยไปกินอาหารร้านอาหารที่อร่อยๆ เนาะ พอกินจบแล้ว แล้วอยากกินอีก ต้องไปไหน อยากกินอีกก็ต้องไปร้านเดิม
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน พอภาวนาผ่านไปแล้วมันก็จบแล้ว อาหาร วิปัสสนาคราวนี้เราใช้ปัญญาแล้วก็จบแล้ว เราได้เสพแล้ว แล้วเราอยากได้ดิบได้ดี ทำอย่างไรต่อ มันก็ต้องอยากกินอาหารที่ดี อยากกินอาหารโรงแรม ก็ต้องไปที่โรงแรมนั้น แล้วจะกินห้องอาหารไหนก็ต้องเลือกให้ถูกด้วย เดี๋ยวเข้าห้องผิด เข้าร้านอาหารให้ถูกไง
นี่ก็เหมือนกัน กลับมาทำให้จิตสงบเหมือนเดิม แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเหมือนเดิม ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันจะเห็นสิ่งใด มันจะรู้สิ่งใด มันจะรู้ของมัน ถ้ารู้ถ้าเห็น ถ้ารู้ถ้าเห็นมันจะเป็นประโยชน์แบบนี้
อันนี้พูดถึงว่ากราบเรียนหลวงพ่อให้ชี้ทางนะ
ถ้ารู้เห็น สิ่งที่เห็นมาๆ คำที่เห็นมานะ ธรรมะมันสอนแล้วแหละ เพราะเราจะบอกว่า ผู้ที่ปฏิบัติ เราจะมีนิสัย เราจะมีความเชื่ออันหนึ่ง แต่เราพอไปปฏิบัติ มันไปเจอความจริงอันนั้นน่ะ ความจริงอันนั้นน่ะมันจะมาลบความเชื่ออันนี้ ที่เอ็งเชื่อมันมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่มันมีส่วนไม่จริงเยอะเลย มันจะมาลบล้างเรื่อยๆ จนความเห็นของเรามันจะตรง
เริ่มต้นเราทุกคนศึกษามา เรียนธรรมะมา มันมีข้อมูลของตัวเองทั้งนั้นน่ะ แล้วพอปฏิบัติ ข้อเท็จจริงมันเกิดขึ้น เฮ้ย! มันไม่เหมือนที่เรียนมาเลย เอ๊ะ! มันไม่ค่อยเหมือนกันเลย มันไม่เหมือนกันเลย
ให้ปฏิบัติซ้ำ ปฏิบัติซ้ำ ข้อเท็จจริงมันจะเกิดขึ้น
ฉะนั้น เวลาคำถามเวลาเขาถามว่าให้ชี้แนะต่อไป ชี้แนะต่อไป
ให้ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วทำต่อเนื่องๆ ทำต่อเนื่องไป มันก็จะปฏิบัติไป ให้รู้จริงเห็นจริง ไอ้นี่รู้เห็น ถ้ารู้ถ้าเห็นมันยังไม่จริงมันก็จะเป็นแบบนี้ ถ้ารู้ถ้าเห็นจริงมันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมานะ
อ้าว! เดี๋ยวมันจะยาวเกินไป
ถาม : ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกอายุ ๑๕ ปี โดนลูกแทงเมื่อวันที่ ๒๗ นี้ ควรทำใจอย่างไร ทางโลกและทางธรรม
ตอบ : ทางโลก ถ้าคนโดนแทงไม่เอาความ มันคงจะไม่เป็นคดีเนาะ เพราะเป็นญาติ แต่มันอยู่ที่ทางกฎหมาย กฎหมายถ้าพูดถึงอะลุ่มอล่วยก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาไม่อะลุ่มอล่วย มันก็เป็นเรื่องของเขานะ
แต่ถ้าเป็นทางธรรม ทางธรรมก็ลูกเราเอง ลูกเราเอง ก็เราเลี้ยงมันมา เราเลี้ยงมันมา
มันมีนะ เราดูข่าวอยู่ เมื่อเร็วๆ นี้ พ่อ ลูกชาย จังหวัดทางภาคเหนือ เขาไปขอเงินพ่อ เอาเงินพ่อไปซื้อยาจนพ่อหมดเนื้อหมดตัว วันนั้นก็เอารถเครื่องไปจอดหน้าบ้าน แล้วบังคับให้พ่อขึ้นรถ รถจักรยานยนต์ พ่อนั่งท้ายรถแล้วจะไปหาเงินหาทองให้ลูกชายคนนี้ไปซื้อยาบ้าอีก พอลูกชายขึ้นคร่อมรถติดเครื่อง พ่อถือขวานมานะ ขึ้นซ้อนท้ายรถที่ลูกบังคับให้นั่งไป แล้วพ่อใช้ขวานฟันหัวลูกเลย ตายคาที่
