กิเลสพาหลง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “กราบพระ แก้จิตแก้ยาก แต่ครูบาอาจารย์แก้ได้”
ลูกศิษย์ขอกราบครูบาอาจารย์อย่างยิ่งที่ได้กรุณาเมตตาธรรมกับเด็กน้อยลูกไม่รู้เลยว่ามันเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เจอมันบ่อยๆ ก็ไม่รู้จักมัน นึกเอาเองว่าคงเป็นสภาวะอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่กว่าจะเจอมัน เราก็ต้องทําสมาธิจนสงบระดับหนึ่งด้วย มันถึงได้เจอ มันมาแปลก มาแล้วให้ติดให้หลงมันด้วย แต่ที่สงสัยเพราะทําไมมันไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามหลักอนิจจัง จึงเขียนมาถามหลวงพ่อว่ามันติดอะไร
ถ้าไม่เจอครูบาอาจารย์แก้จิตให้ คงไม่มีทางรู้ตัว และคงติดไปจนตายก็ได้พออาจารย์แก้ให้โดยบอกลูกว่า ต้องกลับมาที่เรากําหนด และรู้ว่ามันคือกิเลสอย่าไปอยู่กับมัน มันหนีไปเลย แปลกมากๆ จริงๆ
ลูกรู้แล้วที่ครูบาอาจารย์บอกว่าติด มันหมายถึงอะไร ที่เขียนมาก็อยากจะกราบเท้าหลวงพ่อมาก จึงกราบมาทางนี้ค่ะ
ตอบ : ไอ้นี่ที่เขียนครั้งที่แล้วที่ว่าแก้จิตไง แก้จิตแก้ยาก แก้จิตแก้ยาก เวลาแก้จิต เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกเลยนะ “จิตนี้แก้ยากนะ ให้พระปฏิบัติมา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ถ้าผู้เฒ่าไม่อยู่แล้วแก้ยากนะ”
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาเขียนมาถามครั้งที่แล้ว ที่บอกว่ามันเป็นก้อนที่เขาไปเจอมันน่ะ
คุยกันมานานเนกาเลนะ แต่เวลาคุยกันแล้วมันก็สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นดวงดาว คนหนึ่งเห็นโคลนตน คนที่เขามองสูงขึ้น เขาก็เห็นดวงดาว สองคนยลตามช่อง ช่องเดียวกัน แต่คนหนึ่งมองก้มลง เห็นแต่โคลนตม คนหนึ่งมองขึ้นเห็นแต่ดวงดาว
นี่ก็เหมือนกัน คุยกันมาเป็นปี คุยกันมาอย่างนั้นน่ะ ก็บอกว่ามันติดๆ
ไม่เข้าใจ จะเรียกร้องเอาคุณธรรม ครั้งที่แล้ว เห็นไหม ใส่ไปเต็มที่เลย
นี่รู้แล้วค่ะ พอรู้แล้วมันหายไปเลย ไอ้ก้อนๆ หายไปแล้ว ไอ้กําแพงที่ขวางหน้าไม่มีเลย แต่เมื่อก่อนนั้นทําไมมันมีล่ะ มันมีเพราะอะไร เพราะกิเลสมันหลอกไง กิเลสมันพาหลง กิเลสมันหลอกว่านี่เป็นธรรม เวลาเข้าไป ว่างหมดเลย สว่างหมดเลย
อุปกิเลส ๑๖ ความว่าง โอภาส แสงสว่าง ความสว่างไสว อุปกิเลสไง กิเลสอันละเอียด กิเลสทั้งนั้น แต่คนมันไม่เคยภาวนา พอเข้าไป ไปเห็นความสว่าง ไปเห็นแสง ไปเห็นอะไร ตื่นเต้นๆ พอตื่นเต้นแล้ว พอตื่นเต้น ทําไมถึงตื่นเต้นล่ะ ตื่นเต้นเพราะคิดว่ามันดี คิดว่า คําว่า “คิดว่ามันดี คิดว่ามันเป็นธรรม” เพราะหลงไงเข้าใจว่ามันดี เข้าใจว่ามันเป็นคุณธรรม เสร็จแล้วก็ไปติดอยู่นั่นน่ะ แล้วไปไหนไม่รอด แล้วพอเราติดใช่ไหม เราติดแสงสว่าง ก็ใสอยู่อย่างนั้นน่ะ ก็มาหลอกให้ติด
แต่พอบอกว่ามันติด มันเป็นกิเลส มันไม่ใช่คุณธรรม
แปลกเจ้าค่ะ พอรู้ตัวว่ามันไม่ใช่ มันก็แปลกจริงๆ นะ มันหายไปเลย
อ้าว! แล้วติดอยู่เป็นปีๆ ไอ้กําแพงนี่ มันติดอยู่เป็นปีๆ นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ภาวนา บางองค์ติด ๒ ปี บางองค์ติด ๓ ปี บางองค์ไม่ติดเลย เห็นไหมเวลาไปติด มันเข้าใจว่าเป็นธรรม เข้าใจว่าคุณธรรมเป็นแบบนี้ “อ๋อ! นิพพานมันเป็นอย่างนี้เอง มันว่างหมดเลย มันเป็นอย่างนี้เอง”...ติดอยู่นั่นน่ะ
แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่ไปแก้ไขนะ กิเลสมันจะสวมรอย “เหมือนกัน อันเดียวกัน เหมือนกันหมดเลย นิพพานเป็นอย่างนี้ ของครูบาอาจารย์เป็นอย่างนี้ของเราก็เป็นอย่างนี้ อันเดียวกันเลย”...ติด
ฉะนั้น เวลาติดแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านจะมีวิธีการอย่างใด เวลาจะบอกอย่างใด ใช้อุบายให้เขาเข้าใจได้ ถ้าเขาเข้าใจได้ เขามีปัญญา เขาจะรู้ว่าเขาติด ถ้ารู้ว่าเขาติดนะ สิ่งที่ว่าติด ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอก เวลาจิตท่านสงบ ท่านพิจารณาอสุภะผ่านไปแล้ว จิตมันว่างหมดเลย มองไปนี่ทะลุภูเขาเลากาไปทั้งนั้นน่ะ แล้วท่านก็สําคัญ โอ๋ย! จิตของเราทําไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ จิตของเราทําไมมันลึกลับซับซ้อนขนาดนี้ มันเห็นแล้วมันทึ่งไปหมดเลย ท่านบอกว่าท่านหลงอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น เพราะหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว มันมีคุณธรรมมาบอกนะ ไอ้ที่ว่าสว่างไสวมันเกิดจากอะไร เกิดจากจุดและต่อม
ทั้งๆ ที่ธรรมะเตือนแล้ว ธรรมะเทศน์สอนแล้ว สอนว่านั่นน่ะเกิดจากจุดและต่อม จุดและต่อมคืออวิชชา ก็ยังจุดและต่อมมันคืออะไร ก็ยังงงนะ จุดและต่อมมันคืออะไร ท่านพูดเองว่า ถ้าหลวงปู่มั่นยังอยู่นะ ถ้าท่านเอาจุดและต่อมไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็จะบอกเลยว่า จุดและต่อมมันเป็นภวาสวะ เป็นภพ เป็นจิตเดิมแท้แล้วถ้าจะมีอุบายในการที่จะเข้าไปหามัน มันต้องทวนกระแสกลับ
ทีนี้หลวงปู่มั่นไม่อยู่ พอธรรมะเทศน์ให้ฟัง ท่านก็แบกคุณธรรมอันนั้นไปอีก ๘เดือน ค้นคว้าแสวงหา พยายามการกระทํา จนถึงที่สุดมันย้อนกลับมาจนไปเป็นโรคเสียดอก เขาตายวันละ ๗ ศพ ๘ ศพ มันยิ่งไปเห็นแล้วมันยิ่งสังเวช มันยิ่งสังเวช แล้วตัวเองก็ติด แล้วตัวเองก็ยังมาเป็นโรคซํ้าเข้าไปอีก ทีนี้เดินจงกรมทั้งคืน ธรรมโอสถรักษาโรคนั้นหาย หายแล้วย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมา มันถึงจะมาจับสิ่งนั้นได้
เวลาครูบาอาจารย์ท่านติดแต่ละขั้นแต่ละตอนทุกขั้น ขั้นที่ ๑ ก็ติด ขั้นที่ ๒ ก็ติด ขั้นที่ ๓ ก็ติด ขั้นที่ ๔ ก็ติด ติดหมด เพราะอะไร เพราะกิเลสมันพลิกแพลงไม่มีขั้นไหนไม่ติดหรอก ติดมาก ติดน้อย ติดแน่นอน ถ้าไม่ติดก็ขิปปาภิญญาปฏิบัติทีเดียว พระอรหันต์เลย แล้วมีด้วย คนที่สร้างบุญญาธิการอย่างนั้นก็มี แต่พวกเรานี่ติดทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านสร้างบุญญาธิการมาขนาดไหน ดูสิ อย่างเช่นหลวงตา หลวงปู่คําดีท่านเป็นคนพูด เราไปอ่านประวัติหลวงปู่คําดี หลวงปู่คําดีท่านพูดเลยว่าพระมหาบัวเป็นปฏิสัมภิทาญาณ
ครูบาอาจารย์เวลาท่านได้รับการแก้ไข ท่านได้การสนทนาธรรม ท่านรู้ว่าองค์ไหนมีคุณธรรมอย่างใด องค์ไหนมีคุณสมบัติเป็นประเภทใด ท่านรู้เลย แล้วถ้ารู้แล้วมันก็เป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านคุยกัน ท่านรู้กันอยู่ภายใน แต่คนข้างนอกรู้ไม่ได้ รู้ไม่ได้เพราะอะไร รู้ไม่ได้เพราะไปศึกษาพระไตรปิฎกไว้เยอะ
พอศึกษาพระไตรปิฎกไว้เยอะปั๊บ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์แล้วต้องแบบพระพุทธเจ้าเลย นอนต้องสีหไสยาสน์ พูดจาต้องนิ่มนวล ถ้าพระหัวเราะนี่ถือว่าพระร้องไห้ พระจะไม่มีการหัวเราะ จะเหมือนตุ๊กตา เหมือนพระพุทธรูปนั่งเฉยอย่างนี้ นิ่งๆ อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าขยับนี่ไม่ใช่ เพราะอะไร เพราะเราไปอ่านพระไตรปิฎกแล้วเราก็คิดของเราไปเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเป็นความจริง ครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกัน ท่านรู้กันว่าใครมีคุณสมบัติมากน้อยแค่ไหน มันจะเป็นความจริงอย่างนั้น
ฉะนั้น สิ่งที่เขียนมานี่ เพราะว่าตอนที่มันติด มันก็ติด แล้วไม่ใช่ติดธรรมดานะ เพราะคุยกับเรามาเยอะ ทั้งคุยโดยส่วนตัว พอคุยโดยส่วนตัว มันไม่มีทางออก คือว่ามันโต้แย้งไม่ได้ ก็เขียนมาทางเว็บไซต์ เพราะอะไร เพราะมันไม่ได้ซักไง มันเขียนมาข้างเดียวใช่ไหม ก็เขียนมาข้างเดียวว่าฉันถูกๆ ไง เขียนมาทางเว็บไซต์
ครั้งที่แล้วก็อย่างที่ว่า เห็นว่ามันสมควรแล้ว ถึงได้เต็มที่ไป พอเต็มที่ไป เห็นไหม พอรู้ตัวปั๊บ ไอ้กําแพงนั้นหายหมดเลย ตอนนี้เข้าใจแล้ว รู้แล้วว่าติด
พอรู้แล้วว่าติด เพราะรู้แล้ว มันถึงได้ปล่อย ถ้าไม่รู้ มันก็สําคัญว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม แล้วก็จะเอาสีข้างเข้าถูอย่างนั้นน่ะ ว่าของฉันใช่ ของฉันถูก เหมือนกันเหมือนกันทุกอย่าง ท่านพูดอะไรกับเรานี่เหมือนกัน
มันคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน เหมือนกันไม่ได้ ถ้าเหมือนกันมันต้องรู้จริงเหมือนกัน หรือเหมือนกันคือคุณธรรมเท่ากัน คุณธรรมเท่ากันจะรู้เลยว่าคุณธรรมระดับนี้คืออะไร เวลาแสดงออกจะรู้ทันทีเลย แต่ถ้ามันคล้ายกันคือไม่รู้ ถ้าไม่รู้ เราก็คิดว่าของเราถูก ถ้าของเราถูก มันไม่ใช่
ฉะนั้น สิ่งที่เขาถามที่ว่า “ที่ได้กรุณาเมตตาธรรมเด็กน้อย ลูกไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง”
เป็นกิเลสหมด ไม่ใช่กิเลสชนิดหนึ่ง เห็นไหม อุทธัจจกุกกุจจะ นิวรณธรรมใช่ไหม เวลาขึ้นไป รูปราคา อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
อุทธัจจกุกกุจจะเป็นนิวรณธรรม ๕ เวลาอุทธัจจะข้างบน ไอ้นั่นกลายเป็นเพลิดเพลินในธรรม มันเป็นคนละขั้นเลย มันเป็นคนละชนิดกันเลย กิเลสคนละชนิดกันเลย
เวลาชื่อของมัน วิญญาณๆ วิญญาณในอะไร วิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท วิญญาณในอะไร วิญญาณหยาบ วิญญาณละเอียด วิญญาณมันมีขั้นไหน คนไม่ภาวนาไม่รู้เรื่องอย่างนี้หรอก
วิญญาณก็คือวิญญาณ ก็เขียนเหมือนกัน อักษรเดียวกัน เหมือนกัน แต่มันคนละชั้นกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน แล้วไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่อันเดียวกันอย่างไรมันไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาท่านถึงรู้ของท่าน
ฉะนั้นถึงบอกว่า “เพราะว่าไม่รู้นั้นเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่รู้เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง” วันนี้สารภาพหมดเลย “เพราะไม่รู้คือกิเลสชนิดหนึ่ง แต่เมื่อก่อนนั้นพอคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม” แต่เราก็พยายามจะเบี่ยงเบนว่ามันไม่ใช่
“นั่นก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เพราะว่ากว่าจะเจอมันได้” เขาบอก “ต้องทําความสงบเข้าไปถึงจะเจอมันได้ ก็เลยคิดว่ามันเป็นธรรม มันคงสภาวะไว้อย่างนั้น แต่มันก็แปลกใจว่าทําไมมันถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
ก็มันหลอกไง นี่เวลามันหลอก มันหลอก มันสร้างสถานะอย่างใดขึ้นมาว่ามันเป็นจริงๆ แต่พอมันรู้เท่า พอรู้จริง มันก็ปล่อย เหมือนกับเชื้อโรค เราว่าเชื้อโรคใครจะไปอยู่กับเชื้อโรค แต่เราไม่เข้าใจว่าเป็นเชื้อโรคไง เราไม่เข้าใจว่าเป็นเชื้อโรค เราคิดว่าเป็นของดี เราก็ไปอยู่กับมันไง แล้วเราเอามาแนบไว้กับใจ แต่พอรู้มันสลัดทิ้ง พอสลัดทิ้งก็จบ พอมันจบแล้ว มันก็ต้องทําความสงบเข้ามา แล้วย้อนกลับไปจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมนั่นแหละ สติปัฏฐาน ๔ เพราะกิเลสมันก็อาศัยสติปัฏฐาน ๔ เป็นทางออก ก็กลับไปจับตรงนั้น ถ้าจับตรงนั้นได้ มันก็พิจารณาต่อเนื่องไป มันก็เจริญก้าวหน้าไป ถ้ามันก้าวหน้าไป เห็นไหม นี่การแก้จิต เวลาว่าแก้จิตว่าแก้ยากนะ
บอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่แก้ให้ เขาพูดเองว่า คงจะไม่มีทางรู้ตัว แล้วคิดว่าคงจะติดไปจนตาย
นี่เขาพูดเอง คนเวลามันสํานึกผิด เห็นไหม “ถ้าหลวงพ่อไม่พูดให้รู้ตัว มันคงติดไปจนตาย”
ถ้าติดไปจนตาย มันก็ว่าสถานะไอ้กําแพงนี่เป็นคุณธรรม มันเหมือนศาสนาคริสต์ กําแพงร้องไห้ ไปเขียนกระดาษแล้วยัดไปนั่นน่ะ คงจะเป็นกําแพงอย่างนั้นน่ะ ไอ้นั่นกําแพงยังเห็นเป็นกําแพงนะ ไอ้นี่กําแพงในใจ อวิชชาทั้งนั้น
“ถ้าหลวงพ่อไม่แก้ให้ คงไม่รู้ตัว แล้วคงติดไปจนตาย”
แต่นี่พอตัวรู้แล้ว ที่รู้ตัวแล้วเขาถึงเขียนมา “กราบอาจารย์แก้ให้ลูกกลับมากําหนด พอรู้ว่ามันคือกิเลส อย่าไปอยู่กับมัน มันหนีไปเลย มันแปลกมากๆ”
ไม่แปลกเลย เพราะครั้งที่แล้วแก้จิต เราก็บอกแล้ว ไม่แปลกเลย ไม่มีความลึกลับมหัศจรรย์เลย พื้นๆ ยังไม่ได้ทําอะไรเลย เพียงแต่ทําสมาธิแล้วไปเจอแค่นั้นเอง ยังไม่มีอะไรเลย
แต่เขาบอกว่า โอ้โฮ! มันแปลกมากๆ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มากๆ
ครั้งที่แล้วเราบอกเลย ยังไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เริ่มต้นปฏิบัติ ดูสิ นี่ขนาดว่ายังไม่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาเลย แค่เข้าไปติด แต่ตัวเองคิดว่ามันเป็นธรรมๆ ไง แต่ถ้ามันเข้าใจแล้วก็คือจบ คือจบไง
นี่เราบอกว่า แก้จิตมันแก้ยาก แต่แก้ยาก มันต้องคนรู้ถึงจะแก้ แล้วคนรู้มันรู้ระดับไหน ดูสิ เวลาพิจารณาไป รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเป็นบ่วงของมารมันก็รัดคอ รัดคอ มันก็สําคัญตนผิดไง ถ้าเป็นพวงดอกไม้มันก็บูชาทําให้ลุ่มหลง ลุ่มหลงทั้งนั้นน่ะ
นี่มันยังไม่เข้านะ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมารฉะนั้น ถ้าเราพิจารณาไป ถ้าปัญญาอบรมสมาธิพิจารณา รูป รส กลิ่น เสียง มันก็สักแต่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม รูปอันวิจิตรมันไม่ใช่กิเลส ความยึดมั่นถือมั่น ความชอบใจ ความพอใจ ความไปติดพันมันคือกิเลส ถ้าพอมันรู้เท่าปั๊บ มันก็ปล่อย พอปล่อย รูป รส กลิ่น เสียง มันก็เก้อๆ เขินๆ มันเข้ามา นี่กัลยาณปุถุชนนี่คือกัลยาณปุถุชน บุคคล ๔ คู่เลย บุคคล ๔ คู่
จะขึ้นเป็นบุคคล ๔ คู่ได้ ปุถุชนคนหนาจะขึ้นเป็นบุคคลที่ ๑ ไม่ได้ ถ้าบุคคลที่๑ ได้ มันต้องทําความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าจับต้องได้ตามความเป็นจริง มันเป็นบุคคลที่ ๑ ถ้าพิจารณาถึงที่สุดเวลามันปล่อยวางๆ บุคคลที่ ๑ กําลังทํางานอยู่ มันมีสัจจะ มีการกระทําเกิดขึ้น เวลาพิจารณาซํ้าๆๆ ไป ถึงเวลามันขาด นี่บุคคลคู่ที่ ๒
บุคคลคู่ที่ ๑ เป็นบุคคลคู่ที่ ๑ สมบูรณ์ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ยกขึ้นสู่บุคคลที่ ๒ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ แล้วคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ มันทําอย่างไร มันมีการกระทําอย่างไร ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านเข้าใจหมด ฉะนั้น สิ่งที่มันเป็นจริง มันยังโอ้โฮ! อุปสรรคเยอะมาก
แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านยังพูดเลยบอกว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากิเลสของคน กิเลสของคนเพราะอะไร เพราะทุกคนรักตัวเอง ทุกคนปรารถนาอยากได้มรรคได้ผลทั้งนั้นเลย แล้วปฏิบัติไปก็ตัวเองติดหมดเลย ติดอะไร ติดที่กิเลสมันสร้างภาพขึ้นมาให้ มันสร้างภาพขึ้นมาให้เลย แล้วเราก็เข้าใจว่ามันเป็นจริง เราเข้าใจว่า ว่างหมด รู้หมด ยิ่งมีการศึกษามากยิ่งสร้างภาพได้วิจิตรพิสดารมาก ยิ่งมีความรู้มาก กิเลสมันยิ่งมหัศจรรย์มาก ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งหลอกมาก
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงบอกกับหลวงตาใช่ไหม “มหา มหาเรียนมานะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก เทิดใส่ศีรษะไว้ เคารพบูชานะ เทิดใส่ศีรษะไว้ แล้วใส่ในลิ้นชักในสมอง แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา อย่าให้มันสร้างภาพ อย่าให้มันหลอกลวง แล้วปฏิบัติไป พอเป็นความจริงแล้ว อันนั้นจะมายืนยันเลยว่าความถูกต้องจะเป็นอย่างนี้”
แต่ถ้าอันนั้นยังไม่มายืนยัน เห็นไหม “เหมือนกัน” เพราะมันรู้โจทย์หมด มันสร้างภาพได้หมด จินตมยปัญญาแก้กิเลสไม่ได้ แก้กิเลสไม่ได้แล้วยังทําให้เราเสียโอกาสด้วย ทําให้เราปฏิบัติแล้วไม่ได้สัจจะความจริงด้วย
ถ้าได้สัจจะความจริงนะ ถ้ามันเป็นสมาธิคือเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิ ไอ้ที่ว่าเป็นกําแพงที่เป็นสิ่งที่กีดขวางไม่มี เพราะสมาธิเป็นหนึ่ง ไอ้นี่เข้าไปลูบๆ คลําๆอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เวลาพิจารณาไป อสุภะมันทิ้งหมดแล้ว อยู่ในเรือนว่าง แต่เราไปขวางอยู่ในเรือนว่างนั้น นี่ว่างหมดเลย แต่เราเป็นผู้รู้ว่าว่าง เราเข้าไปอยู่ในเรือนว่างนั้น มันเลยไม่ว่างจริง เพราะมีเรายืนอยู่กลางในที่ว่างนั้น เรายืนอยู่กลางที่ว่างนั้น เราไม่ได้ถอยออกมา ถ้าเราถอยออกมาแล้วมันถึงจะว่างจริง แต่เราถอยออกมา มันว่างจริง มันก็ว่างในตัวมันเอง ใครไปรู้ว่ามันว่าง แต่พอมีเรา เราถึงรู้ว่ามันว่าง ไอ้ว่างก็เลยขวางไว้ไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นสมาธิเป็นหนึ่งเดียว มันไม่มีกําแพง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันมีสติสมบูรณ์ รู้พร้อมหมดเลย แล้วเรารําพึงไปเห็นกาย โอ๋ย! มันสั่นไหวหัวใจแล้วมันสั่นไหวหัวใจ มันยังเข้าใจ อ๋อ! ไอ้ที่รู้เมื่อก่อนนั้นมันรู้หลอกๆ นี่นะ มันไม่ใช่รู้อย่างนี้ ถ้าเข้าไปรู้นะ
ถ้ายังไม่รู้นะ “แหม! พิจารณากาย เห็นกายเหมือนกัน โอ๋ย! เจอกาย”...สร้างภาพทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริงหรอก เพราะความจริงมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันจะเป็นความจริง
ฉะนั้น พอเข้าใจได้มันก็จบ เพราะเขาเข้าใจได้ เข้าใจได้ “ลูกรู้แล้วที่อาจารย์บอกว่าติดหมายถึงอะไร”
ถ้ารู้ว่าติด มันติดหมด นี่แค่ทําสมาธินะ เวลายกขึ้นสู่ปัญญานะ มันจะลึกลับกว่านี้ แล้วเวลาพิจารณาไปแล้ว เพราะอะไร เพราะพิจารณาแล้วมันมีเหตุมีผล พอมีเหตุมีผลขึ้นมา โอ้โฮ! มันว่างหมด มันปล่อยหมด มันปล่อยขนาดไหน มันเป็นตทังคปหาน เพราะว่ามันไม่ยถาภูตัง ไม่เกิดญาณทัสสนะ ไม่เกิดความจริง มันเกิดแต่จินตนาการน่ะ โอ้ๆๆ ไปเรื่อย แต่มันไม่เกิดยถาภูตัง คือไม่ได้ฆ่ากิเลสต่อหน้าเกิดญาณทัสสนะว่ากิเลสตายแล้ว
พิจารณากาย เวลามันปล่อย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันปล่อยแล้วมันเหลืออะไร เห็นไหม เรายํ้าตลอดว่ามันเหลืออะไร ยํ้าคํานี้ไว้ให้คนปฏิบัติมันได้เฉลียวใจไง
เดี๋ยวมันก็บอกว่า “ก็ปล่อยเหมือนกัน อ้าว! ก็ปล่อย”
เมื่อกี้นี้พวกแม่ครัวเขาล้างจานเสร็จเขาก็ปล่อยเหมือนกัน เขาล้างจานเสร็จแล้วเขาก็ทิ้งจานไว้นั่นน่ะ แล้วเขาก็ปล่อยมานั่งอยู่นี่ เขาก็ปล่อยเหมือนกัน เขาปล่อยการล้างจานไง แล้วมันได้อะไรล่ะ ก็ล้างจานเสร็จแล้วไง ล้างถ้วยล้างจานเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้นั่น ใครเอาจานมาด้วย ไม่มีใครเอาจานมาด้วยสักคน จานทิ้งไว้นั่น ปล่อยอย่างนี้หรือ เวลามันปล่อย มันปล่อยอย่างไร เวลามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างไร นี่คนทําความจริงแล้วมันถึงจะรู้ตามความเป็นจริง
นี่พูดถึงว่า รู้แล้วว่าติด กิเลสมันพาให้หลง มันหลงไปอย่างนั้นน่ะ พอรู้แล้วว่าติด รู้จริงเข้าไป จบหมดเลย พอจบหมดเลยนะ จบหมดเลยหมายความว่าเรารู้เท่า แต่สมาธิอยู่ไหน แต่เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนามันต้องเดินก้าวหน้าไป มันถึงจะเป็นความจริงขึ้นไป
แล้วถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว นั่นแหละ ในวงกรรมฐาน ในวงปฏิบัติเขาทํากันอย่างนั้น ถ้าทําอย่างนั้นแล้วมันจะเป็นความจริงขึ้นมาเป็นความจริง
ไม่อย่างนั้นเราผิวเผิน เราอยู่ด้วยกัน แต่เราไม่รู้สัจจะความจริงเหมือนกัน อยู่ด้วยกัน แต่ใจไม่เหมือนกัน แต่พอมันเหมือนกัน โอ้โฮ! ไม่ต้องพูด แค่สบตามันก็รู้หมด รู้หมด ถ้ามันรู้จริงนะ ถ้ารู้ไม่จริงเป็นแบบนั้น
ถาม : เรื่อง “ความเป็นไปของจิต”
กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมปฏิบัติภาวนาเป็นประจํา แม้ในขณะทํางานก็ภาวนา ประมาณ ๒-๓ อาทิตย์มานี้ กระผมภาวนาแล้วรู้สึกว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา ไม่ควรยึดติด เป็นที่สะสมของกิเลส รู้สึกเบื่อหน่าย อะไรที่มากระทบจิตทําให้สุขก็เบื่อ ทําให้เกิดทุกข์ก็เบื่อ อยากจะละทิ้งจิต ที่ผมรู้สึกเช่นนี้ ผมใกล้จะบ้าหรือเปล่าครับ ผมถูกกิเลสหลอกหรือเปล่าครับ ผมเบาปัญญาจริงๆ ครับ ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วยครับ
ตอบ : ฉะนั้นพูดถึงว่าผมปฏิบัติใช่ไหม เขาถามว่า “ความเป็นไปของจิตกระผมปฏิบัติภาวนาเป็นประจํา แม้ในการทํางานก็ภาวนา มาประมาณ ๒-๓อาทิตย์นี้ กระผมภาวนาแล้วรู้สึกว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ควรยึดติดสิ่งใด เป็นที่สะสมของกิเลส สุขก็เบื่อ ทุกข์ก็เบื่อ ทุกอย่างเบื่อหมดเลย อย่างนี้ผมเบาปัญญาหรือเปล่า ผมบ้าไปหรือเปล่า”
เวลาปฏิบัติไปนะ ที่ว่า รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เราพิจารณาเริ่มต้น ปุถุชนหรือคนภาวนาทุกคนจะเริ่มต้นจากตรงนี้ ถ้าเริ่มจากตรงนี้ เวลาภาวนาไป คนภาวนาบ่อยครั้งเข้าๆ เพื่อจิตมันมีจุดยืนของมันถ้าจิตมีจุดยืนของมัน
จากสุตมยปัญญา ศึกษาเล่าเรียน ศึกษาตามวิชาการ เวลาปฏิบัติไปแล้ว จิตมันมีความสงบระงับบ้าง มันจะเกิดจินตมยปัญญา เวลาเกิดจินตมยปัญญา คือปัญญาที่ละเอียดขึ้นน่ะ ปัญญาที่ละเอียดขึ้น ที่โยมถามมานี่แหละ “มาประมาณ๒-๓ อาทิตย์นี้กระผมภาวนาไปแล้วรู้สึกว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต” เห็นไหมมันเกิดจินตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจินตนาการ
พอจินตนาการ จิตมันมีความสงบระงับ เพราะอะไร เพราะเราภาวนาของเรามาตลอด เราบ่มเพาะ เรามีตบะธรรมบําเพ็ญเพียร ความเป็นตบะธรรมมันจะอบรมบ่มเพาะหัวใจของเรา พอมันบ่มเพาะหัวใจของเรา หัวใจของเรามันชุ่มชื่นมันมีคุณธรรมขึ้นมา มีคุณธรรมขึ้นมามันก็มีปัญญาขึ้นมา
พอมีปัญญาขึ้นมา มันก็มีปัญญาขึ้นมาว่า “นี่ไง จิตนี้ไม่ใช่เรา สรรพสิ่งนี้ไม่ใช่เรา ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรา พอไม่ใช่เรา มันก็เกิดปัญญาความรู้สึกนึกคิดนี้ขึ้นมา มันก็เบื่อหน่าย สุขก็เบื่อ ทุกข์ก็เบื่อ ไม่ต้องการสิ่งใดเลย” เห็นไหม นี่เวลาจิตมันเป็นขาขึ้น จิตมีคุณธรรมมันก็มีความสุขอย่างนี้
เวลาภาวนาไป จิตมันมีขาขึ้น แล้วมันมาจากไหนล่ะ ก็มาจากที่เราภาวนามาตลอด เราภาวนามาตลอด ทํางานก็ภาวนา เวลาภาวนา นี่เขาเรียกว่าธรรมมันเกิด มีคุณธรรมเกิดขึ้น ธรรมเกิด ไม่ใช่มรรค
ถ้ามรรคเกิด จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลามรรคมันเกิดนะ จิตสงบแล้วมันจับมรรคได้ อันนั้นมันถึงมีกิจจญาณ มีสัจจญาณ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลถ้ามีมรรคมีผลอย่างนั้นมันเป็นชําระล้างกิเลส
แต่ถ้าเราภาวนาของเราอย่างนี้ เราภาวนาเป็นปุถุชน เราภาวนาฝึกหัดของเราขึ้นมา มันเกิดธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิด มันเกิดธรรมสังเวช พอธรรมสังเวชมันเกิดมีความรู้สึก มีความรู้สึกว่าเราเบื่อหน่าย เรารู้สัจธรรม...ไอ้นี่มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ เรานี่แหละ ปัญญาโลกๆ แต่ปัญญามันตรึกในธรรม มันมีความรู้สึกในธรรม เขาเรียกว่าธรรมสังเวช มันสังเวช มันสลดหดหู่ มันเบื่อหน่ายเวลาภาวนามันเป็นแบบนี้ แล้วโลกที่ปฏิบัติกันก็ได้แค่นี้ ที่ปฏิบัติกันได้แค่นี้“แหม! มันว่าง มันปล่อย มันวาง มันเบื่อหน่าย”
เบื่อหน่ายแล้วอย่าทําผิดนะ เบื่อหน่าย ศีลต้องชัดเจนนะ เบื่อหน่าย ต้องมีคุณธรรมนะ เพราะมันอกุปปธรรม มันจะไม่ย้อนลงกลับไปเสวยสิ่งที่เป็นความทุกข์ความยาก ไอ้นี่มันชั่วคราวเท่านั้นน่ะ ทีนี้มันชั่วคราวเท่านั้น เขาบอกว่า “ผมเบาปัญญาจริงๆ ครับ ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วย”
ถ้าให้ความกระจ่าง เห็นไหม สิ่งที่เราภาวนา เราภาวนามาแล้ว สิ่งที่ว่าเขาภาวนามาตลอด แม้แต่ทํางานก็ภาวนา
การภาวนามันเป็นยอด ยอดของการงาน ยอดของสิ่งที่มีชีวิต เพราะอะไรเพราะว่าเวลาให้ทาน ทาน เวลาเราทําบุญกุศลขนาดไหน ถึงที่สุดต้องมีศีล เวลาศีลแล้ว มีศีลเป็นปกติ เวลาภาวนามันก็เกิดสมาธิ สมาธิมันเกิดปัญญา ปัญญาอันนี้เป็นปัญญาที่ภาวนามยปัญญา ปัญญาจะรื้อจะถอน ปัญญาที่ทําให้เราพ้นจากทุกข์ ปัญญาที่ทําให้เราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายไปเลย ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
แต่ถ้าเราภาวนาไปแล้ว ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุด ภาวนาไปแล้วมันเป็นบาทฐานมันเป็นการสร้างอํานาจวาสนาบารมีไง เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันย้อนกลับมาในหัวใจของเรา เช่นที่บอกว่า เวลาปฏิบัติไปแล้ว จิตก็ไม่ใช่เรา เราไม่ควรยึดติด
พอมันมีความรู้ความเห็น เห็นไหม นี่ธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิด จริงๆ มันก็ไม่ใช่เราในตัวมันเองอยู่แล้ว มันของชั่วคราวเท่านั้นน่ะ มันเป็นสมมุติ เกิดมาชั่วคราวๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนเราต้องพลัดพรากไปจากมัน คนต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในปัจจุบันนี้ ต้องพลัดพรากแน่นอน จะพลัดพรากทางลบหรือทางบวกเท่านั้นเอง แต่มันพลัดพรากไปแล้ว สิ่งที่มันพลัดพรากนี่มันเป็นข้อเท็จจริง แต่ของเรา การดํารงชีวิต เราดํารงชีวิตอยู่กับมันอย่างนี้
แต่เวลาเรามาภาวนา เรามาภาวนา เรามารู้จากภายใน รู้จากภายใน เห็นไหม จิตนี้ไม่ใช่เรา มันเกิดสังเวช มันเกิดสังเวช แล้วเขาบอกว่า “ผมนี่ใกล้บ้าหรือเปล่า”
คําว่า “ใกล้บ้า” มันมองโลกไง โลกเขายึดมั่นถือมั่นกัน โลกเขาแสวงหากันแต่ในความรู้สึกของเรา เขาแสวงหา เขากว้านเอาแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเขาเอง เรามีความคิดแตกต่าง เรามีความคิดจะปล่อยจะวาง เรามีความคิดที่จะหันหน้าออกมันถึงแปลกโลก ถ้าแปลกโลกปั๊บ มันถึงบอกว่า เราจะใกล้บ้าหรือเปล่า
ถ้าโลกเขามองเรา เขาก็มองเราว่าเป็นบ้า เพราะถ้าทางโลกเขา เขาต้องแสวงหาสมบัติของเขา เขาแสวงหาหน้าที่การงานของเขา ตําแหน่งหน้าที่การงานของเขา เขาแสวงหาเพื่อประโยชน์กับเขา แต่เราทําหน้าที่การงานแล้วเราไม่แสวงหา เราทําเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เราทําแล้วเราจะมาภาวนาของเรา
ถ้าโลกเขาว่าเราบ้าหรือเปล่า เขาก็มองเราอย่างนั้น ถ้าเขามองอย่างนั้นเพราะมันคนละวิสัยทัศน์ มันไม่เหมือนกัน ถ้าเขามองอย่างนั้นคือเขามองแบบโลก
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม “จะสอนเขาได้อย่างไร” เพราะมุมมองของโลกเป็นอย่างนั้น
แต่มุมมองของธรรมนะ เราเสียสละ แต่สละสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ทุกอย่างยังสมบูรณ์ของมัน เห็นไหม แต่เราสละกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
แต่เขาบอกว่า แล้วมันสละอย่างไรล่ะ สละแล้วสมบูรณ์ มันเป็นอย่างไร เออ! สละมันก็ต้องหมดไปหายไป สละแล้วยังสมบูรณ์อยู่ มันเป็นอย่างไร เออ!
แต่คนภาวนาแล้ว เวลาเสียสละนะ เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว เวลาท่านอยู่ที่โหล่งขอด หลวงปู่มั่นอยู่ที่เชียงใหม่ เวลาท่านไปสิ้นกิเลส แล้วท่านต้องจากที่นั่นมา ท่านอาลัยอาวรณ์ ท่านเห็นบุญคุณของต้นไม้นั้น ท่านเห็นบุญคุณของชุมชนนั้นชุมชนนั้นเขาใส่บาตรเรา เขาเลี้ยงเรามา แล้วมันไปฆ่าอวิชชาที่นั่นน่ะ เสวยวิมุตติสุขที่นั่น แล้วเวลาจะจากมา หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาท่านสะเทือนใจ เวลาคนมีคุณธรรมแล้วมันสะเทือนใจ
ท่านบอกว่า เดินออกมาแล้วก็เหลียวหน้าไปมอง เดินมาแล้วก็หันหลังไปมองคือจะต้องพลัดพรากจากเขา จะต้องจากที่นั่นมา มันอาลัยอาวรณ์ มันเห็นบุญเห็นคุณ เห็นคุณของชาวบ้านที่เขาให้ข้าวปลาอาหาร เห็นคุณของร่มเงาของต้นไม้เห็นคุณเขาไปหมดเลย แต่มันเห็นที่ไหนล่ะ มันเห็นในใจของผู้ที่เห็นคุณน่ะ ไม่มีใครเขารู้ด้วยหรอก ไม่มีใครเขารู้ได้ด้วย แต่หัวใจดวงนั้นมันเห็นบุญเห็นคุณ เห็นไหม
เวลาหลวงปู่มั่นจะจากพวกมูเซอมา “ตุ๊ ตุ๊ไปไหน ถ้าตุ๊ตายที่นี่ ทางนี้ก็เผาให้ได้ค่ะ” คือเขาทําให้ได้หมด อยากได้อะไรบอกมา ที่ในโลกนี้มี เขาจะแสวงหาให้
แต่คนที่มีคุณธรรมเขาไม่ต้องการตรงนั้น เขาต้องการหัวใจของสัตว์โลกเวลาท่านเผยแผ่ไป ท่านกลับมาจากเชียงใหม่ ท่านขึ้นไปทางอีสาน ท่านยังได้พระมาอีกหลายองค์เลย ท่านได้พระ ได้ชุมชน ที่ไปนี้ไปเอาหัวใจของสังคม ไปเทศนาว่าการให้เขาประพฤติปฏิบัติ ให้ดวงตาเขาเห็นธรรม ให้ใจเขาผ่องแผ้ว
แต่ถ้าอยู่กับชาวมูเซอ “ตุ๊อยู่นี่สิ” ธรรมดาเขาหาให้หมด มันก็เป็นวิมุตติสุขในใจของท่าน แต่ท่านต้องจากที่นั่นมาเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์ เห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อประโยชน์กับหัวใจของสัตว์โลก ไม่ใช่เพื่อประโยชน์กับท่าน แต่เพื่อโลก เพื่อหัวใจของสังคม ท่านมาอย่างนั้นน่ะ ท่านทําอย่างนั้นไง ถ้าทําอย่างนั้น มันถึงต้องพลัดพรากมา
ฉะนั้น เขาบอกว่า เราใกล้บ้าหรือเปล่า
ถ้ามีสติมีปัญญา ไม่ เราไม่ใกล้บ้า เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราต้องมีหน้าที่การงานเพื่อปัจจัย ปัจจัยดํารงชีพ ดํารงชีพไว้กําหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ถ้าจิตสงบระงับแล้ว เราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาเกิดจากภายใน
คอมพิวเตอร์ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เขาก็ใช้คํานวณทางทฤษฎีในทางโลกเวลาเกิดภาวนามยปัญญา มันคํานวณกิเลส มันชําระล้างกิเลสในใจ มันไม่มีปัญญาชนิดใดสามารถชําระถอดถอนกิเลสได้ เว้นไว้แต่ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตนี้เท่านั้น อย่างอื่นชําระกิเลสไม่ได้ เพราะมันเป็นวัตถุ มันเป็นสสารที่ไม่มีชีวิตที่ไม่สามารถแทรกเข้าไปในอวิชชาได้ ฉะนั้น ภาวนามยปัญญานี้เท่านั้นถึงจะสามารถชําระล้างกิเลสได้
ฉะนั้น เวลาเขาถามว่าเขาบ้าหรือเปล่า เขาใกล้บ้าหรือเปล่า
ไม่ ถ้าบ้าคือขาดสติ คนขาดสติปล่อยให้กิเลสมันชักนําไป นั่นน่ะคนนั้นจะบ้าแต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เรารู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา แล้วเรามีสติสัมปชัญญะของเรา มันไม่บ้าหรอก
สติ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ถ้าประมาทเลินเล่อนั่นมันจะบ้า แต่ถ้ามีสติ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีสติ สติมันรู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันพฤติกรรม รู้เท่าทันที่เราจะทําอะไร ถ้ารู้เท่าทันหมด เราไม่ขยับออกไป ไม่ทําสิ่งที่ผิดพลาด มันจะเป็นอะไรไป
ทีนี้ถ้าภาวนาแล้วมันมีแต่จะดีขึ้น ถ้าดีขึ้น เราดีขึ้น เรามีสติปัญญามากขึ้นเรารู้เท่าทันความคิดของเรา เรารู้เท่าทันกิเลสในใจที่มันจะหลอกเรา เรารู้เท่าทันจนเราเห็นแจ้ง ถ้าเห็นแจ้ง เราสํารอกคายกิเลสออก เราจะรู้ของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จําเพาะตน รู้จําเพาะในหัวใจ ถ้ารู้จําเพาะในหัวใจ สติสมบูรณ์ ไม่ใช่คนบ้า แล้วถ้าสติสมบูรณ์ มันจะเป็นความจริงของเรา
ฉะนั้นถึงบอกว่า เราไม่ใช่เบาปัญญา ปัญญาของเรากับปัญญาทางโลกมันคนละเรื่องกัน นี่ถ้าปัญญาของเราเกิดขึ้นแล้วเราภูมิใจ เราพอใจในปัญญาของเรา แล้วรักษาของเรา
สมบัติโลก สมบัติโลกคือชีวิตเรานี่ แล้วทรัพย์สมบัติที่ได้มากับดํารงชีพนี่สมบัติโลก
สมบัติของเราๆ จิตนี้มันต้องเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้ามันมีคุณธรรม ถ้าเป็นพระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ ถ้ามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ไม่เกิดอีกเลย แต่ถ้าเราไม่ได้สมบัติอันนี้ มันเวียนว่ายตายเกิดไม่มีต้นไม่มีปลายมันไปแต่อํานาจของเวรกรรม มันจะหมุนไปอย่างนี้ ไม่มีต้นและไม่มีปลาย มันจะไปของมันตลอด ถ้าไปของมันเพราะอะไร
เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เพราะจิตนี้ได้สร้างกรรมดีกรรมชั่วมา แล้วไม่ใช่สร้างมาชาตินี้ สร้างมาตั้งแต่อดีตชาติไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเดี๋ยวนี้เราจะชําระเดี๋ยวนี้ มันจะเป็นประโยชน์เดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นประโยชน์เดี๋ยวนี้ นี้สมบัติของเรา เป็นสัจจะของเรา
เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วศาสนาพุทธ เห็นไหมศาสนาพุทธศาสนาแห่งปัญญา แล้วเรากําลังฝึกฝนให้เกิดภาวนามยปัญญาปัญญาสัจจะจริงในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ปัญญาจํา ไม่ใช่ปัญญาในคอมพิวเตอร์ไม่ใช่ปัญญาจากสถิติ ปัญญาเป็นปัจจุบัน ปัญญาที่เกิดจากปัจจุบันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชําระล้างกิเลส เพียงแต่ขอให้ประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องไป ให้มันมีผล ให้มันได้ผลตามความเป็นจริง มันจะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง