เทศน์พระ

รู้แล้ว

๑ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

รู้แล้ว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งสติ สิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นอดีต ตั้งแต่นั่งรถมาจนถึงที่สุดลงจากรถนั้นเป็นอดีตไปแล้ว วาง แล้วตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันสำคัญ วันสำคัญทางพุทธศาสนา ไม่ใช่วันสำคัญเราก็เร่งความเพียรกันอยู่แล้ว เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงได้มาบวช เวลาบวชแล้วเราอยากจะพ้นจากทุกข์ ในเมื่อทางโลก เห็นไหม เราอยู่กันด้วยทางโลก เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ จากสังคมนี่เป็นโลกทั้งนั้น มนุษย์เกิดมาจากโลก อยู่กับโลก นี่ผลของวัฏฏะ แต่เพราะเห็นภัยในวัฏสงสารถึงได้สละสถานะเพศทางฆราวาสมาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระนี่เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะต้องพยายามของเราเพื่อจะพ้นจากทุกข์ อย่างน้อยก็ต้องให้จิตมันสงบ อย่างน้อยก็ต้องให้จิตมีที่พัก อย่างน้อยก็ต้องให้จิตเป็นอิสระ อย่างน้อยก็ต้องคุมหัวใจของเราได้ ยิ่งวันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา นี่วันสำคัญ

วันสำคัญนะ เราอยู่ป่า ถ้าวันพระจะพระเล็กพระใหญ่เนสัชชิก ถ้าวันปกติภาวนาโดยปกติอยู่แล้ว วันโกนวันพระนี่ไม่นอน ทำเป็นเรื่องธรรมดา อยู่ในสังคมนักปฏิบัติ สังคมนักต่อสู้ เรื่องการประพฤติปฏิบัติเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ถ้าวันปกติเราก็ภาวนาอยู่แล้ว แล้ววันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนา เรานี่เบิกบานเลย เราได้ตั้งสติเลย ตั้งใจเลยนะ เราจะเผชิญกับกิเลส

งานของโลกเขา ถ้าเขาทำมาค้าขาย ถ้าเขากำไร เขาอยากขวนขวายอยากได้กำไรนั้นให้มากขึ้นๆ เราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะหาหัวใจของเรา ถ้าหาหัวใจของเราเจอ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีมรรคมีผลขึ้นมามันสงบ นี่กิริยา คนเราจะหลีกเร้น จะรักษาใจของตัว เพราะใจนี้มันรักษายากมาก ถ้ารักษายากมาก กว่ามันจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ จะเป็นสมาธิได้เราต้องลงทุนลงแรงไปขนาดไหน ถ้าลงทุนลงแรงไปแล้ว ถ้ามันได้ผลขึ้นมาเขาจะสงวนรักษามาก การสงวนรักษานั้นคือกิริยาของเขา ถ้ากิริยาของเขา กิริยาผู้ที่สงบระงับ กิริยาของคนที่หลีกเร้น กิริยาของคนที่พยายามเอาตัวรอดให้ได้ นี่ถ้าทางโลกเขาบอกเห็นแก่ตัวๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะไปนิพพาน “อานนท์ บวชให้เขา บวชให้พราหมณ์นั้น” พราหมณ์ผู้เฒ่านั้น บวชให้เขาแล้วภาวนานี่เป็นสงฆ์องค์สุดท้ายนะ คนเราจะไปสิ้นชีวิตจะไปตายยังเทศนาว่าการนะ “เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ถ้ามรรคผลๆ หาที่ไหน มรรคผลก็หาในหัวใจของตัว อานนท์บวชให้ บวชแล้วภาวนาคืนนี้

ผู้ที่บวชใหม่อยากจะได้มรรคได้ผลก็พยายามขวนขวายจะประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเทศนาว่าการตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ลงมา เห็นไหม ใครมาก็เอาน้ำตามาฝาก ใครมาก็มากราบ ใครมาก็มาพิร่ำรำพัน นี่ใจหนึ่งก็ต้องถนอมน้ำใจเขา อีกใจหนึ่งนี่บวชซะ บวชแล้วคืนนี้ให้ภาวนาไปให้สิ้นกิเลสให้ได้ พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดตั้งแต่ปฐมฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน กำหนดเข้าไปกำหนดดูใจของตัว นั่นก็ปฏิบัติไป ปฏิบัติไปให้ถึงซึ่งสิ้นสุดแห่งทุกข์

นี่ก็เหมือนกัน วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนามันต้องสะเทือนหัวใจของเรา สะเทือนหัวใจของเรานะ เราบวชมาเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง บวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์เราต้องหาหลักชัยของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ วันวิสาขบูชานี่เกิดที่ลุมพินีวัน เกิดแล้วนี่ปฏิญาณตนเลย เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แล้วยังดำรงชีวิตขึ้นมา เห็นไหม ได้นางพิมพามา ได้สามเณรราหุลมา เวลาจะออกบวชพิร่ำรำพัน เพราะอะไร เพราะสามเณรราหุลเกิดแล้ว จะออกบวชๆ นี่ ออกบวชมันก็ต้องพ้นจากสถานะ พ้นจากสมบัติของเรา พ้นจากสถานะที่เราเป็น มันต้องพลัดพรากน่ะ ความพลัดพรากเป็นทุกข์ทั้งนั้น

เวลาที่มันกำลังแสวงหามันเป็นเรื่องของความทุกข์ทั้งนั้น แล้วความทุกข์มันแผดเผา แต่เพราะมีสติ ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม คนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พิรี้รำพันอยู่นี่ ว่ามีความทุกข์ความยากอยู่นี่ แล้วมันจะจมอยู่กับกองทุกข์นี้ ถ้าอยู่ในกองทุกข์นี้มันจะเวียนว่ายในวัฏฏะในสงสารอยู่นี้ ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายนี่ จะพ้นจากความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายจะทำอย่างไร ถ้าพ้นจากความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เห็นสมณะเห็นไหม สมณะเราก็ต้องพยายามค้นคว้า สละออกไปๆ สละออกไปจากสถานะของกษัตริย์ สถานะของคนที่อุดมสมบูรณ์ออกไป เห็นไหม ออกไปภิกขาจาร มันจะมีอะไร ชีวิตของเรามันจะมีอะไรดำรงชีวิต ความเป็นอยู่มันแตกต่าง นี่ขนาดที่ว่าขวนขวาย ขวนขวายคือความไม่รู้ การไม่รู้ การแสวงหา ความไม่รู้นี่มันทุกข์มันยาก ถ้าสงสัย สงสัยก็ดูใจเรานี่

ตอนนี้เราบวชเป็นพระแล้ว เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นว่ามันเป็นเรื่องทุกข์ เราเสียสละมาแล้ว แล้วเราบวชมาแล้ว บวชมาแล้วตอนนี้เราบวชมาเป็นพระ บวชมาเป็นพระนี่เป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐานนี่งานของกรรมฐานก็ดูแลหัวใจ ถ้าดูแลหัวใจนี่ถามใจตัวเองทุกข์ไหม ใจของตัวนี่ถามมันดู ตอนนี้เป็นพระนี่ สังคมเขายอมรับ แล้วเป็นพระกรรมฐานด้วย มีครูบาอาจารย์มีชื่อเสียงด้วย แล้วมันมีคนนับหน้าถือตามีคนมาดูแลสงเคราะห์อยู่นี่ ถามใจตัวทุกข์ไหม? ถามมัน

ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเรายังไม่มีคุณธรรมไง แต่ถ้าเราจะมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ สิ่งที่เขาแสวงหานี้ เขาส่งเสริมสงเคราะห์อยู่นี้ นั้นเพราะเขาปรารถนาบุญกุศลของเขา มันเป็นสิทธิของเขา สิทธิของสังคม สิทธิของโลกเขา เขาแสวงหาของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์เขานะ

เราก็เป็นฆราวาสมาก่อน เพราะเราก็เห็นประโยชน์อย่างนั้นเราถึงได้แสวงหา มีการศึกษา มีความรู้ขึ้นมา เราถึงได้เสียสละเพศอย่างนั้น เราถึงมาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระนี่เราเป็นนักรบแล้ว นักรบนี่สถานะที่สูงกว่าแล้วเห็นไหม เราเป็นสมณะ เราไม่ใช่ฆราวาส ฆราวาสเขานี่ฆราวาสธรรม ฆราวาสของเขานี่ผู้ครองเรือน

ถ้าผู้ครองเรือนของเขา เขาจะมีเรือนมีที่พักที่อาศัยของเขา เราเสียสละ เราเป็นสมณะ เราไม่มีเรือน เราเสียสละมาแล้วไม่มีเรือน เราอยู่ในอาวาส อยู่ในวัดในวา เราเป็นผู้ไม่มีเรือน เราจะต้องต่อสู้กับเรา เราเป็นนักรบแล้วสถานะของเราสูงส่งขึ้นมาแล้ว เรามีศีล ๒๒๗ เรามีความพร้อมอยู่แล้ว แล้วมันยังทุกข์ยังยากอยู่ไหมล่ะ ทุกข์ มันเป็นความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาค้นคว้าอยู่ เวลายังไม่รู้ก็ทุกข์อย่างนี้ ทุกข์มาก ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาสั่งสอนขนาดไหน คนที่สร้างอำนาจวาสนามาทำสิ่งใดมันก็ทำได้ง่าย ทำเสร็จแล้วนี่หมดไส้หมดพุงของอาจารย์ทุกๆ สำนัก จะมีอะไรสอนอีกไหม? ไม่มี มีแค่นี้ล่ะ เขาบอก นี่เขามีคุณธรรมของเขาแค่นี้ ไอ้เราไปศึกษานี่เรามีอำนาจวาสนา เพราะเราสร้างมา เราหวังพ้นทุกข์ หวังพ้นจากกิเลส

กิเลสมันคืออะไรล่ะ กิเลสคือความขุ่นข้องหมองใจอยู่นี่ กิเลสคือมากวนใจอยู่นี่ กิเลสคือความไม่รู้ในใจ มันแผดเผาอยู่ในใจเรานี่ นี่เราแสวงหาสิ่งนี้ แล้วเวลาศึกษาๆ อาการของใจ ส่งออกหมด แล้วมันจบกระบวนการศึกษาของเขาแล้ว นี่สมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ เวลามันสงบมันก็สงบ เวลามันคลายตัวออกมามันก็เท่าเก่านั่นแหละ มันมีอะไรนี่ ทุกข์ไหม? ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้นะ ถ้าไม่รู้นี่ทุกข์มาก การประพฤติปฏิบัตินี่ทุกข์มาก

ทางโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำหน้าที่การงานของเขา เขาก็ว่าทุกข์ของเขา ไอ้เรานี่ตั้งสตินะ สติตั้งเต็มที่เลยนะ พุทโธๆ นี่ เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม ดูสิ ทำฌานสมาบัติ สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เขาก็ต้องทำอย่างนี้ เขาก็ต้องตั้งใจของเขา เขาต้องกำหนดอาปานสติของเขา เขาต้องกำหนดพุทโธของเขา เขาก็ต้องกำหนดดูจิตของเขา เพื่อให้สงบให้ได้ เขาถึงได้ฌานสมาบัติ แล้วจิตมันดิ้นรนอยู่อย่างนี้ ตั้งสติขึ้นมานี่ พอมันเข้าสมาบัติได้มันก็ร่มเย็น พอมันคลายตัวออกมามันก็เท่าเก่า แล้วเวลากิเลสมันรุมเร้าเข้ามา เห็นไหม เวลาทำสิ่งใดได้ ยิ่งได้อภิญญาขึ้นมา มันยิ่งรู้นั่นรู้นี่ รู้หัวใจเขา คนนั้นเขาตำหนิเราอย่างนี้ คนนี้เขาตำหนิเราอย่างนั้น มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย ว่ารู้แล้วมันจะมีความสุขไง ไหนรู้แล้วได้ฌานสมาบัติ ได้รู้วาระจิตของเขา ได้รู้ความคิดของเขา ได้รู้ความคิดของเขานี่รู้แล้วก็มาแผดเผาใจของตัวไง รู้แล้วได้อะไรล่ะ ถ้ามันยังไม่รู้ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาอย่างนี้

เวลาย้อนกลับนะ กำหนดอานาปานสติ เวลาจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม จิตสงบไม่ใช่สมาบัติ นี่สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ อุทกดาบส อาฬารดาบส นี่ยอมรับ ขนาดส่งเสริมเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อย่างนั้น นี่เวลามันคลายตัวออกมาก็เป็นอย่างนั้น เวลากำหนดอานาปานสติจิตให้ละเอียดเข้ามา สิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ค้นคว้ามากับเจ้าสำนักต่างๆ มันส่งออกหมด คราวนี้อธิษฐานตั้งแต่วันนี้อธิษฐาน คืนนี้ถ้านั่งปฏิบัติไปแล้วถ้าไม่ได้ตรัสรู้บรรลุธรรมจะนั่งตายไปเลย นั่งให้มันตายไปเลย สู้กันสุดกำลังเลย

พอปฐมยาม เวลาจิตสงบเข้าไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่มรรคยังไม่เกิด บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนเข้าไปพอให้ถึงตัวจิต จิตมันย้อนอดีตชาติมันไปได้ เห็นไหม มันก็ไม่ใช่ เวลามัชฌิมายาม จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตยังไม่สิ้นกิเลสมันก็ยังไปของมันข้างหน้า จนมัชฌิมายามกำหนดเข้าไป พอกำหนดเข้าไปนี่เกิดอาสวักขยญาณๆ เข้าไปทำลายอวิชชา ก็วิชชาไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ วิชชา พอมีวิชชามีปัญญามันเข้าไปทำลาย วิชชานั้นเกิดจากสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันเกิดเป็นมรรค พอเกิดมรรคขึ้นมาเกิดมรรคญาณ เกิดมรรคญาณก็ไปชำระล้างอวิชชา ชำระล้างจนหมดสิ้น เสวยวิมุตติสุข คราวนี้รู้แล้ว คนที่ไม่รู้นี่มันทุกข์มันยาก มันลังเล มันสงสัย มันทำสิ่งใดหลุดไม้หลุดมือ จะไม่มีอะไรของเราเป็นชิ้นเป็นอันเลยล่ะ นั่นล่ะคนที่ไม่รู้

เวลาอาสวักขยญาณชำระล้างจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่รู้แล้วนี่ รู้แล้วแล้วสำรอก คาย นี่จบสิ้น วิมุตติสุขๆ เสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่รู้แล้ว คนรู้มันคลายความกังวล คนรู้มันจบสิ้น ถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรารู้ไม่ได้ เราต่างๆ นี่ มันมีความสงสัยไหม มันมีความทุกข์ความยากในหัวใจไหม คนที่มีความทุกข์ความยากในหัวใจมันจะมีความสุขมาจากไหน

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ แล้วปรินิพพานในวันนี้ ถ้านิพพานในวันนี้สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วขึ้นมา ๔๕ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีความลังเลสงสัยในหัวใจเลย ไม่มีสิ่งใดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ สิ่งต่างๆ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยเมตตาธรรม ด้วยหัวใจอันผ่องแผ้ว ด้วยหัวใจที่ประเสริฐ สิ่งนี้ถ้ารู้แล้ว รู้แล้วมันจบไง ถ้าไม่รู้นี่มันทุกข์มันยาก ไม่รู้แล้วมันแบกความสงสัย ไม่รู้นี่มันแบกความลังเล ไม่รู้แล้วมันแบกทุกข์มาทั้งวัน แบกทุกข์มาตลอด เพราะความไม่รู้ทำให้ทุกข์

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา รู้แล้ว คนรู้นี่รู้รอบขอบชิดทั้งหมดแล้วไม่มีสิ่งใดไม่มีอะไรตกค้างในหัวใจเลย ถ้ารู้แล้วจบ รู้แล้วจบเห็นไหม จบ ดูสิ เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ตรัสรู้แล้วถ้าใครมีอำนาจวาสนาเข้าไปศึกษากับพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะได้มรรคได้ผลตามไป

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ รู้แล้วยังเป็นประโยชน์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง วางศาสนาไว้เพราะว่าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาผู้ที่ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ตรัสรู้เองได้เหมือนกัน ไม่มีมรรคมีผลนี่ตรัสรู้ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่วางธรรมและวินัยนี้ไว้

ที่เราศึกษากันนี้ ศึกษากันจนหัวแทบทะลุหัวแทบแตกนี่แล้วได้อะไรขึ้นมา ได้กิเลสตัณหาความทะยานมา เขาศึกษามาเพื่อรู้ไง ไอ้นี่ศึกษามาเพื่อเป็นสมบัติของกิเลสไง ให้กิเลสเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ประโยชน์ไง เราศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง เพื่อเป็นวิชา เพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาปริยัติก็ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษาว่าเป็นสมบัติของเรา พอศึกษามาเป็นสมบัติของเรานี่สำคัญตน สำคัญตนว่ามีความรู้ เรารู้รอบขอบชิดในพุทธศาสนา จะเผยแผ่พุทธศาสนา เอาอะไรไปเผยแผ่ ใจของตัวยังไม่รู้จัก สมาธิมันมีแต่ชื่อ ยิ่งมรรคผลนี่อยู่ในตำรา ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตนเลย ถ้าไม่มีสมบัติใดเป็นของตนเลยนี่ แล้วเวลาเผยแผ่ธรรมไปเอาอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

นี่ไง ในพระไตรปิฎก เห็นไหม ปลาทอง เวลาพระเจ้าปเสนทิโกศลไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปลาทองนี่ชาวประมงเขาเอามาให้ เวลามันอ้าปากอยู่กลางท้องพระโรงกลิ่นมันเหม็นไปหมดเลย มันเป็นเพราะอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ๋อ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระพุทธเจ้าองค์ที่แล้วๆ มานี่ มันมีภิกษุไปศึกษาในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาเผยแผ่ธรรมก็เผยแผ่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป มีคนนับหน้าถือตา พอคนนับหน้าถือตาก็มีความเห็นของตัวบวกเข้าไป จะพูดอะไรก็มีความเห็นของตัวบวกเข้าไป นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความเห็นของเรานี่สูงกว่า ของเรานี่ดีกว่า นี่ตายไปตกนรกอเวจีเลย กล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตกนรกอเวจี

เวลาจะมีชื่อเสียงขึ้นมาก็มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่ เผยแผ่จนมีลูกศิษย์ลูกหามีคนนับหน้าถือตา พอเขานับหน้าถือตาขึ้นมาก็เอาความเห็นของตัวบิดเบือนกล่าวตู่ กล่าวตู่พุทธพจน์กล่าวตู่ธรรมะ ตายไปตกนรกอเวจี นี่ผู้ที่เผยแผ่ธรรม พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมา มาเกิดเป็นปลาทอง ชาวประมงเขาไปทำการประมง ได้ปลาทองนั้นมา เพราะว่าสังคมมันแคบ ถ้าเอาเก็บไว้มันจะมีโทษ ต้องไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็แปลกใจ ปลาทอง

ถ้าเป็นสมัยนี้ก็กราบแล้วกราบอีกเนาะ ต้องเอาตู้ปลาเลี้ยงไว้เลย เพื่อให้คนมาดู จะได้ตังค์ด้วย ไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปถึงท้องพระโรงมันอ้าปากขึ้นมานี่ โอ้โฮ มันเหม็นในท้องพระโรงเหม็นไปหมดเลย

พระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ความรู้ยังไม่รอบ ก็คิดว่าไม่เข้าใจ เก็บไว้ในใจ ตกเย็นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุที่มันเกิดขึ้นมันเป็นยังไงพระเจ้าค่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยอดีตชาตินานไกลมานั้น ที่ว่าไปเรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเผยแผ่มา สิ่งที่ศึกษามาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อแก้กิเลสของตัว เวลาไม่รู้เป็นอย่างนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้มันก็ทุกข์ยากนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไม่รู้นี่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี ศึกษานี่เขามีความรู้เท่าไหน เพราะเราไม่รู้เราก็เชื่อ ไม่รู้เราก็ทำตาม ทำตามแล้วไม่ได้อะไรเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เอง เห็นไหม ตรัสรู้เองโดยชอบ เพราะคนอื่นจะสอนไม่ได้ คนอื่นไม่มีอำนาจวาสนาได้มากขนาดนั้น พอไม่มากขนาดนั้นเวลาเผยแผ่ธรรมมาๆ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาเผยแผ่ธรรมมา ใครศึกษามาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไอ้นี่ศึกษามาทีแรกก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็มาเทศนาว่าการ ได้สัทธิวิหาริก ได้คนนับหน้าถือตา นับหน้าถือตานี่ความเห็นตัวนี่มาแล้วเพราะเกิดคนนับหน้าถือตา เกิดคนเคารพบูชา เอาความเห็นตัวบวกเข้าไป ตายไปตกนรกอเวจี เวลาพ้นจากนรกเป็นชั้นๆ ขึ้นมา มาเกิดเป็นปลาทอง อ้าปากมานี่ปากเหม็น ในท้องพระโรงเหม็นหมดเลย เพราะกล่าวตู่ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากทำให้กลิ่นเหม็นเน่า ทั้งๆ ที่ตกนรกอเวจีมาจนพ้นมาเป็นชั้นๆ แล้วนะ แต่ทำไมถึงเป็นปลาทอง ปลาทอง เห็นไหม ดูสิ บวชมาเป็นพระ ห่มผ้ากาสาวพักตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์ เวลาทำด้วยทิฏฐิมานะก็พูดธรรมะโดยบวกความเห็นของตัวเข้าไป สิ่งที่สถานะของศากยบุตรไง ได้เชิดชูได้ทำคุณงามความดี เวลาตกนรกอเวจีก็ตกนรกอเวจีไปด้วย เวลาเกิดขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลามาเป็นปลาทองก็ยังมีเกล็ดทองคำนะ ยังมีเกล็ดเป็นทอง เกล็ดสีทอง นี่คนก็ตื่นเต้น

นี่ไง ถ้าไม่รู้แล้วบวกเข้าไปด้วยมันจะลงนรกอเวจีไปเลย แต่ถ้าไม่รู้ ไม่รู้เราก็ตั้งสติใช่ไหม ตอนนี้เราก็ไม่รู้มันนะ อวิชชามันไม่รู้แต่เรามีศรัทธามีความเชื่อไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนาไง เกิดมาแล้วมีการศึกษา เกิดมาศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง เพราะเป็นโอกาส เพราะได้เห็น ได้เรียน ได้รู้ ได้สัมผัส เราถึงได้เสียสละสถานะของทางโลกเป็นฆราวาสแล้วมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระมาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มาแล้ว ตอนนี้เป็นพระโดยสมมุติเป็นพระโดยสมบูรณ์ทั้งนั้น มีศีล ๒๒๗ เหมือนกัน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน มีครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านสงวนรักษาเวลาไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติ

ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วนี่ บวชเป็นพระขึ้นมาแล้วมีครูบาอาจารย์ที่เห็นประโยชน์กับโลกจะพาก่อสร้างจะพาทำงานทั้งปีทั้งชาติเลย เพื่ออะไร เพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา ศาสนาจะได้มั่นคง มั่นคงอะไร มั่นคงด้วยอิฐหินดินทรายปูน แล้วยังไง พระเป็นอะไร พระก็เป็นกรรมกรไง เป็นแรงงานอริยะไง ทำเพื่อประโยชน์กับศาสนาไง แต่ทางจงกรมมันไม่รู้จักไง หัวใจอยู่ไหนมันก็หาไม่เจอไง มรรคผลก็อยู่ในตำราไง เวลาพูดถึงมรรคผลก็มรรคผลของครูบาอาจารย์ไง แล้วใจของเอ็งล่ะ

บวชมานี่บวชมาเพื่อใคร ใครเป็นคนเริ่มคิดบวช ใครเป็นคนคิดริเริ่ม ก็เราคิดเอง ถ้าเราคิดริเริ่มอยากจะบวชแล้วบวชขึ้นมาบวชมาทำไม ก็บวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ เห็นไหม แล้วก็ยังจะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติก็ดัดแปลงหัวใจของตนเข้าสู่มรรคสู่ผล ถ้าดัดแปลงหัวใจเข้าสู่มรรคสู่ผล ถ้ามันสู่มรรคสู่ผล เข้ากันด้วยความดีด้วยมรรคด้วยผล ศีล สมาธิ ปัญญา คนที่มีศีล สมาธิ ปัญญา จิตใจมันจะอ่อนนุ่มควรแก่การงาน

คนที่มีจิตใจที่อ่อนนุ่ม ดูสิ ดูจิตใจของคนที่มีคุณงามความดี เขาคิดแต่เรื่องดีๆ เขาคิดแต่ความเมตตา เขาคิดแต่เรื่องเผื่อแผ่ นี่จิตใจที่เขาดี จิตใจคนที่ดีเขามีกตัญญูกตเวที เพราะมันเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าจิตใจมันเห็นแก่ตัว จิตใจที่มันมักมาก จิตที่มันอยากใหญ่ จิตใจที่มันมีทิฏฐิมานะ มันเป็นจิตใจที่มีน้ำหนัก จิตใจที่กดถ่วง ความกดถ่วงอย่างนั้นมันเอารัดเอาเปรียบตัวมันเอง เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนหัวใจของตัว หัวใจนี้เป็นนามธรรม นามธรรมคือความรู้สึกไง สันตติไง ธาตุรู้นี่ไง ถ้ามีสติมีปัญญามันทำให้หัวใจนี่เบา หัวใจนี่ปลอดโปร่ง หัวใจนี้ควรแก่การงาน หัวใจที่ลอยขึ้นสู่ที่สูงมันเป็นอากาศ อากาศที่ดี สิ่งที่ปลอดโปร่ง สิ่งที่สังคมต้องการ มันมีทิฏฐิมานะ มันมีความเห็นแก่ตัว มันทำเพื่อตัวมันเอง มันเป็นจิตใจที่ต่ำต้อย มันเป็นจิตใจที่ดูสิ น้ำโสโครก น้ำเสีย มันมีแต่กลิ่นเหม็น มันมีโลหะหนัก มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ รดต้นไม้ๆ ตายหมด ทำสิ่งใดไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย

เวลาจิตใจที่มันเกิดทิฏฐิมานะ เกิดความเห็นแก่ตัว มันเป็นโทษอย่างนั้น แล้วมันไปไหนล่ะ มันก็ต้องตกลงต่ำไปสิ นี่ไง ในหัวใจของตนเห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในตัวของมันอยู่แล้ว ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าไม่รู้มันเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ทำให้หัวใจหนักแน่น ทำให้หัวใจของเราต่ำต้อย ทำให้หัวใจของเรามีธาตุโลหะหนัก แต่เวลามันต่อสู้ ดูสิ น้ำเสีย เขาต้องมาแปรสภาพต้องกรองจนให้มันเป็นน้ำสะอาดหรือน้ำที่ดีพอสมควรเขาถึงปล่อยลงแหล่งน้ำได้ หัวใจของเรามันหมักหมมอยู่อย่างนั้น มันทุกข์ยากอยู่อย่างนั้น ถ้ามันทุกข์ยากอยู่อย่างนั้น เรามาแก้ไข แล้วมันจะสะอาดเองได้ไหม มันก็ตกตะกอนอยู่อย่างนั้น แล้วน้ำเสียมันมีความเสียหายของมันอยู่อย่างนั้น

จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่มีการบริหารจัดการ ไม่มีการกำหนดพุทโธ ไม่ภาวนา ไม่แก้ไขมัน จิตใจมันจะเป็นอย่างไร จิตใจมันจะเป็นเองขึ้นมาได้ไหม มันเป็นเองขึ้นมาไม่ได้ไง เห็นไหม ถ้าไม่รู้ ถ้าไม่รู้มันหันรีหันขวาง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ดี พวกที่เผยแผ่ธรรมๆ นี่มันกล่าวตู่ มันดัดแปลง มันทำให้เสียหาย แล้วจิตใจนั้นล่ะ จิตใจนั้นมันก็ห่างจากธรรมะไปเรื่อยๆ

แต่คนที่เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาเคารพบูชาไง ดูสิ หลวงปู่มั่น แม้แต่ตัวอักษรท่านยังเคารพเลย เวลาปริยัติเขาบอกว่า พระกรรมฐานพระป่าไม่มีการศึกษา ไม่เรียน แล้วประพฤติปฏิบัติน่ะไม่เรียนมาก่อนมันจะประพฤติปฏิบัติได้ยังไง ต้องเรียนมาจน ๙ ประโยคแล้ว เรียนแล้วทางวิชาการมันปริยัติแล้วถึงต้องมาปฏิบัติ เวลามาปฏิบัติแล้วมันก็สร้างภาพ มันรู้มาก่อนปฏิบัติทุกอย่างเลย ทุกข์มันรู้หมด มันเขียนทุกข์ไว้นะ แล้วมันเอาไปขังไว้ แล้วมันบอกมันไม่มี เขียนทุกข์ไว้เลยนี่ ดูสิ เหมือนประเพณีของคนจีนเขาไง เวลาเขาเผากระดาษเงินกระดาษทอง มันเขียนทุกข์ไว้ในกระดาษเงินกระดาษทองแล้วมันเผาๆๆ เลย แล้วมันบอกว่ามันไม่มีทุกข์ นี่ไง นี่ก็ต้องมีการศึกษาก่อนไง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านค้นคว้าของท่านขึ้นมา ท่านศึกษาด้วยภาคปฏิบัติเลย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่อุปัชฌาย์ให้มาแล้ว อุปัชฌาย์นี่ศึกษาปริยัติมาจบแล้ว รุกขมูลเสนาสนังเข้าไปค้นคว้ามัน ค้นคว้าความจริงขึ้นมา ค้นคว้าความจริงขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา เวลามันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี เวลาค้นคว้านะ เวลาค้นคว้าจะเป็นความจริง เป็นความจริงที่ว่าปัญจวัคคีย์ทิ้งไปแล้ว ได้หญ้าแฝกจากโสถิยะพราหมณ์ปูนั่ง ถ้าคืนนี้ ถ้าประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์จะนั่งให้ตายไปเลย ต้องวัดกันด้วยชีวิตนี้เลย ดูกิเลสนะ อวิชชานี่ เวลามันอยู่ที่ใจนี่ มันหลอกมันล่อทั้งนั้น แต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม เพราะว่าตั้งเป้าแล้ว

ดูสิ เวลาเราจะภาวนา เราตั้งเวลาไว้แล้ว เราจะไม่ให้เวลานั้นเสียไปเลย ถ้าคนมีสัตย์ นี่ตั้งเป้าไว้เลย เพราะอะไร เพราะยังไม่รู้ แต่ด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อ คืนนี้ถ้านั่ง ถ้าไม่ได้ให้ตายไปเลย คือไม่มีทางออก ต้องไปทางเดียว ต้องไปทางเดียวเท่านั้น ถ้าตรัสรู้ๆ ไป ถ้าไม่ตรัสรู้ให้ตาย นี่ตั้งสัจจะเลย แล้วคืนนั้นนั่งไปเลย ปฐมยาม มัชฌิมายาม ตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงที่สุด เวลาอาสวักขยญาณทำลายนะ ทำลายอวิชชา พอทำลายอวิชชา เวลามารมันตายไปแล้ว พอมารมันตายสิ่งที่มันฝังใจ สิ่งที่มันสร้างอำนาจวาสนาบารมีมามากนะ

เวลาหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์คือปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะละนะ เวลาจะปล่อยจะละจะวาง จะลา ลาโพธิสัตว์มาเพื่อเป็นสาวกสาวกะ ลามาเพื่อประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันละล้าละลังๆ นะ เพราะอะไร เพราะได้สร้างมรรคได้สร้างผล ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมามาก มันเสียดายๆ

แต่นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามัชฌิมายาม อาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชา สิ่งที่สร้างสมมาๆ คนเรามันคิดดีคิดชั่วทั้งนั้น เวลาคิดดีมันก็กิเลส กิเลสมันก็แผดเผา กิเลสมันก็สะสมมา เวลาคุณงามความดีมันก็มีกุศลมา สั่งสมมาด้วยกันทั้งนั้น เวลามันจะลากัน เวลามันชำระล้าง เวลามันจะสิ้นกิเลส มันเข้าไปทำลายขนาดไหนในหัวใจ พอมันเข้าไปทำลายมันทำลายทั้งหมด เวลาทำลายทั้งหมด ทีแรกจะทำลายก็ไม่กล้า ใครทำลายอะไรก็ไม่กล้า ของเราของดีทั้งนั้น เพชรนิลจินดาจะมาทำลายมันใครทำลายลง

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เวลามันข้ามพ้นไปแล้ว เห็นไหม เวลาทำขึ้นมา ความจริงขึ้นมานี่ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงขึ้นมาแล้วท่านเคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา ท่านจะย้อนกลับมา ให้ทวนกระแสกลับมา กลับมามาทำลาย พอทำลายขึ้นไป เห็นไหม จากไม่รู้ คนไม่รู้นี่มันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือรู้ด้วยความไม่รู้ มันยังสะเปะสะปะ มันยังถือตัวถือตนอยู่ ไอ้ที่ไม่รู้เลย แล้วพอมันพิจารณาไป เวลามันพลิกคว่ำอวิชชาขาด รู้แล้ว รู้แล้วนะ รู้สิ้น รู้จบ รู้ด้วยความเบิกบาน เรารู้แล้ว รู้แล้วในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ถ้ารู้แล้วในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วดูสิ คิดว่าจะเผยแผ่ธรรมๆ ใครมันจะรู้ได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เตรียมตนมา ทั้งๆ ที่เตรียมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เตรียมตัวมา ตั้งใจว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เตรียมมาเพื่อปรารถนาเพื่อจะช่วยสัตว์โลก แต่คุณสมบัติมันจะรู้ได้ยังไง มันจะเป็นอย่างนี้ได้ยังไง มันจะมีความละเอียดอ่อนขนาดนี้เชียวหรือ มันมีโอกาสอย่างไรที่มันจะรักษาใจของมันได้ มันมียังไงที่มันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถึงทอดธุระ

ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติไป ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปเห็นสภาวะแบบนั้นมันแตกต่าง เหมือนมืดกับสว่าง สังคมในยามค่ำคืนมันก็ดำรงชีวิตไปอย่างหนึ่ง สังคมในภาคกลางวันมันก็ใช้ชีวิตไปอย่างหนึ่ง นี่ก็เหมือนกัน สังคมของผู้มีอวิชชา สังคมที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราไปพูดสังคมอีกสังคมหนึ่ง แล้วพูดถึงความเป็นไปของสังคมนั้นใครมันจะฟัง ใครมันจะเชื่อว่ามี แต่ความจริงที่ว่าสังคมกลางคืนกับสังคมกลางวันนี้เราเห็นไง นี่เราเห็นเราพิจารณาได้ เราคาดหมายได้ไง แต่ความจริงอย่างนั้นมันยังไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไง

นี่ไง ผู้ที่รู้แล้ว ถ้ารู้แล้วนะ รู้แล้วจบสิ้นกระบวนการ ถ้าไม่รู้ ไม่รู้มันให้กิเลสครอบงำ มันทำให้หัวใจนี้ไม่มีทางออก แม้แต่เรามาบวชเป็นพระนี่แหละ เรามาบวชเป็นพระนะ บวชเป็นพระมันบวชแต่ร่างกายนี้ไง บวชโดยสมมุตินี้ไง สมมุติ การเวียนว่ายตายเกิดนี่เป็นสมมุติ เพราะมันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไปไม่มีต้นไม่มีปลาย เวลาเรามาบวชเป็นพระ เราตายจากฆราวาสมาบวชเป็นพระ ถ้าสึกจากพระไปก็ตายจากพระไปเป็นฆราวาส สถานะมันเปลี่ยนแปลงไป นี่ไง สมมุติมันเป็นอย่างนั้น บวชมาด้วยสมมุติไง จริงโดยตามสมมุติไง

ถ้าจริงไม่ตามสมมุติ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า เขาจะรู้ได้ยังไง จะสอนเขาได้ยังไง ก็วางธรรมและวินัยไว้นี่แหละ สังฆกรรมนี่ นี่ก็สมมุติทั้งนั้น แต่สมมุติตามความเป็นจริง ของจริงไม่ใช่จริงเพราะของเขาสมมุติ สมมุติก็ไม่ต้องทำ ก็มันเป็นของสมมุติทำทำไม ก็ต่างคนต่างไป มันสมมุติน่ะ มันก็เลวแหลกอยู่นั่น เพราะสมมุติก็นี่ไง ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง เพราะว่าโลกมันโง่เขลาขนาดนั้นไง ถ้าโลกมันโง่เขลาอย่างนั้นก็ต้องสร้างวัฒนธรรมประเพณีขึ้นมาเพื่อจะให้เขาฝึกหัดดัดแปลงหัวใจของเขา

ถ้าเขาฝึกหัดดัดแปลงใจของเขา ถ้าเขาได้สัมผัสของเขา สติเป็นอย่างไร สติเขาก็มีสติปัญญาอยู่นี่ไง สติของเขามันคนสมาธิสั้นสมาธิยาวก็แตกต่างกันแล้ว คนที่ปัญญาที่เขาฝึกมาดี คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีมันก็แตกต่างกันแล้ว มันแตกต่างกันทั้งนั้น แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาของมัน คนจะมีปัญญามากน้อยขนาดไหน ถ้าเขามีปัญญาของเขา แล้วถ้าเขาประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าเขาทำความสมดุลของใจของเขามรรคมันเกิด

มัชฌิมาปฏิปทานี่ใครเป็นคนค้นคว้ามา มันค้นคว้ามาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนค้นคว้าขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมายืนยันในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยืนยันในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ ยืนยันในใจของพระปัญจวัคคีย์ ยืนยันในใจของพระยสะ ยืนยันในใจบริวารของพระยสะ จนสิ้นกิเลสไป ๖๑ องค์ “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดๆ กับพระอรหันต์ พระอรหันต์ ๖๑ องค์นี่ก็เข้าใจ ไอ้พูดโง่ๆ เซ่อๆ อย่างพวกเรานี่อ่านจนปากเปียกปากแฉะ แล้วก็จินตนาการกัน เวลาวันสำคัญทางพุทธศาสนาก็ โหย เห่อเหิมทะเยอทะยาน หูย ไปกันใหญ่ อันนั้นมันเรื่องโลก โลกก็เป็นโลกนะ

แต่ถ้าครูบาอาจารย์เรานะ ยิ่งวันสำคัญยิ่งถือเนสัชชิก ยิ่งวันสำคัญยิ่งไม่หลับไม่นอน ไม่หลับไม่นอนเพื่อต่อสู้กับทิฏฐิมานะของตน ค้นคว้าเอาสัจจะเอาความจริงในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้มันผ่องแผ่ว หัวใจนี้มันรู้จบ โลกนี้มีอะไร โลกนี้มีเพราะมีใจดวงนี้ ถ้าใจดวงนี้มันดับลงโลกนี้มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ โลกมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ใจที่มันดับไปแล้ว ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสสิ้นไปอีก ๔๕ ปี เรื่องความเป็นโลกในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี ธรรมล้วนๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์

แต่ของเราถ้าเรามีสติมีปัญญา มีครูมีอาจารย์ เราดูแบบอย่าง ถ้าในปัจจุบันนี้เราก็ดูแบบอย่างจากประวัติหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ถ้าประวัติหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ท่านเป็นคนค้นคว้านั้นมา เวลาท่านทุกข์ยากท่านทุกข์ยากกว่าเราเยอะ ท่านจะเดินทางไปไหนท่านต้องเดินไปด้วยเท้า สิ่งใดจะแสวงหาก็แล้วแต่ที่เขาจะเสียสละของเขา

หลวงตาท่านบอกว่า เขาบอกว่าพระกรรมฐานไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ถั่วกินแต่งา แล้วเขาก็ไม่มีถั่วไม่มีงา หลวงปู่มั่นกินแต่ข้าวเปล่าตลอด เพราะความเข้าใจของเขา ความเข้าใจของโลกไง ว่าผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์เขาจะไม่ฉันเนื้อสัตว์ เขาจะฉันถั่วฉันงา นี่คือความเข้าใจของสังคม

แต่หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้อย่างนั้น ท่านไม่ได้อวดอุตริ ท่านไม่ได้กล่าวตู่พุทธพจน์ ท่านถือตามสัจจะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่สังคมเขาเชื่อของเขาไปเอง แล้วเขาก็ไม่ได้ไถ่ไม่ได้ถาม แล้วผู้ที่ปฏิบัติเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องบอก เขาไม่จำเป็นจะต้องเอาเนื้อสัตว์มาใส่บาตรฉัน ก็ไม่ได้บอก แต่พออยู่นานไปๆ ด้วยความคุ้นเคย ด้วยความใกล้ชิด เขาก็ศึกษาของเขา เขาก็รู้ของเขาขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ ท่านไม่ได้ต้องการอะไรทั้งสิ้น แล้วท่านทำของท่านมานี่เอาครูเอาอาจารย์ของเราเป็นแบบอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างอันประเสริฐ

วันนี้วันวิสาขะ วันเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราได้คิดอะไรบ้าง เราเป็นสาวกสาวกะ บวชเป็นพระนี่เราได้คิดอะไรบ้าง ได้คิดว่าจะตอบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอะไรบ้าง

วันนี้วันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพุทธศาสนา แล้วเราก็เป็นภิกษุบวชในศาสนา แล้วเรามีอะไรบ้างที่จะคิดตอบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันวิสาขบูชานี่เราจะมีอะไรบ้าง คิด คิดขึ้นมา ตั้งประเด็นขึ้นมาแล้วพยายามขวนขวายขึ้นมา แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้หัวใจเรามีคุณธรรมขึ้นมา ทำเพื่อศาสนา ทำเพื่อหัวใจของเรา ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจที่เกิดมาเป็นเรา แล้วมาบวชเป็นพระอยู่นี่ ทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา แล้วเราจะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร ไม่ต้องไหว้วานใคร เราจะรู้แจ้ง รู้แล้วแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบ รู้แล้วไม่มีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจ รู้แล้วไม่มีกิเลสอวิชชาในหัวใจแม้แต่เล็กน้อย รู้แล้วรู้รอบขอบชิด รู้แจ้งจบสามโลกธาตุ รู้แจ้งจบในหัวใจของตน เอวัง

ti