เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้เราจะขายของ เราจะขายธรรมะ เวลาขายธรรมะนะมันเป็นสัจจะ มันเป็นธรรม ถ้าคำว่าเป็นธรรม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านแจกธรรมๆ ให้ธรรมเป็นทานๆ คือให้ธรรมเป็นทานไม่เดือดร้อนใคร ไม่มีใครเดือดร้อน ใครมีกำลังแล้วจะเสียสละทานเพื่อประโยชน์กับเขาเราได้ ในหลวงเมื่อก่อนท่านไปช่วยชาวเขา ชาวเขาท่านบอกว่าเอาปลาไปให้มันไม่ได้ ต้องเอาเบ็ดไปให้มัน ให้มันรู้จักทำมาหากิน

ก็เหมือนกัน ว่าให้ธรรมเป็นทานๆ เวลาให้ธรรมเป็นทานมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง เป็นเรื่องโลกก็คิดโครงการขึ้นมาแล้วก็มาเรี่ยไรกันว่าจะให้ธรรมเป็นทาน แล้วก็ไปให้ ๕ เปอร์เซ็นต์ อีก ๙๕ เปอร์เซ็นต์ไปไหนไม่รู้หายไป นี่ก็เหมือนกัน อ้างว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมอะไรเป็นทานล่ะ เราให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานเราทำด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เวลาให้ให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยน้ำใจคือให้ ไม่มีสิ่งใดไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีสิ่งใด ไม่ต้องการให้ใครมาเคารพนบนอบ ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้นเพราะมันเป็นธรรม

คำว่าเป็นธรรม คำว่าเป็นธรรม สัจธรรม สัจธรรมเวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านบอกเลยว่าธรรมะมันเข้าได้กับเม็ดหิน เม็ดทราย คือมันเข้ากับทุกๆ อย่างได้หมดเลย มันเข้าได้มันไม่กีดไม่ขวาง ไม่ขัดไม่แย้ง ไม่โต้ไม่แย้งอะไรทั้งสิ้นเลยความเป็นธรรม แต่ถ้ามันมีขัดมีแย้ง มีโต้มีแย้ง นั่นล่ะมันเป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้าให้ธรรมเป็นทานๆ เราให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยเสียสละ ถ้าให้ธรรมเป็นทานเราจะขายธรรม

คำว่าขายธรรมๆ เราทำด้วยน้ำพักน้ำแรง เวลาเราขายธรรม แต่ถ้าขายทางโลก ขายทางโลกมันมีลับลมคมใน มันมีต่างๆ แล้วข้อมูลเอ็งรู้ได้อย่างไร เอ็งรู้ได้อย่างไรมันก็เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ ปรารถนามารื้อสัตว์ ขนสัตว์ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ทำสังคายนาครั้งแรกสงฆ์แตกเป็น ๑๘ นิกาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธว่าถ้าเป็นธรรมก็ต้องรักกัน เป็นธรรมก็ต้องมีความเห็นเหมือนกัน ทำไมมันแตกเป็น ๑๘ นิกายไปล่ะ

ความแตกเป็น ๑๘ นิกายไปแล้ว ในมหายานก็ยังแตกไป เถรวาทแตกไป ในวัชรยานของเขาแตกกันไป พอมันเป็นเถรวาทเรา เถรวาทเรามันก็มีความเห็นแตกต่างกันไป อันนี้มันแตกต่างกันไป เหมือนบอกว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ถ้าครูบาอาจารย์มีธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่คำว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ ในคำว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ในความหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือรื้อในหัวใจของเขา

ความเห็นของเขา ความคิดของเขา ความทุกข์ของเขา ความยากของเขา ปรารถนา เวลาปฏิบัติให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือให้สัตว์ตัวนี้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วเวียนว่ายตายเกิดแล้วเอาอะไรมาเกิดล่ะ เวลาเกิดขึ้นมาได้เสวยภพ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ถ้าไม่มีจิตปฏิสนธิวิญญาณไปเกิดในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะมันเกิดได้อย่างไร

เวลามันเกิด จิตเวลามันเกิดจิตเรามันเกิด เวลาจิตมันเกิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ในหัวใจนั้น ในหัวใจนั้นต้องทำศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาแล้ว มันจะเข้าไปรื้อค้นในหัวใจดวงนั้น มันไปสำรอกกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจดวงนั้น ถ้ามันสำรอกกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจดวงนั้นแล้ว มันสิ้นกิเลสไปแล้วจะเอาอะไรไปเกิด มันเอาอะไรไปเกิดล่ะ

รื้อสัตว์ขนสัตว์ เขารื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจไง เขาไม่ได้รื้อสัตว์ขนสัตว์จะเอารถบัส เที่ยวไปวัดนั้นวัดนี้ ไปดูสมบัติของเขา นี่ไงเวลาเขาทำบุญๆ กัน ไปทำบุญทั่วบ้านทั่วเมืองเลย แต่ปล่อยพระอรหันต์ในบ้านไว้ให้ทุกข์ให้ยาก เกิดจากใคร เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เป็นคนดีต้องมีกตัญญูกตเวที กตัญญูกตเวทีไอ้ลูกก็บอกว่าแม่ชอบบ่น ไม่ชอบๆ

จะชอบไม่ชอบมันเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องหน้าที่มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ความอยู่ใกล้ชิด อยู่ต่างๆ มันกระทบกระเทือน ไม่ชอบสิ่งใด ถ้ามันคุ้นชินแล้วมันไม่มีการเกรงใจกัน แต่ถ้าคนเป็นเพื่อนกัน คบกันใหม่ๆ อู๋ย เกรงอกเกรงใจไปหมดเลย เวลาสนิทคุ้นเคยมันเป็นอย่างนั้น แล้วพ่อแม่อยู่กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันก็มีหลายๆ อย่างที่มันขัดใจ แต่ขัดใจมันก็เป็นเรื่องของเรา ถ้าเราขัดใจเรา เดี๋ยวมีลูก ลูกก็ขัดใจเราเหมือนกัน เดี๋ยวมีหลาน หลานมันจะถอนหงอกเอา นี่ไงในเมื่อมันเป็นไปตามวัย เราให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมแต่ข้างนอกไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจ ถ้าในหัวใจนี้มันมีความกตัญญูกตเวทีมันสังเวชนะ เวลามันคิดขึ้นมาแล้วน้ำตาไหลนะ เราเกิดมาจากใคร เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เลี้ยงมาฟูมฟักมา แล้วท่านก็หวังเพื่อความอบอุ่นใจของท่าน เราพูดกับท่านไม่ได้หรือ เรามีน้ำใจกับพ่อแม่เรา ปู่ ย่า ตา ยายเรานิดหนึ่งไม่ได้เลยหรือ ถ้ามันมีขึ้นมามันก็มีความอบอุ่น นั่นล่ะกตัญญูกตเวที

ถ้าให้ธรรมเป็นทานๆ มันให้ธรรมอย่างนี้ไง ถ้าธรรมเป็นทานหัวใจมันจะเป็นธรรม ถ้าหัวใจเป็นธรรมมันไม่คิดเบียดเบียนใคร ไม่คิดทำลายใคร ไม่คิดทำร้ายใคร ถ้ามันคิดทำร้ายใครก็สร้างเวรสร้างกรรม ถ้าเราทำร้ายเขาเราก็ทำลายหัวใจของเรา เพราะเราทำขึ้นมาเกิดกรรม กรรมอันนั้นมันจะซับลงไปที่ใจนั้น เพราะการกระทำนั้นมันต้องวางแผน มันต้องมีความรู้สึกนึกคิด

ไอ้ความรู้สึกนึกคิดนั่นล่ะคือเจตนา ถ้าเจตนาแล้วผลของมันกลับมาที่หัวใจ แล้วหัวใจที่คนมันคิด คิดทำลายเขาก็คือทำลายหัวใจตัวเอง ถ้ามีสติปัญญามันจะไม่ทำลายใคร เราไม่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเทวทัต เทวทัตมาร้องมาขอทุกๆ อย่าง แล้วสุดท้ายเทวทัตก็มาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีอคติ ไม่มีสิ่งใดกับเทวทัตเลย แต่เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อู๋ย ฟูมฟัก โอบอุ้มกันมาตลอด

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเวลาไปทำสิ่งใดมาก็มารายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไอ้ผู้ดี ผู้ประเสริฐก็ประเสริฐเลอเลิศ ไอ้ผู้ที่ทำลายก็ทำลายซะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์อยู่ระหว่าง แล้วท่านทำเป็นแบบแผนมา ถ้าว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมเป็นทานต้องเป็นแบบนี้ไง ให้ธรรมเป็นทาน เราไม่เบียดเบียนใคร ไม่ล้วงทรัพย์ใคร ไม่ทำลายใครทั้งสิ้น เราจะทำของเราทำเพื่อประโยชน์ไง ถ้าใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหนทำได้ขนาดนั้น

ดูสิ ว่าให้ธรรมเป็นทานๆ ครูบาอาจารย์ของเราประเสริฐเลอเลิศเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสมราคาไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง คำติฉินนินทาจากลัทธิต่างๆ ได้เราจะไม่ยอมนิพพาน เราจะปลูกฝังหัวใจของเรา อุบาสก อุบาสิกาของเราให้เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้ กล่าวแก้เวลาเขามาโจมตีไง

ศาสนานั้น ศาสนานี้ ศาสนาเป็นลัทธิ ศาสนาของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นเจ้าของศาสนาเราต้องมีสติ มีปัญญา เราต้องมีจุดยืนของเรา ถ้ามีจุดยืนของเรา บุญมันคืออะไร เสียสละกันทำไม มาทำบุญมาทำไม มาทำบุญแล้วภาวนาๆ เพื่ออะไร มันว่างเปล่าไง เราไม่มีจุดยืนไง ถ้าเรามีจุดยืนของเรา ให้ธรรมเป็นทานๆ เราต้องมีจุดยืนสิ ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราทำของเรา พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ พยายามรื้อสัตว์ ขนสัตว์นะ จนวันมาฆะบูชามารมาดลใจตลอดถึง ๑๖ หน

มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง คำโจมตี คำติฉินนินทาของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน โลกธาตุไหวหมดเลย นี่ไงให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาขนาดนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อท่านก็มีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านทำคุณงามความดีมามหาศาล แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นคนดี ไอ้เราลูกศิษย์ลูกหาเราจะเผยแผ่ธรรมๆ เราก็ต้องเป็นคนดี เราจะไปล้วงทรัพย์เขาทำไม เราจะไปโจมตีเขาทำไม

ถ้าเผยแผ่ธรรมไง ถ้าพ่อแม่ของเรา พ่อแม่เป็นคนที่ดี สั่งสอนลูก ถ้าลูกคนไหนเป็นคนดี คนใดก็แล้วแต่เป็นนายกรัฐมนตรีเขาจะถามเลยเกิดที่ไหน เกิดจังหวัดใด พ่อแม่มันชื่ออะไร ลูกคนหนึ่งทำคุณงามความดี คุณงามความดีนี้มันจะสืบต่อไปถึงพ่อถึงแม่ ถึงปู่ ย่า ตา ยาย ถึงชาติตระกูลเลย เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เราทำตัวดีอย่างไร

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ ครูบาอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ ท่านมีคุณธรรมๆ เราเป็นลูกศิษย์เราพิมพ์ประวัติของท่านมาแจกๆ เราทำตัวเลวทรามขนาดไหน ในเมื่อเอ็งจะเผยแผ่ธรรมไง ถ้าเผยแผ่ธรรมๆ จะให้ธรรมเป็นทานๆ มันมีธรรมจริงหรือเปล่า ถ้าครูบาอาจารย์ของเราจริง ครูบาอาจารย์ของเราเป็นสิ่งที่ดี เราเป็นลูกศิษย์ลูกหาที่จะเอาธรรมของท่านมาเผยแผ่ เราทำอะไรกันอยู่

เรามีอัตตสมบัติไหม เรามีความละอายแก่ใจไหม เรามีความรู้ไหม เรามีจุดยืนในชีวิตเราไหม ชีวิตนี้มาจากไหน นั่งกันอยู่นี่มาจากไหน นั่งกันอยู่นี่ อยู่ทำไม แล้วตายแล้วไปไหน ศาสนาสอนลงที่นี่ เรื่องอย่างอื่นเป็นเรื่องรองหมดนะ ในพุทธศาสนาสอนเรื่องการเกิดการแก่ การเจ็บและการตาย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รื้อค้น รื้อถอนสิ่งที่ตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา

พวกเราเกิด แก่ เจ็บ ตายมันเป็นสมบัติ สมบัติสาธารณะที่ทุกคนต้องเผชิญทั้งนั้น แล้วดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกไป ทำหัวใจของท่านให้พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป้าหมายมันอยู่ที่นี่ ศาสนาพุทธ พุทธศาสนาสอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย สอนเรื่องปัญญา สอนเรื่องการค้นคว้า สอนเรื่องอะไรต่างๆ แต่มันต้องวางพื้นฐานจากทาน ศีล ภาวนา จากเรื่องของทาน ถ้าคนไม่มีทาน ไม่มีการเสียสละ จิตใจตระหนี่ถี่เหนียว คือจิตใจมันก็ยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ทุกคนจะยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ไปศึกษาเล่าเรียนมา

การศึกษาเล่าเรียนมาทางโลกนั้นเขาเรียกวิชาชีพ มันเป็นอาชีพนะ ดูสิ พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งนั้นแหละ ถ้าใครมีองค์ความรู้ ใครมีการศึกษา เขาจะมีความรู้ของเขา เขาได้ทำงานของเขา หน้าที่ตำแหน่งของเขา นั้นเป็นอาชีพของเขา แล้วคนที่เป็นคนดี เขามีอาชีพแล้วเขาเป็นรัฐบุรุษ เขาทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เขาทำเพื่อประโยชน์กับประเทศชาติ คนที่มีความรู้แต่เห็นแก่ตัว ทำลายสังคม ทำลายความเดือดร้อนให้กับคนอื่น

นั่น ความรู้อันนั้นถ้ามันเป็นธรรมๆ มันจะเป็นประโยชน์กับคนๆ นั้น แล้วเป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ แต่ถ้าคนๆ นั้นมีความรู้แต่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ทำลายคนอื่น ความรู้ของเขาทำลายทั้งตัวเขา ทำลายตัวเขาเพราะเขาไปทำลายคนอื่นเขาก็สร้างเวรสร้างกรรม ดูสิ สร้างเวรสร้างกรรม ดูเทวทัต เทวทัตเวลาจะสำนึกตน เทวทัตจะมาสำนึกตน จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขาไว้มาก

พระบอกนะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเทวทัตจะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเทวทัตจะไม่ได้เจอหน้าเราหรอก พระก็บอกมาแล้วนะๆ เข้ามาถึงชานเมืองแล้วนะ เทวทัตจะไม่ได้เห็นหน้าเราหรอก มาแล้วมาถึงหน้าประตูวัดเชตวัน แต่ไปถึงแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไปล้างเท้า ล้างหน้า ทำความสะอาดร่างกาย ลงจากแคร่ธรณีสูบไปเลย ธรณีสูบเลย

นี่ไงคนที่มีปัญญาๆ ทำความรู้มากทำสิ่งต่างๆ ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาทำประโยชน์ของเขา ดูสิ ถ้าเขามีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากเขาทำของเขาอย่างนั้น เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะ ดูสิ ช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม ใครมีทิฐิมานะไปแสดงฤทธิ์แสดงเดชเอาฤทธิ์กดความรู้สึกนึกคิดของเขาจนเขายอมรับ พอใครยอมรับแล้วจะเทศน์สั่งสอน พระโมคคัลลานะจะพามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครมีปัญญามาก มีทิฐิมานะมาก พระสารีบุตรก็จะไปเทศนาว่าการ ไปใช้ปัญญาแยกแยะจนเขามีความเห็นถูกต้องขึ้นมาก็พามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กษัตริย์เมืองใด กษัตริย์เศรษฐีกุฎุมพีที่ไหนมีทิฐิมานะ จะให้พระโมคคัลลานะเหาะไปเลย ไปแสดงฤทธิ์แสดงเดชให้เขายอมจำนนด้วยเหตุด้วยผล พามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเขาเห็นว่าศาสนาพุทธที่มันเจริญงอกงามขึ้นมาก็เพราะพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เพราะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เป็นแม่ทัพแห่งธรรม เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มีเดชคอยพยายามจุนเจือส่งเสริมพุทธศาสนาให้เป็นแบบเป็นอย่างให้เขาเห็นความจริงขึ้นมา แล้วพามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ลัทธิต่างๆ พวกลัทธิเดียรถีย์มันบอกว่าอยากทำลายพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนามีคนเชื่อถือมาก ไปทำลายโอกาสของเขา ทำลายศรัทธา ทำลายลูกศิษย์ของเขาให้มานับถือศาสนาพุทธ แต่จะทำลายศาสนาต้องทำลายใครก่อน ก็ต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อน ถึงได้จ้างไงจ้างคนมาฆ่าพระโมคคัลลานะ ด้วยลัทธิอื่นเขาจ้างคนมาทำลายพระโมคคัลลานะนะ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากเหาะหนีๆ ถึง ๓ หน สุดท้ายแล้ว อ๋อ มันกรรมของเรา

มีฤทธิ์ มีเดช มีธรรมมันหลีกเลี่ยงได้ มันไม่เผชิญกรรมนี้ก็ได้ แต่พระอรหันต์ท่านเชื่อกรรม ท่านเชื่อการกระทำ เพราะสิ่งนี้เราทำมา ตั้งแต่อดีตชาติอันโพ้นไกลนู้นท่านได้เคยทำร้ายแม่ท่าน เพราะเคยทำร้าย แล้วพอทำร้ายก็ตกนรกอเวจี ตกนรกอเวจีขึ้นมาแล้วก็มีสร้างบุญสร้างกรรมมา ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ท่านได้สร้างบุญกุศลของท่านมา แต่เศษกรรมอันนั้นมันก็ยังมีความตกค้างอยู่ ท่านถึงนั่งเฉยๆ ให้โจรมันตีจนตาย

สลบไปแล้วก็ฟื้นมา เนรมิตจากที่โดนเขาตีจนบอบช้ำให้ขึ้นมาเป็นปกติ แล้วด้วยฤทธิ์ เพราะท่านมีฤทธิ์มาก เหาะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปลานิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด แล้วเธอจะไปนิพพานที่ไหน ก็ไปนิพพานตรงที่โดนเขาตี อ้าว ถ้าเธอจะไปเธอแสดงฤทธิ์ให้น้องๆ เธอดูก่อน เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาแล้วเทศน์ เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาแล้วเทศน์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทำแบบนี้ทั้งคู่เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นแบบอย่างไง

ก่อนที่เธอจะไปนิพพานแสดงตนให้ลูกศิษย์ ให้น้องๆ ของเธอได้เห็นว่าทำคุณงามความดี เผยแผ่ธรรมๆ ถ้าคุณธรรมมันเป็นแบบนี้ ถ้าคุณธรรมเป็นประโยชน์ในใจของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เป็นประโยชน์เพราะท่านฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสิ้นกิเลสไป คนสิ้นกิเลสคนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันประเสริฐที่สุด เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เราไม่ต้องมีอะไรบีบคั้นในใจของเราอีกแล้ว เราจะไม่เป็นเหยื่อของพญามารอีกแล้ว เราไม่ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันขี่หัวอีกแล้ว เราจะไม่ให้ใครมาข่มขี่เราอีกแล้ว หัวใจมันไม่มีสิ่งใดมาอยู่ในหัวใจ แล้วมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ความสำคัญๆ ก็สำคัญคือนิพพานในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นิพพานในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานในใจอันนั้น อันนั้นมีค่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมอันนั้นแหละ เผยแผ่ธรรมๆ นี่ไงถ้ามันเป็นธรรมมันเป็นประโยชน์อย่างนี้ แต่เวลาพระเทวทัตเวลาตายไปธรณีสูบไป ขนาดว่าธรณีสูบแล้วยังไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง สูบไปถึงคางก็ถวายคาง ถวายกระดูกคางแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เขาทำฌานโลกีย์ เขาเหาะเหินเดินฟ้าได้นะเทวทัต ใครที่ว่าเหาะเหินเดินฟ้า รู้วาระจิตอะไรต่างๆ อภิญญามันก็แค่นั้นมันฌานโลกีย์

บอกให้ธรรมเป็นทานไง เราจะแจกหนังสือไง เราจะขาย เราจะขายธรรมะ แต่เราไม่ได้ขายครูบาอาจารย์ ถ้ามันมีกิเลสมันจะขายครูบาอาจารย์ เอาครูบาอาจารย์มาขาย ลูกศิษย์คนนั้นลูกศิษย์คนนี้ แล้วมึงทำตัวอย่างไร พ่อแม่ที่ดีเขาสอนลูกอย่างนี้หรือ ถ้าเราเป็นลูกของพ่อแม่แล้วเราไปปล้นไปขโมยเขามา เราจะบอกว่าเราเป็นลูกพ่อแม่เราไหม

พ่อแม่มานั่งร้องไห้อยู่หน้ากรงขังนั่นน่ะ ลูกเอ๊ย เลี้ยงมาก็สั่งสอนซะดีเลย ทำไมไปปล้นไปชิงเขา แต่ถ้าลูกคนไหนทำผลประโยชน์ ทำคุณงามความดีกับชาติกับตระกูล เขาถามเลยว่าเกิดที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร ชาติตระกูลของเขามีคนขอบบุญขอบคุณว่าลูกได้ทำประโยชน์กับสังคม ลูกได้ทำประโยชน์กับประเทศชาติ ประเทศชาติร่มเย็นก็เพราะลูกของท่าน

ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทาน ธรรมอันนั้นมันมีค่าอยู่แล้ว ธรรมของครูบาอาจารย์เรามีค่าอยู่แล้วล่ะ แต่เวลาผู้ที่เอาไปปู้ยี่ปู้ยำไง ให้ธรรมเป็นทานๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ มันเป็นเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ ประโยชน์ทับซ้อนทั้งนั้นแหละ เมื่อวานเอามาให้เราสังเวชมาก เขาก็พิมพ์ประวัติหลวงปู่ตื้อ เราก็พิมพ์ประวัติหลวงปู่ตื้อ อ้าว แล้วมาแจกชนกัน แต่เราแจกในวัดเรา เขามาแจกจะให้เซ็น ไม่ยอมเซ็น ไล่กลับไปเลย เพราะอะไร เพราะว่าเวลาเขาทำแล้วก็ทำแล้ว

อย่างที่ว่าเวลาดูรูปในหนังสือสวยมาก เขามีรูปมีอะไรเต็มไปหมดเลย เราก็คิด เพราะเราดูข่าวบ่อย เขาก็บอกเลยนะ เด็กเราที่มันไม่มีปัญญาเพราะมันดูทีวี ถ้าปิดทีวีให้อ่านหนังสือเด็กมันจะฉลาด ถ้ารูปสวยๆ นั่นล่ะรูปสวยๆ เขาดูแต่รูป ของเราไม่มีรูปเลยมึงต้องอ่าน เด็กมันจะฉลาดเพราะการอ่าน การอ่าน การค้นคว้า การเป็นประโยชน์

ทีนี้หนังสือเราให้ธรรมเป็นทานไง กูจะให้คนฉลาด กูไม่ต้องการให้เด็กโง่ๆ แล้วจะได้หลอกลวงมันได้ง่าย กูต้องการให้เด็กมันฉลาด เอาหัวใจของมันไว้ในอำนาจของมัน ให้มีสติมีปัญญารักษาตนเพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของโลก แล้วเราพยายามสร้างคุณงามความดีของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา นี่ให้ธรรมเป็นทาน เอวัง