น้ำท่วมปาก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ติดสงบหรือกิเลสหลอก”
รู้สึกดีใจที่ชีวิตนี้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ลงใจและถูกจริต ทําให้เข้าใจและคิดเห็นถูกขึ้นจากความเชื่อความคิดผิดๆ ที่เดิมไม่รู้ว่าผิด เริ่มตั้งใจภาวนาโดยทําที่บ้านและหาโอกาสไปวัด ปัญหาตอนนี้คือ
๑. กําลังหาสมดุลระหว่างงานทางโลกและทางธรรม เวลาไปวัดได้ปฏิบัติ แต่พอต้องกลับบ้าน ต้องมาทํางานอยู่กับโลก รู้สึกเสียใจ รู้สึกรอบตัววุ่นวายหงุดหงิดไม่อยากกลับ แต่ในใจก็รู้บอกว่ายังมีหน้าที่การงานและพ่อแม่ที่เราต้องรับผิดชอบ แบบนี้เราติดความสงบหรือกิเลสหลอกคะ แก้ไขอย่างไร
๒. จิตเสื่อม ช่วงแรกมีวินัยและบังคับตัวเองให้ภาวนา ไม่ค่อยฟุ้ง หลังๆ มามักจะนั่งไม่ค่อยได้ คันยุกยิก มีอะไรมาไต่ตามหน้าให้รําคาญและชวนให้ออกเสมอ นั่งไม่ได้นานหรือสมํ่าเสมอเหมือนปีแรก หงุดหงิด ซํ้าว่าตัวเองเหลวไหลจะเสื่อมอีกนานแค่ไหน ได้กลับไปที่วัดก็ได้อุบายกลับมาเริ่มพุทโธ ธัมโม สังโฆใหม่ สลับกับฟังเทศน์ในวันที่นั่งไม่ได้ แบบนี้เป็นทางแก้จิตเสื่อมใช่ไหมคะ
๓. ปัญหาทางโลก เพิ่งรู้จักทุกข์ของการเป็นเจ้าของบ้านมาพร้อมกับการเป็นหนี้บ้านครั้งแรก รู้ว่าเราผ่อนได้ แต่รู้สึกว่าแบกอะไร และเป็นภาระให้เราไปปฏิบัติแบบเต็มตัว ออกจากงานไม่ได้ มีวิธีวางใจอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์
๔. ทํางานได้กลับบ้านทุกศุกร์ กลับมาแต่ละครั้ง แม่มักจะเล่าแต่เรื่องที่พ่อทําไม่ดี พฤติกรรมที่ไม่ถูกใจ เวลาเราบอกว่า อย่าจับผิดคนอื่น จับผิดตัวเอง จะสบายใจ ก็ถูกโกรธ ประชด ถามว่า จะให้เราทําอย่างไร เกลียดพ่อ บอกเตือนพ่อซึ่งแม่บอกพ่อ พ่อยังไม่เปลี่ยน มีวิธีคุยหรือบอกคุณแม่อย่างไรคะ และวางใจอย่างไรเรื่องพ่อ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่หนูอยากเลือกอยู่ปฏิบัติดีต่อกันเท่าที่ทําได้แบบไม่ค้านในใจ และยังกตัญญูต่อทั้งคู่
ขอบคุณหลวงพ่อ ที่พึ่งทางใจ ขออภัยที่ถามมายาว
ตอบ : คําถามเขาถามมายาวนะ ฉะนั้น สิ่งที่ถามมายาว คําถามมันเป็นเหมือนตะกอนในใจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีหลักนะ เราพอทําสิ่งใดได้ เราก็ทําของเราไป อยู่ที่อํานาจวาสนา เพียงแต่ว่าเราอยู่ทางโลกเลย เราอยู่ทางโลกถ้าเขาไม่ได้สนใจเลย มันน่าเสียดายชีวิตของเขา เวลาเขาเกิดมาแล้ว เขามีชีวิตแล้ว ชีวิตนี้ควรจะมีค่า ควรมีค่า มีค่า เห็นไหม เงินทองนะ ใช่ มันเป็นของเราโดยสมมุติ โดยสิทธิ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่จะเป็นคุณสมบัติของเรามันเป็นบุญกุศลต่างหาก
สิ่งที่ว่าข้าวของเงินทอง เราก็มีไว้ใช้สอยเพื่อดํารงชีวิต เพราะว่าเราต้องเทียมหน้าเทียมตากับโลก เราเห็นด้วย คนที่มีความสามารถ คนที่มีหน้าที่การงานทํามา ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันก็เท่ากันนั่นน่ะ ความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ เห็นไหม มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว เราจะเป็นมนุษย์เทวดา มนุษย์สัตว์ มนุษย์เปรต เราจะเป็นมนุษย์สิ่งใด
เวลาอารมณ์เราโกรธ เวลาอารมณ์เรารุนแรง เราผูกโกรธใคร นั่นน่ะมนุษย์เปรต ถ้าจิตใจเราแจ่มใส จิตใจเราผ่องใส นี่มนุษย์เทวดา เราเลือกเป็น เราจะเลือกเป็นมนุษย์ประเภทใด ฉะนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทางโลก ฉะนั้นถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อมาเกี่ยวกับเรื่องศาสนานะ อันนี้มันเป็นบุญมาก เป็นบุญมากตรงไหน เป็นบุญมากตรงที่เวลาคนมีทิฏฐิที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนาเขาก็คัดค้านของเขาไปนั่นน่ะ เขาคัดค้านไป เขาค้านจากความคิดของเขา คัดค้านจากความคิดของเขา แต่เวลาความคิดของเรา ถ้าเราเชื่อ มันมีค่ามากนะ
เวลาในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระโมคคัลลานะไปทรมานพวกเดียรถีย์ โอ้โฮ! กว่าจะได้แต่ละคนนะ ลําบากมาก ทิฏฐินี่สําคัญมากเลย ทิฏฐินะ พอทิฏฐิมันไม่ฟังใคร ถ้าไม่ฟังใครแล้ว ความเห็นอย่างนั้นน่ะแล้วถ้าเกิดการโต้แย้งแล้วเขาไม่ฟังใครเลย ถ้าเราเป็นอย่างนั้นน่ะ โลกเขาเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ถ้าเราสัมมาทิฏฐิ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีหน้าที่การงานของเรา เราทํางานทางโลกแล้ว ถ้าเรายังใส่ใจของเราอยู่ เราเกิดมาเรามีบุญกุศล เพราะว่า เพียงแต่ว่าทิฏฐิความเห็นผิดแล้วพลิกมาให้เห็นถูกก็ลําบากพอแรงแล้วล่ะ แต่ถ้าเราพลิกมาทางนี้ได้ เราคิดว่าเรามีวาสนา ถ้ามีวาสนาแล้ว
ฉะนั้น เขาบอกว่า รู้สึกดีใจมากที่มีครูบาอาจารย์ที่ลงใจ
ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ลงใจนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ลงใจ เราเอาสิ่งนั้นเป็นที่พึ่งเขาหาครูหาอาจารย์กัน พระปฏิบัติเขาจะหาครูหาอาจารย์เลย เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตเสื่อม จิตเสื่อมก็ไปหาครูบาอาจารย์แล้วไปชาร์จไฟ แล้วถ้ามีความลังเลสงสัย มีสิ่งใด เข้าไปหาท่านเลย เข้าไปหาท่าน เพราะท่านแก้ให้ได้หมดแหละ ฉะนั้น พระกรรมฐานเราถึงเรียก “พ่อแม่ครูบาอาจารย์” เป็นทั้งพ่อทั้งแม่เป็นทั้งครูบาอาจารย์ เป็นทุกอย่างพร้อมเลย
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์ที่ลงใจหายาก ฉะนั้น เวลาลงใจแล้ว ดูสิ เวลามีพวกลูกศิษย์เขามาถามว่า เวลาเขาไปที่อื่น แล้วเขาไปทําบุญที่ไหน เขาจะตรวจสอบกันอย่างไร
เราพูดคําเดียวประจํา “พูดกับทําตรงกัน” คนเราพูดกับทําตรงกันนี่จบ พูดอย่าง ทําอย่าง มันไม่ใช่แล้ว พูดกับทํา ทําอย่างที่พูด พูดอย่างที่ทํา นั่นน่ะให้สังเกตตรงนี้ ถ้าทําอย่างที่พูด พูดอย่างที่ทํา ตรงกับสัจจะ ตรงกับความจริง ครูบาอาจารย์ท่านเป็นแบบนี้นะ เพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันบิดพลิ้วไป มันเหมือนกับเบียดเบียนตนและเบียดเบียนผู้อื่น
ถ้าเบียดเบียนตน เบียดเบียนตน ตนเองตนก็ไม่รู้ ตนเองตนก็ไม่ซื่อสัตย์กับตน แล้วเบียดเบียนตนแล้วไปเบียดเบียนผู้อื่น เพราะตัวเองยังสงสัย ตัวเองก็ยังทําไม่ได้ แล้วก็ไปสอนคนอื่น มันก็เบียดเบียนผู้อื่นน่ะสิ
ฉะนั้นบอกว่า ถ้าลงใจแล้ว ลงใจน่ะดี แต่ก็ต้องดูกันไป ดูสิ่งที่ถูกต้องให้มันเป็นคุณงามความดี เป็นความจริงตลอดไป แล้วบอกว่าถ้าลงใจแล้วมันมีผลอย่างนี้ เพราะมันจริง เพราะมันถูกกับจริต
“และคิดเห็นที่ถูกขึ้นจากความเชื่อ ความคิดที่ผิดๆ”
เดิมไม่รู้ว่าผิด เห็นไหม ถ้ามันไม่ลงใจ มันไม่อบอุ่นใจ มันไม่เชื่อใคร เห็นไหม ถ้าคิดผิด ถือผิด มันก็คิดผิดๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ฟังใครหรอก มันไม่ฟังใครเพราะอะไร เพราะกิเลสมันจะเข้าข้างตัวเอง กิเลสมันจะยุแหย่ให้ตัวเองเชื่อความสําคัญของตน ตนคิดอย่างไร คิดว่าตัวเองถูกหมด กิเลสเป็นอย่างนั้นน่ะ
แต่ถ้าฟังธรรมๆ เวลาฟังธรรมเข้ามากรอง อานิสงส์ของการฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ยังลังเลสงสัยอยู่ ถ้าฟังแล้วเราพิจารณาของเราไป แก้ความสงสัยของใจได้ แล้วถ้าฟังไปแล้วถ้าจิตมันลง จิตนี้ผ่องแผ้ว นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่เราลงใจ เราเชื่อถือ มันจะเป็นประโยชน์ที่ว่าเหมือนอบอุ่น เหมือนคนมีพ่อมีแม่ มีคนมาพูดตลอด เวลาวันแม่ๆ ถ้ายังมีพ่อมีแม่อยู่ก็ไปไหว้พ่อไหว้แม่ แต่ถ้าพ่อแม่เสียแล้วล่ะวันพ่อวันแม่จะไปไหนล่ะ วันพ่อวันแม่ก็คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ มันก็ว้าเหว่ไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีครูบาอาจารย์ มันก็เหมือนวันพ่อวันแม่ พ่อแม่เรายังอยู่โอ๋ย! ยังได้อุปัฏฐากใช่ไหม ยังได้ดูแลพ่อแม่ เออ! ยังจับเนื้อต้องตัวได้ แต่พ่อแม่เสียแล้วล่ะ พ่อแม่เสียแล้ว เรายังคิดถึงอยู่ เราก็ทําความดีของเราขึ้นไป ถ้าพ่อแม่เราเสียแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นหลักใจได้ นี่พูดถึงว่ามีครูบาอาจารย์ที่ลงใจนะ ลงใจ สังเกต ให้พูดกับทําตรงกัน ถ้าสิ่งใดที่มันผิด ท่านจะกําราบ ถ้าสิ่งใดที่เป็นความถูกต้องดีงาม ท่านจะเชิดชู เชิดชูให้มันดีขึ้นมา แล้วดีขึ้นไปเรื่อยๆนี่พูดถึงว่าครูบาอาจารย์ของเรา
