เทศน์บนศาลา

สังฆรัตนะ

๒๓ ส.ค. ๒๕๔๘

 

สังฆรัตนะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์ในโอกาสครบรอบวันมรณภาพองค์หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๘
ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

 

วันนี้เราจะมาระลึกถึงหลวงปู่ของเรานะ วันนี้เรามาระลึกถึง เพราะวันนี้เป็นวันมรณภาพ หลวง-ปู่ของเราเป็นสังฆรัตนะ เราจะระลึกถึงสังฆรัตนะของเรา ในมงคล ๓๘ ประการบอกว่า การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง แต่พวกเราลูกศิษย์ลูกหาได้เห็นสมณะด้วย ได้อุปัฏฐากสมณะด้วย เราเป็นคฤหัสถ์เราได้เคยถวายอาหาร เราได้เคยอุปัฏฐากหลวงปู่ของเรา เราเป็นพระเราได้เคยสรงน้ำ เราได้เคยอุปัฏฐากหลวงปู่ของเรา หลวงปู่ของเราเป็นสังฆรัตนะ ในเมื่อเป็นสังฆรัตนะ ในมงคล ๓๘ ประการ แม้แต่การได้เห็นก็เป็นมงคล แต่เราได้จับ เราได้ลูบคลำ เราได้การบอกกล่าว เราได้การชี้นำ ชี้นำให้เราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม

ถ้าเราเป็นชาวโลกเราก็จะมองไปแต่หน้าที่การงาน การทำประกอบสัมมาอาชีวะเราประสบความสำเร็จ อันนั้นเป็นเรื่องของโลก แต่ไม่มีใครชี้นำเข้ามาถึงหัวใจของเรา ในเมื่อเรามีความทุกข์ เรามีความอัดอั้นตันใจ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ในเมื่อมีกิเลสอยู่ในหัวใจ ในหัวใจว้าเหว่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนมันก็เป็นการว้าเหว่

นี่เป็นสังฆรัตนะ เห็นไหม รัตนะคือแก้วสารพัดนึก สิ่งที่เป็นแก้วสารพัดนึกมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะใช่ไหม เป็นพระรัตนตรัย สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติของเราไง แต่ของเรานี่เราศึกษาธรรมกัน เราศึกษาขนาดไหนมันก็เหมือนกับทะเลหลวง ถ้าในทะเลหลวงนั้น เราลงไปในทะเล เรามีเรือของเราลำหนึ่งล่องอยู่กลางทะเล เห็นไหม นี่วัฏฏะ การดำรงชีวิตของเราในปัจจุบันนี้เราอยู่ท่ามกลางทะเลหลวง เราจะไปทางไหนเราก็ไม่เข้าใจ เพราะเราไม่รู้ตำแหน่งที่อยู่ของเรือว่าอยู่ที่ไหน แล้วเราก็วนอยู่ในอ่างนั้น เห็นไหม

แต่เพราะมีสังฆรัตนะ เพราะมีครูบาอาจารย์ของเราเป็นหางเสือ หางเสือนั้นจะทำให้เรือนั้นเข้าหาฝั่ง สิ่งที่จะเข้าหาฝั่ง เห็นไหม เราศึกษาตำรามากันพอสมควร เราศึกษามาว่า เรารู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกันทั้งหมดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นธรรมและวินัย ในปัจจุบันนี้ กึ่งพุทธกาล ศาสนาเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง ปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญรุ่งเรือง เจริญรุ่งเรืองเพราะใคร เจริญรุ่งเรือง เห็นไหม

ในทะเล น้ำทะเลนั้นมีสารพิษ เขาเลี้ยงสัตว์น้ำกัน ถ้าน้ำทะเลนั้นมีสารพิษ สัตว์น้ำก็ดำรงชีวิตไม่ได้ นี้ก็เหมือนกัน ธรรมและวินัยเป็นอันหนึ่ง แต่สัตว์ในทะเลนั้นจะไม่ยอมเชื่อฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สัตว์ทะเลก็ทำลายกันอยู่ในทะเลนั้น เห็นไหม เหมือนกับว่าเราเป็นบริษัท ๔ แต่เราอยู่ในศาสนา อยู่เหมือนกับอาศัยศาสนานั้น แต่เราไม่เข้าใจ แล้วเราไม่ยอมรับสัจจะความจริงอันนั้น

พระจอมเกล้าฯ ถึงมาพยายามฟื้นฟูศาสนาไง พยายามทำให้น้ำนั้นสะอาด ทำให้น้ำนั้นไม่มีสารพิษ เห็นไหม ฟื้นฟูขึ้นมา แล้วองค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์มาค้นคว้าอย่างนี้ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ได้หางเสือมาจากไหน? ได้หางเสือมาจากที่ท่านได้พยายามสร้างสมบุญญาธิการของท่านมา ท่านสร้างบุญญาธิการนะ เพราะหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปรารถนาของท่านมา ท่านมีจริตนิสัย การค้นคว้าของท่าน เห็นไหม

ดูสิ ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกแสวงหาอยู่ ๖ ปี นี่ขนาดบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดนั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านก็สร้างปรารถนาของท่านมาเหมือนกัน แต่ขณะที่ว่าท่านมาพลิกของท่านไง มาพลิกของท่านอย่างนั้นถึงจะเป็นหางเสือของพวกเรา สังฆรัตนะของหลวงปู่เรา สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมา ปฏิบัติมากับใคร ในเมื่อการประพฤติปฏิบัติมาของตัว ก็ต้องค้นหาของตัวเองไง ค้นคว้าหาของตัวเอง แต่ค้นคว้าหาขนาดไหน ถ้ามันมีผู้ชี้นำนะ มีหางเสือนะ เรือนั้นจะแล่นเข้าฝั่ง

ถ้าไม่มีหางเสือนะ เรือนั้นจะแล่นอยู่ในกลางทะเลนั้น แล้วก็วนเวียนอยู่ในกลางทะเลนั้น ถ้าอยู่ในกลางทะเลนั้น เห็นไหม สิ่งนั้นมันก็เป็นผลของการเกิดและการตายในวัฏฏะนะ เราประพฤติปฏิบัติมันเป็นความมั่นหมายของเราว่าเราประพฤติปฏิบัติ แต่ผลที่เกิดขึ้นมามันจะสมความปรารถนาของเราไหม ถ้าไม่สมความปรารถนา มันไปสมความปรารถนาของใครล่ะ? มันไปสมความปรารถนาของกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่ สิ่งนี้มันสมความปรารถนา เพราะว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะพ้นออกไปจากกรงของพญามัจจุราช เห็นไหม สิ่งที่เป็นพญามัจจุราช พญามาร สิ่งนี้ควบคุมสัตว์โลกอยู่ในวัฏฏะนี้ เขาเป็นเจ้าอำนาจ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ?...

พญามารนี่มีอยู่แล้วในจิตปฏิสนธิ! ไม่ใช่วิญญาณที่เราคิดกันว่า จิตเป็นสภาวะความรับรู้นี่หรอก จิตที่เป็นสภาวะรับรู้นี่เป็นเหยื่อ! เป็นสิ่งที่ว่าส่งออกมาเป็นอายตนะแล้ว เห็นไหม...

ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์

ในเมื่อจิตไม่ใช่ขันธ์ จิตนี่...ปฏิสนธิจิตอยู่ในหัวใจของเรา เราเกิดเราตายนี่...พญามารอยู่ที่นั่น แล้วพอมารอยู่ที่นั่นก็บังคับบัญชานะ บังคับบัญชาให้สัตว์โลกเกิดตายไปในวัฏฏะนั้น บังคับบัญชาเพราะมันมีเชื้อไขของเขา เราไปยอมจำนนกับสิ่งที่ว่าเขามีเหมือนกับสายบังคับบัญชาของอวิชชาไง ในเมื่อเรายอมจำนนกับสายการบังคับบัญชาของอวิชชา คือจิตปฏิสนธิตัวนี้! มันมีความรู้สึกของมัน มันมีพลังงานของมัน เป็นพลังงานของอวิชชา ทำให้เกิดให้ตายในวัฏฏะ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ามีอำนาจเหนือสัตว์โลกทั้งหมดตั้งแต่พรหมลงมา เว้นไว้แต่อนาคาขึ้นไป พรหม ๕ ชั้นนั้นเท่านั้น สิ่งนี้อยู่ใต้อำนาจของอวิชชาทั้งหมด อยู่ในความจำนนของเขา เห็นไหม

สิ่งนี้... แล้วประพฤติปฏิบัติสิ่งนี้มันเจืออยู่ในหัวใจ สิ่งที่เจืออยู่ในหัวใจคืออวิชชา มันเจืออยู่ในหัวใจอยู่แล้ว! ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เพราะการประพฤติปฏิบัตินี่ปฏิบัติโดยที่มีกิเลสเจือปนไปตลอด การปฏิบัติบูชานี้เราคิดว่าเราปฏิบัติแล้วกิเลสมันจะยอมให้เราฆ่ามันเหรอ? ในความรู้สึกของเรา เห็นไหม ในความรู้สึกของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ต้องการประพฤติปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลสในหัวใจของตัว แล้วก็พยายามจะค้นคว้า พยายามรักษาหัวใจของตัว พยายามจะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม

แล้วหางเสืออยู่ไหนล่ะ? หางเสือคือความถูกต้องไง มรรคญาณอันความถูกต้องนั้น ความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ แล้วเวลาเราอุปัฏฐากกับครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม เราได้อุปัฏฐาก เราได้สร้างสมบุญญาธิการมา การได้เห็นสมณะ เห็นเฉยๆ ยังเป็นบุญกุศลเลย แล้วเราอุปัฏฐาก เราอุปัฏฐากนะ เราได้จับต้อง เราได้รับคำเตือนสติมาตลอดเวลาว่า...

“การประพฤติปฏิบัติต้องให้ตั้งสติก่อน”

หางเสือนี่ ถ้าเป็นสิ่งที่หางเสือมีคือ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีเชือก ไม่มีโซ่ ไปดึงหางเสือ แล้วคอยคัดให้เรือเข้าฝั่งนี่ ตัวสตินี้คือตัวโซ่ไง ตัวโซ่ตัวเชือกที่จะไปดึงหางเสือ ไปบังคับให้หางเสือนั้นหันไปทางซ้ายและทางขวา เห็นไหม ถึงต้องมีสติ ครูบาอาจารย์จะย้ำตลอดว่า “ต้องมีสติ” ถ้าไม่มีสติ การประพฤติปฏิบัติสักแต่ว่าเหมือนเครื่องยนต์กลไก

เครื่องยนต์กลไกในปัจจุบันนี้ เห็นไหม คอมพิวเตอร์นี่เขารู้ดีกว่าเรา เขาจำได้กว่าเรา เขารับรู้ไปทั้งหมด อินเตอร์เน็ตไปได้ทั่วโลก รับรู้ต่างๆ เขารู้หมด รู้กว่าเรา ดีกว่าเรานะ กดไปที่ไหนตอบสนองมา ถ้าเขาไม่ชำรุดนะ แล้วเขาได้อะไร? เขามีความรู้สึกอะไร? เขาแก้กิเลสของเขาได้ไหม? เขาไม่มีชีวิต เขาไม่มีความรู้สึก เขาเป็นเทคโนโลยีเป็นเครื่องยนต์กลไกอันหนึ่ง

แต่หัวใจของเรามีความรู้สึกน่ะ เรามีความกระทบ เรามีสิ่งที่สะสม ทำคุณงามความดีก็สะสมลงที่จิต ทำความชั่วอกุศลก็สะสมลงที่จิต จะเชื่อไม่เชื่อจะปฏิเสธอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้เป็นความจริงของเขา สิ่งที่เป็นความจริงของเขานี้มันจะสะสมลงไปที่หัวใจ แล้วเรามีสิ่งใดสะสมในหัวใจ ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา หนึ่ง...ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเกิดตกนรกอเวจีไปตามแต่ประสาสัตว์ เห็นไหม ถ้ายังมีทำบาปอกุศลอยู่จะเจอสภาวะแบบนั้น จะทำชั่วขนาดไหน จะปฏิเสธขนาดไหน แต่เวลาเป็นสภาวะแบบนั้นต้องเป็นอย่างนั้น แต่สภาวะเป็นแบบนั้นเพราะว่าเรายังมีกิเลสอยู่ในหัวใจ ใครจะควบคุมสิ่งนี้ไม่ได้ มันจะเป็นไปตามอำนาจของมัน

แต่ถ้ามีธรรมะ เห็นไหม มีหางเสือ มีครูบาอาจารย์ของเราคอยชี้นำ คอยให้สติ คอยยับยั้ง เราก็เบื่อนะ ในสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปน่ะดีแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ทำอะไรผิดก็คอยเอ็ด คอยว่า คอยบัญญัติธรรมวินัย คอยบังคับ บัดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เราจะได้อยู่สุขสบายไง” เห็นไหม ในเมื่อพญามารในหัวใจมีสภาวะแบบนั้น มันก็ยังมีความเห็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ผู้ที่มีธรรมในหัวใจสลดสังเวชมากนะ

แม้แต่องค์ศาสดาจะต้องปรินิพพานไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ แล้วเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ดวงตาของโลกดับแล้ว” มีความเสียใจมาก พยายามอ้อนวอนอาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตต่อไป เพื่อได้เป็นดวงตาของพระอานนท์นะ ได้ให้พระอานนท์มีทางก้าวเดินต่อไป

“อานนท์เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็จะต้องปรินิพพานไป”

เห็นไหม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มาก เวลาแสดงฤทธิ์ ท่านมีฤทธิ์มาก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแสดงฤทธิ์ต่อเมื่อจะได้ประโยชน์ เห็นไหม ไปทรมานชฎิล ๓ พี่น้องก็อาศัยฤทธิ์ ปราบพญานาค ปราบทุกอย่าง ปราบให้อยู่ในอำนาจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขามีวุฒิภาวะขนาดนั้น เขาบูชาอย่างนั้น เขาหลงใหลในสิ่งนั้น เขาว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เขาบูชาสิ่งนั้น แล้วเขาถือตัวถือตนของเขาว่าเขามีอำนาจ เขาเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า คุณสมบัติพิเศษของเขาอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์เดชขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย แล้วเวลาฤทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “ตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน” เทศนาว่าการอาทิตตปริยายสูตรนะ สิ่งที่เป็นคุณสมบัติพิเศษต่างๆ มันอยู่ในตัวเราต่างหาก มันอยู่ในหัวใจที่ผ่องแผ้วนี้ ถ้าหัวใจที่ผ่องแผ้วนี้ชำระกิเลสออกไปจากหัวใจ สิ่งนี้ต่างหากเป็นคุณวิเศษ ไอ้คุณวิเศษอย่างนั้นเป็นคุณวิเศษของโลก หลงใหลไปในโลก เห็นไหม นี่เวลามีฤทธิ์ มีฤทธิ์ขนาดนั้นนะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช้อย่างนั้น ท่านใช้ต่อเมื่อเป็นประโยชน์ เห็นไหม แต่ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมานี่ เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ ฤทธิ์อันนี้ต่างหากสำคัญ! สำคัญเพราะอะไร? เพราะมันเป็นปัญญา แต่ความเข้าใจของเรา เห็นไหม โลกียปัญญานี่ ทุกคนว่ามีปัญญา ตอนนี้ทุกคนว่ามีปัญญาหมดนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามากับตักสิลา เป็นกษัตริย์ สิ่งที่เตรียมตัวเป็นกษัตริย์ ปัญญาจะมีขนาดไหน โลกที่มีขนาดไหน พระเจ้าสุทโธทนะต้องให้เรียนทั้งหมด เรียนมาอย่างนั้นเวลาออกไปเห็นยมทูตทั้ง ๔ สลดใจมากนะ เพราะปัญญาอย่างนี้ไม่เข้าใจเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่เข้าใจเลย แล้วนึกว่าไม่มีอีกด้วย พอไปเห็นเข้าอย่างนั้นมันสะเทือนหัวใจนะ ว่าปัญญาที่เรียนรู้มามหาศาลมันไม่ช่วยอะไรเราได้เลย เรียนมาขนาดไหนเราก็ต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน เราก็เป็นคนหนึ่งหรือที่จะต้องตาย เห็นไหม สลดสังเวชมากจนออกมาประพฤติปฏิบัติ มาค้นคว้าโลกุตตรปัญญา สิ่งที่เป็นโลกุตตรปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา กว่าจะได้มาแสนทุกข์แสนยาก เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน ทวนกระแสของโลก

ปัญญาอย่างนี้โลกไม่มี ปัญญาอย่างโลก โลกต้องศึกษาไป เห็นไหม ตอนนี้ว่าแข่งขันทางปัญญา แข่งขันไปหาทุกข์! แข่งขันไปหาสิ่งที่มาทำให้วิตกกังวล รู้ขนาดไหนก็สงสัย! รู้ขนาดไหนก็กังวล! รู้ใต้กฎของพญามารนี้ รู้ขนาดไหนมีแต่ความทุกข์ไปขนาดนั้น เพราะยิ่งรู้มากก็กลัวความรู้นี้จะโดนเขาลบหลู่ เห็นไหม ใครยิ่งรู้มาก...ยิ่งถือปัญญาของตัว ทิฏฐิมานะสูงจรดฟ้า! ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทุกข์นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายอย่างนั้น ถึงหันกลับมาค้นคว้าออกประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด เห็นไหม นี่ดวงตาของโลก สิ่งที่เป็นวิชาการทางโลกุตตรธรรมนี่ วิชาการคือเท่าทันตัวเอง รู้เท่าทันตัวเองนี้เป็นสมถะ เป็นโลกียปัญญานะ ความรู้เท่าทันตัวของเราเองนี่มันสงบระงับ สงบระงับจากที่มันฟุ้งซ่านออกไปกินเหยื่อในอายตนะ มันกลับมาเป็นอิสระของตัวมันเอง ถ้ามีสติ! ถ้าขาดสติเป็นมิจฉาทั้งหมดเลย! ถ้ามีสติมันจะย้อนกลับมาเป็นตัวของตัวมันเอง แล้วยกขึ้นวิปัสสนา ในกรรมฐาน ๕ นะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ มันติดที่ไหนค้นคว้าที่นั่น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยอาสวักขยญาณมาระดับนั้น เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้ต่างหาก ปัญญาที่จะพ้นออกจากกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาสิ่งนี้รื้อสัตว์ขนสัตว์! สิ่งที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อจากหัวใจ เพราะสัตว์ที่ตายมาแล้วจะเอาภาชนะสิ่งใดไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์ในตึกรามบ้านช่องที่สูงๆ นั้นน่ะ เป็นร้อยเป็นพันน่ะ ใครเอาอะไรไปรื้อมัน มันไปนอนจมกันอยู่นั่น เห็นไหม การรื้อสัตว์ขนสัตว์นี่เป็นนามธรรม เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เทศนาว่าการ เป็นดวงตาของโลก ส่องโลกอยู่เห็นไหม พระอานนท์เศร้าใจมากเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องปรินิพพานนะ

“อานนท์ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องปรินิพพานไป”

มีพระพุทธ พระธรรม เห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วถ้าศึกษา ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตตะนี่เป็นผู้ข้อง ถ้าพ้นออกไปจากกิเลส เห็นไหม สังฆรัตนะเกิดตรงนี้ไง พระรัตนตรัยแก้วสารพัดนึกนี้ เราได้อุปัฏฐาก เราได้ค้ำจุนมา สิ่งนี้ต้องมาสะสมในใจของเรา เราถึงได้มีอำนาจวาสนา เราถึงเกิดมาเป็นชาวพุทธ เพราะสิ่งที่โลกเขา...สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นสมบัติของโลกมันจับต้องได้ แล้วมันเข้ากับกิเลสตัณหา มันเป็นเหยื่อล่อแล้วโลกก็ติดมันไป เห็นไหม แต่ถ้าปัญญาจะเข้ามาสละมันแสนยาก การสละนะ การสละสละตั้งแต่หัวใจ ถ้าหัวใจเราไม่เคยคิดสละไม่คิดฉุกใจ เราจะไม่หันหน้าเราเข้ามาในอาราม ในที่อยู่ของผู้ที่มีปัญญา ในที่อยู่ของสังฆรัตนะ ที่เราเข้ามานี่เพราะเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เป็นสายบุญสายกรรม เราถึงย้อนกลับมา...

สิ่งที่ย้อนกลับมา กลับเข้าไปในวัดไม่สนุกรื่นเริงเหมือนโลกเลย โลกออกไปข้างนอกมีแต่ความสนุกเพลิดเพลินในโลก มีแต่เครื่องล่อให้กิเลสมันอิ่มเอมประสาของมันนะ แล้วก็บอกว่า “มีความสุข..ความสุข” แต่เวลากลับไปถึงเรือนของตัว ไปเศร้าหมอง ไปทุกข์ระทมในหัวใจ แก้กันไปอย่างนั้น แต่เราไปในวัดในวา เห็นไหม ถือพรหมจรรย์ ศีล ๘ ก็ไม่มีเครื่องขับกล่อมอยู่แล้ว สิ่งนี้อยู่ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นอาหารที่แสลงไง อาหารที่แสลงกินเข้าไป มันต้องมีผลทางร่างกายแน่นอน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่โลกเขาว่าเป็นประโยชน์ มันแสลงกับธรรมนะ มันแสลงกับธรรมแล้วธรรมไปกว้านมันมาทำไม สิ่งนี้เห็นไหม สังฆรัตนะของเรานี่พยายามจะเตือนตรงนี้ไง เกาะ เคาะ เกี่ยวตรงนี้เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรามันมีอยู่แล้ว เห็นไหม

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกว่า “เวลากำหนด เริ่มต้นใหม่ๆ อกแทบแตก..อกแทบแตก” เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นความเคยชิน เคยชินไม่ใช่แต่ชาตินี้ มันเคยชินมาตั้งแต่ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้เกิดและตายมาตลอด สิ่งที่เกิดและตาย วัฏฏะนี้ยาวไกลมาก เหมือนทะเลหลวงที่เรามีเรือที่ไม่มีหางเสือ มันต้องเวียนไปตามนั้น แล้วตาบอดนะ เรือจะไปกระทบกับเรือใดก็แล้วแต่ ไปกระทบสิ่งโสโครก ไปกระทบอะไร กระทบก็แตก แตกแล้วก็จมน้ำตาย นี่ก็เหมือนกัน

การเกิดและการตายแต่ละภพแต่ละชาติมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แล้วไม่รู้... ไม่รู้เลย...

สิ่งที่ไม่รู้เพราะอะไร?

เพราะอวิชชามันปิดไว้ไง เกิดกี่ชาติ..กี่ชาติ ก็ไม่รู้...

แต่เวลาจิตสงบเข้าไปนะ กาฬเทวิลไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระอริยบุคคลเลย แต่เขาสามารถรู้อดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ เห็นไหม แสดงว่าจิตนี้ ปฏิสนธิจิต จิต ตัวภวาสวะตัวภพ ถ้าเข้าไปถึงข้อมูลของเขา จะไปเห็นข้อมูลของจิตนี้ มันเคยซับสมมาเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลย ถ้ามันมีโปรแกรมอยู่ เวลาเครื่องปกติมันจะคีย์ออกมาได้หมดเลยว่าสิ่งนั้นมีอะไร แต่ในเมื่อจิตมันสงบนะ ไม่ใช่พระอริยเจ้านะ! กาฬเทวิลนี่ เจ้าชายสิทธัตถะเพิ่งเกิดด้วย อยู่บนพรหมน่ะระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจที่เราเป็นตาบอด เรือเราไม่มีหางเสือ เพราะอะไร เพราะเราขาดสังฆรัตนะ เราขาดผู้ชี้นำ เราก็เวียนไปในโลก เรือกระทบกับสิ่งโสโครก กระทบกับสิ่งที่เป็นไปในโลกก็จมน้ำตาย..จมน้ำตาย แล้วก็ปฏิเสธว่าไม่รู้ กาฬเทวิลย้อนกลับไปอดีตชาติ ๔๐ ชาติ สิ่งที่ย้อนอดีตชาติสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่เหมือนกัน เหมือนกับจิตเรา มันเป็นการพิสูจน์นะ เวลาเราศึกษาไปว่า “มีปัญญามาก มีความรู้มาก” ศึกษาไปขนาดไหนก็งง ก็ลังเล ก็สงสัย แล้วไม่เคยประพฤติปฏิบัตินะ ไม่เคยพิสูจน์ เวลาจะท้าทายโลกนะ กิเลสมันบอกว่า “เรามีปัญญามาก เรานี่เก่งมาก วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้” สิ่งที่พิสูจน์ได้ ทดลองซ้ำซาก ซ้ำแล้วจะเป็นอย่างนั้น นี่เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์

ทฤษฎีวิทยาศาสตร์นี่เปลี่ยนแปลงมาตลอดนะ สิ่งใดที่คิดค้นได้ดีกว่า สิ่งใดดีกว่าจะลบล้างทฤษฎีเก่าๆ มาตลอดเลย สิ่งนี้มันป็นสมมุติขึ้นมาอันหนึ่งนะ สมมุติ!!...ไม่ใช่บัญญัติ บัญญัติคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรากล่าวทำวัตรสวดมนต์กันอยู่นี่ นี่บัญญัติ...

สมมุติบัญญัติแล้วเป็นวิมุตติ!! ถ้าใจมันรู้จริง มันจะเข้ามาจากภายในหัวใจอีกอันหนึ่ง

เห็นไหม ทำไมไม่พิสูจน์? เวลาท้าทายเขาให้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์...ท้าทายมาก! แต่เวลาท้าทายพิสูจน์ทางจิต ทำไมไม่ทำ?! ทำไมไม่ลองพิสูจน์ว่า จิตนี้มีการเกิดและการตาย จิตนี้สะสมมาจนเรามีศรัทธาและความเชื่อ เรามีความเชื่อ เราถึงย้อนกลับมาในอารามในวัดในวา ในที่อยู่ของผู้ที่มีปัญญาไง ในที่อยู่ของผู้ที่เป็นสังฆรัตนะของเราไง แล้วเราได้อุปัฏฐาก เราได้ฟังธรรม เห็นไหม

ท่านพยายามติดหางเสือให้เรานะ เพียงแต่เราไม่รู้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนี่เป็นที่พึ่งแห่งตน ตนถ้าเตือนตนได้ ตนถ้ามีความรู้สึกว่าผิดพลาดได้ ตนจะแก้ไขตน แต่ตนไม่มีที่พึ่งแห่งตน! แม้แต่หัวใจอยู่กับร่างกายนี่ แล้วก็ปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธนี่ แล้วจะประพฤติปฏิบัติ จะเอาตัวออกจากกิเลสให้ได้ แต่มันไม่มีหางเสือ

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านมีเมตตามาก เพราะอะไร? เพราะพ่อแม่กับลูก พ่อแม่จะรักลูกมาก เพราะอะไร เพราะพ่อแม่อยู่ในโลกมาก่อนลูก เพราะลูกเพิ่งเกิดมานึกว่าสังคมนี้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เด็กนี่จะขออะไรใครก็ให้ จะไปที่ไหนเขาปรารถนา เขาก็ให้แต่ความรักอุ้มชู มันก็คิดว่าโลกนี้สะอาด โลกนี้เหมือนผ้าขาวไง แต่พ่อแม่เผชิญกับโลกมา...รู้นะ เหมือนกันเลย เหมือนกับสังฆรัตนะของเรานี่ กว่าท่านจะประพฤติปฏิบัติมานี่ กิเลสในหัวใจ...คนเกิดนะมีกิเลสทั้งหมดเลย สัตว์ที่เกิดมายังเวียนตายเวียนเกิดในโลกนี้ยังมีกิเลสอยู่ แม้แต่พระโสดาบันก็ยังต้องเกิดต้องตายอยู่ พระอนาคาต้องไปเกิดบนพรหมนะ สิ่งที่มีเชื้อไขอันนี้มันยังพาเกิดพาตายอยู่

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปทำลายมันเป็นชั้นเป็นตอนนี่ พ่อแม่นี่เข้าไปเผชิญกับกิเลสเหมือนกับผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่เรา อยู่กับสังคมโลกน่ะ ผ่านวิกฤติของสังคมมากี่รอบ สิ่งที่เป็นความทุกข์ความยากในสังคมนี่...ขนาดไหน? การดำรงชีวิต การประกอบสัมมาอาชีวะมันจะประสบความสำเร็จหรือมันจะมีอุปสรรค มันผ่านมามหาศาลเลย คนเขามาทำลายเราก็มี คนเขามาส่งเสริมเรา เขาเมตตาเรา เขามาแนะนำเราก็มี นี่ไง คนที่เขาไม่แนะนำส่งเสริมเรา เห็นไหม ธรรมเวลาเกิดในหัวใจ เกิดเป็นครั้งเป็นคราว เห็นไหม แต่กิเลสอวิชชามันทำลายหัวใจ สิ่งนี้มันทำลายเราก็มี แล้วพ่อแม่ของเรา สังฆรัตนะของเรานี่ สิ่งนี้ท่านประสบมา จะเป็นสังฆรัตนะ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมมีอยู่แล้ว..มีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหน? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมถึงมีพระพุทธ พระธรรม สิ่งที่เป็นพระพุทธ พระธรรม เห็นไหม ฆราวาสที่ถึงรัตนะสองก่อน เห็นไหม แล้วพอไปเทศนาว่าการนี่ พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมอย่างนี้ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” แต่ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะนะ เห็นอาการของใจนะ คือขันธ์ คือเรื่องสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดของใจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกิดความยึดไง สิ่งที่เป็นธาตุ เห็นไหม สักกายทิฏฐิ เพราะพิจารณากาย กายนี่เราไปยึดมัน นี่ความเห็นผิด เห็นไหม เพราะเห็นผิด มันไม่ยอมให้เป็นธรรมดาไง แต่ถ้ามันเห็นถูกมันเป็นธรรมดา แล้วจิตนี้ก็ไม่ไปเกี่ยวมัน ปล่อยมันเข้ามา เห็นไหม สิ่งที่ปล่อยเข้ามา...

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

แต่ธรรมดาของจิตที่ไปยึดสิ ไม่ใช่ธรรมดาของโลก เห็นไหม นี่ เราก็เข้าใจ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” เราก็เห็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่มันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา แล้วเราได้อะไรล่ะ? เราได้แต่สัญญาไง เราได้แต่ความจำไง นี่ไม่มีหางเสือ ไม่มีสติ ไม่เข้าถึงหลักของใจ ไม่เข้าถึงตัวจิตปฏิสนธิ ไม่เข้าถึงความรู้สึก เห็นไหม กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึก มันอยู่ในหัวใจ มันอยู่ที่ภวาสวะ มันอยู่ที่อนุสัย มันไม่ได้อยู่ที่ขันธ์หรอก แต่อาศัยที่มันออกมากินเหยื่อ เรารู้ได้แค่นั้น

แล้วเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่ยังเป็นเด็กอ่อนเป็นเด็กน้อยอยู่นี่ ทำสิ่งนี้ได้ก็นับว่าเก่งแล้ว เห็นไหม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเห็น... “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” นี่ สังฆรัตนะเกิดก่อน พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกไง สิ่งที่องค์แรกของโลกเพราะอะไร? เพราะรู้ธรรม ธรรมคืออะไร?

ธรรมคือสัจจะความจริง ธรรมคืออริยมรรค!

สภาวธรรม ธรรมชาตินี่ สิ่งที่เป็นธรรมชาติที่รู้ธรรม..รู้ธรรม ธรรมชาติเป็นธรรม ธรรมชาติเป็นธรรมอันหนึ่ง! แต่เป็นธรรมที่ว่าสิ่งที่เหมือนกับภาชนะรองรับไง เห็นไหม มันหมุนเวียนเป็นธรรมชาติของมัน ภาชนะนะ ภาชนะไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือตัวจิตต่างหาก ตัวที่ไปรู้เขา รู้ธรรมชาติน่ะ ตัวจิตไปรู้ธรรมชาติ ไปรู้ธรรมะไง รู้ธรรมะ เห็นไตรลักษณ์ เห็นไหม มันแปรสภาพของมัน เห็นเป็นธรรมดามันก็ปล่อยเป็นธรรมดา นี่สงฆ์เกิดขึ้นอย่างนี้

ในเมื่อสังฆะเกิดขึ้นอย่างนี้ สังฆรัตนะของเรานี่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวิกฤติในหัวใจนะ หัวใจนี่เป็นวิกฤติมาก อวิชชามีอำนาจมาก ควบคุมจิตใจมาก แล้วท่านบุกบั่น สมบุกสมบันเหมือนกับพ่อแม่ที่ประกอบสัมมาอาชีวะมา จะห่วงลูก อาลัยอาทรกับลูกมาก เพราะอะไร เพราะเด็กมันเข้าใจว่าสังคมนี้สะอาด สังคมนี้จะให้คุณประโยชน์เขาตลอดไปเลย เขาไม่รู้เลยว่าสังคมนั้นมันมีสิ่งที่เอารัดเอาเปรียบกัน สิ่งที่เขาส่งเสริมกัน อยู่ที่ว่าอำนาจวาสนาที่เขาเกิดมา เขาเกิดมาเขาสร้างบุญกุศลไหม

ถ้าเขาสร้างบุญกุศลมา เขามาเจอมาคบบัณฑิต นี่มงคลสูตรเหมือนกัน อเสวนา จ พาลานํ ไม่คบคนพาล แต่ไม่คบถ้าเขามาอยู่กับเราล่ะ ถ้ามีสภาวกรรมล่ะ เกิดมาอยู่ร่วมกันล่ะ นี่เป็นพาล เห็นไหม น่าเบื่อหน่ายมาก บัณฑิตกลัวคนพาลนะ ไม่เคยกลัวอะไรเลย เพราะคนพาลไม่ยอมฟังสิ่งใดเลย คนพาลตามแต่จะทำลายคนอื่นตลอดไป นี่สิ่งที่เป็นพาลนะ นี่เป็นพาลข้างนอก แต่เป็นพาลในหัวใจล่ะ อวิชชานี่เป็นพาล ธรรมะนี่เป็นบัณฑิต ถ้าเป็นบัณฑิตเข้ามา เราจะย้อนกลับเข้ามาในใจเราอย่างไร? เราจะทำอย่างไร? แล้วเราทำอย่างไรล่ะ ถ้าไม่มีหางเสือ ไม่มีคนชี้นำไง

เวลาประพฤติปฏิบัติในกรรมฐานเรานะ หลวงปู่มั่นสุดยอดมาก หลวงปู่มั่นนี่เป็นผู้ชี้นำ เพราะหลวงปู่มั่นสมบุกสมบันมาก่อนใคร คนที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราทำการค้าการขายถ้าตลาดกำลังเจริญรุ่งเรือง เราเข้าไปทำการค้าเราจะมีโอกาสมากเลย แต่ถ้าคนที่ไม่มีตลาดนะ เขาต้องไปสร้างสินค้าของเขา เขาต้องไปสร้างตลาดของเขา เขาต้องทำทุกอย่าง

ขณะที่ธรรมวินัยมีอยู่ คือสังคมนี้มีอยู่ แต่ตลาดไม่มี องค์หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าขนาดไหน ท่านสมบุกสมบันมาขนาดไหน เพราะท่านสมบุกสมบันมามาก แล้วท่านมีบุญญาธิการ เพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ไอ้บุญญาธิการนี้มันเป็นฐานรองรับ เหมือนกับคนที่มีอำนาจวาสนามีเชาวน์ปัญญา นี่เชาวน์ปัญญาของท่านอันหนึ่ง แล้วเชาวน์ปัญญาอันนี้เข้าไปค้นคว้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบรรลุธรรม...

พอบรรลุธรรมอย่างนี้แล้วย้อนกลับมาที่ลูกศิษย์ลูกหานะ มันเป็นความทุกข์ความยากนะ เวลาท่านจะเสียชีวิต เห็นไหม “ภิกษุ ภิกษุ ให้ปฏิบัติมานะ ผู้เฒ่าจะแก้นะ” การแก้นี่หาได้ยาก เพราะอะไร? เพราะท่านค้นคว้ามา กว่าท่านจะหาคนแก้ก็ไม่มี ติดขัดสิ่งใดก็ไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ก็สร้างสมบุญญาธิการมามาก...มากจริงๆ แต่ก็ยังไม่เท่า เห็นไหม นี่แก้ไม่ได้ ท่านพยายามแก้ของท่าน ต้องแก้...

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “สิ่งใดหลอกลวงทั้งหมด...” เกิดมาในโลกในฐานะของกษัตริย์ มั่งมีศรีสุข สุขสบายมากในชาติของกษัตริย์ แล้วออกไปประพฤติปฏิบัติ แม้แต่อาฬารดาบสรับประกันนะว่า “ได้สมาบัติ ๘ ให้เป็นศาสดา เพราะความรู้เหมือนเรา เหมือนเราเลย สอนได้”

ทั้งๆ ที่ความรู้สึกมันมีความสุขมากเวลาจิตปล่อยกิเลสเข้ามา ปล่อยนะ! ปล่อยชั่วคราวไง ปล่อยเข้ามามันเป็นความสงบ ถ้าปล่อยกิเลสไม่ได้ วางกิเลสไม่ได้ เป็นสัมมาสมาธิไม่ได้ สมาธิที่จะเป็นสมาธิได้เพราะมันปล่อยกิเลสชั่วคราว กิเลสยุบยอบตัวลงมันถึงเป็นสมาธิ ถ้ากิเลสไม่ยุบยอบตัวลงก็เป็นความคิดปุถุชนเรานี่ ไม่ต้องบอกเลยทุกคนรู้ เพราะมันคิดแล้วมันพุ่งออกไป เพราะมันมีพลังงานประสานกัน ประสานจากพลังงานของตัวจิต ประสานกับขันธ์ ประสานกับสิ่งที่มันเป็นเหยื่อ สิ่งที่ล่อลวง คือรสของมัน รสของความรู้สึก รสของกิเลส รสของรูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม มันออกไป มันรับรู้ออกไป สิ่งนี้มันส่งออกทั้งหมด

เห็นไหม ปัญญาอย่างนั้น จะสงบเข้ามามันต้องปล่อยสิ่งนี้เข้ามา จนเจ้าชายสิทธัตถะได้รับการพยากรณ์จากอาฬารดาบสว่า “มีความรู้เหมือนเรา สั่งสอนลูกศิษย์ได้เหมือนเรา” เห็นไหมว่าเครื่องล่อขนาดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธ ปฏิเสธหมดเลย เพราะจิตมันสงบเฉยๆ มันไม่มีปัญญา ถึงได้ออกมาค้นคว้าหาเองนะ

หลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบเข้ามา สิ่งที่ค้นคว้าเข้ามามันก็มีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันนะ “แต่สิ่งนี้มันไม่ใช่” เพราะอะไร? เพราะออกมาแล้วความรู้สึกเหมือนเดิม แล้วจะแก้กิเลส แล้วกิเลสมันสะเทือนตรงไหน? สิ่งนี้ถึง “ไม่ใช่..ไม่ใช่” จนท่านลานะ ลาพุทธภูมิ ถ้าไม่ลาพุทธภูมิ สิ่งนี้จะเข้ามรรคไม่ได้ จะเข้าแต่ฌานโลกีย์อย่างเดียว ฌานโลกีย์นี่... สิ่งนี้... สภาวะแบบนี้... เพราะต้องสร้างสมบุญญาธิการไป

ถ้าเข้ามรรค ทำลายกิเลส ทำลายกิเลสแล้วมันจะสร้างสมพระโพธิสัตว์ได้อย่างไร เพราะเป็นพระโสดาบันก็อีก ๗ ชาติเท่านั้น มันจะสร้างสมไปอีกยาวไกลนะ...การปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์นี่ ถ้าสร้างปัญญามา ถ้ามีปัญญา มีอินทรีย์ อินทรีย์แก่กล้าคือความคิดมันฉุกคิด มีเชาวน์ปัญญา มันจะใคร่ครวญสิ่งนี้ ใคร่ครวญจากภายในเข้ามา ถ้าใคร่ครวญจากภายในเข้ามา “นี่ก็ไม่ใช่..นี่ก็ไม่ใช่” ถึงปล่อยวางสิ่งนี้ไง ถ้าปล่อยวางสิ่งนี้ จะย้อนกลับ ย้อนกลับมาตลอด

เห็นไหม นี่ผู้ที่ผ่านโลกมา เห็นความทุกข์ความยาก หลวงปู่มั่นท่านผ่านโลกนะ ท่านทุกข์ยากมาก เวลาท่านจะเสียชีวิต เห็นไหม “ผู้เฒ่าจะแก้นะ” ท่านเป็นห่วงเป็นใยมาก เวลาพ่อแม่กับลูก เห็นไหม ทำไมพ่อแม่จะไม่รักลูก ทำไมถึงคิดว่าพ่อแม่จะไม่เอาสิ่งที่ปรารถนาดีๆ ให้กับลูก แต่ลูกมันไม่ยอมรับ ลูกมันไม่รับรู้ เพราะอะไร เพราะความเข้าใจผิด นี่ไงกิเลส กิเลสมันเข้าใจผิดนะ

เด็กมันก็เข้าใจพ่อแม่มันอยู่เพราะสายบุญสายกรรม เกิดเป็นลูกพ่อแม่กันนี่โดยธรรมชาติ อันนี้เป็นความจริง แต่ก็คิดด้วยประสาเด็กไง ด้วยเรียกร้องเอา ด้วยความเห็นเอา ที่เรียกร้องเอา ความเห็นเอา สิ่งต่างๆ ที่เรียกเอาน่ะ นั่นคืออะไรล่ะ นั่นก็คือกิเลสไง แล้วในปัจจุบันนี้เราก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเรายังเข้าใจว่าความประพฤติปฏิบัติของเราถูกต้อง ความประพฤติปฏิบัติของเราจะแก้ไขกิเลส นี่ หางเสือเรา เราได้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ของเราแล้วนะ เราได้ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ของเราแล้วนะ สิ่งนี้เห็นไหม ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้วนะ แต่ครูบาอาจารย์ของเรายังสดๆ! ร้อนๆ! เพราะเราได้ยินกับหู! เราได้อุปัฏฐากมา เราได้จำมา สิ่งนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ สมบัติที่ว่าเป็นนามธรรม..นามธรรม สิ่งนี้ประเสริฐมาก เพราะไม่รู้พูดไม่ได้! ถ้าไม่รู้เอาอะไรมาพูด สิ่งที่พูดไม่ได้ก็พูดแบบจินตนาการไปอย่างนั้น เรือก็ยิ่งหมุนออกไป เห็นว่ากลางทะเลนั้นจะเป็นฝั่ง เห็นไหม ต่างคนต่างเร่งเครื่อง ต่างคนต่างกางใบ ต่างคนให้กินลม ออกไปกลางทะเล ยิ่งลึกเท่าไหร่ก็ว่า “สิ่งนี้จะเข้าฝั่ง..เข้าฝั่ง” มันจะไปฝั่งที่ไหน! มันออกไปข้างนอก เห็นไหม ด้วยความเห็นของกิเลสนะ

แต่ครูบาอาจารย์บอกว่า “ที่เอ็งทำกันอยู่นั้นน่ะ มันต้องตั้งสติใหม่นะ” นี่สิ่งที่เข้าฝั่ง...หนึ่ง มันจะบอกมีสิ่งบอกเหตุ ถ้าใกล้เข้าฝั่งมันจะมีนก มันจะมีสิ่งต่างๆ เพราะอะไร เพราะบนฝั่งมันมีต้นไม้ มันมีอาหาร ถ้าเราเข้าไปใกล้ฝั่ง มันจะมีน้ำลึกน้ำตื้น ความเป็นไปของทะเลก็ต่างกัน สิ่งต่างๆ ก็ต่างกัน ถ้าหมั่นสังเกต หมั่นรักษาจิตของตัว มันจะเห็นสิ่งนี้ แล้วมันจะเตือนสติของเราไม่ให้เราออกไปกลางทะเลไง สิ่งนี้ถ้าปฏิบัติเข้ามามันจะเป็นคุณประโยชน์กับเรานะ

คุณประโยชน์เพราะว่าสังฆรัตนะของเราได้สั่งเสียไว้ ได้อุปัฏฐากไว้ เห็นไหม เราอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ เราได้อุปัฏฐากจากข้างนอก สมณะข้างนอก แล้วสมณะข้างในล่ะ “ผู้ใดกำหนดพุทโธๆ นะ อุปัฏฐากใจของตัว” อุปัฏฐากพุทโธ พุทธะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเราจะอุปัฏฐากจากข้างนอก สิ่งนี้เป็นการสร้างสมบุญญาธิการ เราจะสร้างบุญกุศลขนาดไหน บุญกุศลนี้สิ่งนี้เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อจะให้เรามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อนี่เป็นคุณสมบัติมหาศาลเลย ถ้าไม่มีสมบัติ ไม่มีศรัทธาอันนี้ มันจะไม่ชักนำสิ่งนี้เข้ามา

เราสังเกตทางโลกได้ไหม ทางโลกบอกผู้ที่ไปวัดเป็นผู้ที่มีปัญหา เขาคิดว่าคนที่เข้าวัดเหมือนกับคนไปโรงพยาบาล เพราะเป็นคนไข้ถึงเข้าโรงพยาบาลใช่ไหม แล้วคนที่ไปวัดก็เหมือนกับคนไข้คือคนมีปัญหา ทิฏฐิมานะนะ เขาว่าเขาเป็นคนที่สมบูรณ์ เขาเป็นคนที่ไม่เป็นโรคเป็นภัย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเขามีอวิชชาอยู่ในหัวใจ เห็นไหม เพราะเขาไม่มีเชาวน์ปัญญา เพราะเขาไม่มีวาสนา เขาไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการอย่างนั้นไว้ เขาถึงไม่ฉุกคิด!

ยาภายนอก ยาของโลกเขา ฉีดก็ได้ ผ่าตัดก็ได้ กินก็ได้ เข้าไปเพื่อรักษาโรค แต่ธรรมโอสถ เห็นไหม เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ สัมมาสมาธิไปซื้อที่ร้านไหน? สติไปซื้อที่ร้านใคร? ไม่มีการซื้อขาย การประพฤติปฏิบัติจะร่ำรวยศรีสุขขนาดไหน สมาธิก็ต้องฝึกฝนขึ้นมาจากจิต สมาธิมาจากไหน สมาธิไม่ใช่จิต สมาธิเป็นสมาธิ จิตเป็นจิต เวลาผู้ที่วิมุตติหลุดพ้นไป จิตที่วิมุตติก็ไม่ใช่จิต ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่สิ่งต่างๆ ทั้งหมด เพราะมันพ้นออกไปจากสมมุติทั้งหมด

แต่ขณะที่ในระหว่างก้าวเดินนี้ จิตนี้เป็นภวาสวะ จิตนี้เป็นอวิชชา จิตนี้เป็นอนุสัย สิ่งที่เป็นอนุสัยมันนอนเนื่อง มันมีเชื้อไขของมัน มันออกไปกินเหยื่อของมัน ถ้าเราทำความสงบเข้ามา จิตมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา เห็นไหม สมาธิเกิดขึ้นอย่างนี้ไง สมาธิเกิดขึ้นต่อเมื่อมันปล่อยสิ่งต่างๆ เข้ามา ถ้าสมาธิกับจิตเป็นอันเดียวกัน สมาธิเสื่อมไปจิตก็ต้องหายไปสิ จิตเราอยู่ตลอดไป จิตของเรามีตลอด เห็นไหม

แต่สมาธิเกิดแล้วเสื่อม..เกิดแล้วเสื่อม มันถึงมีโสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตตมรรค เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ นี่ สมาธิต่างกัน ความรู้สึกต่างกัน สิ่งที่ต่างกัน ต่างกันไปหมด...

ปัญญาขั้นของพระโสดาบันก็เห็นปัญญาชำระกิเลสในเรื่องของโสดาบัน

ปัญญาของขั้นของพระสกิทาก็ทำลายกิเลสในขั้นสกิทา

ปัญญาของพระอนาคาก็ทำลายกิเลสเรื่องกามราคะ

ปัญญาของอรหัตตผลสุดยอด!! เพราะอะไร? เพราะอวิชชาละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนขนาดที่ว่าจะเชื่อในธรรม เห็นไหม อย่างที่ชาวโลกเขาบอกคนที่ไปวัดเหมือนคนเป็นโรค จะไปวัดต้องเป็นคนที่มีปัญหา คนที่เป็นปัญหานี่สุดยอด สุดยอดเพราะอะไร? เพราะยอมรับความจริง สุดยอดเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนต้องเกิดและตาย สมบัติพัสถานหาไว้มหาศาล จะมีมากมายขนาดไหน ถ้าคนเป็นธรรมนะสิ่งนี้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เพราะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาการสละทาน การสร้างสมบุญญาธิการก็ต้องอาศัยสิ่งนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไป ถ้าคนใจเป็นธรรมจะเป็นประโยชน์

แต่ถ้าคนที่ใจเป็นกิเลส เห็นไหม สิ่งนี้ไม่มีนะ มันวางแผน มันวางจินตนาการของมัน มันสร้างกันขึ้นมาเพื่อจะไปเอากัน ดูสิ ดูอย่างฝ่ายนักปกครองเขา ที่เขาโกงกินกัน เขาทำอย่างไร เขาเพื่ออะไร มันซับซ้อนมาก เราคิดไม่ถึงนะว่าเขาวางแผนกันมาเป็นชั่วอายุคนนะ วางแผนตั้งแต่ว่าเกิดมาแล้วจะต้องให้เรียนอย่างนั้น จนจะไปเอาสมบัติของสาธารณะมาเป็นของตัวไง แล้วมันเป็นสาธารณะ เอาได้มาด้วยบาปอกุศล สิ่งที่ได้มามันเป็นเหมือนสารพิษ มันให้โทษกับใจนั้น สมบัติได้มา ได้มาชั่วคราว แต่กรรม!..การกระทำนั้นมันฝังลงที่ใจ แล้วถ้าฝังลงที่ใจมันจะไปที่ไหน?

แต่ถ้าคนมีธรรมในหัวใจ จะได้มากได้น้อยนี้ตามแต่อำนาจวาสนา ได้มากเพราะเราสร้างของเรามาอย่างนี้ เราจะปฏิเสธได้อย่างไรของของเรา สมบัติในตู้เซฟเรา เราจะบอกไม่เป็นของเราเป็นไปไม่ได้ มันเป็นของเรา ใส่ไว้ในตู้เซฟนั้น เพราะสมบัติในตู้เซฟกับเราคนละคนกัน สมบัติในตู้เซฟมันเป็นวัตถุ แต่หัวใจเรา เรานี่เป็นเรา เราถึงกล้าใช้สิ่งนั้น เราถึงเอาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ แต่ถ้าคนเขาไปเอาของเขามา เขาถนอมรักษา จนเป็นทาสนะ

โตเทยยพราหมณ์ เห็นไหม เป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก แล้วสมัยพุทธกาลไม่มีธนาคารไง มีสมบัติขนาดไหนก็ใส่ไหฝังดินไว้..ใส่ไหฝังดินไว้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต เห็นไหม ปฏิเสธและไล่ด้วย แล้วเวลาตายไปเกิดเป็นสุนัขนะ ไปเฝ้าสมบัตินั้นน่ะ ดูสิ สมบัติที่หาไว้น่ะมันควรจะเป็นประโยชน์แก่การเกิดและการตายนั้น เกิดในปัจจุบันนี้เป็นเจ้าของสมบัติ เป็นโตเทยยพราหมณ์ เป็นเจ้าของสมบัตินั้น ทำการค้ามา ได้ของนั้นมาแล้วใส่ไหเป็นทองคำไปฝังไว้

เห็นไหม ควรจะเป็นประโยชน์ แต่เพราะความผูกพัน เพราะเจตนาอันนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขเฝ้าอยู่นั่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต สมบัตินั้นเป็นของลูกนะ แต่ฝังไว้ลูกก็ไม่ได้ ใครก็ไม่ได้ เป็นสุนัขไปเฝ้า สุนัขมันจะได้อะไร สุนัขมันได้อาหารของมัน มันก็เป็นประโยชน์กับมันใช่ไหม แต่ได้ทองคำสุนัขกินไม่ได้หรอก แต่เรื่องใจสำคัญมาก มันไปติดมันไปเฝ้าอยู่นั่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตตอนเช้า สุนัขก็มาเห่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก…

“โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นมนุษย์เธอก็ตระหนี่ เวลาตายไปแล้วเธอก็ตระหนี่”

นี่พูดให้ได้ยิน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเห็นประโยชน์ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่พูด เวลาพูดออกไปเป็นประโยชน์ เห็นไหม คนใช้ได้ยินไปบอกกับลูกโตเทยยพราหมณ์ไงว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกชื่อพ่อกับสุนัขนั้น” โกรธมาก ตามไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังที่พักนะ ไปถึงได้ต่อว่า...

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเขาจะได้ประโยชน์ไง “เอาอย่างนี้นะ สุนัขนี่เพิ่งเกิด มันเพิ่งตายจากโตเทยยพราหมณ์ไปแล้วไปเกิดเป็นสุนัข ชาติภพมันยังใกล้กันอยู่ เขายังเข้าใจความนี้อยู่ ให้กลับไปเอาอาหารไปเลี้ยงให้อิ่มเลยนะ แล้วพยายามลูบ ให้เรียกพ่อเลยแล้วขอสมบัตินั้น” พอไปทำอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำ สุนัขนั้นหางตกนะ เพราะมันสลดใจ สลดใจแล้วมันวิ่งไปที่มันฝังไหไว้ นี้อยู่ในพระไตรปิฎก แล้วเอาเท้าตะกุยดินนั้น แล้วลูกของโตเทยยพราหมณ์ก็ให้คนใช้ขุดดินขึ้นมา เจอทองคำเป็นไหๆๆ นะ นี่สมบัติ ถ้าเราไปติดมัน มันเป็นโทษขนาดนั้นนะ ถ้าคนไม่เข้าใจ

แต่เราเป็นมนุษย์ การจะหาแก้วแหวนเงินทองก็ทุกข์นะ เห็นไหม โลกนี่เป็นความทุกข์ล้วนๆ เลย แต่การเกิดมันเป็นผลของวัฏฏะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรามีปัญหากัน ท่านบอกเลย “ไม่มีโทษต่อกันหรอก มันเป็นโทษของวัฏฏะ” ถ้าผู้เป็นธรรมนะ ถ้าครูบาอาจารย์ของเรามีธรรม ท่านจะเห็นว่ามันเป็นโทษของวัฏฏะ คือมันเป็นธรรมชาติที่หมุนไปที่เราว่ามันเป็นภาชนะไง จิตนี้มันอยู่ในวงจรอย่างนี้ มันจะหมุนไปเกิดเป็นภพเป็นชาติ เห็นสภาวะแบบนี้ไป นี่เป็นผลของวัฏฏะ

เราเกิดมาพบกัน เกิดมากระทบกระเทือนกัน แล้วก็จากกัน เกิดมารัก พบกัน แล้วก็สร้างคุณงามความดีต่อกัน มันก็เกิดเป็นสายบุญสายกรรม นี่ผลของวัฏฏะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่มีธรรมในหัวใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นสิ่งที่ว่าไม่มีผลสะเทือนกับใจดวงนั้น แต่ถ้ากิเลสในหัวใจ เห็นไหมอย่างที่ว่า วางแผนตั้งแต่เกิด วางแผนจะเอา..จะเอา..จะเอา จะยึดให้ได้ไง ไม่รู้หรอกว่านี่ทุกข์ ทุกข์มากเลย

เห็นไหม สังฆรัตนะของเราถึงได้เตือนสติ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนมาหาครูบาอาจารย์เรา ท่านก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขานะ จะทุกข์ยากเข็ญใจเข้ามามาขอความพึ่งพาอาศัย ท่านก็สงสารเมตตานะ ท่านบอกว่า “ให้กำหนดพุทโธๆ” เพื่ออะไร? เพื่ออุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เราเป็นชาวพุทธ เราบอกเลยเราเกิดไม่ทันพระพุทธศาสนา เกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” แล้วเราก็เกิดกึ่งกลางพุทธศาสนา เวลากราบพระพุทธก็ต้องกราบพระพุทธรูป เวลาจะกราบพระธรรมก็ต้องกราบพระไตรปิฎก เวลากราบพระสงฆ์ก็ต้องไปที่วัด แล้วเราจะต้องเสียเวลาอย่างนั้นหรือ แล้วใจเราล่ะ? ทำไมครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปเวลาถึงที่สุด เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...มารวมอยู่ที่ใจ ใจนี้หนึ่งเดียว เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอุปัฏฐากใจของเรา จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีศรัทธาไง ศรัทธา เห็นไหม ในหลักวิชาการต่างๆ เขาต้องมีพื้นฐานเขาขึ้นมา เขาถึงจะต่อยอดขึ้นไปถึงสิ่งที่วิชาการที่ละเอียดอ่อนขึ้นไป ดูอย่างนักกฎหมายนะ นักกฎหมายที่มีความชำนาญมากนี่ กฎหมายเล็กๆ น้อยๆ แง่มุมต่างๆ เขาเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้หมดเลย แล้วเขาแพ้ชนะกันตรงนี้ ตรงที่เป็นเล็กๆ น้อยๆ ตรงที่สิ่งที่คนมองข้ามนี่ นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจนะ สิ่งที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติเห็นไหมว่า พุทโธอยู่ที่ใจ พุทโธ ธัมโมอยู่ที่ใจ แล้วเราหาได้อย่างไรล่ะ? เราจะทำของเราอย่างไร? เพราะเราอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าของเราไม่เป็นไง

แต่ครูบาอาจารย์ของเราน่ะ จิตท่านเป็นหนึ่ง จิตท่านอยู่กับสิ่งนี้เป็นปัจจุบัน ท่านจะอธิบายให้เราเข้าใจโดยเป็นรูปธรรม สิ่งที่รูปธรรม เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ให้กำหนดพุทโธๆ เพราะอะไร? เพราะจิตนี่มันส่งออก เห็นไหม ดูสิ ถ้าจิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต มันออกมา ออกมาตามเหยื่อ เห็นไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธ สิ่งที่มันเคยคิดอยู่ในตามความพอใจของเขา เราก็ให้คิดในพุทโธแทน เห็นไหม จากความคิดอันหนึ่งที่เป็นพิษเป็นภัย เราก็เปลี่ยนความคิดนี้ไปอยู่กับพุทโธ อยู่กับธัมโม อยู่กับสังโฆ อยู่กับมรณานุสติ อยู่กับกสิณ ๔๐ ห้อง

เห็นไหม จิตมันก็เริ่มกินอาหารที่เป็นของแสลง กินอาหารที่เป็นความเคยชินของมัน กินอาหารแบบเด็กๆ นะ สิ่งนี้เป็นความคิดของเรา ถ้าเราคิดต้องถูกต้อง เราคิดต้องดี ใครต่อต้านความคิดเรา ใครขัดแย้งเรา...จะโกรธมาก...จะมีความโกรธ...จะมีความคิดทำลายเขา เห็นไหม ถ้ามันเป็นคุณประโยชน์เราไปโกรธเขาทำไม เพราะเราคิดแล้วมันต้องเป็นความดีสิ เขาต้องเห็นความดีกับเรา เห็นไหม แต่ครูบาอาจารย์เราเตือนตรงนี้ไง ถ้าเตือนตรงนี้เราก็กลับมาที่พุทโธๆ

นี่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนจะทำอย่างนี้ได้ไม่ใช่ใครก็ทำได้นะ ถ้าคนเขาไม่เชื่อ เขาพุทโธทีหนึ่งเขาก็ส่ายหัว แล้วเขาก็ลุกหนี เขาบอก “พวกนี้บ้า” แต่คนที่มีคุณสมบัติ คนที่มีอำนาจวาสนา ไม่ต้องคิดถึงพุทโธนะ แม้แต่อำนาจวาสนามาถึงนี่เวลานอนหลับมันก็ฝันนะ ฝันเห็นครูบาอาจารย์ ฝันเห็นสิ่งต่างๆ สิ่งนี้เป็นการบอกกล่าวนะ บอกกล่าวว่าเรามีอำนาจวาสนา มันมีความดูดดื่ม มันมีความอยากประพฤติปฏิบัติ มันอยากจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันก็อยู่ในกลางหัวอกเรา เห็นไหม สมบัติที่มีคุณค่ามหาศาลคือสมบัติของใจของมนุษย์นะ ใจของสัตว์โลก ใจของต่างๆ เขาก็มีคุณสมบัติ แต่เพราะเขาไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา เขาถึงไม่มีอำนาจวาสนาไง เราเกิดเป็นมนุษย์มันมีปากมีท้อง มีความเบียดเบียนกันทางสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวก็กลัว ต้องอยู่กับหมู่คณะ อยู่กับหมู่คณะถ้าหมู่คณะมีความผิดใจก็บาดหมางกัน

ถึงอยู่อย่างไรก็แล้วแต่ต้องมีสติ แล้วกลับมาดูพุทโธของตัว พยายามนึกพุทโธๆ ให้จิตนี้ที่มันเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ที่ไม่เห็นกัน ให้มันเกี่ยวเนื่องมันสัมพันธ์กันไง มันสัมพันธ์นะ ความรู้สึกไปเกาะอยู่กับพุทโธๆ เห็นไหม พุทโธไปเรื่อยๆ เราอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอาศัยสังฆะ เห็นไหม สังโฆๆ ถึงครูบาอาจารย์ของเรา เรานึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ของเรา เรานึกถึงคำเตือนของท่าน เรานึกถึงคำที่ท่านพูดไว้ เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะเวลาท่านเทศน์สะเทือนใจมาก ท่านจะบอกว่าสิ่งที่ท่านเทศนาว่าการนี่...

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่ถ้าพวกท่านปฏิบัติไปถึงตรงนั้น พวกท่านจะต้องมากราบศพผมนะ”

ฟังแล้วสะเทือนใจมาก เพราะตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่อง ฟังก็เฉยๆ นะ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม เพราะท่านก็ต้องไปกราบศพครูบาอาจารย์ ต้องกราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกเลยนะ “ถ้าถึงจุดหนึ่ง ถ้าพวกท่านทำจริงนะ...”

ตอนนี้เพราะท่านเป็นของจริง ท่านพูดอะไรท่านไม่กลัวอะไรเลย เพราะอะไร เพราะท่านพูดแต่อริยสัจ ไม่ใช่สัจจะนะ อริยสัจจะที่ประสบกับใจ ใจอันนั้นมันสัมผัสอริยสัจอย่างนี้ แล้วอริยสัจนี้มันเป็นหนึ่งเดียว จะเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ จะพิจารณาขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาลงลงอันเดียวกัน ลงอริยสัจอันเดียวกัน แล้วถ้าปฏิบัติมาอย่างนี้ ลงอริยสัจอย่างนี้ มันทำไมไม่ซึ้งใจ มันทำไมไม่ดูดดื่ม ไม่สะเทือนหัวใจ เพราะครูบาอาจารย์บอกเราแล้ว ครูบาอาจารย์บอกแล้ว เราไม่เชื่อ..เราไม่เชื่อ มันสะเทือนใจมากนะ สิ่งนี้มันต้องย้อนกลับมา นี่ท่านเตือนเรามานะ

แล้ววันนี้เราก็มาเคารพท่าน เห็นไหม เราเคารพ เคารพที่ไหน? เวลาครูบาอาจารย์ของเราล่วงไปแล้ว สิ่งนี้คือสรีระท่านล่วงไป แต่หัวใจไม่ล่วงหรอก ปุถุชนก็ไม่ล่วง ปุถุชนก็อยู่ จิตนี้มีตลอดไป สิ่งนี้มีอยู่ตลอดเวลานะ แล้วเราประพฤติปฏิบัตินี่ท่านจะเห็น... ศาสนทายาทนะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ

ผู้ที่เกิด เราเกิดในครรภ์ของมารดา เราจะรักพ่อรักแม่เรา ขณะที่เรายังไม่มีครอบครัว เรายังไม่มีลูกของเรา เราจะไม่รักพ่อแม่เหมือนที่เรามีครอบครัวแล้ว ถ้าเรามีครอบครัวแล้วเรามีลูกของเรา มันสะเทือนหัวใจมาก เราจะคิดถึงพ่อแม่เรา เพราะพ่อแม่เราก็รักเราเหมือนเรานี่ ถ้ารักเราเหมือนเรา เราก็จะเคารพพ่อแม่ แล้วลูกเรามันจะรู้หรือไม่รู้ก็ปล่อยเขาไป แต่ถ้าเขาไปมีครอบครัวแล้วเกิดเขาไปมีบุตรของเขา เขาจะนึกถึงเราเลย เพราะเราจะมีความผูกพันอย่างนั้น

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อท่านล่วงไปแล้ว แต่ท่านเห็นศาสนทายาทไง ท่านเกิดในธรรม สังฆรัตนะของเรานี่หัวใจต้องเป็นธรรม ถ้าหัวใจไม่เห็นธรรม ไม่สัมผัสกับธรรม ไม่เป็นสันทิฏฐิโก จะไม่เป็นสังฆรัตนะโดยถูกต้อง จะเป็นสมมุติสงฆ์ แต่สังฆรัตนะนี้เพราะใจนี้เป็นแก้ว ใจนี้เป็นรัตนะ แก้วนี้เป็นสมมุตินะ นิพพานไม่ใช่แก้ว นิพพานเป็นนิพพาน นิพพานเป็นความว่างอันหนึ่ง ไม่ใช่แก้ว แก้วนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจท่านเป็นความว่าง หัวใจท่านเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ ท่านเกิดในธรรมนะ แล้วสั่งสอนศาสนทายาทมา อยากให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ คำสั่งสอน...ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างนี้ ธรรมและวินัย...พระไตรปิฎก...สั่งสอนย้อนกลับมาที่จิต แล้วนี่ท่านก็สั่งสอนเรา ท่านเตือนสติเรา แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติ นี่ความผูกพัน เห็นไหม วันนี้วันที่เราระลึกถึงท่าน ถ้าเราทำตามคำสั่งคำสอนของท่าน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระไว้...

“ผู้ใดปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา แม้อยู่ไกลสุดไกลขนาดไหน เหมือนอยู่แนบกับเราเลย เพราะอยู่กับธรรมวินัย ผู้ใดเกาะชายจีวรเรา แต่ไม่ทำตามเราไง! เกาะชายจีวรไว้! แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่ทำตามนั้น เหมือนอยู่ห่างเรา ห่างไกลแสนไกล”

เพราะการประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นมรรคฝ่ายเหตุ มรรคญาณ เห็นไหม ผลเกิดขึ้นมา ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ ยถาภูตังคือการกระทำที่เกิดขึ้น มาสัมผัสสัมพันธ์กันแล้วมันแยกออกมาจากใจ มันเป็นอย่างไร? นี่ยถาภูตัง พอแยกออก จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย แยกออกไป ญาณทัสสนะ! ญาณ ตัวจิตตัวนั้นมันหยั่งรู้ มันจะย้อนเข้ามา สิ่งที่มันเป็นความจริงมันแยกอย่างไร? มันเป็นสภาวะแบบใด นี่อริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจ ความจริงน่ะเป็นขั้นตอน เพราะสิ่งนี้มันยังมีสิ่งที่ยังต้องลดต้องละกันต่อไป เห็นไหม ต้องลดต้องละกันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ให้อุปัฏฐากใจของตัว

เวลาครูบาอาจารย์เราล่วงไป เราก็คิดถึง เราก็อาลัยอาวรณ์ แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา เห็นไหม สังฆะจากภายในนะ สังฆะจากภายนอกให้เราได้เคารพบูชา สิ่งที่เคารพบูชามาเพื่อเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน เป็นสิ่งประกอบ เห็นไหม เวลาเขาไปทำธุรกิจกันเขาต้องวางโครงการ เขาต้องทำโครงการเขาขึ้นมาให้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วต้องประพฤติปฏิบัติให้ตามโครงการนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับครูบาอาจารย์น่ะ สมบัติเป็นของท่าน ท่านผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา โครงการของท่านสวยหรู ท่านทำได้สำเร็จทั้งหมดเลย

แต่โครงการของเรานี่มันจะเป็นสภาวะแบบใด แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มีโครงการแล้วเราก็ลงมือประพฤติปฏิบัติ ตั้งสติขึ้นมา กำหนดพุทโธๆ เข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่สมาธิธรรม ความเป็นธรรมของสมาธินะ จิตแต่เดิมเร่ร่อน ทุกข์มาก ครูบาอาจารย์ก็ล่วงแล้ว เราก็ไม่มีที่พึ่ง พระอานนท์เป็นพระโสดาบันยังร้องไห้ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ของเราล่วงไป ทำไมเราจะไม่สะเทือนใจ ทุกคนสะเทือนใจทั้งนั้นล่ะ

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา...จากธรรม แล้วก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา...คือความเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะที่มันเกิดขึ้นมา แล้วท่านเอาสิ่งที่ท่านเกิดขึ้นมาแสวงหาธรรมของท่าน ท่านได้ธรรมแล้วในหัวใจของท่าน ท่านไม่มีทุกข์แม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย ในหัวใจท่านจะไม่มีทุกข์ ไม่มีสิ่งใดสะเทือนหัวใจของท่านได้เลย แต่ท่านอยากสร้างศาสนทายาท เหมือนกับท่านเกิดในธรรมก็อยากให้ศาสนทายาทเกิดในธรรม คือสัมผัสกับธรรม เห็นธรรมตามสภาวะความเป็นจริง

นี่มันจะเชิดชูศาสนา ศาสนาจะรุ่งเรือง ศาสนาจะเจริญต่อไป เพราะมีผู้รู้จริง! ผู้รู้จริงพูดตามความเป็นจริง เหมือนหมอเลย คนไข้เข้ามาก็รักษา..รักษา..รักษา คนไข้คนไหนที่หมอรักษาให้หายได้ กิตติศัพท์ของหมอนั้นจะทำให้คนไข้ล้นมือเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารู้จริง เห็นไหม ความเป็นจริงของใจนี่ แล้วใจน่ะทุกแง่มุมมันจะมีกิเลสไปตลอดเลย ตั้งแต่เริ่มปลูกบ้านสร้างเรือนนะ ปลูกบ้านสร้างเรือนนี่เขาก็คิดกันว่าจะปลูกบ้านหลังใหญ่โต จะให้มีความสวยงามขนาดไหน แต่เขาไม่รู้เลยนะว่าพื้นที่มันลาดเอียงขนาดไหน พื้นที่มันเป็นรกชัฏขนาดไหน พื้นที่นี้เป็นดินอ่อน ดินนุ่ม ดินแข็ง ดินที่ลงเสาเข็มหรือไม่ลงเสาเข็ม เขาไม่รู้เลย!

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัตินี่ เราก็ว่าเราจะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ไง แต่ไม่มีศีลสมาธิอย่างนี้ขึ้นมามันจะไปทำอะไรได้ มันทำไม่ได้หรอก! ครูบาอาจารย์เราผ่านประสบการณ์มาท่านรู้พื้นที่ลาดเอียง ถ้าไปสร้างตามนั้นขึ้นมาโดยความดื้อแพ่งนะ บ้านหลังนั้นขึ้นมามันจะไม่ได้ศูนย์หรอก มันจะเอียงแล้วมันจะล้มคว่ำไป การประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเคารพครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านประสบการณ์เป็นชีวิตๆ นะ

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป จากสองพันกว่าปีนี่ส่งต่อมากี่ชั่วอายุคน ในเมื่อไม่มีความรู้จริงก็ส่งต่อมาแต่แค่ทฤษฎีก็ยังดีนะ ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลที่เขาจะเก็บไว้ในกล่องสุญญากาศไปฝังไว้ในดิน ให้หลายๆ พันปีให้คนมาศึกษา อีกหลายๆ พันปีวิทยาศาสตร์เขาเจริญกว่าเราอีก อีกหลายๆ พันปีนะวิทยาศาสตร์เขาเจริญกว่านี้ ดูความเป็นไปของเราแค่ ๑๐ - ๒๐ ปีนี่ ความเปลี่ยนแปลงของโลกขนาดไหน

นี่โลกคิดกันอย่างนั้นนะ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าอริยสัจในหัวใจของเรานี่ สิ่งนี้เป็นความจริงต่างหาก สิ่งที่เป็นความจริง เห็นไหม ส่งต่อมาขนาดนั้น แล้วผู้รู้จริงเหมือนนายแพทย์ ผู้มีธรรมในหัวใจนี่ ศึกษาแก้ไขสิ่งนี้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วยังติดพันกับเรา เราต้องย้อนกลับไปคำเตือน! คำฝากฝังไว้ของครูบาอาจารย์เรานะ ทุกองค์จะบอกเลยว่า...

“สติสำคัญมาก ตั้งสติ” สติไม่ใช่จิต สติเกิดจากจิตนะ

เวลาเรามีสติ เรามีความระลึกรู้นี่ชัดเจนมากเลย เช่น นึกพุทโธคำแรกนี่...แจ่มชัด! แต่พอไปๆ มันจะหายไป แล้วสติไปไหนล่ะ? ที่มันหายไปมันจางไป เพราะขาดสตินะ สติมันอ่อนไป เราก็ระลึกขึ้นมา นี่ฝึกอย่างนี้ จากสติ เห็นไหม เริ่มต้นฝึกสติขึ้นไปแล้วมันก็จะเป็นมหาสติ มหาปัญญา แล้วก็เป็นสติอัตโนมัติ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? “ถ้าสติมันเป็นสติมันก็ต้องอยู่อย่างนั้นตลอดไปสิ สติทำไมมันพัฒนาได้ล่ะ?” จากสติในปุถุชนนะ เรานี่เป็นปุถุชน เรานี่เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีสตินะ เราไม่ใช่มานั่งอย่างนี้หรอก

คนขาดสติคือคนที่เสียจริต คนเสียจริตคือคนขาดสติ ไม่มีสติเลย แต่ถ้าคนมีสตินี่มันเป็นสติป้ำๆ เป๋อๆ ขาดๆ ตอนๆ ก็เหมือนพวกเรานี่ เดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็ลืมไป เห็นไหม เราก็พยายามฝึกขึ้นมา สติมันจะสมบูรณ์ขึ้นมา ถ้าสติที่สมบูรณ์ขึ้นมา เห็นไหม สมาธิจะตั้งมั่น เพราะสติตัวเดียว! คำพุทโธนั้นจะชัดเจนตลอด เพราะขาดสติมันถึงแวบออกไปข้างนอก แวบไปแวบมาตลอดไป เพราะสติไม่ยับยั้งมัน ตัวสตินี้ถ้าสติดึงไว้มั่นคง พุทโธนี้จะชัดเจนแล้วไม่ตกภวังค์ ไม่หายไป ถ้าหายไปขาดสติหมด

การประพฤติปฏิบัตินี้แสนยาก แสนยากนะ แต่ไม่พ้นวิสัย ถึงบอกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นคุณสมบัติที่ประเสริฐมาก แก้วสารพัดนึก พระรัตนตรัย สิ่งที่เป็นพระรัตนตรัยนี่สมมุติว่าเป็นแก้วสารพัดนึก แต่ถึงที่สุดแล้วเราจะเข้าใจ แก้วหรือไม่แก้วจะเข้าใจ คนที่เป็นสันทิฏฐิโกจะรู้จะเห็นจริงตามจริงสิ่งนี้ไปทั้งหมดเลย ถ้าสิ่งที่เป็นแก้วสารพัดนึก แล้วเรานึกเคารพไปก่อน แล้วอุปัฏฐากนะ อุปัฏฐากใจของเรา น้อยเนื้อต่ำใจเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์สังฆรัตนะของเราก็ล่วงไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไร?

สังฆรัตนะในหัวใจยังอยู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่กลางหัวใจ ถ้าเราพยายามน้อมนำเข้ามา เราประพฤติปฏิบัติของเรามา เราจะมีกำลังใจของเรานะ เรามีกำลังใจ เราถึงว่าเราต้องมีโอกาส เราจะมองออกไปทางโลกเลย โลกนี่มีมหาศาล ในลัทธิต่างๆ เขาประพฤติปฏิบัติกัน เขาก็มีการปฏิบัติเพราะอะไร เพราะการปฏิบัติเดี๋ยวนี้โลกมันเจริญขึ้นมา ในการที่จะเอาใจของตัวไว้อยู่ในอำนาจของตัวนี่ ทุกคนจะบอกว่าอยู่ที่การทำสมาธิ..อยู่ที่การทำสมาธิ

ฟังสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธกับอาฬารดาบสมาแล้ว เห็นไหม ทำสมาธินี่แค่พื้นฐาน นี่ธรรมของโลกเขา ธรรมของคฤหัสถ์เขา แต่ธรรมของสังฆรัตนะของเรามันต้องมีพร้อมไง สมาธินี่เป็นแขนงหนึ่งเท่านั้น มีดำริชอบ ไอ้งานชอบนี่สำคัญมากนะ ถ้างานในสมถะมันก็เป็นสมถะ เห็นไหม สมถกรรมฐาน ถ้างานในวิปัสสนา ถ้างานในวิปัสสนานี่มรรค ๘ ต้องสมบูรณ์ นี่งานชอบ งานชอบในสิ่งใด?

เขาประกอบอาชีพทางโลก เขาก็ชอบของเขาแต่ทางโลก เห็นไหม หน้าที่การงานของแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน ทำงานก็ต่างเวลากัน กะเช้ากะกลางคืนก็ทำต่างกัน นี่งานของเขาชอบ ถ้าเขาทำกลางคืนแล้วจะเปลี่ยนไปทำกลางวัน เขาต้องทำเรื่องย้ายเวลา แต่ถ้าเขาจะไปทำของเขาเองนี่งานไม่ชอบแล้ว ทั้งๆ ที่เขาทำงานเหมือนกัน

ขณะที่กรอบ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “มนุษย์นี่คิดว่าฉลาด” เวลาพูดกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นผู้ฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “สัตว์นี่นะมีอิสรภาพเสรีกว่า เช่น นกมันบินไปในอากาศ มันกินแล้วมันก็บินไป” มนุษย์อยู่ในสัตว์สังคมต้องสร้างกฎหมาย สร้างกติกาขึ้นมาในสังคม มนุษย์สร้างสังคมขึ้นมา สร้างกติกาขึ้นมา แล้วก็ติดกติกาของตัวเอง เห็นไหม ว่าสัตว์ประเสริฐ แต่ในโลกนี้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะสิ่งที่อยู่กันโดยมากต้องมีกติกา

เราเป็นพระ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ธรรมวินัยยังไม่มีเลย เวลาพระปัญจวัคคีย์จะมาบวช เห็นไหม “เป็นภิกษุมาเถิด เป็นภิกษุมาเถิด” แต่ผู้ที่มีกิเลสนะจะบอก “จงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์” เพื่อประพฤติพรหมจรรย์นั่นล่ะมีปัญหาแล้ว เพราะอะไร? เพราะยังมีกิเลสอยู่ ถ้ามีกิเลส ไอ้ตัวกิเลสนี้ ไอ้ตัวพญามารนี้ มันบิดเบือนตลอด มันจะมีความโต้แย้ง มันจะมีความเห็นผิด นี่ไอ้ตัวนี้...!

มันถึงต้องมีวินัยมีกฎหมายเข้ามาเป็นกรอบไว้ ศีลมีสภาวะแบบนี้ ถ้าจิตเราเจตนาเราดี บุญกุศลเรามาก ความคิดนี่เราจะทันหมด สิ่งที่เป็นความคิดทันหมด เห็นไหม นี่มโนกรรม มันจะเป็นอธิศีล อธิศีลคือไม่คิดออกนอกกรอบ กรอบนี้! กรอบนี้เป็นธรรมวินัย แต่เวลาบรรลุธรรมนะ มันจะทำลายกรอบนี้ทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นกรอบนี่ เวลาไปเจอพุทธะ ไปเจอฐีติจิต ไปเจอความรู้สึกอันนี้ ถนอมไม่ได้นะ ถ้าเราถนอมสิ่งใด ความบิดเบือน เห็นไหม สังฆรัตนะจะชี้นำตรงนี้ตลอด

เราคิดว่าสิ่งนี้ประเสริฐ สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์มาก เราจะไปถนอมรักษา ครูบาอาจารย์บอกเลย “อวิชชานี้เหมือนกับนางสาวจักรวาล” นี่สิ่งนี้ แล้วใครจะพูดได้อย่างนั้นล่ะ? แล้วใครจะเข้าใจได้อย่างนั้นล่ะ? แล้วเราจำมา แล้วเราก็คิดว่า ถ้าเราไปถึงตรงนั้นเราจะไม่ติดนะ นี้เป็นความคิดนะ! แต่ถ้าเป็นความจริงมีความรู้สึก มีความสัมพันธ์ นี่มันเป็นปัจจัตตัง ติดหมด! ติดทั้งนั้น! เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นยางเหนียว ดูสิ รู้ขนาดไหนก็ติด สังฆรัตนะถึงสำคัญมาก สำคัญจริงๆ เพราะคนติดมันถึงรู้ว่าติด เราไม่รู้ว่าติดเราถึงได้ติดไง เราไม่รู้หรอก เราเข้าไปติดของเราเอง แล้วพอติดแล้วก็บอก “นี่เป็นธรรม..นี่เป็นธรรม”

ธรรมทำไมต้องรักษาล่ะ? ธรรมทำไมต้องไปกอดมันไว้ล่ะ! ถ้ากอดมันไว้ไม่ใช่ธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันเป็นสัจจะความจริง ไม่ต้องกอด ไม่ต้องรักษา มันอยู่ของมันสัจจะของมันสภาวะแบบนั้น ไม่ต้องไปรักษามันหรอก มันเป็นจริงของมันอย่างนั้น! ถ้ายังรักษาอยู่ ยังสงวนอยู่ ยังทะนุถนอมอยู่ กิเลสทั้งนั้น!! กิเลสทั้งนั้นเลย! แล้วกิเลสอย่างละเอียดด้วย กิเลสอย่างหยาบๆ เราถึงต้องต้อนมันเข้ามา ไล่มันเข้ามา ทำเข้ามานะ

เราจะปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์เรานะ เราปฏิบัติบูชา เวลาเราอุปัฏฐากท่าน เราได้จับเนื้อต้องตัวนะ เราได้ความอบอุ่น เราได้... เห็นไหม ลูกอยู่กับพ่อแม่จะมีความอบอุ่นมาก พ่อแม่นี่กางปีกกางแขนปกป้องรักษาเรา แต่ในปัจจุบันนี้ท่านล่วงไปแล้ว เราเป็นสังฆรัตนะ เราเป็นสังคม สังคมของสงฆ์ หมู่สงฆ์ต้องรักกัน ต้องถนอมรักษากัน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ออกมาจากเรือน อยู่ในเรือนเราก็มีพ่อมีแม่เป็นผู้ที่ดูแลรักษาเรา

เรามาอยู่ในสังคมของสงฆ์ เวลาพระผู้ที่น้อยเนื้อต่ำใจ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว เรานี่เป็นลูกกำพร้า เราไม่มีพ่อ แต่เรามีอุปัชฌาย์ของเรา ถ้าสังฆะครูบาอาจารย์ของเราท่านล่วงไปแล้ว ล่วงไปแล้วเราก็มีธรรมวินัย เห็นไหม เรามีธรรมวินัย ถ้าเราเคารพเรามีศรัทธากับธรรมวินัยของเรา เราก็อยู่ของเรา

ดูสิ ธรรมวินัยนี้เหมือนกับทะเลหลวง เวลามีสิ่งสกปรกในทะเล คลื่นจะซัดเข้าฝั่งหมดเลย ถ้าเราถือธรรมวินัย สังคมนั้นมันก็สงบ มันก็เป็นสิ่งที่สงบ เป็นสิ่งที่ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เราต้องถือธรรมและวินัย แล้วก็ถือครูบาอาจารย์เรา ความสั่งความเสีย ความสั่งความเสียนี่สั่งแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร?

เพราะบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ท่านจะสั่งให้สิ่งที่เป็นภาระหนัก เป็นผู้ที่ดูแลน้อง เป็นผู้ที่รักษาหมู่คณะ ท่านจะสั่งว่า “ต้องดูแลคนนั้น คนนั้นนะ” สิ่งนี้เราดูแลรักษานะ ถ้าเป็นเด็กท่านบอกว่า “เอ็งไม่ต้องทำอะไรหรอก เอ็งเชื่อฟังผู้ใหญ่นะ เอ็งเชื่อฟังอาวุโส” ที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านสั่งเสียไว้นะ เห็นไหม สั่งเสียไว้ไม่เหมือนกันไง

คนมีธรรมในหัวใจขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าจริตนิสัยของคนเป็นอย่างไร จริตนิสัยนะ คนนี้ชอบอย่างนี้ คนนี้ชอบอย่างนี้เพราะจริตนิสัย ถ้าเราไม่เข้าใจจริตนิสัย เหมือนกับที่เราภาวนากันอยู่นี่ “ทำไมมันไม่สงบล่ะ? ทำไมมันไม่เป็นไปล่ะ? วิปัสสนาทำไมไม่เข้าทางล่ะ?” เพราะมันไม่ตรงกับจริตไง

ดูอย่างพระสารีบุตรสิ พระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะทางปัญญา พระโมคคัลลานะนี่เป็นเอตทัคคะทางฤทธิ์ เห็นไหม เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เป็นอย่างนี้ไง ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติจะใช้ปัญญามาก สิ่งที่ใช้ปัญญามากมันก็มีปัญญา พอถ้ามีปัญญามันก็จะรู้เห็นสิ่งต่างๆ ถ้ามีกิเลสมันก็จะแบบว่าสะเทือนใจ มีกิเลสนะ มีความรู้สึก มันยึดน่ะ “ทำไมคนนั้นทำผิดอย่างนี้ ทำไมคนนี้ทำผิดอย่างนั้น คนนั้นทำผิดอย่างนี้” เพราะอะไร? เพราะปัญญามันเห็นน่ะ

แต่ถ้าเป็นเจโตวิมุตตินะ ท่านพยายามทำความสงบของตัว ท่านพยายามจะปิดอายตนะทั้งหมด ไม่รับรู้กับโลก เพราะอะไร เพราะโลกนี่เป็นเรื่องวุ่นวายมาก ถ้าอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้นออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ นี่ บ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร ออกไปรับรู้มาร มันจะเอาแต่ความเร่าร้อนมาให้ ท่านก็จะปิดหูปิดตาอยู่ของท่านเฉยๆ ไง พยายามจะรักษาจะเอาใจให้ได้ นี่จริตนิสัยไง แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านเห็นอย่างนี้ ท่านถึงฝากฝัง สั่งเสีย ดูแล เห็นไหม สังฆรัตนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะนิพพานนะ ท่านยังฝากฝัง ท่านยังสั่งเสียนะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นสังฆะ สังฆะเป็นสงฆ์ เป็นสงฆ์จะเป็นสงฆ์จริงสงฆ์แท้สงฆ์อะไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้มันเป็นสมมุติสงฆ์ มันสมบูรณ์ สมบูรณ์โดยธรรมวินัย ถ้าประพฤติปฏิบัติเข้ามานี่ อริยสัจให้โอกาส โอกาสนะ เวลาวิปัสสนาเข้ามามันปล่อยเข้ามาแต่ละชั้นแต่ละตอนนี่ นี่อริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณทำลายกิเลส ทำลายกิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอน

เวลาเราสร้างฐานขึ้นมา ทำสมาธิทำปัญญาขึ้นมานี่...แสนยากเลย เหมือนกับการก่อร่างสร้างบ้านเรือน ทำนี้แสนยากเลย เวลาเขาทำโครงสร้างบ้านเสร็จแล้ว เห็นไหม เวลาตกแต่งนี่ อู้หู...วิจิตรพิสดารนะ ประดิดประดอยอยู่อย่างนั้นนะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำสมาธิขึ้นมาก็ต้องโหม ต้องทำกันอย่างเต็มที่ เวลาวิปัสสนาก็ใช้ปัญญาอย่างสุดยอดเลย ไม่ต้องไปกลัวมันบอกว่า “นี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค อันนี้มันเป็นการไม่สมควร จิตมันไม่นิ่ง มันจะออกไปฟุ้งซ่าน” ทำไปเถิด! ทำไปเถิด!

นี่ สิ่งนี้เราสร้างสมเป็นโครงสร้าง โครงสร้างของบ้านเรือนต้องสร้างไว้ก่อน พอถึงที่สุดแล้วพอมันมีหลักมีเกณฑ์ จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมขนาดไหน ปัญญาวิปัสสนาไปแล้วมันไม่ลง เอ้า...ไม่ลงก็ทำซ้ำทำซาก เห็นไหม นี่โครงสร้างบ้านมันได้ ได้คือว่ามันชำนาญการ พอชำนาญการนี่ธรรมจักรมันจะเคลื่อน เคลื่อนคือปัญญามันหมุนออกไปแล้ว ปัญญานี่โลกุตตรปัญญา ภาวนามยปัญญาจะเกิดจากภายใน นี่สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้! เวลามันเคลื่อนออกไปเป็นรูปธรรมชัดเจนจับต้องได้ทั้งหมดล่ะ! จิตนี้จับต้องได้ จิตนี้ทำงาน จิตนี้มีกระบวนการของมันออกไป

เห็นไหม โครงสร้างบ้านสร้างขึ้นมาจนเสร็จ โครงสร้างบ้านทั้งโครงสร้างมันสร้างขึ้นมาทำไมมันจะไม่ใช่วัตถุ มันจับได้ยังไง? จิตก็เหมือนกัน เวลาชำนาญการของมันนี่ โอ้โฮ! เวลาภาวนาอยู่นี่ จิตมันเกิดปัญญา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านว่า “ขณะฉันข้าวนะ ปัญญามันก็หมุน เวลาคิดอะไร มองไปทางไหน ปัญญามันหมุนเข้ามาภายใน มันจะหมุนของมัน”

นี่มันเหมือนกับโครงสร้างบ้านมันมีอยู่แล้ว แต่มันไม่สมุจเฉท มันไม่รวมตัว แล้วรวมตัวนี่พอรวมตัวขึ้นมา มรรคสามัคคี เห็นไหม เวลามันรวมตัวขึ้นมา นี่ความสมดุลของมัน เพราะเราทำโครงสร้างมาเต็มที่แล้ว ความสมดุลของมัน มันหมุนเข้ามา จบกระบวนการ บ้านนั้นตกแต่งเสร็จเรียบร้อย! สมุจเฉทปหานขาดออกไป! เห็นไหม ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ แยกออกมา นี่โสดาบัน แยกออกไป เวลากายกับจิตแยกออกจากกันนี่ “กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส” แยกออกจากกันโดยสมุจเฉทปหานนะ! เห็นความจริง กามราคะปฏิฆะอ่อนไป เห็นไหม นี่สกิทาคามี แล้วส่วนใหญ่นี่ตรงนี้ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์จะติดอยู่อย่างมาก แต่ถ้าเรามีสตินะ เรามีวาสนามันจะย้อนกลับเข้าไปเห็นจิต เห็นกายเหมือนกัน เห็นกายเป็นกามราคะ เห็นจิตเป็นกามราคะ เห็นกายเป็นอสุภะ สิ่งนี้ใคร่ครวญ นี่ยิ่งยอดเยี่ยม! ยิ่งทำลายกัน! ครูบาอาจารย์ผ่านสภาวะการแบบนี้มา สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นมา

หมอถ้าไม่เคยผ่าน... หมอนะเรียนจบมาแล้วนะไม่ไปฝึกงาน ยังผ่าตัดไม่เป็นนะ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าจิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น สังฆรัตนะของเราผ่านกระบวนการอย่างนี้มาทั้งหมด! แล้วถ้าผ่านกระบวนการมาอย่างนี้! เวลาคนไข้มาอ้าปากตรงไหน รู้เลยว่าติดตรงไหน อยู่ตรงไหน จิตนี้ระดับไหน จิตนี้อยู่ขั้นตอนไหน จิตนี้เป็นสภาวะแบบใด เห็นไหม นี่เวลาครูบาอาจารย์เราท่านสั่งเสียไว้ ท่านสั่งเสียอย่างนี้ไง สั่งเสียที่ว่า ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่รับภาระหมู่คณะ สิ่งนี้ท่านจะให้แบกภาระไว้ สังคมเราถึงต้องยอมรับกัน สิ่งที่เป็นภาระ สิ่งที่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน

เหมือนในโรงพยาบาล เห็นไหม โรงพยาบาลหนึ่งเขามีเจ้าหน้าที่ตั้งหลายระดับ เจ้าหน้าที่ของเขาเพื่อทำให้โรงพยาบาลนั้นมั่นคง เพื่อทำให้โรงพยาบาลนั้นเป็นที่พึ่งของชาวโลก นี้ก็เหมือนกัน สังคมสงฆ์ของเรา เห็นไหม สังคมของสงฆ์เรา สังฆะ สงฆ์โดยสมมุตินี่ ถ้าหน้าที่ความสามัคคีช่วยเหลือเจือจานกัน เห็นไหม เหมือนกับโรงพยาบาลเป็นที่พึ่งของเขา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก อาราม อารามวัดเหมือนกับบ่อน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ เวลาคนเขาทุกข์เขายากเขาเหนื่อยเขากระหายมา เขาจะมากินน้ำนั้น ถ้าน้ำนั้นสะอาดบริสุทธิ์ การใช้งานของเขาเขาจะได้ประโยชน์จากวัดวาอารามนั้น เพราะรสของธรรมไง รสของธรรมเป็นอาหารของใจ รสของอาหารเป็นรสของร่างกาย ร่างกายก็หาอยู่หากินกันตามธรรมชาติ ใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหนก็หาอยู่หากินกันไป แต่น้ำอมฤตนี่ไม่มีหรอก ที่ไหนก็ไม่มี ในศาสนาไหนที่ว่าเป็นศาสนา ศาสนาของเขานั้น เขามีศาสดามีกิเลสนะ น้ำของเขาเจือไปด้วยสิ่งสกปรก

แต่ถ้าศาสดาของเราเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่า “เป็นพระอรหันต์” ไปบอกกับปัญจวัคคีย์ เห็นไหม ปัญจวัคคีย์ทิ้งไป “อยู่กันมา ๖ ปี ไม่เป็นก็ไม่เคยพูดสักคำ ขณะนี้เป็นแล้ว เธอเคยได้ยินไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์” ประกาศตนตลอดว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะสิ้นจากกิเลส แล้วเป็นพระอรหันต์เพราะอะไร? “ถามมาสิ ถามมา เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร?” เพราะมรรคญาณท่านเกิดขึ้น

นี่ท่านเป็นหมอจริงๆ ท่านผ่าตัดได้ทั้งหมด ใครถามอย่างไรก็รู้ ใครถามอย่างไรก็ตอบได้ แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาถามนะ เทวดา อินทร์ พรหม ถ้าอยู่ในสถานะของเขา เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจหรอก เขาต้องมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สิ่งนี้แก้ไขมา ถ้าแก้ไขสิ่งนี้มา เห็นไหมถึงบอกว่าเป็นพระอรหันต์ อารามนั้นสิ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของครูบาอาจารย์เรานั้น เป็นน้ำที่สะอาด น้ำที่บริสุทธิ์ ควรที่จะให้สังคมเขาได้ดื่มกิน เขาได้ใช้ประโยชน์กับวัดวาอารามของเรา

เราเป็นสงฆ์โดยสมมุติ เราเป็นยามเฝ้าน้ำนั้นไว้ เฝ้าสระนั้น เราเป็นยามนะ เห็นไหม เราจะให้เขามาใช้ตักน้ำนั้นเป็นกาลเป็นเวลา ไม่ให้เขามาคลุกคลีกัน ไม่ให้เขามาส่งเสียงดังกัน ไม่ให้เขามาทำลายสระน้ำของเรา เพื่อใคร? ก็เพื่อยามนี่ เพื่อเราจะได้อาศัยสิ่งนี้เป็นการดำรงชีวิต เป็นการประพฤติปฏิบัติ เพื่อบุญกุศลของเรา ถ้าเราไม่ถึงที่สุด ถ้าเป็นถึงที่สุดเราจะมีบุญกุศล เราจะมีความรู้จากภายใน เราจะเป็นสังฆรัตนะขึ้นมาจากใจของเรา

เราอุปัฏฐากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากภายนอก แล้วเราก็ใช้วัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากในหัวใจ วัตรปฏิบัตินี่เราทำข้อวัตร ทำปฏิบัตินี่ เห็นไหม เวลาเราทำข้อวัตรครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม เราได้สรงน้ำท่าน เราได้เอายายื่นให้ท่าน เราได้ทำสิ่งต่างๆ เพื่อท่านทั้งหมดเลย เพราะอะไร เพราะท่านเป็นพ่อแม่ครูจารย์ของเรา ท่านให้รสของธรรมกับเรา ท่านปกป้องดูแลเรา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านให้ทั้งชีวิต ให้เครื่องบำรุงบำเรอเราทั้งหมดเลย แล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือให้สติ ให้ธรรมเรานี่สำคัญที่สุด

นี่เราได้อุปัฏฐากท่านมาแล้ว ในปัจจุบันนี้ท่านล่วงไปแต่สภาวะของร่างกาย สิ่งที่หัวใจของท่านมีแน่นอน ครูบาอาจารย์ทุกองค์ท่านยอมรับกันมาว่า จิตที่สิ้นสุดแล้วนี่มี ท่านรับไปกับเรา ทำไมหลวง-ปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนท่านล่ะ เห็นไหม สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมาสอน ยังมาเทศนาว่าการ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลยังมาสอนองค์หลวงปู่มั่น ในประวัติหลวงปู่มั่นนะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ มันเป็นไปของเรา หมู่คณะเราสามัคคีกัน เรารักษาสระน้ำที่ครูบาอาจารย์เราได้สร้างไว้ให้เป็นสิ่งที่อาศัยของสังคม สังคมจะได้อาศัยบ่อน้ำนี้ อาศัยอารามของเรานี้เป็นที่ดื่มกินของใจ เป็นสิ่งที่หาความร่มเย็นเป็นสุขให้ในใจของเขา ในใจของเขานะ

เราต้องรักกัน เราจะปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์ของเรา เราจะเคารพครูบาอาจารย์ของเรา เพราะเพื่อจะให้เป็นความปฏิบัติบูชามาจากภายใน เพื่อให้ใจของเราร่มเย็นเป็นสุขแบบที่เราได้ประพฤติปฏิบัติ เราได้อยู่กับครูบาอาจารย์ของเรา เอวัง