เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ส.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรม เราตั้งใจฟังธรรมะเพราะเราเกิดมามีศักยภาพ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบ พระถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกราบธรรมๆ กราบธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามสร้างสมบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วเวลาออกมารื้อค้น ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอีก ๖ ปี กว่าจะตรัสรู้ขึ้นมาได้ เวลาตรัสรู้ขึ้นมาได้แล้วนะมันลึกลับซับซ้อน ซับซ้อนที่ว่าจะสอนใครได้อย่างไร สอนใครได้อย่างไร เพราะ เพราะเหมือนกับคนที่ไม่เข้าใจ คนที่ไม่รู้ พูดอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเวลาคนที่ขวนขวาย คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี ดูสิพระอัสสชิ พระสารีบุตรเห็นพระอัสสชิทำไมสนใจล่ะ นี่ทำไมสนใจ เพราะอะไร เพราะพระสารีบุตรท่านสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้น

คำว่าสร้างบุญญาธิการมาคือท่านปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวา คนที่ปรารถนาอัครสาวกเบื้องขวามันต้องสร้างสมบุญญาธิการมากกว่าพระอรหันต์ จะเป็นพระอรหันต์ได้ สาวก สาวกะต้องสร้างบุญญาธิการมา การสร้างบุญญาธิการมาคือพันธุกรรมของจิต เวลาจิต จริตนิสัย จริตนิสัยคนดีคิดแต่เรื่องดีๆ ทำสิ่งใดที่เป็นคนพาลไม่ได้ คนพาลคิดแต่เรื่องพาลๆ คิดแต่เรื่องความดีไม่ได้ นี่มันเป็นจริต เป็นนิสัย มันออกมาจากใจ เพราะใจได้สร้างสมบุญญาธิการอย่างนั้นมา

นี่ถ้าสร้างสมบุญญาธิการอย่างนั้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมาขนาดนั้น เวลาตรัสรู้ขึ้นมามันเสวยวิมุตติสุขๆ คำว่าวิมุตติสุข สุขเหนือโลกไง สุขเหนือโลกคือมันไม่สุขเวทนา ทุกขเวทนาไง ของเรานี่มันสุขเวทนา ทุกขเวทนาไง มีความสุขเดี๋ยวก็มีความทุกข์ มีความทุกข์ ความทุกข์คลายไปก็เป็นความสุข นี่มันตะครุบเงา เงาคืออะไร เงาคือมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

คำว่าธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ไม่ใช่จิต เพราะขันธ์เป็นความคิด ถ้าขันธ์เป็นจิต เวลาความคิดดับไปคนต้องตาย เวลาความคิดเกิดขึ้นมาเราก็มีชีวิตอยู่ เวลาความคิดดับไปเราก็ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเราคือภวาสวะ คือภพ คือปฏิสนธิจิต แต่ความคิดมันจรมา ความคิดมันจรมาไง คนเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ คำว่าธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เวลามันคิดขึ้นมา ตะครุบเงาขึ้นมามันถึงมีความทุกข์ไง

นี้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมให้หัดคิดดีๆ หัดคิดดีๆ คนมีศีล มีธรรมหัดคิดดีๆ เราเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เวลาเสียสละมานี่เป็นประโยชน์ของโยมทั้งนั้นแหละ เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาเขาแสวงหาของเขา เขาจะทำบุญของเขา เขาหาเนื้อนาของเขา นี่เนื้อนาของเขา เขาเสียสละของเขา เขาปลื้มใจของเขา เขามีความภูมิใจของเรา ถ้ามีความภูมิใจของเขา นี่บุญกุศลไง ถ้าบุญกุศลมันทำให้เกิดอามิส เกิดบุญกุศลเกิดอำนาจวาสนาบารมี เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ให้มันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัย

เวลาเกิดเหมือนกัน คนเกิดเหมือนกัน คนเกิดขึ้นมาคนหนึ่งมีแต่คนอุ้มชูดูแล คนเกิดมาคนหนึ่งมีแต่ความทุกข์ ความยาก คนเกิดมามีแต่ความแร้นแค้น เกิดมาเหมือนกัน นี่ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ มันเกิดอย่างนั้นเพราะอะไร นี่เขาสร้างของเขามา เขาสร้างของเขามา เขาไม่สร้างของเขามา ดูสิสมัยพุทธกาลพระอรหันต์ฉันข้าวไม่เคยอิ่มๆ มันร่ำลือไปจนทั่ว จนพระสารีบุตรไปเยี่ยมไง เขาร่ำลือว่าท่านไม่เคยฉันข้าวอิ่มใช่ไหม ใช่ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ เป็นเพราะเวลาฉันไปในบาตรมันหายไปเฉยๆ อย่างนั้นล่ะ

นี่พระสารีบุตรว่า อ้าว วันนี้ฉันดีๆ นะ พระสารีบุตรจับบาตรนั้นไว้ จับบาตรนั้นไว้แล้วให้ฉัน ฉันวันนั้นอิ่ม อิ่มมื้อแรกแล้วก็นิพพานไป ตายเลย นี่ไงเพราะอะไร เพราะทุกคนก็ช่วยกันอุ้มชูไง พระจะอุ้มชูนะ เวลาบิณฑบาตอยู่ข้างหลัง โยมเขาใส่บาตรมามันก็หมดก่อน พอหมดก่อนพระก็มานั่งคิดกันว่าถ้ามันใส่บาตรแล้วหมดก่อน พรุ่งนี้ให้พระองค์นี้อยู่ข้างหน้าเลย ไอ้โยมที่ใส่บาตรเมื่อวานนี้ก็บอกว่าเมื่อวานใส่บาตรไปแล้วใส่แต่ข้างหน้า ข้างหลังไม่ได้ใส่ก็เลยไม่ถึงข้างหลัง วันนี้มาก็งดข้างหน้าเลย เขาทำมา คนจะช่วยกันแก้ไขขนาดไหนนะมันก็เป็นแบบนั้นเพราะเขาทำของเขามา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา เราทำของเรามาเราถึงมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ เราถึงมีความชอบแบบนี้ แล้วความชอบแบบนี้คิดอย่างนี้แล้วมันถูกใจ ถ้าคิดอย่างนี้มันขัดใจ เวลาคิดขัดใจ นี่เราคิดคุณงามความดีมันขัดหัวอกไปทั้งนั้นเลยแหละ แต่ไอ้ที่ความคิดมันถูกใจมันไหลมาเลย มันไหลมาเลย เห็นไหม นี่มันเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยขึ้นมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เราก็อยากได้ธรรมะอันนั้น

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่ความสุขของเราความสุขแบบตะครุบเงา ความสุขแบบโลกเดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ เราก็หาของเราอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเอาความจริงขึ้นมา นี่สุข-ทุกข์มันละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ ดูสิคนที่ทำบุญกุศลทำของเขาไปเรื่อยๆ พอสุดท้ายแล้วเขาก็คุ้นชิน เขาก็อยากจะมีสติ เขาอยากมีสมาธิ เขาอยากมีความสุขที่มากขึ้นไป

เวลาคนเราภาวนา ดูสิถ้าจิตมันสงบได้ ขณิกสมาธิถ้าทำต่อเนื่องไปเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าทำต่อเนื่องขึ้นไปมันเป็นอัปปนาสมาธิ มันมีความลึกลับซับซ้อนมากกว่ากัน มันละเอียดลึกซึ้งมากกว่า เวลาละเอียดลึกซึ้งมากกว่า เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงมันตรงกับกิเลส เหมือนข้อเท็จจริง นี่สูตรฟิสิกส์อย่างไรมันให้ผลเป็นอย่างนั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรมมันให้ผลเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ให้ผลอย่างนั้นระดับมูลค่ามันมากหรือมันน้อย จริตนิสัยของคนมากหรือคนมันน้อย คนที่จิตใจมีอำนาจวาสนา เวลาจับมันชัดเจนขึ้นมา มันพิจารณาไปมันจะแยกแยะของมันไป เวลาคนเราอำนาจวาสนาเบาบาง สุกขวิปัสสโก พิจารณาไปแล้วมันปล่อยกิเลสไปเฉยๆ ดูสิเราไม่มีอภิญญา เวลาจิตใจของคนมันแตกต่างกันตรงนี้ แตกต่างตรงที่อำนาจวาสนาไง อริยสัจก็คืออริยสัจไง สติปัฏฐาน ๔ ก็คือสติปัฏฐาน ๔ ไง เวลาคนมีอำนาจวาสนาขนาดไหน ถ้ามันหยิบจับขึ้นมา มันมีอำนาจวาสนามันจะมหัศจรรย์ เขาเรียกขณะใหญ่

ดูสิเวลาขณะของหลวงตา เวลาท่านขาด เห็นไหม ท่านบอกโลกธาตุนี่หวั่นไหวไปหมดเลย อาจารย์สิงห์ทองบอกว่าท่านหายไปเฉยๆ หายไปตอนไหนก็ไม่รู้ หายไปอย่างนั้นแหละ แต่ท่านพูดเหตุผลท่านถูก นี่ไงขณะของคนไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกันไง ถ้าอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน การสร้างสมมาไม่เหมือนกันไง ถ้าไม่เหมือนกันมันอยู่ที่ไหน ก็การกระทำของจิตนี่ไง ถ้าจิตมันทำมามันก็ได้ผลของมัน

จิตของเรานี่แหละ เจตนาของเรานี่แหละ ความเจตนา ถ้าเจตนาที่มันดีๆ มันคิดแต่เรื่องดีๆ ดูสิคนคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องความเลวไม่ได้ ไอ้คนที่เป็นพาลชน มนุสสเปโต มนุสติรัจฉาโน มันคิดแต่เรื่องพาลๆ ทั้งนั้นแหละ แล้วคิดเรื่องพาลๆ แล้วเจ็บช้ำน้ำใจด้วย เกิดมาก็ไม่มีใครดูแล บวชพระมาแล้วอุปัชฌาย์ก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่มีใครสนใจเราเลย แล้วถ้าสนใจแล้วมันได้อะไรล่ะ สนใจแล้วมันก็ได้ช่วยเหลือกันแต่เรื่องภายนอกไง เรื่องในหัวใจคนจะช่วยเหลือได้มันต้องมีสติไง มันต้องมีสติ มีปัญญาค้นคว้าของเราขึ้นมาเองไง ใครจะช่วยเหลือได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้ทางเท่านั้น เราต่างหากเป็นคนขวนขวายขึ้นมา

ถ้าเราขวนขวายขึ้นมา ดูสิเรามีสติ มีปัญญาของเรา เราขวนขวายของเรา เรามีการกระทำของเราขึ้นมา นี่ไงภาวนาเป็นๆ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ ทำไมท่านหาแต่ที่สงัด ที่วิเวกล่ะ ทำไมท่านไม่หาที่คนมาคอยอุ้มชูท่านล่ะ หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาท่านออกธุดงค์ เห็นไหม หาบ้านน้อยๆ ๓ หลัง ๔ หลังก็พอ ถ้ามันมากกว่านั้นคือเขามากวน เขามาคุยธรรมะเขาก็มากวน เราแสวงหาเองบ้านน้อยๆ เพื่อให้มันจะได้สงบระงับ เวลาบิณฑบาตฉันแล้วเขาจะได้ไม่ต้องมากวนไง

นี่เราหาเอง เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องการความสงบความสงัด เขาต้องการเวลาใช่ไหม เขาก็แสวงหาอย่างนั้น แสวงหาบ้านน้อยๆ ๒ หลัง ๓ หลังก็พอที่เขาจะใส่บาตรเราได้ อาศัยชีวิตฝากไว้กับเขา ถ้าเขาใส่บาตรมา นี่ ๓ วัน ๔ วันก็บิณฑบาตฉันเสียทีหนึ่ง แล้วเวลาขึ้นมาเราก็ใช้ปัญญาของเราต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เพราะอะไร เพราะมันอดนอนผ่อนอาหาร

ดูสิเวลามันภาวนา เวลาพิจารณาอสุภะ น้ำป่ามันไหลมาเต็มที่ มันเป็นมหาสติ มหาปัญญา แล้วเวลามันเต็มที่ เวลาปัญญามันเต็มที่มันนอนไม่ได้นะ มันเหมือนกับคนหนีไฟไหม้ เหมือนคนที่เล่นไพ่แล้วตำรวจจับวิ่งหนีมามันนอนไม่ลงหรอก มันตื่นโพลงขนาดนั้น เวลามหาสติ มหาปัญญามันตื่นโพลงในใจมันตื่นโพลงเต็มที่เลย แล้วตื่นโพลงเต็มที่ แล้วพอตื่นโพลงเต็มที่มันพักไม่ได้ ร่างกายมันก็เหนื่อยล้า ทุกอย่างมันก็อยากจะพัก ถ้าอยากจะพักทำอย่างไร

นี่ถ้ามันไม่สมดุล มัชฌิมาปฏิปทามันไม่สมดุลของมัน ทำสิ่งใดขึ้นไปแล้วมันสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาปฏิบัติขึ้นไปมันก็ต้องเห็นตามความเป็นจริงขึ้นไปแบบนี้ ถ้าเป็นสติปัญญาขึ้นมามันก็มีพฤติกรรมอย่างนี้ มีอาการแบบนี้ กิจจญาณๆ กิจกรรมในหัวใจ ใจที่การกระทำมันเป็นแบบนี้ เวลายกขึ้นสู่มหาสติ มหาปัญญาขึ้นมา มันเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันเป็นปัญญาญาณ มันเป็นปัญญาที่ละเอียดขึ้น มันตื่นโพลง มันตื่นโพลง

ตื่นโพลง เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราอยากได้สมาธิ เราอยากได้คุณธรรม เวลาปฏิบัติขึ้นไปมันตื่นโพลงอย่างนั้นมันไปไหน นี่ไงเวลาอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค สุดโต่งทั้งสองทาง มันไม่สมดุลของมัน เวลาถ้ามันสมดุลของมันขึ้นมา มันต้องชักนำคนขึ้นมา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมสัจธรรมอันนี้

ถ้าสัจธรรมอันนี้ เวลาพิจารณาไปแล้ว เราพิจารณาปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางอย่างไรมันก็ชั่วคราวเป็นอนิจจังไง มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เวลาภาวนาได้มันของดีมากเลย เวลาอนิจจังผ่านไปแล้วมันทุกข์ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์นะถ้ามีสติปัญญาไตร่ตรองขึ้นมาแล้วมันเป็นอนัตตา เพราะความทุกข์ถึงกาลเวลามันก็เบาบางลง มันเป็นอนัตตามันอยู่ชั่วคราว มันไม่อยู่กับเราตลอดไป ความทุกข์นี้ไม่อยู่กับใจนี้ตลอดไป ความทุกข์มันไม่ข่มขี่ในใจตลอดไป มันไม่มีสิ่งใดเป็นอนิจจัง นี่มีแต่อัตตาเท่านั้นแหละ ถือตัวถือตนเป็นอนิจจัง เป็นอนิจจัง

เพราะการถือตัวถือตนมันตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวอวิชชา มันถือตัวถือตนมันตลอดไป แต่ไม่รู้ถือเรื่องอะไร จะถือเรื่องนั้น ถือเรื่องนี้ มีปัญหาไปหมดเลยเพราะมันถือตัวถือตนของมัน เพราะมันถือตัวถือตนของมันแล้วมันไปติดอะไรล่ะ มันไปชอบอะไรล่ะ มันไปยึดมั่นอะไรล่ะ นั่นล่ะอนิจจัง แล้วนี่เป็นอนิจจัง อนิจจังเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เวลาพิจารณาไปมันเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นมันมีสติ มีปัญญาไล่เข้ามา เวลามันเป็นมหาสติ มหาปัญญามันตื่นโพลงของมัน พอตื่นโพลงมามันก็สุดโต่งไปทางหนึ่ง

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน นี่มันไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนมันจะตายแล้วนะ นอนก็นอนไม่ได้ เวลานอนมันตื่นโพลง จิตมันตื่นโพลงอย่างนั้นมันนอนได้อย่างไร ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นว่านั่นล่ะสมบัติบ้า สมบัติบ้า สมบัติบ้าอย่างไรนี่ปัญญานะ นี่ภาวนามยปัญญานะ สมบัติบ้าได้อย่างไร นั่นล่ะสมบัติบ้า ถึงค้นหาวิธีการเบรกมันได้อย่างไร ก็กลับมาเบรกมันด้วยพุทโธไง ฝึกหัดพุทโธรั้งมันไว้ ดึงมันไว้ พอจะพุทโธมันพุ่งเข้าสู่งานเลย มันพุ่งเข้าสู่ความตื่นโพลงนั้น สว่างโพลงอันนั้น นี่มันเป็นความจริง คนปฏิบัติไปความจริงมันเป็นความจริง แล้วความจริงก็คือความจริง แล้วความจริงที่เกิดขึ้นมันมหัศจรรย์มาก

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมอันนี้ไง เวลาพิจารณาไปเวลามันขาด เห็นไหม อกุปปธรรม อกุปปธรรมคืออฐานะ คือคงที่ตายตัวอย่างนั้น แล้วคงที่ นี่กราบธรรมๆ กราบธรรมที่คงที่ตายตัว แล้วความคงที่ตายตัวจิตมีไหม ความคงที่ตายตัว ความคิดมีไหม ความคงที่ตายตัวสัจธรรมมันมีไหม นี่ความคงที่ตายตัว เห็นไหม กุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา เถียงกันปากเปียกปากแฉะ ธรรมะเป็นอนัตตา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา

นิพพานเป็นอนัตตาได้อย่างไร คุณธรรมเป็นอนัตตาได้อย่างไร ถ้าเป็นอนัตตามันก็แปรปรวนสิ แล้วมันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นสัจธรรมที่เป็นจริง แล้วเป็นจริงอย่างไร ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันเป็นจริงอย่างไร ถ้าเป็นจริง เป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอยู่นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ

นี่วันนี้วันพระ วันพระเราตั้งใจนะ เวลาเราอยู่ป่าอยู่เขา วันพระเนสัชชิก วันพระคือไม่นอน ปกติต่อสู้ตลอด วันธรรมดาเราก็ภาวนาอยู่แล้ว วันพระ วันโกนเราเต็มที่ของเรา เต็มที่คืออะไร ดูสิเวลาคนนับสตางค์ ใครนับสตางค์ได้เท่าไรให้เท่านั้น โอ้โฮ มันนับทั้งวันเลย มันจะเอาสตางค์ให้เยอะที่สุด เวลาให้พุทโธมันไม่เอา พุทโธนี่มันเหมือนนับสตางค์ ใครนับได้มากก็ได้ของเขาไป ภาวนาของเรานี่เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา แต่มันเป็นคุณธรรม มันเป็นความจริงในหัวใจ มันไม่ใช่สตางค์แบงก์กระดาษที่เรานับเอา สตางค์ที่แบงก์กระดาษที่นับเอา

นี่พูดถึงเปรียบเทียบ แต่ทางโลกเขาเขาต้องมีสัมมาอาชีวะ เขาต้องทำของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าเขาทำของเขาได้ แต่ถ้ามันทำของเรา ทำพอประมาณของเรา นั่นชีวิตทางโลกไง ถ้าชีวิตทางธรรมเราพยายามขวนขวายของเรา เราทำความจริงของเราขึ้นมานะ สิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมา ความจริงอันนี้มันจะเป็นของเรา ถ้าเป็นของเราแล้ว ดูสิเวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่า ภิกษุองค์หนึ่งเวลาโลกธาตุมันหวั่นไหว กราบแล้วกราบเล่า

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกว่าท่านไม่ได้กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนนอนไม่ได้ จะทำสิ่งใดท่านระลึกถึงตลอดเวลา คำว่าระลึกถึงตลอดเวลา สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยท่านค้นคว้ามาขนาดไหน คือจะบอกว่าของสิ่งนี้หามาได้ยาก แล้วหามาได้แล้วเป็นของที่มีคุณค่ามาก จนชาวพุทธเรากราบไหว้บูชา

กราบไหว้บูชามันก็เหมือนกับของนี้สูงส่งจนเราสุดเอื้อมสุดความสามารถของเรา แต่ความจริงมันก็อยู่ในใจเรานี่แหละ มันพลิกจากอวิชชาเป็นวิชชา มันพลิกจากกิเลสมาเป็นธรรม มันพลิกกลางหัวใจแต่มันพลิกอย่างไรเท่านั้นแหละ มันพลิกหัวใจเราทำอย่างไร เวลาทำไปแล้ว ภวาสวะ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพทั้งหมด ทำลายไปแล้วมันพลิกขึ้นมาเป็นคุณธรรมในใจ แล้วถ้าเป็นคุณธรรมในใจ เห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาขนาดไหน แล้วครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาขนาดไหน

ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านเคารพสุดหัวใจ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วผู้ที่ประเสริฐเลอเลิศขนาดนั้น แล้วท่านค้นคว้ามาขนาดนั้น นี่วางสิ่งนี้ไว้ไง ขนาดวางสิ่งนี้ไว้มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรามันมีอยู่แล้วเรายังจับพลัดจับผลู แฉลบไปเรื่อย แฉลบไปเรื่อย

กิเลสนี่มันตัวร้าย กิเลสมันทำให้แฉลบออกเท่านั้นแหละ เวลาแฉลบออกไปแล้ว เออ อันนี้พอถูกใจกิเลสมันไปแล้ว ไปตามกิเลสเลย แล้วจะชักกลับมาคุณธรรม กว่าจะชักกลับมาได้เกือบเป็นเกือบตาย เวลาชักกลับมาได้ เพราะคุณธรรมมันเหนือโลก เหนือการคาดหมาย เหนือการจินตนาการ เหนือการนึกคิดของทุกๆ คน แต่ถ้ามันเป็นทางโลก ตรรกะ นึกได้ พูดได้ จินตนาการได้ ว่างได้ สุขได้แต่เงา ไม่จริง แต่ถ้าเหนือโลกชักมาทางโลก เห็นไหม แล้วชักมาเป็นความจริงทำอย่างไร

นี่แสวงหาอย่างนี้ แล้วมาแสวงหาอย่างนี้มันเสียดายไง มันเสียดายที่ว่า หลวงตาท่านพูดนะ สิ่งที่เราสัมผัสธรรมได้คือความรู้สึก คือใจของมนุษย์ แล้วเรามีหัวใจทุกคน นี่เวลาเราพูดถึงสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคทุกคนมีสิทธิ์หมด หัวใจเรามีใช่ไหม สิ่งความรู้สึกอันนี้มันสัมผัสได้ ถ้ามันสัมผัสได้ทำไมเราไม่ขวนขวาย ทำไมเราไม่ทำ แต่ถ้าทางโลกมันก็ได้ผลประโยชน์ทางโลก นี่บุญกุศลเป็นอามิส เวลาอย่างนี้ทำนี่เห็นชัดเจน แต่เวลานั่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธเราไม่เห็น

เวลาปัญญามันหมุนขึ้นไป นี่เวลามรรคมันเคลื่อน ธรรมจักรมันหมุน มันหมุนในหัวใจ มันหมุนเป็นมรรค นี่มันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้มันเกิดได้จริง มันทำลายได้จริงมันถึงเป็นสัจจะความจริง แล้วเรามีสิทธิ์ไหม เรามีสิทธิ์เพราะเรามีหัวใจ เรามีความรู้สึกนึกคิด เรามีความทุกข์ในหัวใจไง ถ้ามันทำศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นมา กิจจญาณ สัจจญาณ ไม่มีวงรอบ ๑๒ ไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้อย่างนั้น

แล้วของเรานี่เราทำจริงจิตใจไปสัมผัส สัมผัสความจริงอย่างนั้น พระไตรปิฎกมันเป็นทฤษฎี มันเป็นการศึกษาเล่าเรียนมา มันจำมาทั้งนั้นแหละ ความจำไม่ใช่ความจริง จำมาเดี๋ยวก็ทดสอบ ทบทวนอยู่อย่างนั้นแหละกลัวมันลืม แต่ถ้าเป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมาหนเดียวไม่ลืม ไม่ลืม เพียงแต่ว่ามันจะก้าวเดินข้างหน้าไปได้หรือไม่ มันจะพัฒนาขึ้นได้หรือไม่ ถ้ามันพัฒนาได้ขึ้นมาแล้ว นี่จิตเจริญแล้วเสื่อม มันไม่เคยเจริญเอาอะไรมาเสื่อม ถ้ามันเจริญแล้วมันเสื่อม เสื่อมแล้วเราก็ขวนขวายขึ้นไปเพราะเราเคยทำได้ เราเคยทำได้ เราเคยเห็นแล้วมันเป็นความจริงของเรา

วันพระ พระคือผู้ประเสริฐ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติขึ้นมา พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่ผู้รู้รู้เรื่องอะไร รู้เรื่องโลกก็ได้เรื่องโลก รู้เรื่องธรรมก็ได้เรื่องธรรม นี่เราขวนขวายทำที่นี่ไง ถ้ามีอำนาจวาสนานะ มันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะขวนขวายของมัน มันทำเพื่อประโยชน์ของมันนะ ถ้าไม่มีวาสนามันน้อยเนื้อต่ำใจไปทั้งวัน บวชเป็นพระแล้วก็ไม่มีใครดูแล เกิดมาเป็นมนุษย์สังคมก็รังแก มันพูดไปทั้งวัน

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ได้รังแก ท่านหลีกเร้นเอง ท่านเข้าป่าเข้าเขาไปเอง ท่านไปอยู่ในที่สงบสงัดเอง ไม่ได้ไปอยู่แบบคนจนตรอก ไม่ใช่อยู่แบบสัตว์ในป่า ไปอยู่แบบผู้ที่ปัญญาชน ไปอยู่โดยผู้ไม่มีปัญญา ไปเลือกเอาสถานที่สงัดวิเวก ไปเลือกเอาสถานที่กิเลสมันไม่ชอบ ไปอยู่ที่เปล่าเปลี่ยว ไอ้ที่เสียวสันหลังให้จิตมันตื่นตัว ไม่ให้กิเลสมันครอบงำไง อยู่กับสังคม อยู่กับหมู่คณะ นู่นก็ได้ นี่ก็ได้ นู่นก็สบายใจ อบอุ่น อู๋ย นอนก็สะดวก กินก็สบาย อู๋ย ภาวนาก็สุดยอด ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ขี้โม้ แต่ครูบาอาจารย์ท่านเลือกของท่านเอง อยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านแสวงหาที่สงบสงัดของท่าน แสวงหาทำไมล่ะ

นี่ไงสิ่งที่มีคุณค่า จิตใจมีคุณค่ามันเลือกของมันนะ มันเลือกของมันเพื่อประโยชน์กับมัน แต่ถ้าจิตใจไม่มีคุณค่า นี่มันตัดทอนตัวเองตลอด แล้วตัวเองก็ล้มลุกคลุกคลานตลอด ฉะนั้น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเราสร้างสมที่นี่ ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาจิตใจของเรามันจะมีคุณธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะมีคุณธรรมในหัวใจดวงนี้ เอวัง

Ѐ