นี่คําถามนะ “๑. กําลังหาสมดุลระหว่างทางโลกและทางธรรม เวลาไปวัดแล้วปฏิบัติแล้ว พอจะกลับบ้าน มันหงุดหงิด มันเสียใจ มันไม่อยากกลับ แต่ก็มีปัญญาขึ้นมาว่า เรายังมีหน้าที่ ยังมีพ่อมีแม่ต้องรับผิดชอบ เราต้องกลับ”
ทีนี้คําว่า “ต้องกลับ” เวลาจิตมันดี เวลาจิตมันดีมันก็ดี เวลาบางทีจิตไม่ดี มันมีเด็กนะ พ่อแม่พามาภาวนาที่นี่ พ่อแม่เขาก็ภาวนาดี แต่เด็กมันรําคาญมันน่ะ มันเงียบ มันแบบว่ามันอยู่ไม่ได้ มันบอกพี่เลี้ยงเลยล่ะ “เราเรียกแท็กซี่กลับเถอะ เราเรียกแท็กซี่กลับกันเอง ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้นี่ พ่อแม่อยากปฏิบัติ เรากลับบ้านๆ” นี่คิดประสาเด็ก เห็นไหม เด็กไม่อยากอยู่ที่นี่ มันอยากกลับ แต่ของเรา เวลาเรามาปฏิบัติแล้ว ถ้ามันดี เราอยากอยู่ที่นี่ เราอยากปฏิบัติต่อเนื่อง
ฉะนั้น เวลาคนที่เขามีปัญหา เขาบอกว่า เขาต้องทําหน้าที่การงาน เขาจะปฏิบัติก็ปฏิบัติไม่ได้
เราจะบอกว่า ถ้าปฏิบัตินะ ปัจจัยเครื่องอาศัย วัดเขาดูแลให้ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว เวลาหัวใจของเรา เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา มันเห็นผิดไปทั้งนั้นน่ะ เวลามันเห็นผิดขึ้นไปแล้วมันคิดท้อแท้
แต่ถ้ามันเห็นถูกนะ มันอยู่ทุกข์ขนาดไหนมันก็พอใจ มันจะอยู่ทุกข์ มันอยู่ที่ขาดแคลนอย่างไรมันยิ่งพอใจเข้าไปใหญ่ถ้าจิตมันดี
เราจะบอกว่า เวลาเรามา คิดทางโลกก็เป็นอย่างนี้นะ เวลาปฏิบัติไปแล้ว จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยล่ะ
ฉะนั้น เวลาเขาบอกว่า เวลาเขามาปฏิบัตินี่ดีมากเลย แต่เวลาจะกลับ เวลาจะกลับมันอาลัยอาวรณ์ ไอ้นี่เราเป็นคน ๒ หน้าที่ หน้าที่หนึ่ง เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้จิตใจเราเข้มแข็ง หน้าที่หนึ่ง เราจะต้องมีหน้าที่การงานเพื่อดํารงชีวิตเพื่อความเป็นอยู่ของทางโลก เพื่อความเป็นอยู่ของพ่อแม่ เวลามา เราก็มา เราก็กําหนดวันอยู่แล้ว เวลาจะกลับต้องกลับ แต่กลับไปแล้ว ถึงเวลาแล้ว เวลากลับไปแล้ว ทํางานแล้ว ถ้ามีเวลา เราก็ภาวนาที่บ้านของเรา เราดูแลหัวใจของเรา
เพราะว่างานทางโลก งานหาปัจจัยเครื่องอาศัย งานหาปัจจัยเพื่อดํารงความเป็นมนุษย์ ถ้าเราพิจารณาของเรา เราดูแลหัวใจของเรา งานนี้งานจะทําให้จิตใจของเรามันมีอัตตสมบัติเป็นสมบัติของเรา
เวลาคนเขามีทิฏฐิ เขาไม่สนใจทางศาสนา กว่าเขาจะพลิกมาให้มีสัมมาทิฏฐิมันยังยุ่งยากขนาดนั้น แล้วเวลาของเรา เราทํา ๒ หน้าที่ หน้าที่หนึ่งคือเราทําหน้าที่การงานโดยปกติของเรา แต่ถึงเวลาแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเราเราหาเวลาของเรา นี่มันเป็นข้อเท็จจริงในทางโลก เราต้องทําของเรา
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า อันนี้เป็นกิเลสหลอกหรือว่ามันติดสงบ
กิเลสมันหลอกทุกคน มันหลอกทั้งพระด้วย หลอกทั้งผู้ที่ประพฤติปฏิบัติหลอกทุกคน กิเลสมันหลอกหมดน่ะ ฉะนั้น กิเลสมันหลอก เราต้องมีสติปัญญาเหนือมัน คือว่าถ้ามันถึงเวลาเรากําหนดแล้ว เราจะไป เราต้องไป ถึงเวลาจะปฏิบัติ เราต้องปฏิบัติ เรากําหนดเวลาของเราแล้ว เราทําความจริงของเรา กิเลสมันจะหลอกอย่างไร มันจะเสี้ยม มันจะยืดเวลา มันจะต่อเวลาอย่างไร อันนั้นกิเลสมันบังเงา เราไม่ให้กิเลสมันหลอก
