เทศน์บนศาลา

พุทธธรรม

๓o ส.ค. ๒๕๔๘

 

พุทธธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรม “พุทธธรรม” ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แสวงหาโมกขธรรม ขณะที่แสวงหาโมกขธรรมนั้นน่ะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน “พุทธธรรม” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีความสุขมาก ความสุขแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “วิมุตติสุข” ความสุขอย่างนี้มันมีความละเอียดอ่อนมาก อยากจะเผยแผ่ธรรม แล้วใครจะรู้ได้ ใครจะรู้ได้ เห็นไหม จนพรหมมานิมนต์ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มันเป็นสิ่งที่ปรารถนามาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งนี้เป็นความจริงอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ผู้ที่หยาบ ผู้ที่เข้าไม่ถึงก็มี ผู้ที่ละเอียดอ่อนจะเข้าถึงสิ่งนั้นได้ก็มี เห็นไหม ถึงเทศนาว่าการ

เวลาแสดงธัมมจักฯ พระปัญจวัคคีย์ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่สังฆรัตนะ ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา เราเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดจากใคร? เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม ถึงว่า เป็นพุทธธรรม

พุทธะคือผู้รู้ ผู้รู้รู้ด้วยความสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่ได้รู้ด้วยความมืดมน ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ความเพ้อเอาคิดเอานั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นลัทธิ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกเทศนาว่าการ ไปเจอเจ้าลัทธิต่างๆ ไม่ยอมรับนะ เวลาออกไปเจอเดียรถีย์ เขาก็มีธรรมเหมือนกัน เขาก็ว่าเป็นธรรมเหมือนกัน

นี่เวลาธรรม ธรรมของใครล่ะ ธรรมของเดียรถีย์ ธรรมของพราหมณ์ ของอะไร เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ ปฏิเสธว่า คนเราเกิดมา ไม่ใช่เกิดมาดีด้วยการเกิด เกิดเป็นพราหมณ์ เกิดเป็นแพศย์ เกิดเป็นศูทร สิ่งที่เกิดมาแล้วเกิด สิ่งนั้นเป็นไป อ้อนวอนขอเอานะ เกิดมาแล้วทำคุณงามความดีต้องอ้อนวอนขอพระเจ้า ต้องอ้อนวอน ต้องพยายามเอาใจ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธว่า การเกิดนี้เกิดมาโดยกรรม ทุกคนมีกรรมถึงมีการเกิด เกิดมานั่งอยู่นี่เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากจิตปฏิสนธิของครรภ์มารดานี้แน่นอน แต่ถ้าไม่มีกรรมล่ะ เห็นไหม สัตว์ก็เกิดได้ คนเกิดทุกข์ เกิดยาก เกิดสุข เกิดสบาย แล้วแต่บุญกุศลบุญกรรมสร้างมาไง

เรา ถ้ามีบุญกุศลสร้างมาเราเกิดเป็นมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติสำคัญที่สุดนะ ความสุขและความทุกข์นั้นมันตามมาทีหลัง เพราะเรามีชีวิตเรา เราถึงมีสิ่งต่างๆ เห็นไหม โลกนี้มีอยู่แล้ว คนเกิดและคนตาย โลกก็เป็นเรื่องของโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เราเกิดมาพบโลก โลกมีเพราะมีเรานะ เรารู้จักกับโลก เราถึงได้สัมผัสกับโลกได้ ความสุขความทุกข์เกิดจากเรา เห็นไหม นี่อำนาจวาสนา

แต่เดิมคนเรามีน้อย ทรัพยากรมีมหาศาลเลย คนเกิดมานี่ เวลาสงครามสมัยโบราณเขาแย่งชิงมนุษย์กันนะ แย่งชิงคนมาเพื่ออะไร? เพราะเขามีแผ่นดินเขามีที่พึ่งพาอาศัยมาก แต่คนของเขาไม่ค่อยมี ในปัจจุบันนี้คนเกิดมามาก สังคมก็แปรสภาพไป อยู่ที่อำนาจวาสนา การเกิดมานี่เกิดมาเป็นมนุษย์ด้วย แล้วอยู่ที่วาสนาเกิดมา โอกาสของคนต่างกัน

ทีนี้เราเกิดมาแล้วนี่กรรมพาเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก กรรมพาเกิดต่างหาก เกิดแล้วถึงได้ทำคุณงามความดี สิ่งนี้เป็นปัจจุบันธรรม ทำคุณงามความดี “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” โดยสัจจะความจริง การกระทำอันนี้ต่างหาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส ธรรมของคฤหัสถ์ แล้วธรรมของบรรพชิตมันก็ละเอียดรอบคอบเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

เราเกิดมาเป็นฆราวาส เรามีความเชื่อในศาสนา เห็นไหม ความเชื่อนี้เป็นอาหารของใจ เกิดมาเป็นคนเราต้องมีปากมีท้อง เราก็หาอยู่หากินของเรา ตามหน้าที่การงานของเรา สิ่งนี้ไม่เป็นกิเลส มันเป็นหน้าที่การงาน เป็นความเพียรชอบ งานชอบ การกระทำงานนี้เป็นความถูกต้องเพราะความเพียรชอบในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในอริยมรรค เห็นไหม มรรคคือความเพียรชอบ ถ้าความเพียรไม่ชอบล่ะ ความเพียรที่ไปทำลายคนอื่น ความเพียรที่ทำลายตน เห็นไหม คนประกอบสัมมาอาชีวะเหมือนกัน แต่เขาประกอบสัมมาอาชีวะด้วยการเบียดเบียนคนอื่น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย สิ่งใดประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยความถูกต้อง นี่ฆราวาสธรรม

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นผู้ที่อยากพ้นจากทุกข์ล่ะ พ้นจากทุกข์มันก็ต้องเป็นอีกระดับหนึ่ง นั้นเป็นเรื่องของภิกษุ ของนักประพฤติ นักพรต ของผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติ ออกประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร? เพื่อชำระกิเลส เพื่อทำให้กิเลสมันยุบยอบตัวลง นี่ความสุขเกิดที่ใจ อาหารของปากเราก็หาอยู่หากินเพื่อเลี้ยงชีวิตของเราไป สิ่งมั่งมีศรีสุขขนาดไหน จะหาได้มากน้อยนะ เราก็กินแค่อิ่มหนึ่ง กินแค่หนึ่งมื้อ กินแค่อาศัย ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งนี้ใช้เหมือนกัน

เราเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้อง มีร่างกาย มีความรู้สึก นี่เป็นญาติกันทั้งหมดเลย ญาติกันเพราะมีเสมอภาคเหมือนกัน เกิดมามีสิทธิเท่ากัน แต่บุญกุศลต่างกัน คนเหมือนกันแต่หัวใจของคนต่างกัน คนบางคนคิดดีมาก บางคนคิดเบียดเบียนคนอื่น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา แล้วเวลาทุกข์ ทุกข์ที่ไหนล่ะ? ทุกข์ที่ใจ เราถึงต้องหาอาหารของใจนะ ถ้าอาหารของใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สิ่งที่เป็นอาหารมาก็เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นสิ่งที่เลี้ยงชีพชอบ ไม่มีพิษไม่มีภัยไง

อาหาร เวลาอาหารเป็นสารพิษ เรากินเข้าไปร่างกายมันยังเจ็บปวดแสบร้อน มันยังเป็นโรคเป็นภัยได้ อาหารของใจก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่พุทธะ ไม่สว่างกระจ่างแจ้ง มันก็เป็นความเห็นของกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันคิดของมันไปนะ

ในปัจจุบันนี้เราดูสิ ในโลกนี้เขาทำการวิจัยกันว่า ยาปลอมนี้มีมากมายเลย เวลายาปลอมปลอมมาแล้วนี่ดูนะ คนที่ปลอมยามาเขาก็ต้องมีปัญญาของเขา เขาก็ต้องเป็นนักธุรกิจที่เขามีฐาน เขาถึงทำยาปลอมเขาออกมาได้ แล้วยาที่จะปลอมเขาปลอมมาจากใครล่ะ? เขาต้องปลอมจากยาที่เป็นยาแท้ ยาจริง ยาจริงนี่เขาต้องทำวิจัยของเขา เขาต้องพิสูจน์ของเขา เขาต้องค้นคว้าของเขา เขาทดลองนะ รักษาสัตว์ก่อน รักษาสัตว์ได้แล้วไม่มีผลข้างเคียง รักษามนุษย์ จนขนาดที่ว่าได้รับการยอมรับจากสังคม เขาถึงใช้ยานั้นออกมาเป็นสินค้าของเขา

แต่คนทำยาปลอมนะ เขาไม่ต้องคิดอะไรเลย เขามีแต่ความโลภ มีแต่ความคิดต้องการผลประโยชน์ของเขา แล้วเขาก็ไปทำยาปลอมนั้นออกมาเพื่อจะให้เป็นสินค้าหาเงินของเขา สิ่งที่หาเงินของเขานี่มันน่าสังเวช สังเวชที่คนประชาชนไปซื้อยานั้นมากิน เห็นไหม เสียทั้งเงินนะ เงินเราอุตส่าห์หาอยู่หากิน หาเงินมาเพื่อมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ยารักษาโรคก็เป็นปัจจัย ๔ หามาเพื่อจะรักษาโรค แต่เวลาเสียเงินไปก็ได้ของปลอมมา แล้วเวลาเอากิน

๑. เสียเวลาไปเพราะว่ามันเป็นยาปลอม มันรักษาโรคไม่ได้

๒. เวลาถ้ารักษาไปมันเป็นพิษเป็นภัย เป็นผลข้างเคียง ถึงกับเสียชีวิตได้นะ

เราไปซื้อสิ่งที่ไม่มีคุณค่ามาให้กับชีวิตของเรา นั้นเป็นยาปลอมนะ

แต่ถ้าเป็นยาคุณภาพของเขาล่ะ ยาคุณภาพ “พุทธธรรม” เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้พิสูจน์มาก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่ประพฤติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกแสวงหาอยู่ ๖ ปี ขนาดอาฬารดาบสรับประกันว่า “มีความรู้เหมือนเรา ได้ฌานสมาบัติ จิตสงบเหมือนเรา สั่งสอนได้” นี่มีคนรับรองนะ แต่ผู้ที่รับรองนั้นก็ปลอมไง

ปลอมหมายถึงว่า เขาไม่รู้จริง เขาไม่ใช่พุทธะ นั้นเป็นธรรมของฤๅษีชีไพร ธรรมของเจ้าสัทธิในสมัยพุทธกาล มันไม่ใช่พุทธธรรม มันเป็นธรรมของฤๅษีชีไพร เพราะได้สมาบัติพวกฤๅษีชีไพรเขาได้ของเขาอยู่แล้ว นี่เขาก็เป็นศาสดา เขาก็อ้างตัวว่าเป็นพระอรหันต์ เขาก็สั่งสอนกัน เห็นไหม สิ่งที่เป็นยาปลอม ยาปลอมมารับรองเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมรับความปลอมอันนั้น เพราะสิ่งนั้นเป็นความปลอม เพราะหัวใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจ

สงบขนาดไหนเข้าสมาบัติขนาดไหน เข้าสมาบัตินะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ดับทุกความรู้สึกทั้งหมด ดับหมดนะ ตั้งแต่รูปฌาน อรูปฌาน ขึ้นไป ความเป็นไปของจิตจะมีความสุข นี่ติดหมด ผู้ที่ทำสมาธิ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาจะเห็นว่าความสงบของใจนี้เป็นธรรม แล้วจะติดในสมาธิอย่างนี้ เห็นไหม แล้วอาฬารดาบสก็ติดสภาวะแบบนี้ แล้วก็มีคนนับหน้าถือตามาก มีลูกศิษย์ลูกหา จนบอกว่า “เจ้าชายสิทธัตถะก็มีความรู้เสมอเรา จะสั่งสอนญาติโยมได้เหมือนกัน” เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธเพราะอะไร เพราะสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย แสนมหากัป