เจ้าหน้าที่มา ตำรวจมาถาม บอกว่ามันรังแก มันทำร้ายมาตลอด มันไถเงิน มันทำร้ายมาตลอด แล้วตอนนี้มันจะให้ไปทำร้ายคนอื่นอีก เราเป็นคนทำให้เขาเกิดมา ต้องรับผิดชอบ ตัดสินใจฟันไปที่ศีรษะ ตายคาที่ นั้นพ่อฆ่าลูก ฆ่าเพราะมันสุดความสามารถที่จะรักษา กรณีนี้กรณีเวรกรรม นั่นกรณีหนึ่ง
ทีนี้กรณีลูกแทงแม่ ถ้าแม่ก็ต้องอโหสิ ว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วมันก็มาตรงนี้ ถ้าเป็นทางธรรมนะ ก็ลูกเราเอง ถ้าลูกเราเองนะ เราก็เลี้ยงมาดี เราจะโทษว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่ไม่เลี้ยง ไม่ใช่ พ่อแม่สั่งสอนแล้วพยายามดูดีมาก
แต่ถ้าคนมีเวรมีกรรมต่อกันนะ มันมีที่ว่า มีอยู่ครอบครัวหนึ่งพามาหาเรา เขาพาลูกชายมาหาเรา เขาบอก “หลวงพ่อ ไปหาพระที่ไหน พระเขาว่ากรรมๆๆ ทั้งนั้นน่ะ หลวงพ่อพูดมาซิว่ามันกรรมอะไรเนี่ย ผมนะ...” เขาว่าเขาเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ ภรรยาก็เป็นแพทย์ นายแพทย์ ลูกชายก็เป็นนายแพทย์ แต่ลูกชายเสียสติไป “...ผมไม่เคยเห็นเลยว่าผมทำความผิดอะไร ผมเป็นคนดีคนหนึ่ง ภรรยาผม ผมก็มั่นใจว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ลูกชายผม ผมก็มั่นใจว่าเขายิ่งเป็นคนดีใหญ่ เขารักเพื่อน เขาเป็นคนดี เพื่อนฝูงเยอะแยะ รักเพื่อนหมด ทำไมลูกชายผมเป็นแบบนี้ หลวงพ่อบอกมาว่ามันเป็นกรรมอะไร”
โอ้โฮ! จนตรอกเลย ไม่รู้กรรมอะไร เราบอกมันต้องมีสิ มันต้องมีที่มา เราอธิบายให้เขาฟังว่า โยมก็เห็นเฉพาะชาติปัจจุบันนี้ไง คนเรามันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ใช่ไหม อย่างที่ว่า นิสัยๆ คำว่า “นิสัย” เพราะเราภาวนา เราภาวนานะ เวลาจริตนิสัย เวลาภาวนา จริตของคนมันไม่เหมือนกัน พิจารณากายเหมือนกันก็ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะว่าอดีตชาติมันไม่เหมือนกัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระอรหันต์ต้องแสนกัป แล้วของเรา อดีตชาติมา ร้อยชาติ กี่พันชาติ
อยู่ในธรรมบท เห็นไหม พระองค์หนึ่ง มีร่ำลือว่ามีภิกษุณี ภิกษุณีเป็นคนที่เก่งมาก จะรู้วาระจิตของคนหมด พระองค์ไหนจะไปปฏิบัติที่นี่แล้วจะได้ผลไง พระองค์นั้นก็อยากไปบ้าง พอไป อยากจะกินอะไร เช้ามาแล้ว รู้วาระจิตหมด จนพระองค์นี้ โอ้โฮ! กลัว เขารู้จนกลัว เพราะตัวเองยังไว้ใจตัวเองไม่ได้ ก็กลับเลยนะ กลับไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไล่เลย ต้องกลับไปอยู่ที่เก่า ก็กลับไปอยู่ที่นั่น ภิกษุณีนั้นก็กำหนดจิต