ถ้าคําว่า “กิเลสมันหลอก” ถ้ากิเลสมันหลอก เหมือนเราจะทําก็ไม่ได้ เราจะอยู่ก็อยากไป จะไปก็อยากอยู่ มันกํ้ากึ่งกัน เราตั้งเวลาของเราแล้วเอาความจริงของเราเลย ทําให้ได้ตามนั้น แล้วถ้าถึงเวลาแล้ว เราจะปฏิบัติจริงๆ ให้ปฏิบัติจริงๆ ไปเลย เอาตรงนี้ไม่ให้สิ่งใดเข้ามาหลอก
เราเองเป็นความกังวลไง มันเป็นความกังวล ทําให้เราละล้าละลัง ทําสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เอาฝ่ายทางโลกด้วย แล้วถ้าทําสองหน้าที่ ก็เอาฝ่ายทางธรรม ก็รักษาของเราเพื่อประโยชน์กับเราเอง
“๒. จิตเสื่อม ปีแรกมันมีวินัยบังคับตัวเอง ปฏิบัติดีมาก พอต่อๆ มาเกิดจิตเสื่อม พอจิตเสื่อมขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ปฏิบัติมันไม่เข้มแข็ง ไม่ดีงามขึ้นมา”
เห็นไหม เวลาปฏิบัติต่อเนื่องๆ เป็นอย่างนี้ ถ้าคนเรา คนเราไม่รู้จักเจริญไม่รู้จักเสื่อม มันจะเป็นคนที่เคยทํางานเป็นได้อย่างไร คนจะทํางานเป็นมันต้องรู้จักเจริญ คนที่ทําอะไรไม่ได้แล้วทําขึ้นมาได้ ให้มันรู้จักจิตของตัวเอง เวลามันเสื่อม เสื่อมไปแล้วเราจะแก้ไขอย่างไรให้มันกลับมาเจริญ
นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา ถ้าเวลามันลงใจ เวลามันเชื่อมั่นของมัน มันทําของมัน พอเชื่อมั่น มันทําด้วยสติด้วยปัญญา มันก็ได้ประโยชน์ ทําไปๆ ไปคุ้นชินพอคุ้นชินขึ้นไปแล้วนอนใจไง เราเคยทําได้ๆ เราเคยปฏิบัติได้ นี่เวลาคุ้นชิน
ฉะนั้น เวลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาไปอยู่กับหลวงตา ท่านจะไม่คุ้นชินกับสิ่งใดเลย ไปอยู่กับท่านใหม่ๆ ท่านจะบอกว่าห้ามคุ้นชินกับใครทั้งสิ้น การคุ้นชินกิเลสจะออกช่องนั้นน่ะ คุ้นเคย การคุ้นชิน
แต่ถ้ามีสติปัญญา มันจะเหมือนกับแม่เนื้อ เวลามันจะกินหญ้า กินต่างๆ ในป่า มันต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะนายพรานจะฆ่ามันตลอดเวลา นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไม่คุ้นชินกับใคร หน้าที่การงานของเราก็เป็นหน้าที่การงาน เราไม่คุ้นชินกับใคร ไม่คุ้นชินกับอารมณ์ของตัวเองด้วย
อารมณ์ที่ดี คุ้นชินกับมัน มันก็พลัดพรากจากเราไป อารมณ์ที่ไม่ดีเลย ไม่ต้องการมัน มันก็อยู่กับเราตลอดไป เห็นไหม ไปคุ้นชินกับมัน เราต้องมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา เราจะรักษาตัวรอดตลอดไป เหมือนคน เวลานายท้ายเรือเขาออกเรือไปในทะเล เห็นทะเลมันราบเรียบนั่นน่ะ พายุมานี่ตายเลยล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนา จิตมันดี จิตมันเสื่อม มันต้องดูตรงนี้ ถ้าจิตมันเสื่อม เห็นไหม จิตมันเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร ถ้าจิตมันเสื่อม เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามันเสื่อม พุทโธอยู่หรือปัญญาอบรมสมาธิอยู่ ถ้าไม่อยู่ ท่านผ่อนอาหาร ถ้าผ่อนอาหาร เวลาคนจะปฏิบัติจริงๆ อดนอนเลย ไม่นอน สู้กับมัน
ทีนี้เวลาสู้กับมัน นักบวชหรือผู้ปฏิบัติมันมีหน้าที่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าออกบิณฑบาต ถ้าอดอาหารก็อดนอน อดทุกอย่าง อดเลย มันไม่ต้องมาพะว้าพะวงไงว่าเราจะต้องไปทํานั่น
เวลาในประเพณีของพระกรรมฐาน ถ้าอดนอนผ่อนอาหารแล้วเขาไม่ต้องทําข้อวัตร เขาให้สู้กับกิเลสได้เต็มที่เลย ถ้าสู้กับกิเลสเต็มที่ เห็นไหม ถ้าเอาเต็มที่มันก็ฟื้นมา พอฟื้นมา ทีนี้ถ้าคนเคยเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันจะเข็ด มันจะเข็ดเพราะมันจะคอยดูแลรักษา หนึ่ง เสื่อมเพราะอะไร เพราะว่าชอบคุย ชอบโม้ชอบสุมหัวคุยกัน ทางเสื่อมทั้งนั้นน่ะ ทางที่เป็นทางเสื่อม ท่านไม่ไปทําอย่างนั้นคนที่ปฏิบัติจริงๆ เขาไม่ไปทางแห่งการเสื่อม เขาจะไปแต่ทางแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความเจริญรุ่งเรือง เขาอยู่ในที่สงัด ในที่วิเวก
