ใจบวช
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “หากเป็นผู้หญิง อยากบวชตอบแทนพ่อแม่บ้าง จะได้บุญเท่ากับผู้ชายบวชเป็นพระไหมคะ”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ครั้งหนึ่งเคยฟังเทศน์หลวงพ่อบอกว่า เวลาผู้ชายบวชตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ จะได้บุญจากการบวชประมาณ ๑๖ กัปแล้วถ้าหากเป็นผู้หญิงบวช (แม่ชี) พ่อแม่จะได้บุญเหมือนที่ผู้ชายได้บวชไหมคะ
ตอบ : ไอ้นี่เป็นคําถาม ไอ้เรื่องกรณีคําถามนี้เป็นปัญหาสังคมนะ สังคมของเรา พวกชาวพุทธเรา ผู้หญิงส่วนใหญ่จะน้อยเนื้อตํ่าใจ น้อยเนื้อตํ่าใจว่า เราเกิดเป็นผู้หญิง เราไม่มีโอกาสเหมือนผู้ชาย ผู้ชายเวลาเขาเกิดมาแล้วเขาได้บวช ได้บวชตอบแทนบุญคุณพ่อแม่
เวลาพ่อแม่อยากให้ลูกบวช ลูกบวชเพราะได้จับชายผ้าเหลือง พ่อแม่ เวลาเกิดมาแล้ว เพราะถ้าลูกชายบวช ลูกชายบวชเพราะสายเลือดเข้าไปบวชไง ถ้าสายเลือดเข้าไปบวช เราเป็นผู้หญิง ถ้าผู้หญิงเรามีครอบครัวแล้วก็มีลูก ลูกไปบวช เราก็ได้เหมือนกัน
แต่ถ้าตัวเองจะบวช ถ้าตัวเองจะบวชนะ จริงๆ เวลาลูกบวช พ่อแม่ได้บุญ ๑๖กัป ไอ้นี่เราพูดบ่อย เพราะมันอยู่ในบาลี มันอยู่ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ เวลาอธิบายถึงเหตุที่บวช บวชเพราะเหตุใดทําไมบวชแล้วได้ประโยชน์อะไร
บวชแล้วมันได้ประโยชน์ไง มันได้ประโยชน์ เพราะเอาสายเลือด เวลาเราอุ้มท้อง ๙ เดือน อุ้มท้อง ๙ เดือน กินเลือดเรา กินเลือดจากอกพ่อแม่ เวลาคลอดออกมาแล้วกินนม กินนมก็นํ้าเหลือง ก็เลือดจากอก แล้วคิดดูสิ เลือดเนื้อเชื้อไขเราไปคํ้าศาสนา พ่อแม่ไม่ได้บุญได้อย่างไร พ่อแม่ได้บุญอยู่แล้ว แล้วเราเป็นผู้หญิง เราไม่ได้บวช เราไม่ได้บวช ถ้าผู้หญิง เวลาแม่ชีแก้วบวช เป็นพระอรหันต์เลย
ได้บุญ ๑๖ กัปคือบุญนะ แต่เวลาแม่ชีแก้วบวชแม่ชี เป็นพระอรหันต์เลย เป็นพระอรหันต์ บุญมันมากไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอะไร เพราะว่าถ้าแม่ชีแก้วไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แม่ชีแก้วต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายตายเกิดก็เหมือนเรานี่เวียนว่ายตายเกิดมันทุกข์มันยาก ดูสิ เป็นเศรษฐีมีเงินทองมหาศาลเลย เกิดมาเพราะมีบุญมาก มีบริษัทบริวาร อู้ฮู! ต้องบริหารจัดการ อู๋ย! ปวดหัวๆ แต่ก็ทําไปเห็นไหม
นี่พูดถึงว่า บุญ ๑๖ กัปนั้นมันก็เป็นเรื่องบุญกุศล เรื่องผลของวัฏฏะไง แต่ถ้าใจเราบวช ใจเราบวชนะ บวชเสร็จแล้ว เราบวชใจเลย ใจเราบวช เราประพฤติปฏิบัติของเรา
บวชเป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีจะได้บุญไหม
ถ้าโดยเวลาพูดถึงธรรมและวินัย ธรรมวินัย วินัยบัญญัติไว้เหมือนกฎหมายกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจน ชับๆๆ ถ้าผู้ชายบวชแล้ว ๑๖ กัป แต่บวชชี ถ้าเป็นภิกษุณี เราว่าได้เหมือนกัน ถ้าภิกษุณีนะ เพราะบวชท่ามกลางสงฆ์ แต่ถ้าบวชชีบวชกับพระ พระให้ศีล ได้ขอรัตนตรัยไง ได้ขอให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ศีล ๑๐ อันนั้นวิธีการบวชมันแตกต่างกัน วิธีการบวชแตกต่างกัน มันถึงแตกต่างกัน
เวลาบวชพระนะ พอเริ่มต้นนะ สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆฯ เวลาญัตติ สงฆ์ทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า บัดนี้บุรุษคนนี้ได้ยกเข้าหมู่สงฆ์ เห็นไหม เวลาบวชภิกษุณีต้องสงฆ์สองฝ่าย สงฆ์สองฝ่ายคือต้องบวชจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน พอบวชภิกษุณีสงฆ์เสร็จแล้วต้องให้ภิกษุณีสงฆ์กับภิกษุสงฆ์ร่วมกันยกมาเป็นภิกษุณีอีกชั้นหนึ่งถ้าบวชภิกษุณี เราว่า พูดถึงผลของการบวช ๑๖ กัป มันอยู่ตรงนี้ไง
แต่เวลาจะบวชชี บวชชีนี่บวชจากพระใช่ไหม บวชจากพระมันเป็นบวชเหมือนสามเณร พอถึงรัตนตรัย ขอศีล ๑๐ ถ้าศีล ๑๐ บวชแล้วบวชได้ ไอ้นี่บวชตามธรรมวินัย ตามกฎหมาย เพราะเถรวาทเรา เถรวาทเรานะ เวลาผู้หญิงจะบวชดูนางปชาบดีโคตมีกว่าจะบวชได้ ทั้งๆ ที่มีบุญคุณอยู่แล้วแหละ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้อยู่ว่านางปชาบดีโคตมีจะได้บวช แล้วภิกษุณีจะได้เกิดขึ้นแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตั้งกติกาไว้กับพระอานนท์ “อานนท์ ถ้าบวชมาแล้วมันจะมีปัญหาอย่างนี้ๆๆ ถ้าไม่มีภิกษุณีสงฆ์ สงฆ์จะอยู่สะอาดปลอดภัย ถ้ามีภิกษุณีสงฆ์แล้ว ระหว่างเพศสองฝ่ายมาอยู่ร่วมกัน มันจะทําให้เกิดการเศร้าหมอง ต่อไปถ้าภิกษุณีบวชแล้ว ภิกษุณีจะอยู่ได้ ๕๐๐ ปี”
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งกติกาไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้อดีตอนาคตไปหมด แล้วทําอย่างไรเพื่อเผดียงไว้เพื่อให้มันเข้มแข็งไง
ทีนี้พระอานนท์เป็นคนขอเอง ถ้าผู้หญิงได้บวชแล้วจะสําเร็จเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่
ได้ครับ พระพุทธเจ้าบอกได้ครับ พระพุทธเจ้าบอกว่าได้
พอพระอานนท์ถามพระพุทธเจ้า บอกผู้หญิงบวชแล้วจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ไหม
ได้
ถ้าได้แล้วทําไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้บวช
ถ้าบวชไปแล้วมันจะมีผลอย่างนั้นๆๆ แล้วต่อไปข้างหน้า นี่อยู่ในพระไตรปิฎก
แล้วถ้าใครจะค้านล่ะ
มันไม่มีใครค้านได้หรอก เพราะจดจารึกกันมา แต่เวลามาบวชแล้ว เวลามาในปัจจุบันนี้ เพราะว่าเราศึกษาทางประวัติศาสตร์มันก็จบแล้ว หมายถึงทางประวัติศาสตร์มันหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว ถ้าหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว เวลาฟื้นขึ้นมามันก็ฟื้นได้เท่านี้ เพราะภิกษุสงฆ์ สงฆ์มันต่อเนื่องกันมาตลอด
ฉะนั้น ถ้าบวชชี ถ้าบวชชีจะได้เหมือนพระไหม จะได้ ๑๖ กัปไหม
ไอ้ได้ ๑๖ กัป การบวชเรียนได้บุญไหม ได้ แน่นอน ได้แน่นอน แต่นี้คําว่า“๑๖ กัป” ภิกษุบวชได้ ๑๖ กัป อันนี้มันเป็นบาลี คือมันเป็นคําพูดของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าพูดไว้อย่างนี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าพูดไว้อย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าบวชชีได้ เพราะสมัยนั้น สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ แม่ชียังไม่ได้เกิด มันมีสามเณรีแล้วก็ภิกษุณี เวลาพระพุทธเจ้าบัญญัติ แต่แม่ชีนี่ยังไม่มีไง แม่ขาว แม่ขาวมันมีสมัยรุ่นหลังนี้ รุ่นหลังนี้แบบว่า เวลาเราจะบอกว่า พวกภิกษุรุ่นเก่าท่านได้คิดค้นไว้ ได้ทําเป็นประเพณีมาเป็นการบวชชี
ทีนี้บวชชีมันก็เป็นแค่เพศ ถ้าแค่เพศ เราจะบอกว่า ดูอย่างแม่ชีแก้ว แม่ชีแก้วบวชแล้วแม่ชีแก้วเป็นพระอรหันต์ บวชชีนี่เป็นพระอรหันต์ บวชชีนี่ทําประโยชน์กับสังคมมหาศาลเลย แต่มันเป็นปัญหาสังคมไง ปัญหาสังคมเพราะว่าสังคมเขาบอกว่า บวชชีบวชมาเป็น โทษนะ สังคมพูดอย่างนั้น บวชชีมาแล้วมาเป็นทาสให้พระใช้ ให้พระโขกสับ เขาคิดกันอย่างนั้นไง เขาคิดว่ามันไม่มีสถานะเท่ากันไง บวชชีมาแล้ว ไปอยู่วัด ไปอยู่วัดมันลําบากลําบนไปหมด จะให้คนนู้นโขกสับให้มันเป็นบุคคลชั้นสอง มันไม่ใช่มีสิทธิเสมอภาคเท่ากับภิกษุ
บอกว่าบวชชีแล้วมาให้พระโขกสับ เอ็งไม่ไปดูพระกับพระโขกสับกันเองล่ะเวลาพระกับพระโขกสับ เวลาพระกับพระโขกสับเพราะพระท่านมีกิเลส มีกิเลสทิฏฐิมานะอยากให้พระยอมรับตนเอง โขกสับลงไป นั่นมันยิ่งกว่าโขกสับภิกษุณีอีก
เราจะบอกว่า บวชภิกษุณี บวชพระ บวชชี บวชพระแล้วมาโขกสับกัน มันไม่ใช่ โขกสับมันกิเลสของคน กิเลสในหัวใจคนมันโขกสับ ถ้าเป็นพระที่ดีน่ะ โธ่! แม้แต่ภิกษุณี ไปดูวัดดีๆ สิ เขามีเขตอภัยทานเลี้ยงปลาเต็มไปหมดเลย เขาเลี้ยงสัตว์เต็มไปหมด เขตอภัยทานของเขา สัตว์เขายังเลี้ยง เขายังดูแล ทําไมเขาดูคนไม่ได้ สัตว์เขายังเลี้ยง ฉะนั้น ถ้าเป็นพระที่ดีนะ พระที่ดีเขาไม่โขกสับหรอก
จะบอกว่า มาบวชแล้วมีพระมาโขกสับ
เราไปมองอย่างนี้เราโทษศาสนาไปเลยไง เราไม่โทษบุคคลไง บุคคลผู้บริหารท่านไม่มีเชาวน์ปัญญา ผู้บริหารไม่รับผิดชอบ ถ้าผู้บริหารรับผิดชอบ ดูหลวงปู่มั่นสิ เวลาแม่ชีไปอยู่กับท่าน ไปดูวัดหนองผือ มันมีอยู่ ท่านไปกั้นไว้ข้างนอก ห่างเกือบกิโลหนึ่งน่ะ ให้เป็นสํานักปฏิบัติ สํานักชี แล้วท่านก็ดูแลอยู่ อ้าว! แม่ชีปฏิบัติไปนะ เพราะหลวงปู่มั่นท่านอยู่นั่น ท่านควบคุมดูแล ท่านส่งเสริมเต็มที่แหละ
ก่อนหน้านั้นน่ะ ดูสิ ที่เจอแม่ชีแก้วที่คําชะอี ตอนนั้นท่านยังไม่ได้ตั้งสํานัก“ถ้าเป็นผู้ชาย เราจะบวชเป็นเณรเอาไปด้วย นี่เป็นผู้หญิง ถ้ามันมีเวรกรรมของโลกก็มีไปก่อน”
ถ้าพูดถึงเวลาท่านมาสร้างที่หนองผือแล้ว ท่านไปสร้างสํานักแม่ชีไว้ห่างเป็นกิโลเลย อ้าว! แม่ชีให้ปฏิบัติไป เพราะท่านดูแล ถ้าปฏิบัติไปเพราะอะไร เพราะเรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราอยากพ้นทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ดูแม่ชีแก้วเป็นพระอรหันต์
ฉะนั้น เหมือนกัน บวชเป็นพระได้ ๑๖ กัป แล้วถ้าหนูบวชชีจะได้บุญอย่างนั้นไหม
เราไม่กล้ากล่าวตู่พุทธพจน์ พุทธพจน์คือบาลี คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ท่านบัญญัติไว้อย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ถึงแม่ชี ฉะนั้น ไม่ได้บัญญัติไว้ เราจะกล่าวตู่อย่างนั้นไม่ได้ เราจะกล่าวตู่แบบว่ากล่าวตู่พุทธพจน์ ไปบิดเบือนคําสอนพระพุทธเจ้า แต่ถ้าในความรู้สึกเราว่าบวชชีได้บุญไหม ได้ ทําดีทําไมไม่ได้บุญ เราทําดี ทําดี เราได้บุญ แต่บอกว่าถ้า ๑๖ กัป พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดไว้แล้วเราก็ไม่กล้ารับรอง
แต่เราจะบอกว่า การทําคุณงามความดี ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว แล้วเราตั้งใจทําคุณงามความดี แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้ สิ่งที่ว่าได้ ๑๖ กัป มันเป็นบาลีนะเพราะเดี๋ยวนี้เขาจะยืนยันกันว่าอะไรก็พระไตรปิฎก แล้วไปค้นแล้วมันไม่เจอ มันไม่เจอเพราะอะไร เพราะพวกเราอ่านบาลีไม่ออกหรอก เราอ่านเวลาเขาแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ฉะนั้น คําว่า “บาลีๆ” เพราะมันมีที่มาที่ไป ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ๑๖ กัปพระพุทธเจ้าพูดไว้ บอกไว้เองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นๆ มันจะได้ประโยชน์อย่างนั้นแล้วมันคํ้าจุนศาสนามา
ฉะนั้น เวลาเป็นผู้หญิง เราบวชชีจะได้บุญอย่างนั้นไหม
ถ้าเราบวชแล้ว ใจเราบวช ถ้าใจเราบวชนะ ไม่ต้องบวชชี บวชใจเลย อยู่บ้าน เราก็ปฏิบัติได้ ทํางาน เราก็ปฏิบัติได้ เพราะไม่ต้องไปวัดให้พระโขกสับไงเราฟังสังคมที่พูดเรื่องนี้มามันสะเทือนใจ บอกว่าแม่ชีเป็นนักบวชชั้นสอง ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ต้องไปอยู่กับเขา ต้องให้เขาโขกสับเป็นทาส เป็นทาสของพระ ต้องหุงหาอาหารให้กิน
แสดงว่าพระที่วัดนั้นแสดงว่าบวชมาเพื่อกิน บวชมาเพื่อกิน บวชมาเพื่อนอนแล้วให้แม่ชีดูแล แต่ถ้าพระที่เขาบวชมาเขาไม่สนหรอก เป็นภาระตาย เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง พอพระบวชมา ท่านมีบริขาร ๘ มีบาตรมาแล้ว บิณฑบาตที่ไหนมันก็ฉันได้ เพียงแต่เอาแม่ชีมาอยู่ด้วย มันเป็นภาระต้องหาเลี้ยงแม่ชีอีกต่างหาก ถ้าพูดถึงถ้าพระที่เป็นธรรมนะ แต่ถ้าพระไม่เป็นธรรม สังคมมันเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็มองเข้ามาในสังคมของศาสนา มองมาสังคมของนักบวช แล้วก็ว่าอย่างนี้ บวชมาเป็นทาสให้โขกสับ
เราบวชมาใหม่ๆ เหมือนกัน เราบวชมาพรรษาแรก พอออกพรรษา เราก็ไปแล้ว ธุดงค์ไปทั่ว พอธุดงค์ไปก็เจออย่างนี้ ไปเจอที่ไหน เราถึงพูดไว้ เห็นไหมหมาตัวหนึ่งโดนหมาทั้งฝูงรุมกัด หมาตัวนั้นคือเรา ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนรุมกัดเพราะอะไร เพราะเราจะภาวนา ทําดีอย่าเด่น เราไม่ได้เด่นหรอก มันทําความดีแต่เขาไม่ทํากันมันก็เหมือนเด่นนั่นแหละ แล้วก็ โอ้โฮ! ทั้งฝูงเลย กัดเอาๆ เราเหมือนหมาตัวนั้น หมาตัวนี้เคยโดนเขากัดมาทั่ว โดนเขากัดมาเต็มที่ ฉะนั้น นี่ความรู้สึกเราเวลาเราโดนกัดมาขนาดนั้น ถ้าพระด้วยกันนะ
แล้วคิดดูสิ เวลาแม่ชีมา เวลาบวชไปแล้วเราจะเจอสํานักที่ไหน เราเจอครูบาอาจารย์ที่ไหน นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงบอกไง “พระให้ปฏิบัติมานะ แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”
“แก้จิตมันแก้ยากนะ” คือว่าทิฏฐิมานะของพระ บวชมา ๕ พรรษา ๑๐ พรรษามันจะเป็นอาจารย์แล้ว พอบวชมาพรรษามากๆ ล้างบาตรไม่เป็น จะให้คนล้างบาตรให้ จะให้คนคอยนวด คอยอุปัฏฐาก กิเลสนี่มันไม่ได้เลย บวชมาแค่ตัวเลขบวชมาแค่ได้พรรษาไม่กี่พรรษา เดินไม่เป็นแล้ว จะนั่งเสลี่ยง
แต่ถ้าครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่มั่นท่านแก่ชราภาพขนาดไหน โอ๋ย! หลวงตาท่านอุปัฏฐาก แก่เฒ่าขนาดไหนนะ ไม่สบาย จะเอานํ้ามะพร้าวอ่อนให้ฉันในเพล“ไม่ได้หรอก ไอ้ตาดําๆ มันมองอยู่”
เห็นไหม ขนาดว่าเจ็บไข้ได้ป่วยนะ แล้วผู้อุปัฏฐาก มหาบัว คําว่า “มหา” ไม่รู้วินัยหรือ มหาบัวจบมหามารู้ธรรมวินัยทั้งนั้นน่ะ แล้วอาจารย์ของตัวทําให้ผิดศีลได้อย่างไร เอานํ้ามะพร้าวอ่อนมาให้ฉันในเพล “ท่านบอกฉันไม่ได้หรอก ไอ้ตาดําๆ มันมองอยู่ เดี๋ยวมันจะหาว่า”
นี่ไง ถ้าพระที่ดีท่านมีคุณธรรม เราหายาก หาครูหาอาจารย์ หลวงตาท่านบอกเลย หาแหวน หาเงินหาทอง ก็ดูคอคน สร้อยก็อยู่ที่คอคนน่ะ มันยังมองเห็นไง กําไลข้อมือ แหวนมันมีไปหมด เงินทองว่าหายาก มันยังเดินสวนกันไป มองเห็นไปหมด แต่พระดีๆ สักองค์ไปหาที่ไหน ครูบาอาจารย์จริงๆ ไปหาที่ไหน หาแสนยาก
ทีนี้บอกว่า บวชชีจะได้บุญไหม
เราพูดไว้เลย การบวช ใจบวชนี่ได้บุญหมดแหละ แต่จะไปอยู่กับใคร ระวังให้ดี จะไปอยู่กับใคร อยู่สังคมไหน นั่นสังเกตให้ดี ดูให้ดี เพราะอะไร เพราะทุกคนบวชใหม่เหมือนทารก คลอดออกมาแล้วพ่อแม่ไม่เลี้ยง มันจะอยู่ได้อย่างไรคนนะ พ่อแม่ไม่เลี้ยงมา มันโตมาไม่ได้หรอก นี่บวชมาไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอน มันจะไปได้อย่างไร หันรีหันขวางปฏิบัติ หันรีหันขวาง ไปไม่ถูก ทําอะไรไม่ถูกหรอก
เพราะเราเป็นมาก่อน บวชมาถือธุดงค์ บวชมาก็ดูตํารับตําราถือธุดงค์ แล้วพระเก่าๆ มันก็ใช้เล่ห์ ก็บินทางซ้าย บินทางขวา บินสลับข้างไม่ได้ ปวดหัวนะบวชใหม่ๆ บวชพรรษาแรก อ่านธุดงควัตร แล้วปฏิปทาฯ เราจะเอาอย่างนั้น บวชมาถือธุดงค์เลย ไม่มีใครส่งเสริมหรอก มีแต่ขุดหลุมพรางล่อหลอกให้ผิดพลาดไม่มีใครสอน
นี่พูดถึงเขาบอกว่า “หากเป็นผู้หญิงอยากบวชตอบแทนพ่อแม่บ้างจะได้บุญเท่ากับผู้ชายบวชพระไหมคะ”
ได้ บวชใจเราเนาะ ถ้าใจบวช ถ้าบวชแม่ชีได้บุญทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น จะบอกว่าจะให้ได้อย่างนั้นๆๆ มันเป็นไปไม่ได้ นี่พูดถึงผู้หญิงบวชเนาะ เราบวชใจของเราเราให้กําลังใจ บวช ใจบวช ใจก็มีศีลมีธรรม เราทําที่นี่ ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเรา อ้าว! ตอบเท่านี้
ถาม : เรื่อง “จิตเป็นสมาธิหรือเปล่าคะ”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ หนูเคยกราบเรียนถามปัญหาธรรมหลวงพ่อมาครั้งหนึ่งค่ะ ตอนนี้หนูมีความอยากรู้เกี่ยวกับอาการที่หนูเป็นอยู่ หนูมองบนเหนือศีรษะมีประกายสว่างเป็นจุดๆ เคลื่อนที่ได้อยู่ตลอดเวลาค่ะ ถ้ามองขึ้นไปบนข้างหน้า หนูก็สังเกตกับอาการที่หนูเป็นนี้ก็เป็นมานานหลายวัน ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะหนูเคยคิดว่าตาฝาดหรือเปล่า หรือเป็นเพราะสายตาเราไม่ดี หรือมีปัญหาทางสายตา ก็ไม่ใช่ค่ะ แต่เพราะถ้าเราตาฝาด อาการที่เห็นเมื่อมองใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นได้อีก แบบนี้เรียกว่าจิตเป็นสมาธิไหมคะ และที่เห็นคืออาการของจิตหรือเปล่าคะ
ปกติหนูเดินไปข้างนอกหรืออยู่บ้าน บางเวลาถ้านึกได้ก็จะภาวนาพุทโธในใจและบางครั้งก็ดูอาการภายในร่างกายค่ะ ที่ทํา หนูทําถูกหรือเปล่าคะ และถ้าเป็นแบบนี้เขาเรียกว่าจิตส่งออกหรือเปล่าคะ และแบบนี้ถือว่าหนูมีพัฒนาการปฏิบัติที่ดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ
ตอบ : เวลาพูดถึงเมื่อกี้ “ผู้หญิงบวชจะได้บุญหรือเปล่าคะ”
ได้บุญอยู่แล้ว ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นไป แต่เวลาปฏิบัติไม่มีครูบาอาจารย์ มันจะมาลงข้อนี้ มาลงข้อนี้ว่า สิ่งที่ว่าเขาบอกว่า อย่างนี้ที่เขาเป็นอย่างนี้ “เวลาเห็นแสงสว่าง เห็นต่างๆ มันคืออะไรคะ แล้วจิตเห็นอย่างนี้มันเป็นการส่งออกหรือเปล่าคะ แล้วหนูปฏิบัติอยู่นี่มันพัฒนาขึ้นหรือเปล่าคะ” นี่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มันเป็นแบบนี้ มันไม่มีครูบาอาจารย์ เราหันรีหันขวางไง
เวลาปฏิบัติเริ่มต้น ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ สมาธิเป็นอย่างไร เวลาว่าเป็นสมาธิๆสิ่งที่ว่าเป็นสมาธิ เรายังจับกันไม่ได้นะ เรายังว่ามันเป็นสมาธิหรือเปล่า ถ้าเป็นสมาธินะ หนึ่ง มันปล่อยวางทั้งหมด มันปล่อยวางนะ จิตมันเป็นอิสระ จิตเป็นอิสระคือจิตมันปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด แล้วมันเป็นตัวของมันเอง นั่นน่ะคือสมาธิ
ขณิกสมาธิคือชั่วคราว อุปจารสมาธิเข้าไปแล้วมันจะรับรู้สิ่งใดได้ อัปปนาสมาธิเข้าไป สักแต่ว่ารู้ มันรู้เฉพาะตัวมันเอง มันไม่รับรู้อะไรสิ่งใดเลย นั่นเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิแล้ว เวลาเราจะใช้ปัญญา เวลาใช้ปัญญา เราต้องฝึกหัดใช้ปัญญา
สมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ เวลาเราใช้ปัญญา เราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่างๆ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาของสามัญสํานึก มันเป็นปัญญาของปุถุชน ปัญญาของเรา คนที่มีปัญญามากเขาจะควบคุมกิริยามารยาทของเขาได้
ทีนี้พอเรามีปัญญาแล้ว ปัญญาอย่างนี้มันจะควบคุมจิตของเราได้ ถ้าควบคุมจิตของเราไม่ให้มันฟุ้งซ่านออกไป แล้วถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมามันจะรู้เลย เพราะมันแตกต่างกัน มันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกันแล้ว มันจะพัฒนาไม่พัฒนามันอยู่ตรงนี้
“จิตหนูพัฒนาหรือเปล่าคะ”
ถ้าจิตพัฒนา เห็นไหม หนึ่ง เราจะไม่ฟุ้งซ่าน เราจะไม่คิดนอกเรื่องนอกราว นี่จิตมันพัฒนา แต่เดิมนะ เราอยู่บ้านของเรา มันคิดไปร้อยแปด มันคิดไปร้อยแปดแล้วมันมีปัญหารบกวนใจตลอด แต่ถ้าพอมันมีสติปัญญาปั๊บ มันมีสติปัญญา มันเท่าทันตัวเอง คือนาฬิกากับใจมันเดินไปพร้อมกัน
นาฬิกามันก็เดินไปตามเวลา ๒๔ ชั่วโมงใช่ไหม ใจเราก็ปกติของเรา อยู่กับกาลเวลาอยู่อย่างนี้ มันไม่คิดไปอดีตอนาคต ไม่คิดฟุ้งซ่านไปไง นี่มันก็ดีขึ้นแล้วถ้าดีขึ้นแล้ว ถ้ามันทําต่อเนื่องไป ถ้ามันเป็นสมาธิได้นะ
คนเป็นสมาธิได้ คนที่มีหลักการได้ จริงๆ นะ ทุกคนทําสมาธิได้ มันเหมือนกับมรรคผลมันสามารถจะเอื้อมหยิบเอาได้ พวกนี้อยากบวชมาก พวกนี้อยากจะออกเลยนะ อยากจะออกเอามรรคเอาผลเลย อยากออกเอาความจริงนะ เพราะเรามีโอกาสที่ทําได้
แต่ถ้าในความเป็นจริงนะ เวลาพวกนี้ไปหาครูบาอาจารย์ บางที่ครูบาอาจารย์บอก อ้าว! บวชได้ บวชแล้วหรือมาปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วมันจะต่อเนื่องได้เวลามันจะล้มลุกคลุกคลาน มันจะมีความทุกข์เป็นอุปสรรคอยู่ข้างหน้า ถ้าเขาทนได้ เขาจะผ่านไปได้
แต่บางคน ครูบาอาจารย์บอกว่ายังไม่ต้องบวช ให้อยู่ทางโลกไปก่อน เพราะอะไร เพราะว่าถ้ามาบวชแล้วปัญหามันเยอะ คืออุปสรรคข้างหน้ามันเยอะมากไงแต่เวลาจิตของเรามันสงบแล้ว จิตมันมีหลักแล้ว มันคิดว่ามีโอกาสแล้วมันพอทําได้ พอมันทําได้ แต่ทําได้เพราะพวกนี้ยังไม่รู้จักกิเลส พวกที่ฝึกหัดใหม่หรือพวกที่คนปฏิบัติยังไม่เคยเห็นกิเลส ยังไม่รู้จักกิเลส มันยังคิดว่าตัวเองมีอํานาจ ตัวเองมีความสําคัญ
แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ตัวเราเองก็คือตัวเราเอง เราจะมีอํานาจหรือมีความสําคัญขนาดไหนอีกเรื่องหนึ่ง แต่กิเลสในใจของเราเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กิเลสในใจของเรามันจะเอาชนะเรา มันจะข่มขี่เรา มันจะพยายามเอาเราไว้ในอํานาจของมัน นั้นเป็นเทคนิค เป็นวิธีการที่มันจะทําลายการปฏิบัติของเรา ที่มันจะทําลายโอกาสของเรา นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แล้วถ้าเราไปเจอตรงนั้นน่ะ คนที่ครูบาอาจารย์เจออย่างนั้นแล้วท่านจะรู้เลยว่าเวลาอุปสรรคไปเจออย่างนั้นมันจะต่อสู้ของมันอย่างไร มันต้องอดนอน มันต้องผ่อนอาหาร มันต้องสร้างกําลัง มันต้องพยายามเผชิญหน้ากับมัน ฉะนั้น กรณีอย่างนี้เวลาไปข้างหน้าแล้วมันถึงเป็นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติแล้วท่านเคยผ่านวิกฤติการณ์อย่างนี้มา ท่านจะรู้เลยว่าการปฏิบัติมันสมบุกสมบันแค่ไหน มันจะต้องทุ่มเทขนาดไหน ถ้าเป็นความจริงมันถึงเป็นความจริงไง
ทีนี้ย้อนกลับมาผู้ถาม ผู้ถามเขาบอกว่า เวลาเขาปฏิบัติแล้วเขาเห็นแสงประกายเป็นจุดๆ
ไอ้นี่มันขั้นพื้นฐาน มันเบสิก เวลาคนบางคนปฏิบัติแล้วมันจะว่างๆ เข้าไปเฉยๆ ถ้าจิตมันสงบ ว่างๆ เฉยๆ นี่ต้องมีสตินะ ต้องมีสติ มีคําบริกรรม มันจะว่างเข้ามา มันจะปล่อยวางเข้ามา มันจะปล่อยวางเข้ามา มันจะมีกําลังของมัน มันมีความสุขแล้ว แต่บางที บางคน เวลาจิตมันเริ่มปล่อยวาง มันจะมีความรับรู้อย่างนี้จะเห็นดาว เห็นดาวระยิบระยับ โอ้โฮ!
คําว่า “เห็นดาวระยิบระยับ” เวลาคนโดนทําร้ายเขาโดนตีหัว มันก็ดาวระยิบระยับเหมือนกันนะ แต่ดาวระยิบระยับอย่างนั้นเขาจะสลบ เขาโดนทําร้ายร่างกายเกิดดาวระยิบระยับไปหมดเลย เขาไม่ต้องภาวนาเขายังเกิดดาวระยิบระยับได้
แต่คนภาวนาบางทีมันเกิด มันเกิดไอ้พวกดาวระยิบระยับ เกิดจุด เกิดแสงสว่าง เกิดแพรวพราว อันนี้มันคืออะไร ถ้าจิตมันจะสงบ บางทีบางคนมันเห็นได้มันเห็นได้ เหมือนเรากินอาหาร เรากินอาหาร บางคนรสชาติฝังใจมาก คนจีนเขากินอาหารจืดๆ คนจีนเขารักษาสุขภาพ เขาไม่กินเหมือนคนไทยเรา คนไทยนี่รสชาติจัด เขาเรียกว่ากระเพาะเหล็ก กินอะไรก็ได้ ฝรั่ง คนจีน เขากินอาหารรสชาติจืดๆ พอเขามาเจออะไรรสเผ็ดเขาจะ โอ้โฮ! มันเผ็ดมาก มันเผ็ดมาก แต่เรากินจนเคย เรากินกันจนไม่มีเผ็ด กินไม่ได้
ฉะนั้น เวลามันเหมือนกินอาหาร กินอาหารคือว่าเวลาคนเข้าไป เวลารสมันเผ็ด ลิ้นรับรสแล้วมันจะต้องหาอะไรมาเจือจานทันที ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตของคน เวลามันเริ่มปล่อยวาง มันจะเห็นเป็นจุด เป็นดวงเป็นดาวต่างๆ ถ้าเห็นก็คือเห็น
แล้วบอกว่าเขาเห็นอยู่บ่อยๆ ในปัจจุบันเขาก็เห็นอยู่ ตอนนี้ก็เห็นอยู่ค่ะ
เห็นอยู่ก็วางไว้ อาหารนะ ถ้าเราจะกิน เราก็เอาออกมากิน ถ้าเราไม่กิน เราก็เก็บไว้ นี่ก็เหมือนกัน เราไปเห็นจุดเห็นต่อม เห็นอะไรต่างๆ มันก็เรื่องจิตมันรับรู้จิตมันเห็น เห็นก็คือเห็น แต่เวลาเห็นแล้ว เห็น อาการเห็นนั้นจริงไหม จริง จริงแล้วมันได้อะไรล่ะ
กินข้าว เขากินข้าวเป็นมื้อเป็นคราว พระฉันมื้อเดียว ถ้าครั้งที่ ๒ นี่ขาดธุดงค์พระฉันมื้อเดียว ในเพลนะ ถ้านอกเพล ถ้าล่วงเพลไปแล้วฉันอาหารยามวิกาลเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เป็นอาบัติเลย ผิดเลย นี่ไง เขาฉันมื้อเดียว เขากินหนเดียวกินก็จบ
นี่ก็เหมือนกัน เราทําความสงบของใจ ใจก็สงบเข้ามา ไอ้ที่มันออกรับรู้ ออกเห็นแสงๆ ไอ้นี่ออกรับรู้แล้วมันได้อะไร แต่จิตมันออกรับรู้ ตอนนี้ก็เห็นอยู่...เห็นก็วาง
ถ้ามันเห็นนะ บางทีมันเห็นของมันโดยธรรมชาติ ธรรมชาติ เราจะไปฝืนว่าไม่มีไม่ได้ เราไม่ใช่ฝืนว่าไม่เห็นดาวนะ แต่เราเห็นดาวแล้วเราต้องเข้าใจว่า แล้วมันได้อะไร
อาหาร เรากินอาหาร ถ้าอาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่เรากินเป็นมื้อเป็นคราวเรากินเพื่อดํารงชีวิต แต่ถ้าอาหารมันเป็นพิษล่ะ อาหาร ถ้ามันมีสารพิษเข้าไป เรากินเข้าไป เราก็กินสารพิษเข้าไปใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการความสงบของใจ เราต้องการสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือสมาธิที่ถูกต้อง แต่เราไม่ต้องการ มันเป็นสมาธิแล้วออกไปเห็นดวงเห็นดาวเห็นอะไร เห็นก็คือเห็น ความเห็นนั้นมี ไม่ใช่มันไม่มี แต่เห็นแล้วมันได้ประโยชน์อะไร เห็นแล้วมันเป็นอะไรขึ้นมา
แต่ถ้าเราวางแล้ว จิตเราสงบเข้ามา แล้วถ้าสงบแล้วมันพัฒนาขึ้นไป ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อันนี้ดีกว่า ดีกว่าคือว่ากินอาหารแล้วมันเจริญเติบโต กินอาหารแล้วร่างกายแข็งแรง กินอาหารแล้วเป็นประโยชน์ อ้าว! อันนี้ดีกว่า
อ้าว! ถ้าดีกว่าแล้ว ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาไปแล้ว มันจะไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นสติปัฏฐาน ๔ แล้วมันพิจารณาของมันไป นี่มันคือคนป่วย คนป่วยแล้วรักษา แล้วหาย คนหายจากโรค สบายใจไหม เราเป็นโรคแล้วหมอรักษาหาย จ่ายสตางค์ด้วย ขอบคุณต่างหาก จ่ายสตางค์แล้วขอบคุณค่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าวิปัสสนาไปแล้วมันจะย้อนกลับมา ถ้าคนวิปัสสนาไปแล้วมันจะย้อนกลับมาเลย ไอ้ที่เห็นแสงวิบๆ แวบๆ อ๋อ! ไอ้นี่มันหญ้าปากคอก คนเขาโดนทําร้ายเขายังเห็นดาวระยิบระยับเลย เดินไปไหนไม่รู้ โดนเขาตีหัว อู้ฮู! ดาวพร่าเลย อันนั้นเขาเห็นดาวด้วยการลงทุนลงแรงให้เขาทําร้ายร่างกายนะ ไอ้ของเราเห็นดาวโดยที่ว่าเราทําความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบแล้ว ถ้าใจมันเป็นไปได้วางไว้ไง
“หนูคิดว่าหนูตาฝาดหรือเปล่า”
ถ้าตาฝาดแล้ว มันเห็นแล้วก็ต้องจบไป นี่ทําไมมันจะเห็นอีกล่ะ
อันนี้แบบว่า มีสติ สติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติอยู่กับจิต มีปัญญาอยู่กับจิตจิตนี้ปกติ แต่ถ้าเราส่งออก เราคิดไปเลย อู้ฮู! เราเห็นใช่ไหม ความเห็นนั้นจะมีคุณค่าอย่างนั้น มันจะเป็นผู้วิเศษอย่างนั้น...ไปแล้ว ส่งออกไปแล้วนะ ไปทําให้จิตใจนี้คลอนแคลน จิตใจนี้สําคัญตน จิตใจนี้สําคัญตนว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้เหนือโลก...ไร้สาระเลย
แสงเลเซอร์เดี๋ยวนี้เขามาผ่าตัดเป็นประโยชน์ด้วย ตอนนี้นะ อภิญญา ๖ ทางวิทยาศาสตร์เขาพิจารณาได้ ถ้าหูทิพย์ก็โทรศัพท์ ถ้าเหาะได้ก็เครื่องบิน อภิญญา๖ ตอนนี้นะ วิทยาศาสตร์มันทําได้ดีกว่าเยอะ แล้วพระก็มา อู๋ย! รู้นู่นรู้นี่
เขาไปโรงพยาบาลดีกว่าเอ็งอีก มีครบ อภิญญา ๖ มีครบเลย โทรศัพท์ก็มีแสงเลเซอร์ก็มี เครื่องบินก็มี อ้าว! เขาดีกว่าเอ็งอีก
ฉะนั้น เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้มันอภิญญาก็ส่วนอภิญญา มรรคก็คือมรรค มันไม่เกี่ยวกับมรรคเลย มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น อันนี้จะเป็นประโยชน์กับเรานะ
ทีนี้พูดถึงว่าเวลาเขาบอกว่า “แบบนี้จิตเป็นสมาธิหรือเปล่าคะ แล้วที่เห็นนี้เป็นอาการของจิตหรือเปล่าคะ”
๒ ข้อนี้สําคัญ เพราะเราพูดบ่อย เราพูดบ่อยว่า เวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านพูด ดูจิตๆ จนจิตเห็นอาการของจิต ดูจิตๆ เป็นสมาธิ จิตส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์ เวลาจิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลของจิตเห็นจิตนี้เป็นนิโรธ
ทีนี้ที่ว่าเห็นอาการของจิตๆ ไอ้ที่เห็นระยิบระยับเป็นอาการของจิตหรือเปล่าคะ
ถ้าอาการของจิตนะ จิตมันสงบแล้ว คนที่รู้ที่เห็นจะไม่ถามอย่างนี้เลย เขาวัดวุฒิภาวะของคนภาวนาเป็นภาวนาไม่เป็นอยู่ตรงนี้ คนที่ภาวนาเป็นนะ แม่ครัวใหญ่ แม่ครัวใหญ่มานั่งฟังเทศน์อยู่นี่ เขาไม่ต้องให้เราสอนเขาทําครัวเลย เขาชํานาญมาก เราไปสอนแม่ครัว เรายังสอนแม่ครัวไม่ได้เลย เพราะแม่ครัวเขาชํานาญกว่าเราเยอะเลย
คนที่ปฏิบัตินะ ถ้าเขาไปรู้ไปเห็น มันก็เหมือนแม่ครัว คือแม่ครัวเขาปรุง เขาทํามรรค เขามีมรรคมีผล ถ้าเขามีมรรคมีผล เราจะไปสอนเขาไหม เขาจะฟังเราไหม คนที่เขามีมรรคมีผล คนที่เขาทําได้จริงนะ เขาจะรู้จริงของเขา
เว้นไว้แต่ไอ้พวกแม่ครัวถุงพลาสติก มันต้องถาม ไอ้นี่ทําอย่างไร อ้าว! มันซื้อทุกวันเลย อยู่ในถุงพลาสติก เช้าก็ถุง เย็นก็ถุง แต่มันทําไม่เป็น ไอ้นี่คืออะไรคะไอ้นี่ทําอย่างไรคะ เพราะมันทําไม่เป็น
อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาจิตเห็นอาการของจิต ถ้าพูดถึงว่า อันนี้เป็นสมาธิหรือเปล่าคะ สิ่งที่ว่าดาวพร่าดาวอะไร
เราบอกว่า มี ถ้าไม่มีสมาธิ คือถ้าจิตมันเป็นปกติก็เหมือนสามัญสํานึกเรานี่เราปกติ เราจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรหรอก แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะไปเห็นจุดเห็นต่อมเห็นอะไรของเขา อันนั้นมันเป็นไปได้เพราะจิตมันสงบ
แต่จิตสงบแล้วนะ เราต้องการจิตสงบ เราไม่ต้องการดวงดาว เราไม่ต้องการจุดไม่ต้องการต่อม เราไม่ต้องการแสงสว่าง เราต้องการความสงบ สัมมาสมาธิแต่ถ้ามันเห็นจริง เห็นจริง เราก็มีสติสัมปชัญญะยับยั้งได้
แต่ถ้าเห็นแล้วมันเป็นอาการหรือเปล่าคะ
อาการของมันคือกาย เวทนา จิต ธรรม อาการของจิตคือกาย คือเวทนา คือจิต คือธรรม สติปัฏฐาน ๔ คืออาการของจิตทั้งหมดถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าจิตสงบเป็นสัมมาสมาธิ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นี้จิตจริงสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นความจริง
แต่คนที่ทําสมาธิไม่ได้ คนไม่มีสมาธิ อย่างพวกเรานี่เป็นปุถุชน คนหนาอารมณ์รุนแรง อารมณ์ควบคุมไม่ได้ คนหนาคือควบคุมตัวเองไม่ได้ กิเลสมันยุอย่างไร มันแหย่อย่างไร เชื่อหมดเลย แล้วบอกว่าคนอย่างนี้เห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรม จิตปลอมๆ อย่างนี้ จิตโดนกิเลสควบคุมอย่างนี้ แล้วมันบอกว่ามันพิจารณาสติปัฏฐาน ๔
เราถึงบอกว่า ถ้าพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆปลอมๆ คือจินตนาการ ปลอมๆ คือการสร้างภาพ คนสร้างภาพ เราอยากคบไหมเรามีเพื่อนคนหนึ่งเขาสร้างภาพทั้งวันเลย แล้วเราอยู่กับเขา เขาสร้างภาพทั้งวันเลย เราเลยกลายเป็นคนเลวเลย เขาเป็นคนดีอยู่คนเดียว เขาสร้างภาพว่าเขาดีๆเราอยากคบเขาไหม เราอยู่ข้างๆ นี่น่าเบื่อมากเลย
แต่เวลาภาวนา เราสร้างภาพตลอดเลย จิตปลอมๆ สร้างสติปัฏฐาน ๔ปลอมๆ มันน่าคบไหม ไอ้เราคบเพื่อนนะ เราเสียเพราะเราคบเพื่อนกับเรานะ แต่ผู้ที่ปฏิบัติจิตปลอมๆ เห็นสติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆ เขาหลอกลวงตัวเองโดยกิเลสครอบงํา
แต่ถ้าเขาทําพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตเขาสงบได้จริง จิตจริงเพราะมันเป็นสัมมาสมาธิจริงๆ ถ้าสัมมาสมาธิจะไม่เห็นดาวเห็นเดือนเห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะมันสงบเข้ามา การเห็นอยู่นี่เห็นนิมิต ส่งออก ขณะที่มันรับรู้อยู่ มันสงบแล้วมันรับรู้ เพราะเราสติควบคุมไม่เท่าทัน
ถ้าเรามีสติเท่าทัน ควบคุมเท่าทัน พุทโธๆ ต่อเนื่องไปๆ มันรวมตัวมา มันส่งออกไม่ได้ เพราะด้วยกําลังของสติ ด้วยกําลังของสติ ด้วยกําลังของคําภาวนา มันจะสงบตัวลง ถ้าสงบตัวลง มันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันจะไม่รับรู้สิ่งที่มันส่งออกไปถ้ามันไม่รับรู้สิ่งที่ส่งออกไป จิตมันจะเริ่มมีมาตรฐานมากขึ้น มันมีมาตรฐานมากขึ้น มันจะเป็นสัมมาสมาธิที่มีกําลังมากขึ้น
แล้วถ้าเรารําพึงไป เราน้อมไป บางคนนะ ที่ว่าจิตสงบแล้วเห็นดงเห็นดาว ถ้าบางคนจิตสงบแล้วมันมีอํานาจวาสนานะ มันจะเห็นกายทันทีเลย จะเห็นกาย เห็นต่างๆ เห็นแล้วขนพองสยองเกล้าเลย แต่ถ้าคนอํานาจวาสนาไม่เท่ากัน บางคนอํานาจวาสนาอ่อน จิตสงบแล้วไม่เห็นอะไรเลย จิตสงบแล้วมีสตินะ
บางคนไม่ใช่สมาธิ ว่างๆ บังคับใจให้มันว่าง พยายามทําตัวเองให้ว่าง ทําตัวเองให้ว่างคือปฏิเสธทุกอย่างหมด แล้วให้ว่างอยู่ มันว่าเป็นสมาธิ อย่างนี้ทําอะไรไม่ได้เลย เพราะมันควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่มีอยู่แล้วใช่ไหม เราปฏิเสธทุกอย่างให้มันว่าง แล้วมันจะมีอะไรควบคุมมันล่ะ มันก็เหมือนอากาศ ไม่มีเจ้าของไม่มีใครควบคุมได้ เพราะมันไม่มีสติ
แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันมีสติ มันทําสงบเข้ามา ถ้ามันไม่เห็นกายโดยที่ไม่มีอํานาจวาสนา ให้รําพึง ให้รําพึงไปที่กาย นี่จิตจริง จิตจริงถ้ามันรําพึงไปที่กายที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมตามความเป็นจริง เห็นไหม จิตจริง สติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นความจริง ก็เป็นมรรค เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมากัมมันโต เป็นความถูกต้องดีงามไง
แต่ถ้ามันไม่จริง เป็นมิจฉา มิจฉาคือการสํามะเลเทเมา นึกเองทําเองสวมรอยไปเอง นี่เป็นมิจฉา นี่ไง การภาวนามันมีอย่างนี้ไง
ฉะนั้นบอกว่า อย่างนี้เป็นสมาธิหรือเปล่า อย่างนี้เป็นจิตเห็นอาการของจิตหรือเปล่า
ถ้าคนเป็นจริง เราถึงบอกว่า แม่ครัว แม่ครัวใหญ่มา ไม่ต้องไปสอนเขาหรอก เขาหลับหูหลับตา พับๆๆ เสร็จหมดแหละ เพราะเขาผ่านมาหมดแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงมันจะมีอารมณ์อย่างนี้
เราไม่ใช่ติฉินนินทานะ เราเปรียบเทียบ บุคลาธิษฐาน เปรียบเทียบให้เห็นไงถ้าเป็นแม่ครัวใหญ่ ถ้าเป็นนักภาวนา ถ้ามันเห็นจริง “อันนี้จะเป็นอะไรคะ” อย่างนี้มันจะรู้เท่า มันจะเป็นจริงแล้ว แต่ถ้าอย่างนี้ปั๊บ มันยังเป็นอาการพื้นๆ คือว่ากว่าจะเข้าไปเห็นอาการของจิตมันต้องเป็นกัลยาณปุถุชนไง
จากปุถุชน ถ้าเราทําสมาธิได้ คนที่ทําสมาธิได้คล่องแคล่ว เขาเรียกกัลยาณปุถุชน คือคนบาง ไม่ใช่คนหนา ปุถุชนคือคนหนา คนหนามันทําอะไรมันต้องแบกหามเหนื่อยหน่อย แต่ถ้ากัลยาณปุถุชนควบคุมสมาธิได้ง่าย รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เวลามันเท่าทัน มันจบ มันตัดได้ด้วยสติด้วยปัญญา ทีนี้มันยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรคก็จะเห็นอาการ โสดาปัตติมรรคคือจิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง
จิตที่สงบแล้วยกขึ้นสู่สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นั้นคือโสดาปัตติมรรคคือจิตมันเริ่มเคลื่อนไหว มันเกิดปัญญา มันเกิดมรรคเกิดผลแล้ว ถ้ามันเคลื่อนไปมันพิจารณาไป มันปล่อยวาง ตทังคปหานชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าทําจนชํานาญเข้าเวลาสมุจเฉทปหานขาด พับ! สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จะขาดออกไปจากใจ นั่นเป็นพระโสดาบัน นั่นตามความเป็นจริง
นี่พูดถึงว่า อันนี้เป็นสมาธิหรือเปล่าคะ
เป็น เป็นมากเป็นน้อยอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นจิตเห็นอาการของจิตหรือเปล่าคะ นี้เป็นอาการของจิตหรือเปล่าคะ
อันนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิก็เห็นอย่างนี้ ปัญญาอบรมสมาธิก็เห็นความคิด เห็นอะไรของตัว แต่มันเป็นความคิดที่มันไปเสวยเวลารู้เท่าทัน มันปล่อย มันคายทิ้ง มันปล่อย มันไม่เสวย ไม่เสวยก็เป็นสมาธิ
ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญารอบรู้ความคิด รอบรู้เท่าทัน ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง
ถ้าปัญญามันรอบรู้เท่า เหมือนกับคนกัลยาณปุถุชนรู้เท่าทัน เห็นไหม ปุถุชนคนหนารู้ไม่เท่าทัน อารมณ์เป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา โกรธเกลียดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรา แต่ถ้ามันมีสติปัญญาปั๊บ มันทิ้งพวกนี้หมดเลย พอทิ้งพวกนี้ปั๊บ มันไม่ใช่เรา พอไม่ใช่เรา มันขาด พอมันขาดนี่เป็นกัลยาณปุถุชนคือปัญญาอบรมสมาธิ
ปัญญาที่เรารู้เห็นความคิด เขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิ คือปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาทางโลกคือปัญญาจากสมอง ปัญญาจากสามัญสํานึกไง แต่ถ้ามันปล่อยวางไปแล้ว พอมันขึ้นเป็นปัญญา มันจะเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว มันไม่ใช่ปัญญาสมองแล้ว จิตจริง มันเป็นปัญญาของจิต มันเร็วมาก มันทันกันมาก มันเป็นภาวนามยปัญญา มันถึงมีกําลังและความคมกล้าเข้าไปเชือดเฉือนสังโยชน์ เชือดเฉือนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจได้ มันจะเป็นความจริง
นั้นพูดถึงว่า มันเป็นอาการของจิตหรือเปล่าคะ
ฉะนั้น เวลาอยู่บ้าน เขานึกพุทโธอยู่ตลอด ดีแล้ว เขาบอกว่า ที่เขาเป็นอย่างนี้ จิตส่งออกหรือเปล่าคะ
จิตส่งออกมันเหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้า ถ้าไฟฟ้าแรงสูง ใครไปจับนะ เวลาใครไปพาดให้แบบว่าสายไฟมันเดินได้ ตายหมด ไฟฟ้านี่
นี่ก็เหมือนกัน ว่าจิตส่งออกหรือเปล่า
ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของความคิดส่งออกหมด ธรรมชาติของจิตก็เหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้ามีพลังงานของมัน มันส่งออกอยู่แล้ว โดยเอ็งจะรู้หรือไม่รู้ จะพูดหรือไม่พูด ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนายช่างใหญ่ รู้ถึงวิธีการจะควบคุมกระแสไฟฟ้า แล้วแยกแยะต่อเอาไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ มันก็เลยเป็นมรรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนายช่างใหญ่สามารถควบคุม เบี่ยงเบน หรือเอาไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์
นี่ก็เหมือนกัน จิตส่งออกหรือเปล่าคะ
มันส่งออกอยู่แล้วโดยธรรมชาติ รู้หรือไม่รู้มันก็ส่งออกอยู่แล้ว เพราะความคิดนี่คือการส่งออก แล้วนายช่างใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้ทําสัมมาสมาธิไง แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วมันถึงเป็นประโยชน์ไง
ฉะนั้นบอกว่า มันส่งออกหรือเปล่าคะ มันก็ส่งอยู่แล้วเจ้าค่ะ ฉะนั้น เขาบอกว่า จิตนี้เป็นสมาธิหรือเปล่า
เป็น ทีนี้สมาธิมันเป็นสมาธิของปุถุชน สมาธิของโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค กําลังของสมาธิแตกต่างกันทั้งนั้น ฉะนั้น เวลาแตกต่างกัน เวลาทําไปข้างหน้า เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติ เส้นทางเดินของมรรค เส้นทางเดินของหัวใจอีกกว้างขวาง อีกยาวไกล เราพยายามประพฤติปฏิบัติไป
ทีนี้เพียงแต่ว่าที่เขาถามมา ถามแล้ว เราก็พยายามจะตอบให้เข้าใจ แต่โดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติของคนที่ภาวนาไม่เป็น ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฟังอย่างไรก็ได้ประโยชน์บ้าง ถ้าอะไรที่มันคาใจแล้วปัญหานี้มันไปเคลียร์กับปัญหาของเรามันก็ได้ประโยชน์ตรงนั้น แต่จะให้เข้าใจทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ แต่ก็พยายามจะตอบ ตอบให้เห็นว่า นี่เป็นสมาธิไหม เป็น แล้วสิ่งที่เห็นแสงสว่างมันเป็นอาการถ้าทางโลกเขาว่าเห็นนิมิตได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ในการปฏิบัติแล้วมันจะมีวิธีการ
ที่ว่าครูบาอาจารย์สําคัญ สําคัญตรงนี้ไง สําคัญ เวลาพูดนี่เหมือนกัน จิต เอ็งก็จิต ข้าก็จิต แต่จิตของใครไม่รู้ แล้วจิตระดับไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์นะจิตระดับไหน เอ็งพูดมาสิ พอพูดมา เอ็งรู้แค่ไหนก็แค่นั้นน่ะ คนเรามีความรู้แค่ไหนมันก็พูดออกมาได้แค่นั้นน่ะ ถ้ารู้แค่นั้น ความรู้มันมีแค่นั้นน่ะ จิตก็อยู่ตรงนั้นน่ะ เวลาพิสูจน์กัน เวลาตรวจสอบกัน ครูบาอาจารย์ท่านตรวจสอบได้ ท่านทําได้
ทีนี้เพียงแต่เราพูดให้เห็นไง เพราะยิ่งพูดมันยิ่งงง เพราะอะไร เพราะเวลาใครฟังเทศน์เราแล้วมันจะไปเปิดในเว็บไซต์ แล้วก็จะไปเปิดที่เราตอบใครแล้วมันก็จะมาสวมเลย “อันนั้นหลวงพ่อตอบวันนั้น หลวงพ่อตอบนี่เหมือนของหนูเลยค่ะเหมือนหมดเลยค่ะ”
เออ! เหมือนก็เหมือน ไม่เป็นไร เพื่อประโยชน์ของเอ็ง เอ็งค้นหามาเพื่อประโยชน์ของเอ็งนะ แต่เวลาอย่างนี้ เพราะเราอ่านคําถามแล้วมันถามหลายช็อตแล้วถามถึงว่าจิตสงบหรือเปล่า จิตเห็นอาการของจิตหรือเปล่า จิตส่งออกหรือเปล่า นี่เวลาถามหลายช็อต ฉะนั้น เราเลยตอบให้เห็น ยกมาพูดให้เห็นว่า วิธีการและพัฒนาการของจิตมันเป็นอย่างใด แล้วเราพยายามทําของเรา ทําด้วยตัวเราเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วผิดถูก เรายังมีครูบาอาจารย์อยู่นะ ครูบาอาจารย์ของเราสําคัญตรงนี้ เหมือนหมอ หมอคอยตรวจไข้พวกคนไข้ ครูบาอาจารย์ของเราคอยตรวจหัวใจของเรานักปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติหาครูหาอาจารย์คอยดูคอยแล คอยชี้นําอาการใจของเรา เพื่อให้มันพัฒนาการ ให้มันดีขึ้น ในเมื่อเรามีครูบาอาจารย์อยู่ เราพยายามปฏิบัติของเรา แล้วถ้าผิดพลาดขึ้นไป หาครูหาอาจารย์คอยชี้นําเพื่อประโยชน์กับเรา
เราเกิดมานี่ เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากําลังเจริญงอกงามในการประพฤติปฏิบัติ มีครูมีอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ
ฉะนั้น ถ้าจะไปถามครูบาอาจารย์ที่เป็นจานกระเบื้อง อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งนะถ้าไปหาครูบาอาจารย์จานกระเบื้อง จานสนิมนั่นน่ะ มันจะพูดถูกใจเราทุกเรื่องแล้วเราก็จะจมปลักอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าจานกระเบื้องสนิมคลั่กเลย จานสังกะสี จานกระเบื้อง มันก็กระเบื้องแตก ถ้าจานสังกะสี มันก็สังกะสีมีแต่สนิม แล้วเวลาพูดไปก็ถูกใจทั้งนั้นน่ะ ถูกใจหมดแหละ
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ พูดทีไรเจ็บชํ้านํ้าใจทุกที พูดบาดหัวใจพูดอะไรไม่เคยได้ดั่งใจเลย พูดอะไรผิดทุกเรื่องเลย นั่นล่ะหมอมันฉีดยาไง ฉีดยาผ่าตัดมันเจ็บนะ พูดอะไรผิดทุกที พูดอะไรเจ็บๆ ชํ้าๆ ทุกทีเลย นั่นน่ะเขาให้ยาแล้วถ้าเราหาครูบาอาจารย์อย่างนั้นได้ เราจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ฉะนั้น เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราควรทําประโยชน์กับเราเพื่อชีวิตเรา เอวัง