กลัวมาก กลัวมากก็ภาวนา ภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ระลึกถึงคุณเขามาก ระลึกถึงบุญคุณเขามากเลย เขาดูแลหัวใจของเรา เพราะเรากลัวมากใช่ไหม เราต้องรักษาใจใช่ไหม เขายังเอาอาหารมาให้ทุกอย่าง เขาดูแลเราหมดเลย จนเป็นพระอรหันต์ ก็คิดถึงคุณเขา ย้อนอดีตไปว่าเรามีบุญคุณอะไรต่อกัน เขาถึงมีคุณกับเราขนาดนี้
กำหนดไปที่ชาติแรก โดนภิกษุณีนี้ฆ่า ไปชาติที่สองก็โดนภิกษุณีนี้ฆ่า เป็นคู่ครองกันมา โดนฆ่า พิจารณาไป ๙๙ ชาติ โดนฆ่ามา ๙๙ ชาติ เสียใจมาก ทั้งๆ ที่เขามีคุณนะ
ภิกษุณีบอกว่าขออีกชาติหนึ่งๆ ย้อนกลับไปชาติที่ ๑๐๐ พระองค์นี้ฆ่าภิกษุณี พระองค์นี้เคยฆ่าภิกษุณีมาแต่ชาตินั้น แล้วกรรมจะตอบสนองมา พระองค์นี้โดนภิกษุณีนี้ฆ่ามาอีก ๙๙ ชาติ ชาติที่ ๑๐๐ มาสำเร็จทั้งภิกษุณีและภิกษุนั้น สำเร็จไปด้วยกันทั้งคู่ ผลัดกันฆ่า
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน “ลูกผมทำอะไร ไม่มีความผิดๆ”
เราบอกว่า แล้วอดีตชาติล่ะ เขาเคยทำสิ่งใดมา โทษนะ เราย้อนกลับไปตอนนี้ วงการแพทย์ แพทย์ที่ดีเขาได้บุญกุศล จริงไหม แพทย์ที่เห็นแก่ตัวล่ะ เขาได้อะไรไป แล้วพอไปเกิดชาติใหม่ก็จะเอาเท่ากันหรือ เอาเท่ากัน ต้องเสมอภาคเท่ากัน ก็ทำมาไม่เหมือนกันน่ะ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังยืนยันอยู่ ใครทำใครได้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ทำไป ทำนั่นแหละ มันจะได้ของมัน
ฉะนั้น นี่พูดถึงว่า เฉพาะที่ว่าแม่โดนลูกสาวแทงเนาะ ถ้าโดนลูกสาวแทง อย่างที่ว่า ก็ลูก ทำใจไม่ได้หรอก ก็ต้องไปโอ๋มันอยู่วันยังค่ำน่ะ
นี่พูดถึงทางธรรมนะ ทางธรรมคือว่ารักษาหัวใจของแม่ไง แม่ก็ต้องกลับมาดูแลหัวใจของตัวเอง ลูกเราแท้ๆ ดี ให้มันทำเรา อย่าไปทำคนอื่น แล้วหันหน้ามาปรับกัน หันหน้ามาคุยกันน่ะ คุยกัน คุยกัน พยายามหาทางทำความเข้าใจกัน
มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ พอกรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่ามันมีเชื้อมา แล้วพอกรรมใหม่ทำอะไรให้ขัดใจกัน ไอ้ของกรรมเก่ามันกระตุ้น แล้วเต็มที่เลย แล้วถ้ากรรมดีมา เห็นไหม กรรมดี ดูสิ ลูกที่ดีๆ นะ แม่ๆ จะให้แม่ทำดีตลอด ถ้าลูกที่ดีๆ มา
อันนี้ลูกก็คือลูก ตัดไม่ขาดหรอก แต่ทีนี้ไอ้เรื่องเวรเรื่องกรรมนี่แขวนไว้ แต่ในชาติปัจจุบันนี้มันต้องดูแลกันถึงที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ มันปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ไอ้นี่พูดถึงว่าแม่โดนแทงเนาะ
เพราะว่าถ้าพูดไป มันเป็นบรรทัดฐาน เพราะคนจะฟังแล้วเอาไปวัดคนอื่น มันอธิบายให้หนักไปทางแม่ก็ได้ อธิบายให้เป็นกรรมของลูกก็ได้ จะอธิบายอย่างไร แต่เราพูดเป็นกลางๆ
ถาม : การมีสติกับทำจิตให้ว่าง ต่างกันอย่างไร
ตอบ : การมีสติเป็นพื้นฐานนะ การทำจิตให้ว่าง ถ้าไม่มีสติ ว่างไม่ได้หรอก การมีสติกับการทำจิตให้ว่าง จิตให้ว่าง จิตมันจะว่างอย่างไรถ้าไม่มีการควบคุมดูแลมัน
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทำให้จิตว่างนะ ปล่อยวางตัวเอง เผอเรอ ปล่อยให้ว่าไม่มี แล้วคิดว่าว่าง ไม่รับผิดชอบ คนไม่รับผิดชอบ คนเอาจิตตัวเองโยนทิ้ง แล้วบอกว่าว่าง ปฏิเสธว่ามันไม่มี ปฏิเสธว่ามันไม่รับรู้ มันว่างหรือ
เพราะว่ามันต้องมีสติ สติเป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นโดยข้อเท็จจริงนะ ถ้าเราเป็นคนขาดสติ เราเป็นคนบ้า เราทำอะไรจะเป็นชิ้นเป็นอันไหม พระสงบบ้าไปแล้ว กำลังโม้อยู่นี่ เทศน์อยู่นี่ ไอ้พวกนี้ฟังคนบ้าพูด เพราะอะไร เพราะขาดสติไง ถ้ามีสติ พระสงบฟื้นมาแล้ว หายบ้า
จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ หลวงตาท่านสอนไว้เลย งานทุกประเภท ทำทุกอย่างต้องมีสติเป็นพื้นฐาน ถ้าขาดสติ งานนั้นถือว่าไม่เป็นงาน
แล้วถ้าจิตมันว่าง ว่างจากอะไร อะไรทำให้มันว่าง เพราะอะไรจิตถึงว่าง ถ้าไม่มีการกระทำ มันว่างมาจากอะไร ถ้าไม่มีการกระทำเลย มันว่างมาจากอะไร ตอบมา
มันไม่มี เพราะจิตนี้เป็นนามธรรมอยู่แล้ว จิตนี้เป็นนามธรรมอยู่แล้ว ถ้ามีสติปั๊บ จิตมันก็จะสมบูรณ์ขึ้นมา ถ้าขาดสติ จิตมันมีอยู่ แต่มันรับรู้ตัวมันเอง แล้วเราเข้าใจว่านี่เป็นความว่าง
แต่ถ้าเป็นพุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันเริ่มเป็นสมาธิ โอ้โฮ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ จิตมันจะเด่นขึ้นมา
โยมเคยเข้าห้องแอร์เนาะ จะเย็นสุขสบาย พอจิตมันเริ่มปล่อย มันวาง มันจะมีความสุขขึ้นมาอย่างนั้นน่ะ
ฉะนั้น เราถึงบอกว่า ที่ปฏิบัติๆ กันอยู่นี่ สมาธิมันยังไม่รู้จัก ถ้ามันรู้จักสมาธิ มันจะรู้ว่าสมาธิมาอย่างไร
โยมหาเงินกันใช่ไหม ยากไหม แล้วบอกอยู่ดีๆ โยมก็มีสตางค์เองโดยที่ไม่ต้องหาสตางค์ โยมเชื่อไหม นั่งกันอยู่นี่ ในกระเป๋าเงินเต็มไปหมดเลย โอ้โฮ! พวกนี้มีแต่เงินทั้งนั้นในกระเป๋า ถ้าคนไหนเชื่อ คนนั้นขาดสติ แต่ถ้าโยมทำหน้าที่การงานแล้วโยมมีเงิน เออ! ใช่ๆ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเอ็งพุทโธ เอ็งใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตเอ็งสงบแล้วเอ็งมีสมาธิ นั่นใช่
ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่รู้จักอะไรเลย งานการก็ไม่รู้จัก แม้แต่เงินยังไม่รู้จักว่าเงินจริงเงินปลอม แบงก์บาทยังไม่รู้จักมันเลย แล้วบอกว่าเรารวย เออ! แปลกไหม
นี่จะพูดคำนี้ให้เป็นบรรทัดฐาน ถ้าเป็นบรรทัดฐานปั๊บ ไอ้คำว่า “จิตว่าง” หรือถ้ามีคุณธรรม มันต้องมีพื้นฐานมาจากตรงนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ปัญญาเกิดจากอะไร ปัญญาที่เกิดกันอยู่นี้ก็ไอน์สไตน์ไง ถ้ามีโอกาสให้เลือกนับถือศาสนาได้ ขอปรารถนานับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังไม่ได้นับถือ เขามีปัญญาไหม ไอน์สไตน์มีปัญญาไหม มี ปัญญาอย่างนั้นปัญญาโลกียปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา
ภาวนามยปัญญาคือปัญญาถอดถอนกิเลส ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นต้องมีศีล สมาธิเป็นบาทฐาน ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิเป็นบาทฐาน สิ่งที่เกิดขึ้นเขาเรียกว่าโลกียปัญญา โลกียปัญญาหมายถึงว่าปัญญาเกิดจากการศึกษาของเรา สิ่งที่เราศึกษา เราต้องมีสติ มีจิตสมบูรณ์ แล้วศึกษาผ่านทางสมอง นี่เขาเรียกโลกียะคือการศึกษา ถ้าเป็นปัญญาทางศาสนา เขาเรียกว่าสุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษา การศึกษาแล้วเกิดมีการประพฤติปฏิบัติ มีการฝึกหัด เกิดจากจินตนาการ เขาเรียกว่าจินตมยปัญญา
โลกียปัญญา จินตมยปัญญา แก้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสมันอยู่เหนือความคิดนี้
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนดวงใจของเราไม่ได้อีกเลย”
คำว่า “ดำริกับความคิด” โยมไปเปรียบเทียบคำว่า “ดำริกับความคิด” ความคิดเราคิดขึ้นมาใช่ไหม ทีนี้ความคิดเราคิดขึ้นมา ดำริคือเจตนา ดำริมันลึกกว่า พอดำริระลึก กิเลสมันเกิดแล้ว “มารเอย เธอเกิดจากความดำริ” พอจิตมันขยับ กิเลสมันก็เกิดตาม แล้วเราออกมาคิด กิเลสมันคิดตามไหม
ฉะนั้น โลกียปัญญาที่เราศึกษานี่ถึงบอกว่าเป็นโลกไง ศึกษาทางวิชาการ ศึกษานี่โดยกิเลสหมด จะมีปัญญาสูงส่งขนาดไหนมันก็เป็นปัญญาของกิเลส
แต่ถ้าเราพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันว่าง มันไม่ไปดำริ มันดำริอย่างไร ถ้าดำริ มันก็ไม่ว่าง มันไม่คิด มันมีฐานของมัน แล้วฐานของมัน ถ้าคนภาวนาไม่เป็นก็บอกว่านี่เป็นพระอรหันต์ เพราะจิตมันว่างแล้ว ก็บอกว่านี่สมถะ เขาว่านี่สมถะไง สมถะคือมันติดไง
เราพุทโธๆ จนจิตมันสงบ จิตมันว่าง สงบบ่อยครั้งเข้าจนเป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิ น้อมไป น้อมไป น้อมไปมันก็เข้าสู่คำถามนี่ไง การเห็นกาย เห็นโครงกระดูก การเห็นอะไร การเห็น ถ้ามีสมาธิเห็น มันจะเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีสมาธิเห็น มันเกิดจากจินตนาการ
การเห็นกายนะ ทางโลกนี่เห็นได้ง่ายๆ เลย ตามวัดทั่วไปเขาเอากระดูกไปแขวนไว้ อนาโตมีเขาให้ฝึกหัด อนาโตมีเขาไว้ฝึกหมอ เขาไม่ได้ให้นักปฏิบัติไปดู นักปฏิบัติให้เขาดูโครงกระดูกของตัวเอง เขาไม่ได้ไปดูโครงกระดูกของคนอื่น
ทางโลกเขาเวลาความเข้าใจผิดไง ทางโลกคิดแบบโลกไง แบบโลกแบบวิทยาศาสตร์ ก็อยากจะช่วยนักปฏิบัติ ก็ไปถ่ายรูปกันใหญ่เลยนะ รูปซากศพ รูปอสุภะ อู๋ย! ถ่ายกันใหญ่เลยนะ บอกนี่อสุภะ
บอกถ้าเป็นอสุภะนะ โรงพิมพ์เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะโรงพิมพ์มันพิมพ์อสุภะออกมาให้มึงผัวะๆ เพราะโรงพิมพ์มันพิมพ์หนังสือออกมา โรงพิมพ์มันเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะมันพิมพ์อสุภะมาให้มึงไง
มันด้วยความเชื่อไง ความเชื่ออยากจะช่วยไง แต่คนภาวนาเป็น อสุภะมันเกิดจากจิต ถ้าจิตไม่สงบ จิตไม่เห็นกายตามความเป็นจริง อสุภะไม่มี คนเป็นกับคนไม่เป็นมันต่างกัน ให้หนังสืออีกแสนเล่มอีกล้านเล่ม หนังสือก็คือหนังสือ เอาอสุภะมาแนบไว้ ไปไหนก็หนีบไปด้วย ฉันได้อสุภะมานี่ ฉันได้อสุภะมา...เศษกระดาษ
เราเห็นรูปนะ มันก็กระอักกระอ่วนนะ เห็นรูป กระอักกระอ่วน ไปเห็นซากศพ กระอักกระอ่วนไหม จิตถ้าสงบแล้วถ้าไปเห็น ที่เขาบอกว่าเขาเห็นแล้วเขากระอักกระอ่วน
ถ้ากระอักกระอ่วนนี่เป็นโลก ถ้าเป็นธรรมนะ โอ้โฮ! มันจะสังเวช คนเป็นมันรู้ อารมณ์อย่างนี้เป็นอย่างไร อารมณ์อย่างนี้เกิดกระทบอย่างนี้ เกิดจากอะไร อารมณ์อย่างนี้ๆ เกิดจากอะไร อารมณ์กิเลสยุแหย่มันเป็นอย่างไร อารมณ์ของธรรมที่มันเกิดขึ้น มันส่งเสริมอย่างใด
เพราะพระอรหันต์แต่ละองค์นะ กว่าจะสำเร็จได้นะ ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน นักกีฬาที่เขามีเงิน มีหอเกียรติยศต่างๆ เขาทำมาขนาดไหน แล้วมึงจับพลัดจับผลูมาเป็นพระอรหันต์ๆ ก็แท่นพิมพ์ยังเป็นพระอรหันต์ได้เลย ทำไมมึงจะเป็นไม่ได้
อันนี้ไม่ใช่พูดแขวะใครนะ พูดให้สติ พูดให้สติ พูดให้เรารู้จักคิด แต่จริงๆ แล้วเราปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่จะเข้าถึงสัจธรรมได้คือหัวใจของสัตว์โลก คือความรู้สึกเรานี่ ทุกคนมีสิทธิ์นะ ทุกคนมีสิทธิ์ เรามีสิทธิเสรีภาพที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เท่ากัน แต่เพียงแต่ว่าคนที่ทำ ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านก็จะชักนำให้เราไปทางที่ถูกต้อง
ถ้าครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี เพราะเขายังไม่รู้จักตัวเขา เพราะเขาเข้าใจผิด เขาหลงผิดใช่ไหม เพราะเขาหลงผิดแล้วเขาก็มาสอนเรา แต่พอเราปฏิบัติไปถูกแล้ว อ้าว! มันเห็นต่าง ถ้าเห็นต่างมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วบารมีเราไม่ถึง มันยังไม่ทันเห็นต่างไง ไปเชื่อเขาก่อนไง พอเชื่อเขาก่อน เราก็เอาใจเราไปไว้ที่เขา เพราะเชื่อ ศรัทธาความเชื่อมันปิดหูปิดตาหมดนะ เพราะศรัทธาเพราะเชื่อ ไม่เคยคิดโต้แย้งเลย แต่ถ้าวันไหนคิดโต้แย้ง โอ้โฮ! นี่เชื่อมาได้อย่างไร เชื่อมาได้อย่างไร
แต่ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ อริยสัจมีหนึ่งเดียว หลวงปู่คำดี หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่บัว หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น ท่านพิจารณากายเหมือนกันหมดเลย แต่ไม่เหมือนกันสักอย่างหนึ่ง ท่านพิจารณากายเหมือนกัน
เราซื้อรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน แล้วต่างคนต่างใช้ การบำรุงรักษาต่างกัน รถนั้นอายุใช้งานต่างกัน การพิจารณากายเหมือนกัน แต่จิตนั้นมีอำนาจวาสนา จิตมีปัญญามากน้อยขนาดไหน พิจารณากายอย่างไร พิจารณาอย่างไร แต่เวลาสิ้นสุดแล้วไปถึงเป้าหมายเหมือนกัน พิจารณากายเหมือนกันนี่ ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านคุยกันนะ มันจะเข้าอันเดียวกัน ถ้ามันเป็นความจริงนะ
อันนี้มันพูดถึงไง เพราะบอกว่า การมีสติกับทำให้จิตว่าง ต่างกันอย่างใด
อันนี้แบบว่าชงมาให้ตบเลยนะ ชงมาอย่างนี้อย่างดีเลย ดีมาก เราได้อธิบายให้ฟัง เราได้พูดให้ฟังว่า คำว่า “จิตว่าง” ทุกคนใครบ้างไม่อยากจิตว่าง แต่เราอยากจิตว่างด้วยข้อเท็จจริง ด้วยคุณสมบัติของความเป็นจิตว่าง เราไม่ต้องการการได้จิตว่างมาโดยกิเลสมันสอพลอ มันบอกว่าจิตว่าง แต่มันไม่ได้ว่าง
ทุกคนต้องการให้จิตว่าง ทุกคนต้องการจิตมีคุณภาพ ทุกคนต้องการให้จิตเราดี แต่มันต้องดีงามมาด้วยข้อเท็จจริง ดีงามมาโดยความถูกต้อง มันเป็นความจริง
มันไม่ใช่ดีงามมาโดยการเสแสร้ง มันไม่ได้ดีงามมาโดยที่เราไม่รับรู้ เราปฏิเสธมันว่าอย่างนี้คือจิตว่าง เพราะว่าอย่างนี้เป็นจิตว่าง เราถึงไม่ได้อะไรกันเลย เราถึงไม่ได้มีคุณสมบัติ เราถึงไม่ได้ความเย็นของจิต เราถึงไม่ได้กำลังของจิต เราถึงไม่ได้
หลวงตาใช้คำว่า “นิวเคลียร์นิวตรอน” เวลามรรคมันเดินน่ะ ถ้านิวเคลียร์นิวตรอนนะ แร่ยูเรเนียมอยู่ไหน นิวเคลียร์นิวตรอนมันมีส่วนผสมของอะไร สิ่งที่จะไปชำระล้างกิเลส มันมีมรรค มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีคุณสมบัติอย่างไร
หลวงตาท่านบอกท่านไปไหนท่านพกนิวเคลียร์นิวตรอนอยู่ในย่าม แต่ไม่เคยเอาออกมา เพราะพวกนี้มันไม่รู้ แล้วเวลาท่านทำ ท่านบอกว่ามันเป็นนิวเคลียร์นิวตรอนเชียวนะ
แล้วเราบอกว่าจิตว่าง...ไอ้นี่มันโรงพยาบาลศรีธัญญา ไปดูสิ มันว่างเต็มเลย ไอ้พวกจิตว่างยังอยู่โรงพยาบาลศรีธัญญา หมอต้องให้คนประกบไว้เลย
อันนี้พูดถึงจิตว่างนะ นี่พูดเป็นคติเนาะ พูดธรรมะเขาไม่ให้พูดเบียดเบียนคนอื่น ไม่ให้พูดเสียดสีใคร แต่คำพูดของเรา เราอยากจะพูดในเชิงวิชาการ ในเชิงวิชาการ ในเชิงวิเคราะห์วิจัยให้พวกเราฉลาด
ธรรมะทำให้พวกเราฉลาดขึ้น วุฒิภาวะของหัวใจฉลาดขึ้น วุฒิภาวะของใจดีขึ้น ฟังธรรมะต้องได้อย่างนี้เพื่อประโยชน์กับใจของเรา ฉะนั้น ขอให้ทำเป็นจริง
แล้วบอกเวลาทำ ทำยากไหม ยาก ถ้าทำง่าย มันไปกันหมดแล้ว ทำยาก ถ้าทำไม่ยาก พระพุทธเจ้าถึงไม่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระพุทธเจ้าทำยาก แต่มนุษย์ ไม่เหนือความสามารถของมนุษย์ มนุษย์ทำได้ แต่ทำยาก
อันนี้พอทำง่ายๆ อันนั้นมันเป็นเงินกู้ กู้ธนาคาร มันไปกู้นอกระบบ มันเลยง่าย ไอ้เรากู้ธนาคารก็ยาก ไอ้ว่าง่ายๆ กู้นอกระบบ แล้วเดี๋ยวมันมาทวงหนี้แล้วมันอยู่ไม่ไหวนะมึง ไอ้ว่าง่ายๆ นะ อันนี้พูดเพื่อให้มีสติมีปัญญาเนาะ ฉะนั้น เห็นสมควรเนาะ เอวัง