คนเขาดูพฤติกรรม ถ้าคนภาวนาเป็น พฤติกรรมของเขา เขาจะไม่คลุกคลีกับใคร เขาจะรักษาหัวใจของเขา เขาจะอยู่ในที่ความสงบสงัด เวลาฉันอาหารเขาก็ฉันเพื่อดํารงชีวิต ไม่ได้ฉันเพื่ออะไร เขาจะรักษาตลอดเลย เพราะอะไร เพราะเขาจะห่วงตรงนี้ไง ห่วงเวลาไปเสื่อมข้างหน้าแล้วทุกข์หมดเลย ทุกข์ยากมาก
ฉะนั้น พฤติกรรม ความเป็นอยู่ นักปฏิบัติเขาดูกันออก ถ้านักปฏิบัติจริงนะเขาจะมีสติ การเหยียดการคู้ เขาจะฝึกสติไว้ตลอดเลย นี่พูดถึงเวลาจิตมันเสื่อมถ้าจิตมันเสื่อมนะ เราก็ค่อยดึงกลับมา เพราะอะไร ถ้ามันไม่มีเจริญ มันก็ไม่มีเสื่อมถ้ามันเสื่อม แสดงว่ามันเคยเจริญมา มันเคยมีความสุขมา เวลาเสื่อมมามันก็ทุกข์มันจะได้เห็นไงว่าเราทําดีแล้วได้อย่างไร ทําดีได้แค่ไหน แล้วถ้าไม่ดี มันเป็นอย่างไร แล้วเราจะทําอย่างไรต่อไป ถ้าทําอย่างไรต่อไป มันก็ต้องฟื้นฟูขึ้นมา สู้กับมันใหม่ สู้กับใคร
นักรบ เวลาเขาบอกว่านักรบๆ มันต้องแบกปืนกันไป เวลาครูบาอาจารย์นักรบแบกกลดแบกบาตรเข้าป่าเข้าเขา รบกับตัวเอง เขามีแต่ไปที่สะดวกสบายไอ้เราเข้าป่าเข้าเขา มันไม่มีจะกิน ไปรบกับอะไร รบกับไอ้ความหวาดกลัวหวาดระแวงในใจไง รบกับหัวใจตัวเอง นี่นักรบ นี่พูดถึงว่าจิตเสื่อมนะ
ข้อ ๓. ปัญหาทางโลกแล้ว “๓. เพิ่งรู้จักทุกข์จากการเป็นเจ้าของบ้านมาพร้อมกับความเป็นหนี้”
ถ้าความเป็นหนี้ มันปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อาหารเครื่องนุ่งห่ม ถ้าปัจจัย ๔ ถ้าเรามีปัญญา เราก็หาของเราไว้ ปัจจัยเครื่องอาศัย
เวลานักปฏิบัติ ถ้าใครทําสมาธิได้เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง คนทําสมาธิไม่ได้เหมือนคนเร่ร่อน คนไม่มีบ้าน ต้องนอนตามชายคาบ้านคนอื่น แต่ถ้าคนที่ทําสมาธิได้เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง
ทีนี้ทางโลก เรารู้จักทุกข์แล้ว เพราะเรามีบ้านหลังแรกพร้อมกับความเป็นหนี้ความเป็นหนี้ เรามีบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังหนึ่งมันก็เป็นที่ซุกหัวนอน ใครทําสมาธิได้ก็เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง ดูสิ ทางโลก เราก็มีบ้านของเรา แต่มันพร้อมกับความเป็นหนี้...ไอ้นี่มันเป็นนามธรรม เป็นนามธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ทุกข์เพราะความเป็นหนี้ เวลาคนพ้นจากหนี้ จากหนี้ คนที่เป็นหนี้แล้วพ้นจากหนี้ มันมีความรู้สึก มันเป็นเรื่องความรู้สึก ถ้าความรู้สึก ถ้าความรู้สึกอย่างนั้น มันเป็นหนี้ แต่เขาบอกเลยว่าเขาก็รู้ๆ อยู่ว่าเขาผ่อนได้ เขาผ่อนได้ เขาทําได้ แต่มันก็กังวลใจ เห็นไหม
นี่ไง เวลานักปฏิบัติเวลาเขาปฏิบัติกัน เรื่องความกังวลใจ เขาถึงทําข้อวัตรปฏิบัติ เขาจะทําให้เสร็จเรียบร้อยพร้อมกัน แล้วต่างคนต่างปฏิบัติ ไม่ให้กดขี่กันไม่ให้เป็นกังวล เขาเรียกว่ามันเป็นกังวล ถ้าเราไม่มีความอะไรเป็นกังวลเลย เราจะปฏิบัติได้ตลอดรอดฝั่ง
ทีนี้พอปฏิบัติ กังวลเรื่องนู้น กังวลเรื่องนี้ กังวลไปหมดเลย นี่ไปมีบ้านหลังหนึ่ง ทุกข์เพราะความเป็นหนี้ กังวล เห็นไหม แต่เขาก็ผ่อนได้ แต่ผ่อนได้นี่เป็นนามธรรม เราก็ทําของเราไปโดยความเป็นจริงของเรา มันจะมีความสุขคือพ้นจากหนี้ ถ้าพ้นจากหนี้ มีความสุขนะ พ้นจากหนี้ แต่นี้ความเป็นหนี้ก็เป็นอย่างหนึ่งแต่เราจะบอกว่า เราได้บ้านมาหลังหนึ่ง ความเป็นหนี้ หนี้เพราะว่าบ้านหลังหนึ่งไอ้นี่พูดถึงการลงทุน
ฉะนั้น ในแนวทางปฏิบัติก็เหมือนกัน เราจะได้สมาธิขึ้นมา เราต้องมีศีล เราต้องมีสมาธิ เราต้องมีศีล เราต้องมีการประพฤติปฏิบัติ มันถึงเกิดสมาธิขึ้นมา ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมาก็มีความสุขใจ เวลาสุขใจ สมาธิเป็นที่อยู่ของใจ นี่เป็นเครื่องอยู่มันมีที่อยู่ของมัน นี่เราหาสมบัติทางโลก ทางโลกด้วย ทางธรรมด้วย เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเราขึ้นไป
“๔. ทํางานแล้วได้กลับบ้านทุกวันศุกร์ กลับมาแต่ละครั้ง แม่มักจะเล่าเรื่องของพ่อ พฤติกรรมของพ่อให้ฟัง”
เราก็พูดไป ลูกก็ต้องแก้ไขเป็นเรื่องธรรมดา
“ก็ให้จับผิดตัวเราเองสิ พอจับผิดตัวเราเอง มันจะได้สบายใจ กลับถูกประชด”
ทีนี้คําว่า “ประชด” นี่มันเป็นปัญหางูกินหางไง ไอ้นี่พูดถึงแม่เล่าเรื่องพ่อ แล้วบางครอบครัวก็พ่อเล่าเรื่องแม่ บางทีแม่เล่าเรื่องพ่อ พ่อเล่าเรื่องแม่
เพราะบุญกุศลนะ บุญกุศลในครอบครัว ในครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุขมีทิฏฐิเสมอกัน คือเข้าใจกัน ความเข้าใจกัน ความเห็นสมดุลกันนี่หายากมากความเข้าใจกัน มีความสมดุลต่อกัน นี่คือบุญกุศล
แล้วสังเกตได้ น้อยมากที่จะมาวัดพร้อมกันทั้งครอบครัว น้อยมาก ไม่ก็มาทางพ่อบ้าน ไม่ก็มาทางแม่บ้าน ไม่ก็ลูกต่างคนต่างมา ไอ้มาพร้อมๆ กันนี่ยากบางครอบครัวถ้ามาได้นั่นบุญมากนะ ถ้ามีบุญมากอย่างนี้
ทีนี้พูดถึงว่า เวลาพ่อพูดอย่างนั้น แม่พูดอย่างนั้นน่ะ เราเป็นคนกลางไงคนกลาง หมายความว่า อภิชาตบุตร บุตรที่มีปัญญา บุตรที่มีปัญญา พูดอย่างโยมนี่ถูก ให้จับผิดตัวเราเองดีกว่า ให้จับผิดตัวเราเอง ให้พยายามจับผิดเราเพื่อความเป็นธรรม เพื่อจิตใจเราจะได้สูงขึ้น เขาบอกว่า ก็เลยถูกโกรธถูกประชด
อ้าว! มันก็ธรรมดา เพราะอะไร เพราะสายเลือด พอสายเลือดขึ้นมาแล้ว เขาจะเอาสายเลือดไปข่มอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวต่อตัวสู้กันไม่ได้ จะเอาสองไปรุมหนึ่ง จะหาเสียงเข้าข้าง แล้วก็ไปรุมอีกฝ่ายหนึ่ง
จะบอกว่า ความเห็นถูกผิดยังไม่รู้เลย เพราะคิดอย่างหยาบ อย่างกลางอย่างละเอียด มันต้องปล่อยวางเข้ามา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา อย่าทิฏฐิว่าความคิดของตัวถูก ตรงนี้มันถูก แต่ไปข้างหน้ามันผิดแล้ว เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญาความคิดมันละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาทํางาน อู้ฮู! อาบเหงื่อต่างนํ้านี่ถูกไหม ถูกแล้วถึงเวลาแล้ววางไหม จบไหม ถ้าจบแล้วถึงนั่งสมาธิ ถ้าเป็นงาน เวลาไม่ทํางานนี่ผิดไหม ผิด
พระ เวลาเทศน์สอนพระ ข้อวัตรต้องทําไหม ต้องทํา ให้ทําให้พร้อมกัน ทําเสร็จแล้ว แล้วค่อยภาวนา ไม่ใช่ว่าเวลาเขาทํา ก็ฉันจะภาวนา พอเขาภาวนาอยู่ก็จะไปทําข้อวัตร มันเป็นไปไม่ได้ เวลาเขาทํากันน่ะ อย่าเอาเปรียบ อย่าเอาเปรียบอย่าเห็นว่าคนอื่นทําแล้วเราไม่ต้องทํา เวลาทําข้อวัตร ทําพร้อมกัน ทําเสร็จแล้วๆทําเสร็จแล้วให้ภาวนา เวลาเขาทําเสร็จแล้วจะมาภาวนา ก็จะมาทํา จะมาส่งเสียงกระทบกระเทือนคนอื่น เห็นไหม
เวลาทํางานอยู่ถูกไหม ถูก แล้วทําไม่ปล่อยไม่วางถูกไหม ผิด ทํางานให้จบแล้ววาง วางเสร็จแล้วถึงเวลาภาวนาให้ภาวนา ภาวนาเสร็จแล้ว มาภาวนาแล้วปัญญามันเกิดไหม เวลาว่านั่งภาวนาๆ นั่งภาวนาแล้วงานต่อไปล่ะ มันจะว่าเวลาเรื่องหยาบๆ อย่างนี้ถูกไหม ถูก แต่เวลาละเอียดเข้าไปนี่ผิดนะ งานมันละเอียดกว่านี้ ฉะนั้น อย่าทิฏฐิว่าเรามีความคิดอย่างนี้เราถูกๆ
เวลาหลวงตาท่านภาวนา ท่านบอกเลย เวลาจิตของท่านเป็นพระอนาคามีมองทะลุภูเขาไปหมด ภูเขานี่ทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย อู้ฮู! จิตมหัศจรรย์ขนาดนี้คําว่า “จิตมหัศจรรย์ขนาดนี้” มันสูงส่งมาก อู้ฮู! มหัศจรรย์สุดยอดเลย แต่เวลาธรรมะมาเตือน เห็นไหม “ความสว่างไสวเกิดจากอะไร เกิดจากจุดและต่อม” เวลาย้อนกลับมาพิจารณาจุดและต่อมแล้ว เวลาทําลายแล้ว ไอ้ความสว่างไสว ไอ้ความว่างน่ะกองขี้ควาย
ก่อนหน้านั้นมันมหัศจรรย์ มันของเลอเลิศ มันของสุดยอด แต่เวลามันทะลุไปแล้ว กองขี้ควาย ของเขาทิ้ง ขี้ควายเขาเอาไปทําปุ๋ย เขาเอาไว้หมัก แต่ตอนที่เราอยู่กับขี้ควาย อู้ฮู! มันมหัศจรรย์มาก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาบอกว่าให้จับผิดตัวเองดีกว่า ความคิดของเราว่าถูกๆมันถูกตอนนี้ แต่ต่อไปข้างหน้าล่ะ ต่อไปข้างหน้ามันจะพัฒนาขึ้นไปอย่างไร ถ้ามันพัฒนาขึ้นไป
กรณีนี้เราจะบอกว่า มันเป็นระหว่างสองฝ่าย ระหว่างพ่อกับแม่ เวลาสังคมเรานํ้าท่วมปาก ถ้านํ้าท่วมปาก แล้วสิ่งที่ยากที่สุด แก้ตัวเองก็ยากอยู่แล้วนะแก้ตัวเองมันละเอียดขึ้นไง แก้คนใกล้ชิด คนข้างตัวนี่พูดยากมากเลย ยิ่งพ่อแม่นี่ไม่มีทางเลย
ฉะนั้น ถ้าไม่มีทางปั๊บ ให้วาง ให้วาง แล้วเราทําตัวของเรา ทําตัวเป็นกลางเราทําตัวเป็นกลางนะ ทําตัวเป็นกลาง แล้วทําตัวเราให้เป็นคนดี เขาจะสนใจเราเอง ถ้าเราจะไปแก้ไขเขา เขาไม่ให้แก้ เขาไม่ให้แก้ แล้วจะบอกว่าอาบนํ้าร้อนมาก่อนเอ็งนะมึง ไอ้ข้อนี้พูดยากเลย
ไอ้คําว่า “อาบนํ้าร้อนมาก่อน” แล้วไม่ฟังใครเลย นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ ฉะนั้นเราย้อนมาที่ตัวเรา มาที่ตัวเรา แล้วเรามาทําความดีของเรา พยายามทําความดีของเรา ทําความดีของเราให้เป็นที่ไว้วางใจ แล้วเขาจะเอาเราเป็นแบบอย่างเองเอาเราเป็นแบบอย่างโดยที่ไว้ใจและไม่ไว้ใจ โดยที่ไว้ใจ เห็นไหม โดยที่ไว้ใจเขาเชื่อใจ เขาไว้ใจ สิ่งนี้เอาเป็นอย่างนี้
ฉะนั้น มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ มันต้องเป็นแบบนี้ เพราะคนเราต้องมีพ่อมีแม่ พ่อแม่เราก็มีปู่มีย่า แล้วถ้ามีใครมีครอบครัวเขาก็จะมีลูกมีหลานไป ถ้ามีลูกมีหลานไปนะ ในความคิดเรา เราดีได้ เราทําดีได้ แต่เวลามีลูกมีหลานไป มีลูกมีหลาน ถ้าเป็นอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ บุตรที่เสมอพ่อแม่ บุตรที่ตํ่ากว่าพ่อแม่ มันมีร้อยแปด ผลของวัฏฏะ ถ้าผลของวัฏฏะ เราไปเจอสิ่งใดแล้วย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมารักษาใจเรา อย่างที่สอนพ่อแม่ ให้ดูใจเราดีกว่า ย้อนกลับมาที่ใจเรา
หน้าที่ หน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่คน เราต้องเลี้ยงลูกของเราให้เป็นคนดีที่สุดเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นเรื่องความภูมิใจของเราหนึ่ง แล้วมันเป็นหน้าที่ของคนดี แล้วหน้าที่ของเรากับพ่อแม่ เห็นไหม กตัญญูกตเวทีเป็นหน้าที่ของคนดีเราก็ต้องกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่เรา เรื่องธรรมดา เราต้องทําๆ
สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ต้องทํา แต่เวลาถามปัญหามา ที่เราพูดให้ฟัง บอกว่ามันยาก มันยากเพราะเรื่องกิเลส มันยากเพราะเรื่องกิเลส มันยากเพราะว่าอาบนํ้าร้อนมาก่อน เพราะอะไร เพราะสถานะ กาลเวลา เวลาสุดท้ายแล้วนะ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ลูกหลานเหลน ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน เข็มนาฬิกาอันเดียวกัน หมุนเหมือนกันเลย แต่แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันสักคน แต่ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน
แล้ว ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน ของจริงๆ ๒๔ ชั่วโมง อริยสัจมันก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่ว่าสถานะมันแตกต่างกัน สถานะแตกต่างกัน มันก็เรื่องนํ้าท่วมปาก ถ้านํ้าท่วมปาก เราก็ดูแลใจเรา เข้าใจนะ ถ้าเรามีธรรมะหล่อเลี้ยงใจนะ เรื่องนี้เราเข้าใจได้ ถ้าเราไม่มีธรรมะหล่อเลี้ยงใจนะ แล้วเราจะทําตัวอย่างไรล่ะ เราจะทําตัวอย่างไร
แต่ถ้าโดยความเห็น คนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คนที่สัจธรรมก็พูดอย่างโยมนี่ถูกแม่ก็คือแม่ เราก็รักแม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของแม่ พ่อก็คือพ่อ เราก็รักพ่อร้อยเปอร์เซ็นต์ของพ่อ ปู่ก็คือปู่ เราก็รักปู่ในร้อยเปอร์เซ็นต์ของปู่ นี่ตามหน้าที่ เราเคารพตามนั้นเลย แล้วนิสัยของท่าน ความเห็นของท่าน นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ความเห็น นิสัยของท่าน เพราะว่ามันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ ความเห็นของคน เพราะคนมีกิเลส
เวลาเราพูดถึง พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ใช่ เป็นพระอรหันต์ของลูก ให้ชีวิตนี้มา แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเป็นพ่อแม่ที่ดีด้วย โอ๋ย! เราชื่นใจเลยแต่พ่อแม่ของเราเล่นการพนัน พ่อแม่ของเราติดเหล้าเมายา อันนั้นเป็นจริตนิสัยของท่าน เวลาพูด เวลาพ่อแม่พูดกับลูกก็พูดยิ้มแหะๆ พ่อทําแค่นี้ไม่เป็นไรเนาะกินเหล้าเมาแป๋เลย ไม่เป็นไรเนาะ ลูกก็บอกไม่เป็นไรค่ะ เพราะอะไร เพราะต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจไง แต่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือทนแรงขับดันของกิเลสไม่ไหวถึงได้ทําอย่างนั้น แต่ถ้าเราทําของเราได้ เราดูแลใจของเรา นี่พูดถึงว่าเรื่องนํ้าท่วมปากเนาะ
ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่า เขาใช้วิธีคุยกับแม่ คุยกับพ่อ แล้วจะเลือกอยู่ข้างใด
นี่พูดถึงเวลาต้องให้เลือกข้าง เราไม่เลือกข้าง เพราะเขาเขียนว่า “ปฏิบัติดีต่อกันเท่าที่ทําได้แบบไม่ค้านในใจ และยังกตัญญูต่อทั้งคู่”
ยังกตัญญูต่อทั้งคู่ อย่างไรๆ เราก็กตัญญูกตเวที เห็นไหม พ่อแม่ของเราเวลาพระเรามีพ่อมีแม่ เพราะพระเกิดมาจากมนุษย์ มนุษย์มีพ่อมีแม่อยู่แล้ว มาบวชพระแล้ว เวลาไปหาครูหาอาจารย์ “พ่อแม่ครูจารย์” พ่อแม่ครูจารย์เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เป็นทั้งครูบาอาจารย์ เวลาจิตของเรานะ เวลามันอั้นตู้ มันไปไม่ได้ มันทุกข์ยากมาก แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านประคอง ประคอง แล้วเวลาท่านคอยชี้นําคอยบอก คอยให้อุบาย แหม! มันมหัศจรรย์มาก เวลามันผ่านไปนะ มันเหมือนจะไปไม่ได้ มันเหมือนคนเรามันจนตรอก เวลาคนจนตรอก
แล้วทางโลก เวลาอกหัก โอ๋ย! จะเป็นจะตายเลยนะ ไอ้นี่เวลาจนตรอกมันยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่าอกหัก แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านใช้อุบายให้ส่องทางให้เราทะลุไปได้ โอ้โฮ! ทําไมมันจะไม่เคารพรัก
ดูสิ เวลาพระอานนท์ เวลาเทวทัตปล่อยช้างนาฬาคิรีจะมาไสมาชน ยืนขวางเลย พระอานนท์นี่ยืนขวางเลย สละชีวิตแทนเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ต้อง ท่านจัดการเอง นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสละชีวิตเพื่อครูบาอาจารย์ได้เลย นั้นมันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมนะ เป็นสิ่งที่ดี
แต่ในสังคมส่วนใหญ่แล้วมันหน้าไหว้หลังหลอก เวลาปากพูด ปากหวาน รักมาก กตัญญูมาก แต่เบื้องหลังทําลายทั้งนั้นเลย อันนี้พูดถึงวงการของกิเลสนะ แต่ถ้าเป็นธรรมะ ในฝ่ายพระ ครูบาอาจารย์ท่านจะรู้กัน อันนี้พูดถึงในวงของพระ
แม้แต่ว่า โยมมาบอกไง โยมมีพ่อมีแม่ แล้วแม่บอกว่าให้ไปบอกพ่ออย่างนั้นบอกพ่ออย่างนี้ นี่พูดถึงในเรื่องของโยม
ในวงการของพระ ในวงการของพระนะ เวลาพระไปเจอครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูจารย์ๆ โอ๋ย! ทั้งเคารพ ทั้งรัก โอ๋ย! ร้อยแปด นี่ในทางโลกเขาก็มี แล้วพระเวลาพระก็เหมือนโยม พระก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน แล้วเวลาพ่อแม่ก็รัก พระองค์ไหนไม่รักพ่อรักแม่ บวชก็บวชเพื่อพ่อเพื่อแม่ แล้วยิ่งปฏิบัติขึ้นไปแล้วยิ่งเห็นสายบุญสายกรรม มันยิ่งสะเทือนใจ แล้วเวลามาอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เวลาจิตเราติดขัดขึ้นมา ท่านบอกท่านสอน โอ้โฮ! มันเคารพบูชา ถึงว่าสละชีวิตแทนกันเลย สละชีวิตแทนกันเลย ความรักอย่างนี้มันเป็นความรักอันหนึ่ง
ฉะนั้น อยู่ในสังคมโลกเนาะ นํ้าท่วมปาก นํ้าท่วมปาก อย่าให้มันท่วมหัวใจเรารักษาใจเรา ปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง