เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ส.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมเพื่อจิตใจของเรา เห็นไหม ฟังธรรมเพื่อให้ใจเราอยู่ในอำนาจของเรา ดูสิเวลาไปเขาใหญ่เขาให้ระวังเลยนะ ระวังช้างมันจะทำอันตรายเอา ให้ระวังสัตว์ป่ามันจะทำลายคน เพราะคนต้องผ่านเส้นทางนั้น นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรามันอยู่กับเรา ฟังธรรมๆ เพื่อปราบกิเลสไง เพื่อปราบหัวใจของเราอย่าให้มันทุกข์ยากจนเกินไป อย่าให้มันทำลายเราจนมากเกินไป

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เวลาบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม คนจะเกิดเขาเกิดให้มีบุญกุศล อย่าให้มันทุกข์ยากจนเกินไปนัก ดูเด็กน้อยสิเวลาเกิดมาพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูมัน เลี้ยงดูมัน ถ้ามันเกิดมา บางคนคาบช้อนเงินช้อนทองมา เกิดมามีคนล้อมหน้าล้อมหลัง บางคนเกิดมาพ่อแม่ไม่มีความพร้อมเอาไปทิ้งถังขยะ เอาไปทิ้งตามที่เขารับเลี้ยงเด็ก เพราะอะไร เพราะพ่อแม่เลี้ยงไม่ได้ พ่อแม่ไม่มีปัญญาจะดูแล

นี่ดูผลของวัฏฏะที่การเวียนว่ายตายเกิดไง ทำไมมันเกิดมาอย่างนี้ล่ะ ทำไมคนๆ หนึ่งเกิดมามันมีอำนาจวาสนา มีแต่คนดูแลพร้อมหน้าพร้อมตาล่ะ เวลาคนๆ หนึ่งเกิดมาพ่อแม่ไม่มีความพร้อม นี่ตัวเองก็เลี้ยงไม่ได้ ตัวเองก็เลี้ยงไม่ไหว แต่เด็กคนนั้นอาจจะมีอำนาจวาสนา

ดูสิหมอชีวกก็เหมือนกัน ก็ไปทิ้งถังขยะเหมือนกัน แต่เวลาคนไปเก็บมาคือกษัตริย์ คนเก็บมาถวายกษัตริย์ กษัตริย์เลี้ยงมาจนเป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามีอำนาจวาสนาขนาดนั้นนะ คนเราไม่ใช่มีอำนาจวาสนาเพราะการเกิด คนเรามีอำนาจวาสนาโดยการกระทำ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะบุญกุศลมันพาไป บุญกุศลพาไปนะบอกว่าเราจะไปเกิดที่ดี เกิดที่ดีๆ ดูสิเวลาไฟฟ้าขั้วบวก ขั้วลบมันสปาร์กกันมันจะเกิดพลังงานของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีเวรมีกรรม ไอ้เวรกรรมตัวนั้นมันอยู่ในใจ เราจะปรารถนาอะไร เวรกรรมอันนั้นมันน้อมไป ดูสิดูสันดานของคน ทำไมคนสันดานมันชอบอย่างนั้นๆ ทำไมมันชอบไม่เหมือนกันล่ะ ทำไมมันชอบไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกันอยู่ด้วยกันสบาย มันแลกเปลี่ยนอะไร ถ้าชอบเหมือนกัน อยู่ด้วยกันนี่ทะเลาะกัน

นี่ไงผลของวัฏฏะๆ ถ้าว่าผลของวัฏฏะ ทำบุญกุศลเพื่อคุณงามความดีของเรา ถ้าเรามีสติปัญญามากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาไม่ต้องการ ทำบุญกุศลเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี พันธุกรรมของจิตให้จิตมันมีกำลัง มีกำลังแยกแยะได้สิ่งใดถูก สิ่งใดผิดไง ดูสิเวลาไปเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดบนพรหมนี่มันต้องไปอายุยืน อายุขัยของมัน มันเสียเวลาไง

ถ้ามันเสียเวลานี่อยากจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นิพพานอยู่โดยดั้งเดิม นิพพานมีอยู่แล้ว นิพพานหยิบฉวยจับต้องเอาได้เลย นิพพานอย่างนั้นหรือ ถ้าคนมันมี... นี่คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรชอบ ถ้าความชอบธรรม เวลาชอบธรรมมันชอบธรรมมาจากไหนล่ะ มันชอบธรรมมาจากสติปัญญาของเขา

นี่พันธุกรรมของจิตๆ ดูสิเวลาพระโพธิสัตว์ ดูสิพระมหาชนก ทศชาติ แต่ละภพแต่ละชาติเขาทำทำไม เรามาทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลเราก็เรียกร้องทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำบุญกุศลขนาดนี้ทำไมเราไม่สมความปรารถนาๆ เวลาสมความปรารถนา สมความปรารถนาในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้ตลาดกำลังเฟื่องฟู เรามีสินค้าที่พอดีกับจังหวะโอกาสนั้น เราทำสิ่งใดเราจะประสบความสำเร็จนั้น เรามีสินค้าแต่ตลาดมันไม่มี เราทำสิ่งใดไม่ได้มันก็ขาดตกบกพร่องไป

นี่จังหวะและโอกาส อำนาจวาสนาของคนไง ถ้าเราทำสมความปรารถนามันก็สมความปรารถนา อันนี้เราสมความปรารถนาทางโลก แต่ถ้าเวลาจริตนิสัยล่ะ เวลาจริตนิสัย เห็นไหม ดูสิเวลามหาชนก เวลาพระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมา เขาสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างสมบุญญาธิการมาด้วยอำนาจวาสนา ดูสิเวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ราชกุมาร เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เด็กขนาดนี้พูดว่าจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

อันนั้นด้วยอำนาจวาสนาบารมี แต่ยังไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร นี่พระเจ้าสุทโธทนะยังให้ครองเรือน ยังมีสามเณรราหุล แต่เวลาออกบวชๆ เวลาอีก ๖ ปีที่ออกไปบวชแล้วออกค้นคว้าๆ อันนั้น การค้นคว้าอย่างนั้น ดูสิมันเกี่ยวกับวิกฤติในหัวใจ คำว่าวิกฤติในหัวใจ ดูอวิชชา อวิชชามันยอมใครให้หลุดมือมันไป

นี่คำว่าปล่อยให้หลุดมือมันไป เวลามันไปปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ ทุกคนก็ยกย่อง ทุกคนก็สรรเสริญทั้งนั้นแหละ นี่ยกย่องสรรเสริญ แต่การกระทำอันนั้นมันมาจากไหนล่ะ ดูสิดูทศชาติ คำว่าทศชาติ เวลาสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้น เวลาสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้นมันถึงได้พันธุกรรมของใจไง ใจมันถึงมั่นคงไง ใจมันถึงแยกแยะได้ไง มันแยกแยะว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ทั้งๆ ที่เรากระทำเอง เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาเห็นนิมิต เห็นจริงไหม จริง ความเห็นจริงไหม ความเห็นนั้นไม่จริง

นี่เวลาจิตสงบแล้ว เวลาเห็นกาย พิจารณากาย แยกแยะตามความเป็นจริงของมัน อันนั้นดูสิมันก็ยังมีสมุทัย ยังมีความเห็นของเราเจือปนอยู่ เวลามันแปรสภาพไปว่าเป็นไตรลักษณ์ๆ เป็นไตรลักษณ์ทำไมกิเลสมันไม่ขาด ถ้าเป็นไตรลักษณ์เวลากิเลสมันขาด นี่มันสมุจเฉทปหานเวลามันขาดไปมันขาดเพราะอย่างไร

นี่ไงเวลามันพิจารณาแล้วมันพิจารณาซ้ำๆๆ ซ้ำเพราะทำซ้ำ ทำซ้ำเพราะตรวจสอบในหัวใจของตัว ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันทำของมันได้ มันเจริญงอกงามของมันได้ เวลาคนไม่มีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดทำแล้วอยากได้ ทำด้วยความจับพลัดจับผลู นี่มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากทำบุญกุศลกันอยู่นี่ไง

นี่ทำบุญกุศล เห็นไหม ดูสิหลวงตาท่านพูดประจำ ทำบุญกุศลมันก็เขื่อนกั้นน้ำไว้ เขื่อนจะกั้นน้ำไว้ขนาดไหนมันก็กั้นไว้อย่างนั้นแหละ บุญก็คือบุญ เวลาทำบุญก็เป็นบุญ เป็นอามิสก็เป็นอามิส แต่เวลาจะพ้นจากกิเลสมันต้องภาวนาทั้งนั้นแหละ เวลามันภาวนามันภาวนาที่ไหนล่ะ มันภาวนานี่กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้จิตสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันมีอำนาจวาสนามันก็ทำของมันได้ใช่ไหม ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนา เวลาทำขึ้นมาคำว่าส้มหล่น

ส้มหล่นดูสิแม้ในธรรมบทที่ว่าเวลาลูกเศรษฐี เวลามีลูกชายคนเดียว เพราะด้วยความรักความห่วงใยนะ เวลาจะเอาหมอมารักษาก็กลัวเขามาเห็นสมบัติ กลัวเขาจะเรียกค่ารักษาแพง ก็เอาลูกไปทิ้งไว้หน้าบ้านให้หมอรักษาที่หน้าบ้าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เห็นว่าเขามีอำนาจวาสนา บิณฑบาตผ่านไปเฉยๆ เดินผ่านไปเพราะว่าเขาเป็นพราหมณ์ แล้วตระหนี่ถี่เหนียว เขาไม่ให้ตกหล่นจากสมบัติเขาเลย เขาไม่มีทางใส่บาตรหรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโปรดสัตว์ เดินผ่านไปเฉยๆ ฉายแสงฉัพพรรณรังสี แสงนั้นไปกระทบกับผู้ป่วยนั้น ผู้ป่วยมันหันไปมองเห็นแสงแล้วมันปลื้มใจนะ แต่แล้วรักษาไม่ทันก็ตายไปไง ตายไปไปเกิดเป็นเทวดา ด้วยแสงแค่นั้น ได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธแค่นั้นไปเกิดเป็นเทวดา แต่พ่อเวลาลูกตายไปแล้ว ด้วยความรักความผูกพัน เวลาความรักความผูกพัน แต่ความรักรักแบบตระหนี่ไง รักแบบไม่ดูแลไง เวลาตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ตัวเองก็ไปร้องไห้ ไปคร่ำครวญอยู่นั่น

คร่ำครวญ ร้องไห้คร่ำครวญเพราะอะไร เพราะความพลัดพราก มีลูกคนเดียวก็อยากให้รับมรดกตกทอดไป แล้วเวลาจะรักษาก็ตระหนี่ ตายไปแล้วก็มาเสียใจ แล้วสมบัติเอาไปให้ใครล่ะ เพราะความตระหนี่ตัวเดียว เพราะกิเลสตัวเดียวทำให้วุ่นวายไปหมดเลย วุ่นวายในหัวใจ แล้วก็คร่ำครวญร้องไห้อยู่คนเดียว คร่ำครวญ เจ็บปวด เจ็บช้ำ แล้วใครทำ ใครทำให้เขา

นี่กิเลสทั้งนั้นใครทำ ทั้งๆ ที่ของมีทุกอย่างเลยล่ะ แต่มันใช้ไม่เป็น ทำไม่เป็น ไม่เอามาให้เป็นประโยชน์ไง ถ้าไม่เป็นประโยชน์มันก็เป็นอย่างนั้น นี่เวลาผู้ที่นักปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านไม่ปรารถนาสวรรค์นิพพาน ไม่ปรารถนาสวรรค์นะ ท่านปรารถนานิพพาน สวรรค์ พรหมนี่ไม่ปรารถนา ไม่ปรารถนาไม่ต้องการ แต่ต้องการให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วสิ้นสุดแห่งทุกข์เอาที่ไหนล่ะ อ้าว ก็ว่างๆ ไง ว่างๆ ไง เวลาฌานโลกีย์เขาทำมากกว่านี้

ฉะนั้น สิ่งที่ทำ ดูสิความเพียรชอบ คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรนะ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เรานี่เราขวนขวายกันมาเรามีศรัทธาความเชื่อ เราไม่มีศรัทธาความเชื่อ หัวรถจักรจะชักให้เรามาทำบุญกุศลไหม แล้วทำบุญกุศลมันเกิดอย่างไร บุญตัวเป็นอย่างไร บุญตัวมันกลมๆ ตัวมันแบนๆ บุญมันคือความสุขใจไง บุญคือความอบอุ่นไง บุญคือสติปัญญาไง ศีล สมาธิ ปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา นี่ตัวนี้มันมีบุญ ถ้าคนมีบุญมันมีจุดยืนของมัน

นี่เรามีบุญของเรา เรามีความสุขไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเรามีความสุขไหม ชีวิตเรามีความร่มรื่นไหม ชีวิตเราอบอุ่นไหม ถ้าชีวิตเราไม่อบอุ่น เราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งไง รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งของเรา เป็นที่พึ่งของระดับสังคม ระดับของทาน เขาเจือจาน เขาดูแลกัน เขารักษากัน สังคมนั้นอบอุ่น อบอุ่นเพราะวัฒนธรรมประเพณี ประเพณีวัฒนธรรมมันทำให้สังคมอบอุ่น ทำให้คนเสียสละ

นี่ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของศีลนะไม่กินเหล้า ไม่เมายา ไม่โปปด ไม่มดเท็จ ไม่ทำอะไรที่ผิดศีลมันจะไปไหนล่ะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง คนที่มีศีลมีธรรมในหัวใจไปอยู่ที่ไหนเขาก็เชิดชู มีบารมีทุกคนก็ฝากได้ มีสมบัติมาฝากไว้ได้เลย มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผู้เฒ่าเขาให้ตัดสินเลย โบราณ เห็นไหม ผู้เฒ่า ผู้แก่เขาให้เป็นผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เขาตัดสินคดีความทุกๆ เรื่อง บ้านไหนทะเลาะเบาะแว้งกันให้ผู้เฒ่าเป็นผู้ตัดสิน บ้านใดมีความฉ้อฉลให้ผู้เฒ่าตัดสินเพราะเขาไว้ใจ

นี่ไงถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่มันจะมีบารมี เห็นไหม มันปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง นี่พูดถึงว่าผู้มีศีลนะ แล้วผู้มีปัญญาล่ะ เราขวนขวาย เราบากบั่นเพื่อความสำเร็จในชีวิต ครูบาอาจารย์ของเราเวลาจิตมันสงบ จิตมันเป็นสัมมาสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ องค์เดียวแท้ๆ มนุษย์คนหนึ่งนั่งอยู่ในที่สงัดวิเวกผู้หนึ่ง แล้วใช้สติปัญญาภายในหัวใจ ภายในจิตนั้นใคร่ครวญค้นคว้าสิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย

สิ่งที่การเกิดเกิดมาจากไหน ค้นคว้าในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โคนต้นโพธิ์นั้นองค์เดียว ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายมายุ่งเกาะเกี่ยวเลย นั่นงานของนักพรต งานของผู้ที่จะรื้อค้น งานของผู้ที่จะพ้นจากกิเลสไง ว่านิพพานมันอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่ไหน ค้นคว้านิพพาน นิพพานไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งเฉยๆ ตื่นขึ้นมาก็นิพพาน มันจะเอามาจากไหน ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น พวกเราเป็นใคร นิพพานอยู่ที่ไหนก็มี เปิดในตุ่มก็เจอ เปิดห้องก็เจอ เปิดในเซฟมันพุ่งใส่เลยนิพพาน นิพพานอะไรของเอ็งมันไม่มี

ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ บุพเพนิวาสานุสติญาณ นั้นยังไม่ใช่ ย้อนอดีตชาติไปทั้งหมดไม่มีต้นไม่มีปลาย นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ อยู่ในพระไตรปิฎก ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ได้ห้าชาติ ได้สิบชาติ ได้ พันชาติ ได้ ได้แสนชาติ ย้อนกลับนะ ย้อนกลับได้เป็นแสนๆ ชาติ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลายคือใส่ตัวเลขไม่ได้ มันนับเป็นตัวเลขไม่ได้เลย คำว่าไม่มีต้นไม่มีปลายคือมันจดเป็นตัวเลขไม่ได้เลย นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ

จุตูปปาตญาณ เห็นไหม ดูสิเวลาจิตถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลสมันเกิดแน่นอน ในเมื่อมันมีเหตุมีผลอยู่ มันมีเหตุมีปัจจัยอยู่มันจะสิ้นสุดไปได้อย่างไร มันมีเหตุมีผลของมันอยู่มันต้องเคลื่อนไปข้างหน้าแน่นอน มันต้องไปตามเหตุตามปัจจัยนั้น นี่จุตูปปาตญาณย้อนกลับมาๆ อาสวักขยญาณ มรรค นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ ท่านบอกเวลาปัญญามันเกิด ดูสิปัญญาโสดาปัตติมรรคมันก็มีปัญญาอย่างหนึ่ง สกิทาคามิมรรคก็เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง อนาคามิมรรค นี่น้ำป่ามันรุนแรง มันท่วมท้น มันจะทำลายๆ ทำลายเชื้อไข ทำลายเชื้อไขที่เกิดบนกามภพ

คำว่ากามภพตั้งแต่เทวดาลงมา เวลามันทำลายหมด มันทำลายหมดกามภพ นี่กามราคะ พิจารณามันรุนแรงมาก รุนแรงเพราะอะไร เพราะมันจะรื้อภพ รื้อชาติ แต่เวลาทำลายไปแล้ว เวลาทำลายไปแล้ว เวลาเข้าไปถึงอวิชชาจริงๆ มันนุ่มนวล มันละเอียดอ่อนละเอียดอ่อนจนขยับไม่ได้เลย ขยับมันกระเพื่อม กระเพื่อมเป็นกุกกุจจะ เป็นสังโยชน์ตัวหนึ่งเลย รูปราคะ อรูปราคะ มานะ กุกกุจจะ อวิชชา สังโยชน์อันละเอียดมันรัดใจนั้นไปไม่ได้เลย แล้วถ้าใจนั้นมันจะละเอียดลึกซึ้งขนาดไหน ที่มันจะสำรอกคายสังโยชน์อันละเอียดในใจอันนั้น ถ้าในใจอันนั้น ถ้ามันทำลายสิ่งนั้นได้ นี่มันต้องมีเหตุมีผลไง

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ดูสิไปดูที่ท่าเรือคลองเตยสิ พวกกรรมกรแบกหาม ไม่ได้พูดเหยียดหยามเขานะ อาชีพ อาชีพของคน เขาแบกหาม อาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามที่ท่าเรือคลองเตย นั่นมันงานของเขา นี่งานของเขา งานของเรา เรานักบริหารใช่ไหม เราทำงานของเรา งานของเราใช้สมองใช่ไหม มันใช้ร่างกายทั้งนั้นแหละ เวลากรรมกรแบกหามเขาต้องใช้ร่างกายของเขา เพื่อหาอยู่หากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา

ปัญญาชนเวลาทำงาน คิดงาน ทำงานก็เป็นสมอง ทำงานก็ต้องใช้หน้าที่การงาน ทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เวลาภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิตไม่ใช่เกิดจากสมอง เกิดจากสมอง สมองมันเป็นธาตุ เป็นธาตุ เป็นวัตถุ สมองจะทำงานได้ต้องมีพลังงาน ร่างกายนี้ต้องมีพลังงาน ทางการแพทย์เขาเรียกไฟฟ้า จะมีไออุ่น จะมีไฟฟ้า จะมีพลังงานสัญญาณชีพ นี่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แค่นั้น แต่ถ้าเป็นจิตล่ะ

ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิต ถ้าสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา เราเกิดโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค แล้วมรรคยังมีหยาบ มีละเอียดขึ้นไป นิพพานมันจะหยิบเอาจากไหน นิพพานเกิดจากความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราต้องทำของเราขึ้นมา นี่ฟังธรรมๆ ตอกย้ำอย่างนี้ ตอกย้ำขึ้นมา เรื่องระดับของทาน วัฒนธรรมประเพณีมันน่าชื่นชม ของนี้น่าชื่นชม ของนี้เราแสวงหามา เราทำมาเพื่อเรา

ดูสิพระมหาชนก ดูสิพระโพธิสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเขาทำทำไม แล้วเรานี่ทำได้ขี้กระพี้ลิ้นเขาไหม เราทำไม่ได้ขี้กระพี้ลิ้นหรอก เพราะจิตใจเราไม่ดูดดื่มขนาดนั้น จิตใจเราไม่ตั้งใจว่าเราอยากจะเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้า ถ้าใครปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้าเขาจะต้องปูพื้นฐานของเขา เขาจะต้องทำคุณงามความดีของเขา เขาจะพยายามสร้างสมเป็นพระโพธิสัตว์ของเขา จนกว่ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งพยากรณ์ พยากรณ์แล้วเขาจะกลับไม่ได้ เขาพยายามต้องสร้างอำนาจวาสนาขึ้นไปจนสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกว่าท่านปรารถนามาทั้งนั้นแหละ สุดท้ายแล้วท่านใช้ปัญญาของท่าน คำว่าปรารถนาคือท่านสร้างคุณงามความดีของท่านมามหาศาล นี้สร้างคุณงามความดีของท่านมหาศาล เวลาท่านมาพลิกกลับ พลิกกลับเข้ามาเพื่อทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อเข้าสู่อริยสัจ ได้สร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้น เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมันถึงคมกล้า มันถึงทะลุบากบั่นเข้าไปถึงในอวิชชา ในหัวใจอันนั้นไง

ฉะนั้น เวลาความเป็นจริง นี่เราต้องทำความเพียร ทางโลกเวลาทำงานก็ทำงานทางกาย ทำงานทางสมอง เวลาพระเรา เราจะทำงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นะ เวลามรรคมันเกิด เวลาทำขึ้นมามันทำขึ้นมาในหัวใจ ทำในหัวใจนะ เวลาทำลายอวิชชา เห็นไหม เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ในบรรดามนุษย์ ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

ในบรรดาสัตว์สองเท้า แล้วเราก็เกิดมาหนึ่งเป็นมนุษย์ เราก็เป็นสัตว์สองเท้า เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เป็นคนที่มีสมอง เป็นคนที่มีปัญญา เป็นคนที่มีอำนาจวาสนาถึงฟังธรรมอย่างนี้เข้าใจ นี่ฟังเทศน์ๆ อย่างนี้เข้าใจ ถ้าคนอื่นเขาบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ถ้ามั่งมีศรีสุข ร่ำรวยเขาชอบอย่างนั้น เขาไม่ชอบหรอก ไม่ชอบสิ่งที่ว่าการปล่อยวางการเสียสละ การสิ้นไปของกิเลสเขาไม่รู้จัก นั้นด้วยอำนาจวาสนาของเขา ฟังไม่รู้เรื่องหรอก คนไม่มีอำนาจวาสนาฟังธรรมไม่เข้าใจ อยากร่ำอยากรวย อยากประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วก็ต้องตายไป

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งใดจะเป็นสมบัติของใจดวงนี้ไป ทำทานมันก็เป็นอามิส เป็นทิพย์ ทำภาวนามีสติ มีสมาธิ มีปัญญามันจะอยู่กับจิต มันจะเข้าไปกับจิต เพราะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เพราะจิตมันรู้ จิตมันเห็น จิตมันเป็นเจ้าของ มันจะเอาสมบัติสิ่งนี้ของมันไป เวลาภาวนามันสำรอกคายสังโยชน์ คายกิเลสออกไป ถึงที่สุดแล้วมันทำลายหมด ทำลายภวาสวะ ทำลายสิ่งที่สะสมดีและชั่ว ทำลายทั้งสิ้น แล้วมันเหลืออะไรล่ะ มันเหลืออะไร เหลือสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นความจริง

ว่านิพพานๆ นิพพานมันมาจากไหน นิพพานไม่มีการกระทำเอามาจากไหน นิพพานมันจะเกิดขึ้นด้วยความเพียร ต้องความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ด้วยการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าการกระทำของเรา เห็นไหม เวลาเรานั่งเฉยๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา อันนั้นนั่นแหละจะฝึกฝนหัวใจของเรา บ่มเพาะ บ่มเพาะให้มันเข้มแข็ง บ่มเพาะให้มีคุณธรรมขึ้นมา แล้วเวลาเราทำประพฤติปฏิบัติได้สมบัติของเรามา นั่นล่ะอัตตสมบัติ

หลวงตาท่านเน้นประจำ พระไม่มีศีลไม่มีธรรมใครจะมี พระไม่รักษาศีล พระไม่ประพฤติปฏิบัติให้เกิดสมาธิ ให้เกิดปัญญาขึ้นมาใครจะทำ พระเป็นนักรบ เราต้องรบกับกิเลสของเรา ถ้ารบกับกิเลสของเรา ชนะกิเลสของเราแล้ว เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งเป็นศาสนทายาท เป็นธรรมทายาท เพื่อประโยชน์กับศาสนา เพื่อประโยชน์กับสังคม มันต้องเป็นประโยชน์กับตัวเราก่อน แล้วมันจะเป็นประโยชน์ในครอบครัว ในชาติ ในตระกูล แล้วเกิดประโยชน์ในสังคม แต่เราบวชเป็นพระแล้วศากยบุตร พุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ฟังธรรมตอกย้ำใจเรา พุทธะอยู่ที่กลางหัวอก พุทธะอยู่ที่ใจเรา เราค้นได้ เราทำได้ เรามีสิทธิเสรีภาพที่จะทำ แต่กิเลสมันครอบงำว่าเราทำไม่ไหว เราไม่มีอำนาจวาสนา เราทำไม่ได้ กิเลสมันครอบงำอย่างนั้น แล้วเราก็จะเป็นขี้ข้ามัน เอวัง