สิ่งที่สร้าง ๔ อสงไขย คือสร้างบุญกุศลมหาศาลนะ ได้ศึกษา ได้เล่าเรียน ได้ประพฤติปฏิบัติ ได้สะสม ได้สละทานมา สิ่งนี้เป็นจริตนิสัย เป็นอินทรีย์ ความรู้สึกในหัวใจ เป็นเชาวน์ปัญญาที่ว่า จะไม่ยอมสิ่งใดๆ โดยที่ไม่มีเหตุผลไง นี่พุทธะเป็นอย่างนี้

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาได้ธรรมของพวกเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ไม่ใช่พุทธธรรม ได้เพราะอาฬารดาบสรับประกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องการ ธรรมแบบนี้ไม่ต้องการ ธรรมแบบนี้ใครๆ ก็ทำได้ สิ่งที่เขาทำอยู่ ในลัทธิ เจ้าลัทธิในสมัยพุทธกาลเขาก็ทำของเขา เขาก็เผยแผ่ศาสนาของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องการ เพราะสิ่งนี้มันยังเป็นผลเป็นการสงบกิเลสไว้ชั่วคราว แล้วก็ยังต้องตายต้องเกิดอยู่ สิ่งที่ยังต้องตายต้องเกิดอยู่ มันไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะชำระกิเลสได้ ปฏิเสธสิ่งนี้แล้วออกรื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำวิจัย ทำการค้นคว้าหายาที่เป็นที่เป็นพุทธธรรมไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขนาดที่ว่าอดอาหาร อดนอน กลั้นลมหายใจ นี่คือวิธีค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะมีวิธีการที่ว่า เขามีความยอดเยี่ยม

ในสิ่งที่ว่าเป็นยา สิ่งที่ว่าเป็นยาที่เป็นพุทธธรรมนี้เป็นยาอันวิเศษ แต่ยาที่มันเป็นแขนงต่างๆ ในลัทธิที่เป็นพวกเดียรถีย์ เขาก็สอนของเขา สิ่งนั้นเป็นยาคุณภาพอีกคุณภาพหนึ่ง เป็นยาที่ว่าไม่สามารถรักษาโรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตายได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขา แต่สิ่งที่บอกอยู่คือเชื้อไขมันไม่สิ้นไป มันไม่มีการกระทำ ไม่มีสิ่งที่ทำลายอวิชชาคือสิ่งที่เป็นพญามาร สิ่งที่ปกปิดหัวใจ นี่พลังงานอันผิด คืออวิชชาที่มันทำลายผิดอย่างนี้ มันจะขับเคลื่อนออกมาขับเคลื่อนออกไป มันสงบ สงบด้วยสติ ด้วยสิ่งที่เขาควบคุมไว้ด้วยชั่วคราว สิ่งที่ชั่วคราวเพราะมันยังไม่มียา มันเป็นไปไม่ได้ ขณะที่ใครจะตรัสรู้สิ่งนี้ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา สิ่งที่ประเสริฐหมด ประเสริฐที่สุด เพราะผู้ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ การสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้มหาศาลมาก

ขณะที่ไม่มีศาสนา ผู้ที่จะตรัสรู้เองมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น สาวกสาวกะต้องได้ยินได้ฟัง ต้องมีแผนที่เครื่องดำเนิน ขณะที่มีแผนที่เครื่องดำเนินอย่างนี้เรายังคว้าผิดคว้าถูกกันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีสิ่งนี้ รื้อค้นทำวิจัยมหาศาลเลย ตั้งแต่อดอาหาร ตั้งแต่กลั้นลมหายใจจนสลบถึง ๓ หน คนสลบ เหมือนกับเราถ้าช็อกก็ตายนะ นี่ตายแล้วฟื้นถึง ๓ ครั้งนะ “สิ่งนี้ไม่ใช่” ต้องพิสูจน์ให้ถึงที่สุดไง

จะทำการวิจัย เอายาแก้เกิด แก้แก่ แก้เจ็บ แก้ตายมา ต้องทำกันถึงขนาดที่ว่ากิเลสมันทำให้ถึงกับสลบไสลนะ สลบไสลเพราะมันอุกฤษฏ์ ทำพยายามค้นคว้าจะทำลายเชื้ออันนี้ไง ถึงกับสลบไปถึง ๓ หน “ไม่ใช่ทาง” จนกลับมาฉันอาหารของนางสุชาดา ปัญจวัคคีย์เห็นว่ากลับมามักมาก นี่ความเห็นของโลกไง กลับมามักมาก ขนาดทำอุกฤษฏ์ขนาดนั้นยังไม่ได้ แล้วกลับมาฉันอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีโอกาสแล้ว ถึงสละทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่พระองค์เดียว ถึงเวลาสงบสงัด ฉันอาหารแล้วนึกย้อนกลับไป เห็นไหม สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์มันจะฝังใจมาก ขณะที่เป็นราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะพาออกไปทำแรกนาขวัญ นั่งทำความสงบ อานาปานสติ นี่ฝังใจตั้งแต่เด็กนะ เด็กนี่บุญกุศลสร้างมา

พวกเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติกำหนดพุทโธหรือกำหนดสิ่งใดมันสงบได้ อย่างนี้เราสงบโดยที่ไม่มีสติ หรือเราสงบโดยสติมันควบคุมมาอย่างนี้ แต่สงบโดยที่ว่าไม่มีความชำนาญไม่เข้าใจไง นี่ส้มหล่น

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะกำหนดลม...เป็นเด็กอยู่ สงบได้นะ เงาของต้นหว้าไม่คล้อยตามตะวันไป สิ่งที่สงบนี่มันฝังใจมา นึกถึงตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสัมมาสมาธิ อานาปานสติ ทำให้จิตสงบเข้ามา ไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่สมาบัติ ฌานสมาบัติเป็นพลังงานของจิต พลังงานของจิตส่วนใหญ่จะส่งออก ถึงสัมมาสมาธิ...ฌานสมาบัติก็เป็นฌานสมาบัติ มิจฉาสมาธิคือการตกภวังค์ คือสมาธิหัวตอ หรือเป็นสมาธิแต่ใช้ในทางคุณไสย ใช้ในทางที่ผิด นั่นเป็นมิจฉาสมาธินะ

ถ้าเป็นสัมมา สัมมาคือมันเป็นกลาง มันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีล ทำศีล ไม่เบียดเบียนเขา ผู้ที่มีศีลโดยปกติ เห็นไหม กลิ่นของศีลจะหอมทวนลม คนที่ไม่เบียดเบียนใคร คนที่มีเมตตากรุณา สิ่งนี้จะหอมทวนลม สิ่งนี้จะเป็นคุณประโยชน์ ขนาดเป็นเรื่องของโลกเขายังเชิดชูกัน

แต่เรามีศีลในหัวใจ ทำเป็นปกติของใจ ถ้ามีศีลนี่มันไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนแม้แต่ตัวเอง เพราะมันเป็นปกติ แล้วทำสมาธิขึ้นมา “ศีล สมาธิ ปัญญา” เวลาจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ นี่ย้อนกลับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฐมยาม ย้อนไปอดีตชาติ

เพราะยังไม่เข้าถึงพุทธะตัวจริง มันมีอาการ มันมีขันธ์ ๕...ขันธ์ ๕ คือความคิด เห็นไหม ความคิดเรานี่ มนุษย์มีความคิด ความคิดเป็นเราหรือเปล่า ถ้าความคิดเป็นเรา พอเวลาความคิดมันหายไปเราต้องหายไปด้วยสิ...ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดมันเกิดดับ เห็นไหม

ขณะที่สงบเข้ามา ออกไปตามบุพเพนิวาสานุสติญาณ ออกไปตามเชื้อไขอันนี้ไง สิ่งนี้ย้อนไปอดีตชาติ นี่สร้างสมมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป ย้อนไปได้ตลอด สิ่งนี้ไม่มีที่สิ้นสุด นี้ก็ไม่ใช่ ย้อนกลับมาดึงกลับมาด้วยสติ กลับมาปัจจุบัน ทำอานาปานสติเข้าไปถึงมัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ ออกไป จิตนี้ถ้าตายแล้วต้องเกิด จิตทุกดวงใจต้องเกิด ตายแล้วเกิดหมดเพราะมีพลังขับเคลื่อน

“คนทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” การกระทำนี้ทำมาจากจิต ความคิดของคนริเริ่มทำ จิตนี้ ความคิดนี้เกิดมาจากตัวจิต ตัวจิตนี้เกิดพลังงาน แล้วให้ตัวความคิด คิดไปตามอำนาจกิเลส มันก็ทำบาปอกุศล ถ้าเป็นธรรม คิดเป็นบวกก็เป็นบุญกุศล สิ่งที่เป็นบุญกุศล การกระทำอย่างนี้มันซับลงมาที่ใจ เพราะใจนี้เป็นตัวภวาสวะ เป็นตัวฐาน

ดูสิ สิ่งที่ทำอะไรก็แล้วแต่มันจะมีข้อมูลของเขา สิ่งที่เขาเก็บข้อมูล หรือสิ่งที่ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ก็อยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งต่างๆ เขามีข้อมูลของเขา การกระทำของชีวิตชีวิตหนึ่งจะดีหรือชั่ว สิ่งที่ซับคุณงามความดีและความชั่วนี้คือภวาสวะ คือตัวตอของจิต คือตัวภพตัวนี้ ถ้าตัวภพตัวนี้มันสะสมมา เห็นไหม ถ้าจิตนี้ดับขันธ์จากในชาติปัจจุบัน มันมีแรงขับเคลื่อนตัวนี้ มันก็จะไปเกิดของมันโดยธรรมชาติของมัน นี่จุตูปปาตญาณ จะเห็นสัตว์ตายแล้วเกิดๆ นี่สิ่งนี้มันเป็นอนาคตไง

เพราะเวลาอดีตอนาคตไม่ใช่ปัจจุบัน อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว คือบุเพนิวาสานุสติญาณ อนาคตคือจิตนี้มันพุ่งออกไป เวลาตายแล้วมันพุ่งออกไป เห็นไหม มันต้องไปเกิดในธรรมชาติของกรรมดีและกรรมชั่วนั้น

ดึงกลับมาปัจจุบัน พอกลับมาปัจจุบัน ถึงยามสุดท้าย คืนนี้ตอนย่ำรุ่งก่อนจะนั่ง คืนนี้ถ้าเรานั่ง เจ้าชายสิทธัตถะอธิษฐานว่า “ถ้านั่งแล้ว ถ้าไม่ตรัสรู้ จะไม่ยอมลุกจากที่โคนต้นโพธิ์นี้เลย จะตายคาโคนต้นโพธิ์นี้” นี่สิ่งที่ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ พอถึงยามสุดท้าย นี่เป็นปัจจุบัน เพราะจิตมันสงบเข้ามา มันสงบไปอดีต ไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ ส่งไปอนาคต นี่สิ่งนี้เป็นอดีตอนาคต อดีตอนาคตไม่สามารถแก้กิเลสได้ ต้องเป็นปัจจุบันธรรม

ปัจจุบันธรรมเกิดที่ไหน? เกิดที่จิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่น ต้องจิตตั้งมั่นนะ

เวลาเขาเทศนาว่าการกัน ที่ว่าเป็นธรรมที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นธรรมเมาไง บอกว่า “จิตนี้จับต้องไม่ได้ จิตนี้ไม่มี” เขาว่ากันไปอย่างนั้นนะ นั้นเป็นธรรมเมา

แต่ถ้าพุทธธรรม จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นปัจจุบัน พอจิตนี้เป็นปัจจุบัน จิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ สะสมค้นคว้าไปอดีต ค้นคว้าไปอนาคตแล้วไม่เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นปัจจุบัน อาสวักขยญาณ ญาณที่เกิดขึ้นมาชำระในปัจจุบัน ชำระใน “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ” จนดับ ดับเป็นนิโรโธ ดับตั้งแต่เข้าไป จนถึงดับไปถึงอวิชชา ทำลายอวิชชาขาดไป นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามาอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “วิมุตติสุข” มีความสุขในหัวใจมาก

“พุทธธรรม” ยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีคุณค่ามากไง

ถ้ายาปลอมเข้ามาเข้าเทียบเคียงสภาวะแบบนี้ไปเท่านั้น เทียบเคียงสิ่งนี้ไปแล้วก็แอบอ้างกันไป ทำลายตัวเองนะ ทำลายตัวเองเพราะทำลายโอกาสของตัวเอง ไม่เข้าถึงสัจจะความจริงไง สิ่งที่ทำยาปลอม ผู้ที่ทำยาปลอมนั้นโดยที่กิเลส ถ้ากิเลสทำยาปลอม กิเลสนะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ พวกเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตั้งใจมีศรัทธามีความเชื่ออยากจะประพฤติปฏิบัติ เพราะมีความทุกข์มาก ความทุกข์ในหัวใจไม่ต้องไปถามใครเลย ในหัวใจเราจะมีความทุกข์สะสมมาที่ใจ

การทำมาหาอยู่หากินก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง นี้เป็นความทุกข์จากการใช้แรงงานนะ การบริหารจัดการก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง ความที่มีสมบัติมากก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เพราะจะเก็บสะสมไว้ จะบริหารอย่างไรให้งอกเงยผ่านมา มีครอบมีครัวก็เป็นความทุกข์อีกอันหนึ่ง มีลูกมีเต้า มีความรักมาก ลูกเด็กๆ มีความรักมาก เพราะอยู่ในโอวาท มันไม่ไปเที่ยวไกล อยู่กับเรา พอโตขึ้นมามันไปตามแต่ความต้องการของเขา ก็เป็นทุกข์อีกอันหนึ่ง เป็นทุกข์ไปทั้งนั้นเลย สิ่งที่เป็นทุกข์สิ่งนี้มันต้องหาสิ่งใดเข้ามาเพื่อยับยั้ง

ถ้ายับยั้งความทุกข์ สิ่งที่เป็นความทุกข์ สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงอันนี้ เราจะรักษาสิ่งนี้ เราจะรักษาอย่างไร สิ่งนี้จะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ถ้าย้อนกลับเข้ามาภายใน เห็นไหม ย้อนกลับเข้ามาดูใจของตัว ถ้าดูใจของตัว มันจะเริ่มว่า เราว่าเราทำสิ่งใด

แต่ขณะที่เป็นยาปลอม กิเลสมันประพฤติปฏิบัติ มันอ้างสิ่งนี้ อ้างไปๆ ถ้ามันผิดพลาดจากพุทธธรรม สิ่งที่ผิดพลาดจากพุทธธรรมถ้ากิเลสเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างให้มันขับจิตบิดเบือนออกไป ถ้ามีสติ สิ่งที่บิดเบือนไปมันไม่ชำระกิเลส เราก็จะเข้าใจ ถ้ากิเลสมันแทรกนะ แทรกจากผู้ที่ทำยาปลอม

แต่ผู้ที่มีกรรมของเขา ขณะที่ประพฤติปฏิบัติ ถึงที่สุด เขาถึงกับหลุดออกไปจนเสียจริตนิสัยไป นี่ยาปลอมให้ผลให้โทษขนาดนั้นนะ ให้โทษถึงกับทำให้เขาเสียจริตไปเลย แต่ก็มีวิธีการแก้ไข เพราะในวงกรรมฐานของเรา ถ้าขนาดนั้นเราก็ให้กลับมาฟื้นสติ ต้องฟื้นสติขึ้นมาแล้วพยายามฟื้นสติกลับมาให้เป็นปัจจุบัน ให้เป็นปกติ

ในปัจจุบันนี้สำคัญมาก สิ่งที่เขาหลุดออกไปจนเสียสติ เขายังฟื้นกลับมาได้ แต่ถ้าเป็นกิเลสในหัวใจ ตั้งใจจะทำยาปลอมเลย เราตั้งใจตั้งแต่เริ่มจะบวช เราคิดว่า เราบวชแล้วเราจะทำกิริยามารยาทให้สมควร ให้เป็นที่ศรัทธาความเชื่อ มีความเชื่อแล้วเขาจะ เห็นไหม เป็นธรรมมะอย่างนั้น มันเป็นเรื่องของธรรมเมา มันไม่เป็นเรื่องของความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องซื่อสัตย์ พรหมจรรย์นี้เราอยู่เพื่อใคร พรหมจรรย์นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนภิกษุ พรหมจรรย์นี้เพื่อแก้กิเลสของตัว พรหมจรรย์ไม่ใช่เพื่อบรรลุธรรมแล้วจะสั่งสอนเขา ถ้าบรรลุธรรมแล้วสั่งสอนเขานะ มันเป็นจริตนิสัยที่สร้างสมมาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ นี่อำนาจวาสนาอันหนึ่ง แต่ถ้าเพื่อจะสั่งสอนเขา มันก็เป็นกิเลสเร่งเร้าให้เรารีบประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเอาตำรานี้ไปสั่งสอนเขา มันก็เป็นธรรมเมาไง

ธรรมนี้ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ไม่ใช่เป็นศาสดา ไม่ใช่เพื่อจะสั่งสอนใคร ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น “พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์” ประพฤติปฏิบัติให้เป็นพรหมจรรย์ สิ่งที่เป็นพรหมจรรย์เป็นในหัวใจของเราไง สิ่งที่เป็นพรหมจรรย์ในหัวใจของเรา นี่มันจะแก้เข้ามาจากภายใน นี่มันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ

คนเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านประพฤติปฏิบัติพรรษาสองพรรษา ท่านมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านมีพื้นฐานของท่าน ครูบาอาจารย์กว่าจะประพฤติปฏิบัติแต่ละขั้นแต่ละตอนเข้ามามันต้องถูต้องไถ เพราะสิ่งนี้มันเป็นการกระทำของเราเอง เราสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้

สังเกตได้ไหมเวลาเรากินอาหาร บางคนชอบอาหารอย่างหนึ่ง บางคนชอบอย่างหนึ่ง อาหารนี่ทำไมชอบไม่เหมือนกันล่ะ คนที่เขาบอกเขาปฏิบัติพรรษาสองพรรษาเขาได้ผล เขากินอาหารอยู่อย่างนั้น เราก็กินอาหารของเรา เราจะไปกินอาหารของเขามันก็ไม่ถูก ไม่อร่อยลิ้นเรา เห็นไหม เราต้องกินอาหารของเรา เราจะปฏิบัติกี่พรรษา ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษา หรือปฏิบัติเท่าไรมันจะมีดวงตาเห็นธรรม มันก็เป็นจริตของเรา

สิ่งที่จริตคืออาหารที่ถูกลิ้นไง อาหารที่ถูกลิ้นมันก็ถูกกับจริตนิสัย เราก็กินอาหารได้มาก ร่างกายเราก็แข็งแรง แต่ถ้าอาหารไม่ถูกลิ้นนะ ทำอย่างไร มันกินแล้วก็ได้แต่ฝืนๆๆ การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน มันก็จะฝืนความรู้สึกตลอดไปถ้ามันไม่ตรงจริตตรงนิสัย

อำนาจวาสนานี้แข่งกันไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มันเป็นอดีต สิ่งที่เป็นอดีตคือภูมิหลังที่สร้างมา เห็นไหม การศึกษาเล่าเรียนของเราก็เหมือนกัน ใครศึกษาวิชาการสิ่งใดมามันก็เป็นวิชาชีพของวิชาการของอาชีพนั้น ในเมื่อเราศึกษาวิชาชีพนี้มา แล้วเราจะไปทำวิชาการอื่นมันก็ทำได้ เพราะคนจบหน้าที่การงานมีวิชาชีพอย่างนั้นมา เขาทำงานที่ไม่ตรงกับสาขาที่เขาเรียนมาก็มี เพราะเขาสามารถทำได้

อันนี้ก็เหมือนกันในเมื่อเราประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันไม่ตรงจริตตรงนิสัย กุศโลบายนะ อุบายวิธีการที่จะพยายามบิดให้การกระทำไปให้ความเพียรเราก้าวหน้า ให้กิเลสมันตามความเพียรเราไม่ทัน นี่เรามีกิเลสในหัวใจ เราจะรู้สิ่งใด กิเลสมันรู้ตามไปหมดล่ะ ความลับถึงไม่มีในโลกไง

การกระทำของโลกเขา เขาบอก เขาทำความลึกลับไว้ เขาทำความดีความชั่ว เขาก็ทำสะสมไว้ในใจจะไม่มีใครรู้กับเขา...แต่เรานี่รู้ เจตนานี่รู้ ภวาสวะ ตัวภพนี่รู้ รู้หมดเลย ทำอะไรก็รู้ลงที่ใจ แล้วกิเลสมันอยู่หลังนี้อีกนะ กิเลสมันอยู่หลังความคิด เพราะอะไร เพราะเวลาคิดขึ้นมาแล้วเราต้องการ กิเลสมันอยู่ข้างหลังมันก็ขับไส เราคิดสิ่งใด พอใจสิ่งใด มันก็พยายามไปตามตัณหาความทะยานอยากเรา เห็นไหม กิเลสมันอยู่เบื้องหลังความคิดนี้ ถ้ามันอยู่เบื้องหลังความคิด มันก็ขับเคลื่อนไป

ทีนี้เราศึกษามาขนาดไหน กิเลสมันก็อยู่กับเรา เห็นไหม จริตนิสัยมันก็เหมือนกัน มันถึงต้องถูต้องไถไป ต้องใช้กุศโลบายให้กิเลสมันตามความคิดนี้ไม่ทัน ถ้ากิเลสตามความคิดไม่ทัน สิ่งที่เป็นอารมณ์โลก โลกียปัญญา ปัญญาที่เรามีการศึกษามา เรามีปัญญานี้ เราคิดอะไรมันมีรสชาติล่ะ รสของธรรม...รสของรูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะกับอายตนะนี่มันมีรสชาติ สุขทุกข์มันพอใจ สิ่งที่มีรสชาติ มันก็ทำกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็สุม มันก็ใส่ฟืนใส่ไฟให้ต้องการไปนี้คือรสของรูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม

พุทโธๆ พุทธะ กรรมฐาน พุทโธ พุทธะ เราใช้กรรมฐาน นี่คืออาหารของใจ เราจะเริ่มเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เราควรจะหาพุทธะนะ

“พุทธธรรม” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระกิเลสได้

แม้แต่ฆราวาสธรรมก็ยังสั่งสอนให้ปฏิบัติอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรมคุณธรรมอย่างนี้จะทำให้เราเกิด เกิดต่อไปเราก็มีเสบียงอาหาร คนเราจะออกจากบ้านจากเรือน ถ้ามีเสบียงมา เราจะไปไหนเราก็ไปด้วยความอบอุ่นใจ ถ้าออกจากบ้านมีแต่ตัวเปล่าๆ แล้วระยะทางเดินของเราอีกยาวไกล เราต้องเดินไปโดยที่ไม่มีเสบียงเลย อดอาหาร อดน้ำขนาดไหนก็ต้องเดินไป นั้นเพราะไม่ได้สร้างบุญกุศลมา

ถ้าสร้างบุญกุศลมาอย่างนี้ นี่มันอยู่ที่ใจ เวลาส่งสิ่งที่เราสละออกไปนี่เป็นวัตถุ เป็นอาหาร เก็บไว้ก็เน่าเสียนะ สละออกไปขนาดไหนนี่เป็นทิพย์หมดเลย เราคิดถึงการสละทานของเราตั้งแต่ปีที่แล้ว สิบปีที่แล้วยังสดๆ อยู่นะ ยังอุ่นๆ อยู่เลย มันไม่เสียหาย เพราะอะไร เพราะเป็นนามธรรม เวลาจิตมันดับไป นี่ สิ่งนี้มันจะตามติดไป มันจะเป็นทิพย์ๆๆ ทั้งหมดเลย แล้วไปเกิดที่ไหน เพราะบุญกุศลอันนี้สร้างสมมา นี่ไงเสบียง ถ้าเราสร้างสมสิ่งนี้ มันเป็นเสบียงของเราไปอนาคต ถ้าเราเกิดเราตายนะ แล้วเรากำหนดพุทโธๆ นี่ล่ะ

“ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับมีความสงบในหัวใจสัมผัสหนหนึ่ง ผู้ที่มีสมาธิร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่ง”

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะทำความสงบของใจ บุญกุศลเราจะพัฒนาของเราขึ้นไป เริ่มตั้งแต่ทำทานเพื่อให้จิตใจมันสละความตระหนี่ถี่เหนียวของมัน ให้มันมีโอกาสได้รู้จักตัวตนของเรา มันจะรู้จักชีวิตนี้คืออะไร เกิดมานี่เกิดมาทำไม เกิดมาทุกข์มายาก แล้วสิ่งที่เป็นความสุขมีไหม เกิดมาในโลกนี้

มันก็มีความสุขแกร็นๆ ที่โลกเขามีกันอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นความสุขประสาโลก สิ่งนี้มันก็เป็นไปตามประสาโลก แล้วแต่บุญกุศล แล้วแต่กรรม แล้วแต่เบียดเบียนกัน แล้วแต่โลกสภาวะสังคมเป็นอย่างไร เห็นไหม สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกๆ นะ แล้วความสุขแท้ๆ อยู่ที่ไหนล่ะ

ความสุขแท้ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วิจัย เป็นผู้วิเคราะห์ค้นคว้าขึ้นมา ได้สัมผัสจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ถึงวิมุตติสุข เป็นองค์แรกของโลก เห็นไหม นี่สิ่งนี้มีจริง แล้วสิ่งนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ

สิ่งนี้เวลาเราทุกข์เราทุกข์ที่ไหน? เราทุกข์ที่ใจ เรามีความรู้สึก บางทีเราต้องการวัตถุ ต้องการเรื่องของโลก เราก็ได้สิ่งตามต้องการ มันมีความสุขไหมล่ะ? มีความสุขขณะที่ได้ใหม่ๆ พอมันเก่า มันเจือจางไปมันก็อยากได้ใหม่ตลอดไป เห็นไหม ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นความสุขจริง เราได้มาสมความปรารถนา มันต้องเป็นความสุขของเราตลอดไปสิ ทำไมมันเป็นความสุขชั่วคราวล่ะ ชั่วคราวเพราะอะไร เพราะมันเป็นเครื่องล่อมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก เหมือนกับกิเลสมันอ่อยเหยื่อ เราเอาเหยื่อป้อนมัน มันก็มีความสุขชั่วคราว

แต่มันก็มีความสุขจริง ถ้ามีความสุขจริง สุขจริงเกิดจากที่ไหน? เกิดจากจิตสงบ จิตสงบแล้วทำอย่างไร จิตสงบ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้กำหนดพุทโธๆ ก่อน ให้มีสติแล้วกำหนดพุทโธๆ ถ้าปฏิบัติใหม่ๆ ก็พร้อมทั้งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเพราะมันเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

พุทโธมันเป็นสิ่งที่ไม่มีรสชาติ แต่อารมณ์ความรู้สึกของเรามันมีรสชาติ มีรสชาติทำให้จิตนี้ต้องการแสวงหา มันก็ไปตามรสชาตินั้น นี่คิดไปไม่มีวันจบ คิดจนนอนไม่หลับก็มีนะ แต่ถ้าพุทโธๆ นี่มันไม่อยากคิด มันจืดมันชืด เห็นไหม อาหารที่มีคุณภาพรสชาติไม่รุนแรง กินเข้าไปแล้วจะให้ประโยชน์กับร่างกาย สิ่งที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย แต่กิเลสมันผลักไส กิเลสมันไม่ต้องการ มันต้องการสิ่งที่เป็นธรรมเมา เมาไปในอารมณ์ เมาไปในธรรมะ เมาไปใน...สิ่งนั้นเป็นพอใจ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัตินี่เป็นการให้อาหารให้หัวใจโดยปัจจุบัน พุทโธๆ ถ้ามันไม่เอาเราต้องบังคับ นี่กิเลสมันผลักไสมันไม่ต้องการ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเชื่อ เรามีศรัทธาความเชื่อ เราเป็นสาวกะ เราเป็นสาวก เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องบังคับ บังคับให้มันกำหนดพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ สิ่งนี้อาหารที่ไม่เป็นพิษ

สิ่งที่เป็นพิษ ถ้าอยู่กับพุทโธ อารมณ์ที่มันมีอารมณ์ความรู้สึก มันให้สารพิษ ให้ความเป็นพิษเป็นภัยกับหัวใจ สิ่งนี้มันก็ออกไปฟุ้งซ่าน แต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับเขา กับหัวใจของเราเอง กลับไม่ยอมกิน ไม่ยอมกินเพราะมันสิ่งที่ว่ามันไม่เคยได้สัมผัส แต่ถ้าเราสัมผัสขึ้นมา กิเลสมันก็ไม่ต้องการ เราถึงต้องเชื่อธรรม

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาสภาวธรรมนี้เป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นความสุข ความพอใจมันก็เป็นของชั่วคราว สิ่งที่เราสร้างสมขึ้นมา ธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม สิ่งใดต่างๆ เกิดจากจิตก็เป็นของชั่วคราว คือเป็นอนัตตา มันเวียนไป มันเกิดดับๆ ตลอดไป เราถึงต้องพยายามสร้างสมขึ้นมา มีสติสะสมขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าทำความสงบของใจให้ได้นะ มันเป็นความสุขอย่างยิ่ง

ผู้ที่เร่ร่อน คนออกไปตามถนนหนทาง คนที่ไม่มีบ้านมีเรือนมันต้องเร่ร่อน มันไม่มีบ้านพัก เขาหลบร้อนหลบหนาว ฝนตกแดดออกเขาก็หาที่หลบของเขาตามแต่อำนาจวาสนาของเขา แต่คนมีบ้านมีเรือน ฝนตกแดดออกเราก็อยู่ในบ้านของเรา เรามีสิ่งที่อยู่อาศัย จิตสงบนี่เหมือนมีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งนะ ผู้ที่เร่ร่อนมันไม่มีบ้านก็เปรียบเหมือนคนเร่ร่อนต้องตาดแดดตากฝนไป คนที่มีบ้านไง ทำความสงบของจิตเข้ามาได้ เพราะจิตมันเร่ร่อนไปในอารมณ์ความรู้สึก มันฟุ้งซ่านไปตามความรู้สึกความคิดนี่ มันเป็นแดดเป็นลมที่ตากแดดตากฝน แต่เขาไม่รู้นะ

แต่ขณะที่ว่า เราทำความสงบของใจ เราจะสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างบ้านสร้างเรือนก็ต้องหาไม้หาสิ่งต่างๆ ประกอบเป็นบ้านเรือนขึ้นมา กำหนดพุทโธๆ ตั้งสติขึ้นมานี่มันก็ไม่อยากทำ เวลาทำขึ้นมาได้บ้านได้เรือนขึ้นมานี่ จะรู้ไม่รู้เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติ

สัจจะความจริง จิตสงบเข้ามาขนาดไหน กำหนดพุทโธเข้าไป พุทโธเข้ามาเรื่อย ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะลึกเข้าไป...ชื่อนี้เป็นการให้การให้นาม แต่ความเป็นจริงมันเกิดจากใจ เกิดจากความรู้สึก เกิดจากปัจจัตตัง เป็นความสัมผัสของจิต จิตสัมผัสความสงบ

เวลาทุกข์ยากนี่ทุกข์กันมาก บ่นกันมาก ความทุกข์นี่ให้บ่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ใครๆ ก็บ่นได้ แต่มันไม่สามารถชำระด้วยการบ่น แต่กำหนดพุทโธๆ นี่ไม่ใช่บ่น เป็นคำบริกรรม บริกรรมหมายถึงจิตที่เป็นนามธรรม ที่ไม่มีที่เกาะเกี่ยวให้มันเกาะเกี่ยวกับพุทโธไว้ตลอดไป เกาะเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อน แม้แต่ยังไม่ได้ตัวก็ขอชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พุทธะๆ”

“พุทธธรรม” สมาธิธรรมนี้ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง “พุทธะๆ” มันเป็นความจริงอันหนึ่ง สัจจะความจริง เวลาพระอาทิตย์ขึ้นต้องตก สว่างแล้วต้องมืด มืดคู่กับสว่าง สิ่งที่ฟุ้งซ่านต้องสงบได้ สิ่งที่ทำไม่ได้มันต้องมีสิ่งที่ทำได้ สิ่งที่ทำได้คือความจงใจ ความตั้งสติของเรา เรามีความจงใจ เรามีความเพียรของเรา ความเพียรชอบจะทำให้จิตนี้สงบได้แน่นอน

ที่ว่า ไม่ได้ๆ นั้นเป็นความหลอกลวงของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก หลอกให้เราหลงใหลไปกับความคิดของเขา แต่ถ้าเรามีสัจจะความจริงของเรา มันจะเข้ามาเป็นความสงบของใจ ใจต้องสงบได้ สงบได้ด้วยคำบริกรรม ด้วยสติ สิ่งนี้เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่เราทำไม่ถึงจุดความจริงอันนั้น เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่กิเลสมันจะแทรกเข้าไป

ขณะที่ว่า เราประพฤติปฏิบัติเป็นธรรมเมา กิเลสจะแทรกขึ้นไป เราจะหลงตามกิเลสไปแล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันไม่เป็นความจริงหรอก ขณะที่เป็นความจริง จะใครบอก จะใครยกย่อง ใครจะเชื่อไม่เชื่อ นั้นเป็นเรื่องจากภายนอก แต่หัวใจสัมผัสเอง

สงบเข้ามานี่ ขณิกะ ชั่วคราว หลุดมือไปเสียดายมาก เสียดายเพราะอะไร เสียดายเพราะสิ่งนี้พอสัมผัสเข้าไปมันตื่นเต้น เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เราไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเราก็ทำใหม่ สิ่งนี้เป็นการยืนยันกับเราแล้วว่าความสงบของใจมันเป็นไปได้ เราก็ตั้งต้นขอองเรา แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติใหม่ ตั้งต้นใหม่ก็ทำไปได้ มันสงบเข้ามา เราก็ตั้งสติให้ดีๆ เข้า มันสงบเข้าไปอีก สงบเข้าไป นี่การทำความสงบบ่อยครั้งเข้าๆ จนชำนาญการ ต้องชำนาญการนะ ถ้าไม่ชำนาญการ สมาธิเป็นอนิจจัง เกิดดับ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีการบำรุงรักษา ต้องเสื่อมไปโดยธรรมดาแน่นอน

เวลาความคิดเกิดจากไหน? เกิดจากจิต ไม่ใช่จิต เวลาจิตสงบเกิดจากไหน? ก็เกิดจากจิต เข้าไปสงบในจิต แล้วเวลาสมาธิเสื่อมไป ฟุ้งซ่านขึ้นมาแล้วจิตอยู่ไหน? นี่มันเกิดจากจิตแล้วก็ดับไปจากจิต แต่จิตนี้อยู่ตลอดไป ความรู้สึกนี้อยู่ตลอดไป สิ่งที่ตลอดไป เพียงแต่เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวสงบ

ถ้าเรามีความชำนาญของเรา เราทำความสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ ต้องมีความชำนาญ รู้จักการรักษาเป็น ถ้ารักษาเป็นนี่จิตสงบเข้ามา แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา เราจะน้อมไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม นี่เป็นงานวิจัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิจัยมาแล้วว่าจิตนี้มันติดในร่างกายของเรา

สิ่งที่ติด ติดหมายถึงว่า มันยึดมั่นถือมั่นของมัน ถ้ายึดมั่นถือมั่น คือการเห็นผิด สิ่งนี้คือเชื้อโรค เชื้อโรคคือเราเห็นผิดในเรื่องร่างกายนี้ ร่างกายนี้เป็นสมมุติอันหนึ่ง เป็นสมบัติของเราโดยกรรม

เราสร้างบุญกุศลมาเราถึงได้จุติในครรภ์ของมารดา เกิดมาเป็นเรา แล้วเราบำรุงรักษาจนเติบโตขึ้นมา นี้เป็นเรา เป็นเราในชั่วอายุขัย อายุขัยนี้เป็นสมมุติ เห็นไหม สมมุติเป็นความจริงชั่วคราว จริงตามสมมุติ มันเป็นเรื่องสมมุตินะ สมมุติบัญญัติ เราติดสมมุติและบัญญัติกัน เราถึงเข้าไม่ถึงวิมุตติ เราถึงไม่เข้าถึงความสุขที่แท้จริง

เราต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง อยากให้มีความสุข อยากได้มีความสุขที่คงที่ด้วย ไม่ใช่ความสุขที่แปรสภาพ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ที่ใจนี่ แล้วเวลาใจมันหลงแล้วมันไปติดในความสมมุติอันนั้นน่ะ

แล้วปัญญาอย่างเรายังต้องให้มันหลอกอีกหรือว่า “กายก็ต้องเป็นเราสิ ก็เราเกิดมาแล้วเป็นเรา” เราโดยสมมุติไง จะบอกว่าไม่จริงก็จะเถียง กิเลสมันก็จะเถียงว่า “จริงสิๆ ก็เป็นเรานั่งอยู่นี่ เป็นเราแน่นอน” มันเป็นเราโดยสมมุติ เป็นโดยกรรมสภาวะสร้างมา เวลาจิตสงบเข้ามาน้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าน้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นโดยสัจจะความจริงนะ เห็นสัจจะความจริงมันจะสะเทือนหัวใจมาก การเห็นกายโดยดวงตาของใจจะสะเทือนหัวใจ

แต่ถ้าเป็นธรรมเมานะ ธรรมเมานี่เวลาเห็นกาย นึกเป็นสัญญาอารมณ์ เห็นภาพของกาย ภาพของกายใครก็สร้างได้ สร้างภาพกายขึ้นมาแล้วก็ทำลายกายไปให้มันระเบิด ให้มันทำลายไป ให้มันปล่อยวางไป แล้วจะเป็นโสดาบัน เห็นไหม การวิปัสสนากาย เห็นกายเป็นจริง สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในเรื่องของกาย “สักกายทิฏฐิ” ทิฏฐิว่ากายเป็นเรา เราเป็นกาย กายมีในเรา เรามีในกาย นี่ ๒๐ ความยึดมั่นเรื่องของสังโยชน์มันผูกมัดไว้ที่ใจ

มันเหมือนกับคนทำนา เวลาคนทำนาเขาทำนา เขาต้องเริ่มปรับพื้นที่ เขาต้องไถนาของเขา ต้องไถนา ไถคราด แล้วไถหว่าน ไถเสร็จแล้วต้องชักน้ำเข้าให้สมควร ก่อนจะทำนาต้องปลูกกล้า แล้วเวลาเสร็จสมบูรณ์แล้วต้องถอนกล้า ปักดำในนาของตัว เห็นไหม แล้วเราก็ไปนั่งดูเขาทำนา

งานวิจัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิจัยมาแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ววางธรรมไว้ ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเธอ เป็นเครื่องมือของเธอ เราก็ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับเราไปดูเขาทำนา เห็นเขาทำนา เราทำได้หมด เรานั่งดูเขา นี่เขาทำนา เขาไถ เดี๋ยวก็มาดูเขาทำอย่างไรต่อไป เขาไถแล้วเขาชักน้ำเข้านา เสร็จแล้วเขาก็ถอนกล้า แล้วก็ปักดำ สิ่งที่เขาปักดำ เราก็ทำได้ๆ สิ่งที่ทำได้นี่ธรรมเมา

มันเป็นสัญญาอารมณ์แล้วมันไม่รู้จริงหรอก สิ่งที่ไม่รู้จริงมันก็ไม่มีการกระทำ สิ่งที่ไม่มีการกระทำ เห็นไหม เวลาเราดำนานะ เราดำนาไปแล้วนี่ ถ้าคนดำไม่เป็น นี่กล้าก็ลอย กล้าไม่ปักหรอก ดำนาเสร็จแล้วเราต้องชักน้ำเข้านา ถ้าหน้าน้ำหลาก ดำนาเสร็จแล้ว กล้างอกงามแล้ว น้ำมาก เราจะทดน้ำออกจากนาอย่างไร เพราะถ้าน้ำท่วมต้นกล้าจะเน่าตาย แต่ถ้าน้ำน้อย เราจะชักน้ำเข้านาอย่างไรให้สมควรกับกล้านั้น

ดินก็คือตัวจิต กล้าก็คือตัวกาย น้ำคือสติ สิ่งนี้มันหมุนเวียนได้ แล้วแต่ฤดูกาล ถ้าฤดูกาลนั้นเป็นสภาวะน้ำน้อยน้ำมาก เราจะเปลี่ยนแปลง เห็นไหม อากาศ สิ่งที่เป็นอากาศ สิ่งที่เป็นอาหารของต้นข้าวนั้น ต้นข้าวนั้นต้องมีดิน น้ำ อากาศ สิ่งสมบูรณ์แล้วมันจะเจริญงอกงามของมันขึ้นมา

สิ่งการกระทำ ผู้ที่เคยทำนา เขาจะมีประสบการณ์ของเขา เขาจะแก้ไขเหตุการณ์ในขณะที่ว่า ต้นกล้ากว่าจะออกเป็นรวงข้าว กว่าจะเก็บเกี่ยวข้าว กว่าจะเอาข้าวนั้นเข้ามาในยุ้งในฉาง สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ ถ้าประสบการณ์นี้คือพุทธธรรม พุทธธรรมคือผู้ที่มีดวงตาของใจ ดวงตาภายใน เห็นไหม ตาของใจ ได้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

ความเป็นไปของจิต สิ่งที่จิตมีรากมีฐาน มันจะสงบเข้ามา เป็นน้ำ เป็นสิ่งเป็นพื้นฐาน เห็นไหม ตัวจิต ตัวสติเป็นน้ำ เป็นอากาศ นี่สิ่งนี้มันจะวิปัสสนาไป สิ่งวิปัสสนาไปเหมือนกับเราบำรุงต้นข้าว เราจะบำรุงต้นข้าวอย่างไร ขณะที่เป็นพุทธธรรมนะ

บางคราวฤดูกาลน้ำหลากจนเราแก้ไขไม่ได้ น้ำนั้นจะท่วมข้าวจนเน่าตายหมด ขณะบางฤดูกาลแล้ง แล้งจนต้นข้าวตาย เราเป็นผู้ที่ชำนาญนะ เราเข้าใจอยู่ ถ้าเหตุการณ์พอที่กำลังเราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เราจะแก้ไขของเราให้ต้นข้าวของเราเจริญงอกงาม เราทำได้ แต่บางคราวฤดูกาลมันวิกฤติจนเราไม่สามารถควบคุมได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตของเราเวลาวิปัสสนากายไปมันปล่อยๆ แต่มันไม่ได้สมุจเฉท มันไม่ได้ขาด สิ่งที่ปล่อยไม่ได้สมุจเฉท ไม่ขาด มันปล่อยชั่วคราว พอปล่อยชั่วคราวก็เหมือนน้ำหลาก น้ำหลากมันท่วมจนต้นข้าวเน่าตายไป มันปล่อยแล้วเราชะล่าใจไง นี่กิเลสมันแทรกเข้ามานะ พอมันแทรกเข้ามาว่า “สิ่งนี้เราปล่อยแล้ว มันสมุจเฉทปหานแล้ว เราปล่อยวางกิเลสแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริง”

เวลามันคลายตัวออกมานะ กิเลสนี่เราพยายามใช้วิปัสสนาจะทำลายกิเลส กิเลสมันฉลาดมาก เวลาจิตเรามีกำลัง เราวิปัสสนาไป กำลังมันพอ สมดุล ความเพียรชอบ งานชอบ สิ่งที่ความเป็นชอบทั้งหมดในมรรค ๘ มันมีกำลังของมัน มันก็เป็นไปตามกำลังของมรรคนั้น มรรคนั้นทำลายเข้าไป จะทำลายความเห็นผิด ทำลายทิฏฐิมานะที่ไปเห็นสักกายทิฏฐิที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น ให้มันปล่อยวางสิ่งนั้น มันปล่อยชั่วคราว พอปล่อยชั่วคราวนี่กิเลสมันก็หลบไป มันก็ปล่อย ปล่อยก็มีความรู้สึก มีความสุข ก็คิดว่าอย่างนี้เป็นธรรม นี่กิเลสมันหลบไปนะ

พอกิเลสมันหลบไป หลบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลบออกมุม หาที่หลบที่ซ่อน แล้วเวลาธรรมของเรา เราชะล่าใจ เพราะกิเลสเข้ามาแทรกในความรู้สึก นี่เวลากำลังของสมาธิมันถอยมันเสื่อมออกมา ออกมากระทบกับความรู้สึก ทุกข์มาก เพราะถ้าเป็นความจริง มันต้องรู้จริงเห็นจริง ต้องมีสติ ต้องมีความเข้าใจในเรื่องของชีวิต

ถ้ามันไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจสิ่งนี้ก็เป็นธรรมเมา พอเป็นธรรมเมามันก็เสียใจ พอมันเสียใจ กิเลสมันก็โหมโรงใส่ เห็นไหม เราเสียใจเพราะเราทำแล้วผิดพลาด เราไม่มีอำนาจวาสนา มันจะไม่จะยอมประพฤติปฏิบัติต่อไปไง ขณะที่จิตเสื่อมขนาดไหน เราจะต้องมีความมุมานะของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างโอกาสมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัย ๔ อสงไขย แสนมหากัป ท่านทำได้มาตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร ทำไมท่านทำของท่านมาได้ล่ะ

ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาตลอด ทุกข์ยากขนาดไหนท่านก็ต้องการความสุขของใจ ท่านไม่ต้องการความสุขปรนเปรอของชีวิตหรอก ถ้าความสุขของชีวิต บวชแล้วก็ไม่ต้องเข้าป่าเข้าเขา ไปอยู่ที่ไหนก็มีคนนับหน้าถือตา เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยล้นฟ้า ทับให้ตายก็ตายนะ นี่ท่านไม่ต้องการสิ่งที่ความสุขเปลือกๆ อย่างนี้ไง ท่านถึงต้องเข้าป่าเข้าเขาเพื่อพยายามใช้สติสัมปชัญญะให้กิเลสมันสงบตัวลง เพื่อจะมาวิปัสสนาสภาวะแบบนั้นไง

ถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ทำให้เราถึงกับท้อแท้ท้อถอยนะ แต่ถ้าเรามีสติเราก็ต้องฟื้นกลับมาใหม่ เห็นไหม ถ้าฟื้นกลับมาใหม่ ถ้าเป็นธรรมเมา มันจะเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นพุทธธรรม พุทธธรรมคือการที่เราเป็นคนทำการกระทำอย่างนี้ จนถึงที่สุดวิปัสสนากาย กำลังพอ เราน้อมไปที่กาย ภาพชัดเจนมาก แล้วก็รำพึงให้แปรสภาพ สิ่งที่แปรสภาพคือเป็นไตรลักษณ์ เป็นไตรลักษณ์จะแปรสภาพไป ไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก

ดูอย่างชีวิตสิ ต้องเกิดต้องตาย ความเป็นไปต้องเกิดต้องตาย แต่มันมีอันหนึ่งที่คงที่ คือความรู้สึกที่มันเกิดตาย แต่เกิดตายในสถานะของภพชาติ ในสถานะของชีวิต ในสถานะของกาลเวลา แต่สิ่งที่กาลเวลาเพราะอะไร เพราะกรรมขับเคลื่อนไป สิ่งนี้ก็หมุนเวียนเข้าไป

แต่ถ้าถึงที่สุด “วิมุตติสุข” เวลาในพุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือตัวธาตุรู้ แต่เพราะมีอวิชชาถึงได้เกิดได้ตายอยู่ สิ่งที่มีชีวิตแล้วทำลายอวิชชาตัวนี้ไป ชีวิตนี้เกิดจากตรงนี้ไง

ถ้าเป็นศาสนา เป็นพุทธธรรม จะเข้าใจสัจจะความจริง เพราะพุทธธรรม ยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถแก้การเกิดและการตายนะ การเกิดและการตายเป็นความทุกข์อย่างยิ่งกับจิตที่พาเกิดพาตาย ศาสนาจะต้องแก้ไข จะต้องรู้จริงในชีวิต ในสัจจะของชีวิต

สัจจะของชีวิตนี่เกิดมาเพราะอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากกรรม ทำกรรมดีมา เกิดมาก็มีบุญกุศล ทำกรรมชั่ว เกิดมาเหมือนกัน กรรมชั่วนะ แต่กรรมชั่วที่ยังมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาก็กระทบกระเทือนสิ่งนี้ไป สิ่งนี้อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ นี้เกิดคือเกิดจากสภาวกรรม

แล้วเกิดมาแล้วในปัจจุบันเรามีโอกาส ปัจจุบันนี้เป็นโอกาสที่ได้แก้ไข ในปัจจุบันนี้ เหมือนคนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เราจะทำอย่างไรให้เราออกจากโรงพยาบาลได้ไง เหมือนกับที่ชีวิตนี้มันต้องตายไป ในโอกาสของชีวิตนี้ถ้าเราสร้างพุทธธรรมเป็นมรรคญาณที่ถูกต้อง เราจะทำลายเรื่องภพเรื่องชาติออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงที่สุดเห็นความเป็นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาออกไปจากใจ นี่จะไม่มีการเกิดและการตายอีกเลย เพราะพลังงานขับเคลื่อนอันนี้มันไม่มีอีกแล้ว

ชีวิตนี้เกิดจากกรรม แล้วการกระทำคือกรรม คือมรรคญาณ กรรมอันประเสริฐที่สุดนี้ทำลายเชื้อไขออกไป ชีวิตนี้มันก็เป็นชีวิตที่คงที่ เป็นวิมุตติ เป็นนิพพานที่คงที่ มีความสุขตลอดไปไง

แต่ถ้าเป็นลัทธินะ เป็นลัทธิต่างๆ ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือการอ้อนวอน ชีวิตคือการเคารพ ชีวิตคือการยอมจำนนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ไม่รู้จักว่าชีวิตนี้คืออะไรนะ เห็นไหม พุทธธรรมจะรู้จักว่าชีวิตนี้คืออะไร วิธีการที่จะทำลายอวิชชา วิธีการที่จะทำลายกิเลสออกจากใจ ทำอย่างไร

“พุทธธรรม” พระโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วิเคราะห์วิจัยมานี่ประเสริฐที่สุด ประเสริฐมาก สิ่งที่ประเสริฐ แล้วผู้ที่ทำ ผู้ที่วิเคราะห์วิจัยสิ่งนี้มา ถ้าพุทธธรรมในหัวใจ นี่วิปัสสนากาย วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเป็นไตรลักษณะขนาดไหน จะปล่อยวางขนาดไหน ถ้าไม่มีญาณทัสสนะ ญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งนี้ขาดแล้ว นี่จะเป็นธรรมเมา ถ้าเป็นธรรมเมาจะไม่เข้าใจสัจจะ ตามความเป็นจริงแล้วจะไม่สามารถแก้ไขวิกฤติ ขณะที่ว่าเราทำนานี่ เราไม่สามารถแก้ไขวิกฤติ

เราออกไปในโลกนะ ชีวิตของเราทั้งชีวิตมันต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆ มหาศาลเลย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเราออกไปจากข้างนอก ออกไปที่ชุมชนมันจะมีแต่เรื่องของคนอื่นวุ่นวายไปหมดเลย เราออกไปเมืองที่ใหญ่ขึ้น เป็นอำเภอ เป็นจังหวัดจะยุ่งมาก เราออกไปโลก ยิ่งออกไปต่างประเทศ มันยิ่งยุ่งไปใหญ่เลย เพราะมีการเอารัดเอาเปรียบกัน เพราะภูมิประเทศ ความเป็นไปของทรัพยากรมันต่างกัน มันจะต้องทีการแย่งชิงกันด้วยปัญญาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ย้อนกลับมาในการประพฤติปฏิบัติที่เข้าไปในการทำนาของจิตนี้ ในการสร้างมรรคญาณที่เข้าไปทำลายเชื้อไขการเกิดและการตายที่จะรักษาเรื่องการเกิดและการตายในชีวิตนี้มันยุ่งยากกว่านั้น มันมีความลึกลับมหัศจรรย์ มีความเปลี่ยนแปลง มีเล่ห์ มีเหลี่ยม มีเล่ห์กล

เวลาเราสร้างธรรม เราพยายามทำสมาธิ มันก็เป็นความที่ว่าเป็นงานอันประเสริฐ งานที่ว่าผู้ที่มีบุญญาธิการ มีความเชื่อจะมีความศรัทธา สัจจะจะรักษาสิ่งนี้ได้ ถ้ามีความเชื่อ ทำแล้วนี่จะล้มลุกคลุกคลานไง แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา สิ่งนี้เป็นสภาวธรรมนะ พุทธธรรมเกิด เกิดชั่วคราว “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” ธรรมนี่เกิดสภาวะเกิดดับๆ เราต้องพยายามสืบต่อ พยายามสร้างสม สิ่งนี้เกิดขึ้นมามันก็ทำลายกิเลส แล้วกิเลสจะโดนทำลายมันก็ต้องต่อต้าน ต้องหากลอุบายวิธีการ

ถ้ากิเลสมันไม่ฉลาดนะ มันไม่เป็นเจ้าวัฏจักรหรอก มันไม่ครองสัตว์โลกไว้ตั้งแต่ในจักรวาลนี้ ในวัฏฏะนี้มันครองสิ่งที่เป็นสัตว์โลกไว้ในอำนาจของมันทั้งหมด แล้วเวลาเราวิปัสสนาเข้าไป มันจะมีเล่ห์มีเหลี่ยมของมันออกมา...สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีปัญหาในหัวใจไง ในการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีแง่มุม มีวิธีการมหาศาลเลย

ถ้าเป็นพุทธธรรม เห็นไหม จะมีแง่มุมขนาดไหนมันจะแก้ได้ แก้ได้เพราะอะไร เพราะมีหลักการ หลัก เห็นไหม หลักคือตัวพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตัวหลักนี้ จิตสงบจะเห็นนิมิต เห็นความเป็นไป จะเห็นต่างๆ ถ้าเห็นแล้วตกใจ กลับมาที่พุทโธ ถ้าเห็นสิ่งต่างๆ ต้องมีสติ สติกับพุทธะ อยู่ที่นี่จะเกิดสิ่งใด

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ นิมิต เพราะคำว่า “นิมิต” จิตออกรู้ จะออกรู้สิ่งใดล่ะ จะเห็นภาพที่ตกใจ เราก็กลับมาที่พุทโธ เห็นภาพกาย เห็นภาพสิ่งที่พอใจ นี่สิ่งนี้เกิด ถ้าไม่มีสติ เราใช้พลังงานออกไปมาก เช่น เห็นสิ่งที่เราพอใจ เรามีความรู้สึกไปกับเขา เคลื่อนออกไป ดับ นิมิตก็ดับ อยากให้อยู่กับเรานานๆ มันก็ไม่อยู่ แต่ถ้าสิ่งที่เกิดแล้วไม่พอใจจะผลักไส ก็จะเห็นได้ เห็นไหม กลับมาที่พุทโธแล้วมีสติไว้ รับประกันได้ว่าจะไม่เสียหาย

ถ้าเห็นสิ่งใดแล้วตกใจ มีความตื่นกลัวในหัวใจ เราก็ตั้งสติไว้ เดี๋ยวก็จะหายไป อย่าให้ฝังใจไว้ ถ้าเห็นความตื่นกลัว สิ่งใดๆ ฝังใจไว้ สิ่งที่ฝังใจไว้มันจะเป็นสิ่งที่เป็นบาดแผล แล้วเวลาจะทำสิ่งใดมันจะเข้าไปถึงตรงนั้นนะ เราต้องตั้งสติแล้วลบสิ่งนี้ออกๆ ให้จิตนี้เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินที่ปรับพื้นสภาพให้มั่นคง แผ่นดินนะ เขาจะบ้วนน้ำลายใส่ เขาจะปลูกต้นไม้ เขาจะเอาแผ่นเงินแผ่นทองไปปะ แผ่นดินนี้ไม่สะเทือนนะ นี่ก็เหมือนกัน เราพยายามทำแผ่นดิน ปรับพื้นที่เราให้เสมอ พอที่เสมอ เราจะทำงานก็สะดวก สิ่งใดที่เห็นแล้วมันสะเทือนใจ เราปล่อยวางๆ ถ้าสิ่งที่เป็นแง่เป็นมุม เป็นสิ่งที่เป็นการประพฤติปฏิบัติ พุทธธรรมโดยหลักจะแก้ไขสิ่งนี้ จะเข้าใจสัจจะความจริง

การประพฤติปฏิบัตินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ ๖ ปี ครูบาอาจารย์ของเราสมบุกสมบันมาทั้งชีวิต การประพฤติปฏิบัติ การต่อสู้กับกิเลสเป็นงานที่แสนยาก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราสร้างสถานะทางครอบครัว เราก็ว่าเป็นงานที่ลำบากลำบนพอสมควร ลำบากลำบนนะ

ถ้ากิเลสมันขับไส กิเลสมันปลิ้นปล้อน มันจะเอาแต่มักง่าย เอาแต่สะดวกสบาย เราก็เป็นงานที่ว่าแสนยากแล้ว แต่การประพฤติปฏิบัติมันเป็นการเอาชนะตัวเอง ยากกว่านั้นอีก ดูสิ เวลามันปลิ้นปล้อน กิเลสมันจะบอกว่า “ทำอย่างนี้ดีกว่า ทำอย่างนี้ง่ายกว่า” มันจะเอาแต่มักง่าย แล้วจะมีแต่ความทุกข์ยาก

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปตามสัจจะความจริง ไม่มักง่าย ไม่เอารัดเอาเปรียบ สิ่งนี้มันจะเป็นความจริงตลอดไป การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติจากภายใน งานที่เอาชนะตนเองต้องมีสติสัมปชัญญะ

อดนอน ผ่อนอาหาร นี้เป็นเรื่องจำเป็นมากนะ เพราะอะไร เพราะร่างกายนี้มันได้กินอาหารเต็มกำลังของเขา ธาตุจะมีกำลังมาก ความคิด เห็นไหม ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕...ขันธ์ ๕ ก็จะมีกำลังของมัน พอมีกำลังของมัน มันคิดของมัน เวลาสัญญามันปรุงมันแต่ง เวลาสัญญามันจำได้หมายรู้ สังขารมันปรุงมันแต่ง แล้วก็เอาธรรมะ แอบอิงธรรมะของพระพุทธเจ้าว่านี้เป็นธรรมๆ นี่ธรรมเมามันเป็นอย่างนั้นไง

แต่ถ้าเราอดนอน ผ่อนอาหาร สิ่งนี้มันจะเบาลง นี่คนผ่อนอาหาร ร่างกาย ธาตุมันไม่มีอาหารไปปรนเปรอมัน กิเลสมันก็ไม่เอาสิ่งนี้เป็นเหยื่อ สิ่งที่เป็นอาหารนะ ถ้าเรามากินอาหารเพื่อดำรงชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระไว้ เตือนไว้นะ ให้ฉันอาหารเหมือนกับหยอดน้ำมันแค่ล้อเกวียน ไม่ให้เสียงมันดังอ๊อดแอ๊ดๆ จนเกินไป ให้เกวียนนั้นหมุนไปได้ ให้สิ่งนี้ดำรงชีวิตได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วมันก็ไม่ทับเรานะ ไม่ทับคือว่ามันไม่มีอิ่มเต็มเกินไป กินอิ่มนอนอุ่น กิเลสมันจะพองตัวนะ ถ้ากินพอประมาณแค่ดำรงชีวิต เพื่อไม่ให้กิเลสมันได้กดถ่วงเรา

นี่มันเป็นกลอุบายวิธีการ การอดนอนผ่อนอาหารนี้ไม่ใช่มรรค ตัวมรรคคือความเพียรชอบ งานชอบ สมาธิสติชอบ สิ่งที่ชอบนี้เป็นมรรค แต่มรรคจะเกิดมาจากไหนล่ะ? มรรคเกิดจาการกระทำของเรา

ถ้าในร่างกายของเรา เหมือนไม้ดิบๆ อาหารทับธาตุขันธ์ตั้งมหาศาลเลย ธาตุขันธ์ก็ปรุงแต่งไป เหมือนไม้ดิบๆ มรรคมันจะเกิดได้อย่างไร มรรคจะเกิดแต่ไม้แห้งๆ เราถึงต้องมาถือศีลกันไง ศีล ๘ ไม่กินข้าวเย็น ศีล ๘ ไม่ดูการละเล่นฟ้อนรำ เพราะการละเล่นฟ้อนรำมันจะเข้าไปกระตุ้นกิเลสให้พอใจ อยากจะร้องฟ้อนรำ เห็นไหม นี่ทำมาจากไม้ดิบให้เป็นไม้แห้ง ถ้าทำไม้แห้ง มรรคเกิดตรงนี้ไง

อดนอน ผ่อนอาหารก็เหมือนกัน อดนอนผ่อนอาหาร บวชมาแล้วกำลังประพฤติปฏิบัติ เราเป็นพระเป็นเจ้า สิ่งนี้สังคมเขาให้เกียรติมาก เพราะอะไร เพราะเราบวชแล้ว การงาน เช้าออกบิณฑบาต เขาอยากได้บุญกุศลของเขากับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอออกบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง นี่สิ่งนี้สะอาดบริสุทธิ์มาก เลี้ยงชีวิตชอบ เพราะเขามีศรัทธาความเชื่อของเขา ศรัทธาของเขาให้ด้วยความเต็มใจ เราออกไปบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต เอาอาหารมาเลี้ยงชีวิต นี่สัมมาอาชีวะสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องมากเลย

ขณะที่กลับมาฉันอาหาร ขณะฉันอาหาร เห็นไหม สัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สิ่งที่ได้มานี่สะอาดบริสุทธิ์ แต่เป็นสัปปายะกับเราไหม ถ้าเป็นสัปปายะ กินอิ่มนอนอุ่นไง บริสุทธิ์ผุดผ่อง เลี้ยงชีวิตชอบก็เลี้ยงให้ธาตุขันธ์มันเข้มแข็งขึ้นมา ธาตุเข้มแข็งขึ้นมามันก็มีกำลังขึ้นมา มันก็เหยียบย่ำหัวใจที่สติก็ล้มลุกคลุกคลาน การประพฤติปฏิบัติมันก็ล้มเหลวไป ปฏิบัติไม่เห็นได้เลย

งานที่เขาเคารพบูชา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาเคารพบูชาเพื่อการฉันอาหารของเขา แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มันได้ความสงบของใจขึ้นมา มันได้เกิดพุทธธรรม ปัญญาเกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมา แม้แต่เทวดาเขายังอยากได้บุญกุศลของเขา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจิตสงบขึ้นมา เทวดาเขาจะมาปกป้องคุ้มครอง

ขณะที่ว่าเราฟุ้งซ่านขึ้นมา ครูบาอาจารย์บอกว่า อยู่ในป่าในเขา เวลาเสือตัวใหญ่ๆ ผิดปกติ นั่นเสือเทพ เทพคือสิ่งที่มีบุญญาธิการต่อกันมา เราได้สะสมบุญญาธิการต่อกันมา เห็นไหม จะมาแปลงกายมาเป็นเสือ แล้วก็จะมาหมอบอยู่ข้างๆ หมอบเพื่ออะไรล่ะ นี่ไงคือการดับกิเลส ถ้าการดับกิเลส ถ้าเราฟุ้งซ่าน เราคิดมาก มันก็คิดออกไป ถ้ามันเห็นเสือ เห็นสิ่งที่เป็นภัยขึ้นมา มันจะออกไปข้างนอกไม่ได้ มันก็พุทโธๆๆ ขึ้นมา มันกลัวไง มันไม่ออกไปฟุ้งซ่าน มันก็สงบเข้ามา

สิ่งที่สงบเข้ามา...เวลาขันธ์มันมีกำลัง เวลาธาตุขันธ์มีกำลัง สิ่งที่อาหารเป็นสัปปายะ คือฉันแล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้วจิตมันสงบ จิตมันร่มเย็นขึ้นมา แม้แต่เทวดาสิ่งต่างๆ เขายังอนุโมทนากับเรา แล้วผู้ที่ใส่บาตร ให้ทานมากับเรา สิ่งที่เขาใส่บาตรให้ทานมานี่เขาก็อยากได้บุญกุศลของเขา ฉันอาหารของเขาแล้วได้สร้างบุญกุศลของเขา ได้ทำความสงบของใจขึ้นมา ได้เกิดปัญญา ได้เกิดพุทธธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหลักการที่สัจจะความจริงที่เข้ามารู้สัจจะของในชีวิตนี้ สิ่งนี้มันก็สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมบุญของเขาให้สูงขึ้น เห็นไหม เขาก็เป็นสุขเราก็เป็นสุข

บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ที่ดำรงศาสนา ศาสนานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นะ “มารเอย เมื่อใด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน เราจะวางรากฐานของศาสนา”

เพราะอุตส่าห์สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะมาตรัสรู้ธรรม ทุกข์อยู่ ๖ ปี ได้มาแล้วจะวางรากฐานไว้ให้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ทรงธรรมทรงวินัย แต่ต้องให้เป็นพุทธธรรมนะ อย่าเป็นธรรมเมา ธรรมเมานี่จำมา ศึกษามา ด้นเดามา แล้วก็ว่ากันไปตามเกมของสังขารปรุงแต่ง อิงธรรมแล้วก็อาศัยกิเลสหลอกลวงกันไป

ถ้าเป็นพุทธธรรมนะ วางหลักวางเกณฑ์ไว้ จนขนาดว่า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะประพฤติปฏิบัติมาได้เป็นเอตทัคคะ พระอุบาลี สิ่งต่างๆ นี่ประพฤติปฏิบัติกันมา ขณะที่ประพฤติปฏิบัติไปจนถึงที่สุด มารก็พยายาม เพราะว่าถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ไปนี่มารจะเสียใจมาก ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมจนเข้าใจสัจจะชีวิต จนเอาชีวิตนี้หลุดพ้นออกไปจากสมมุติทั้งหมด มารคอตกๆ นะ แล้วเมื่อไหร่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์...ทั้งๆ ที่สัตว์ก็เยอะมหาศาลอยู่ในอำนาจของเขา เขาก็เป็นอย่างนั้นนะ จนถึงเข้าไปจะพยายามนิมนต์ดลใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้นิพพาน

จนวันมาฆบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มารเอย บัดนี้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารเท่านั้นน่ะ โลกธาตุหวั่นไหว พระอานนท์เข้าใจเลย เพราะสิ่งที่หวั่นไหวนี้ สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นเป็นอะไรหนอ เพราะเหตุใดหนอโลกธาตุถึงหวั่นไหว”

“อานนท์มันเป็นอย่างนี้เอง คราวใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด จะตรัสรู้ ปลงอายุสังขาร โลกธาตุจะหวั่นไหว” พระอานนท์เข้าใจเลยว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว พระอานนท์พยายามอ้อนวอน อ้อนวอนให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตต่อไป สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริง

สิ่งนี้ในการประพฤติปฏิบัติ เล่ห์กลของกิเลส เล่ห์กลในหัวใจ สิ่งนี้จะมีมหาศาลเลย ถ้าเป็นพุทธธรรมจะเข้าใจสิ่งนี้เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในภัทรกัปนี้ก็คือองค์ที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะมาเกิดอีก เห็นไหม สิ่งเกิดอีกเพราะอะไร

เพราะมีสัตว์ มีจิต มีวิญญาณ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ตลอดไป สิ่งนี้มันเป็นการดำรงอยู่ สิ่งที่ดำรงอยู่โดยธรรมนี่มันดำรงอยู่ได้แสนยาก เพราะมันต้องมีผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ แล้วประพฤติปฏิบัติเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเข้าไป จะเข้าไปสัมผัสพุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสร้างสมบุญญาธิการมา แล้วอายุขัยของมนุษย์ก็ชั่วคราวๆ สิ่งนี้ก็ต้องหมุนเวียนไป ศาสนาถึงมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ วนเวียนไปตามแต่ยังมีสิ่งที่มีสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องวนเวียนไป ธรรมมีอยู่แล้ว ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สภาวะแบบนี้ เราถึงมีสัจจะเข้ามาในหัวใจ

การอดนอน การผ่อนอาหาร การเป็นสัปปายะในอาหารต่างๆ มันจะมีความเข้าใจ ถ้าเรามีอินทรีย์แก่กล้า เราไม่เป็นผู้ที่เสียเปรียบหรอก กิเลสมันนึกว่าจะเสียเปรียบนะ ถ้าบิณฑบาตมานี่สัมมาอาชีวะ เราก็ต้องฉันให้ฉลองศรัทธาเขา ให้เขาได้บุญกุศล...สิ่งที่ได้มามันเป็นบุญกุศลตั้งแต่เขาสละแล้วนะ เราได้มาเพราะอะไร เพราะการให้มานี่เกิดจากเจตนา สละออกมาก็เป็นบุญกุศลของเขา เราได้มาก็เป็นบุญกุศลของเรา

ผู้ที่ปฏิบัติ เวลาออกบิณฑบาตได้มากก็ดี ได้น้อยก็ดี สิ่งนี้เป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลนะ ไม่เหมือนกันหรอก อย่าเทียบเคียง ของข้างนอกเราอย่าไปเทียบเคียงใคร เราจะเทียบเคียงความรู้สึกของเรา เทียบเคียงทุกข์ของเรา เทียบเคียงสัจจะของเรา เทียบเคียงใจของเราขึ้นมา ให้มันเป็นสัจจะความจริงของใจเราเข้ามา แล้วให้มันเกิดขึ้นมา ถ้าเป็น “พุทธธรรม” พุทธะ ความรู้สึก มันจะเป็นสุภาพบุรุษไง ไม่โกงแม้แต่ตัวเองนะ

ถ้าเป็นธรรมเมา โกงตัวเอง โกงให้ตัวเองไม่มีโอกาส กาลเวลาเสียไปๆ เราจะหมดโอกาสไป ถ้าสิ่งนี้ไม่เป็นสัจจะความจริง เราจะเสียโอกาส นี่ถ้าธรรมเมา โกงแต่ตัวเอง แม้แต่ตัวเองก็ยังโกง แล้วจะไม่โกงคนอื่น เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ตัวเองก็ยังโกงชีวิตนี้แล้วนะ เพราะชีวิตเกิดมา ถ้าไม่เข้าสัจจะความจริง ไม่เข้าพุทธธรรม เราต้องเกิดตายๆ แน่นอน เราจะไม่ได้ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจสัจจะชีวิตในตามความเป็นจริง แล้วเอาชีวิตนี้พ้นออกไปจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะนะ นี่โกงแม้แต่ตัวเอง

แต่ถ้าเป็น “พุทธธรรม” จะเป็นสุภาพบุรุษ สิ่งใดเกิดขึ้นมาจะมีสติสัมปชัญญะ จะควบคุม จะไตร่ตรองว่าสิ่งนี้เป็นความจริงหรือไม่จริง เพราะแม้แต่สมาธิก็ยังมีสัมมาและมิจฉา แม้แต่สมาธินะ ถ้าเป็นมิจฉามันก็จะไม่เข้ามาเป็นมรรคเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นสัมมาสมาธิ ก็จะไม่เข้ามรรค ๘ มรรค ๘ ต้องเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสติ ต้องเป็นสัมมา ต้องเป็นความถูกต้องทั้งหมด ถ้ามันเป็นความไม่ถูกต้อง มันจะเข้ามาเป็นสัมมาได้อย่างไร มันจะวิปัสสนาไปจนมรรคสามัคคี รวมสมุจเฉทปหานแต่ละขั้นตอนเข้าไปได้อย่างไร

ถ้ามันรวมตัวเข้ามาสมุจเฉทปหานเป็นแต่ละขั้นตอนเข้าไป มันจะเห็นสังโยชน์ขาด ขาดอย่างไร ขณะจิตที่พลิกจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนก็เข้าใจ เพราะความควบคุมของอายตนะได้ ควบคุมรูป รส กลิ่น เสียง ที่เป็นพวงดอกไม้แห่งมารได้ นี่พุทธธรรม จะเห็นตั้งแต่สมาธิ สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร มิจฉาสมาธิเป็นอย่างไร จะเข้าใจสัจจะความจริงทั้งหมด แล้วยกขึ้นโสดาปัตติมรรคนี่มันรวมตัวอย่างไร มันทำลายอย่างไร ขณะจิตที่พลิกจากปุถุชนเป็นพระโสดาบัน

จิตนี้ จากเป็นปุถุชนต้องเวียนตายเวียนเกิดเป็นเหยื่อของวัฏฏะ จิตนี้ต้องเกิดต้องตายในวัฏฏะตลอดไป แต่เป็นพระโสดาบันจะเกิดตายอีก ๗ ชาติเท่านั้น ไม่เป็นเหยื่อของวัฏฏะ มีต้น มีปลาย มีขอบ มีเขต ว่าจิตนี้จะมีเป้าหมาย แต่ถ้ายังไม่ถึงพระโสดาบัน มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปกับสัจจะความจริงอันนั้น บุญกุศลสร้างขึ้นมาก็ต้องสร้างเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แน่นอน บาปอกุศลสร้างขึ้นมาก็ต้องตกนรกอเวจีแน่นอน เห็นไหม สิ่งนี้ต้องเวียนไปๆ

ถ้าเรามีศีล ๕ เราปิดอบาย สิ่งที่ปิดอบาย พระโสดาบันไม่ตกอบายเด็ดขาด เพราะมีสติสมบูรณ์ในขั้นของโสดาบัน แล้วขณะจิตที่มันเปลี่ยนเป็นสกิทาคามี อนาคามี แล้วเป็นอรหัตตผลขึ้นมานี่ จนพ้น เข้าใจสัจจะความจริงของชีวิตทั้งหมด นี่พุทธธรรม “พุทธธรรม” จะเห็นแง่มุมของมันทั้งหมด

ผู้ที่ผ่านพ้นจากการประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ค้นคว้าจากงานวิจัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิจัยจากที่เป็นยาแท้ ยาดั้งเดิม เป็นพุทธปัญญา เป็นปัญญาพุทธะ เป็นสิ่งที่เป็นความถูกต้อง กับสิ่งที่เขาเกิดขึ้นมามันเป็นธรรมเมา เป็นเมา เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เมาโดยเจ้าลัทธิ เห็นไหม ลัทธิต่างๆ ที่อ้อนวอนเอาขอเอา สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มัวเมาทั้งหมดเลย แต่มันเป็นยาคนละขนานของเขา นั้นก็เป็นเรื่องของเขา เป็นแต่อำนาจวาสนาของสัตว์โลกที่เกิดมาจะเชื่อถือสิ่งใด ในศาสนาต่างๆ เขาต้องมี เห็นไหม อย่างในปัจจุบันนี้เขาจะมีสิ่งแลกเปลี่ยนให้เข้ามานับถือศาสนาของเขา

แต่ในศาสนาพุทธของเราไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่มีการอ้อนวอนขอเอา เพียงแต่ถ้าเข้ามาประพฤติปฏิบัติแล้วถึงต้องบังคับเอาไง ต้องบังคับให้เข้ากับพุทธธรรม ก่อนจะนับถือศาสนาสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องเลย ต้องการพิสูจน์ เห็นไหม ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด ไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์ต่างๆ ไม่ให้เชื่อต่างๆ ให้เชื่อจากการพิสูจน์ขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาจากหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนขนาดนั้นนะ

แม้แต่ในพราหมณ์สมัยพุทธกาล เวลามาศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะขอร้องเลย ขอร้องว่าอย่าให้ทิ้งเจ้าลัทธิของตัวเอง จะมาศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปฏิเสธตลอดเลย ปฏิเสธทั้งนั้นนะ ให้เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา...

ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน เวลาท่านเทศนาว่าการนะ ท่านจะไม่หวั่นไหว จะไม่วิตกวิจารณ์เลยว่า ผู้ที่ฟังเทศน์จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เพราะสิ่งนี้มันเป็นวุฒิภาวะ วุฒิภาวะของเด็กๆ มันก็เข้าใจของมันแบบเด็กๆ วุฒิภาวะของผู้ที่เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี วุฒิภาวะจะต่างกันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ นี่ธรรมะภูมิใด ขั้นใด

ถ้าเป็นพุทธธรรม สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ จะไม่คดโกงตัวเอง มันจะมีสัจจะความจริงกับตัวเอง หลักของใจมันมีอยู่ตลอดไป แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงจากวัฏฏะ จะเข้าใจในวัฏฏะ เพราะจิตนี้พ้นจากวัฏฏะ จะเข้าใจวัฏฏะทั้งหมด

แล้วกิเลสของจิตที่เป็นสัตว์โลกที่เกิดมาแต่ละชั้นแต่ละภูมิ แต่ละภพแต่ละชาติ มันมีจริตนิสัยของเขามาอย่างนั้น เขาก็ติดข้องของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม พุทธธรรมอันนี้แก้ไขได้หมด พุทธธรรมอันนี้จะเป็นยาธรรมโอสถที่เยียวยาได้ทั้งหมด สิ่งที่เยียวยาได้ รักษาได้ มันจะเป็นสัจจะความจริงอันนี้ จะเป็นคุณประโยชน์

เราถึงกล่าวถึงรัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สงฆ์คืออริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ก็เป็นสงฆ์ สงฆ์อย่างนี้เป็นสงฆ์ในกิจกรรม กิจกรรมเป็นสังฆะ เป็นกิจกรรมของสงฆ์ ของสงฆ์เพื่อจะให้สงฆ์รื้อค้นขึ้นมา ให้เป็นอริยสงฆ์ ถ้าอริยสงฆ์ขึ้นมาจากใจ นั่นล่ะพุทธธรรม ถ้าเป็นสมมุติสงฆ์ก็ยังเป็นธรรมเมา มัวเมาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของแท้ ของแท้คือดวงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

เวลาวิมุตติสุข ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิมุตติสุขไปก่อน แล้ววางธรรมวินัยนี้เป็นคำบอกเล่า เป็นสิ่งที่วางธรรมวินัยไว้ให้เราก้าวเดิน จะวางธรรมไว้อีก ๕,๐๐๐ ปีให้พวกเราก้าวเดิน แล้วเราเกิดกึ่งพุทธกาล ในพระไตรปิฎกบอก กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญหนหนึ่ง แล้วในปัจจุบันเจริญไหม ถ้าไม่เจริญ ทำไมมีครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วได้ผลมาในหัวใจ เป็นพุทธธรรม แล้วสามารถกล่าวแก้ความเป็นไปของจิต ความเป็นไปของกิเลสตัณหาที่มันปกคลุมหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่ปกคลุมหัวใจ สิ่งนี้เป็นความลึกลับนะ

เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องการหาหมอเพื่อรักษาเรา เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งไปหาหมอ หมอคนไหนที่เขาเป็นหมอที่เขาไม่เลี้ยงไข้ หมอคนไหนที่เขามีความชำนาญ เราอยากให้หมอคนนั้นรักษาเรา ขนาดเรื่องกายเรายังวิ่งไปหาหมอเลย แล้วเราประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่รู้จริง องค์หลวงปู่มั่น ท่านอยู่หนองผือ คฤหัสถ์อยากไปทำบุญต้องซื้อทางเข้าไป ต้องเข้าไปหาหมอแท้นะ ไปหาสิ่งที่เป็นพุทธธรรม หาสิ่งที่เป็นจรรโลงหัวใจ

สิ่งที่ทำบุญ ทำอย่างนั้น เนื้อนาบุญของโลก เราได้หว่านนาของเรา ข้าวพืชพันธุ์ของเราไปในเนื้อนาอย่างนั้น เราจะได้บุญกุศลของเรา เราจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ประโยชน์ตรงไหน ประโยชน์สิ่งที่เราสร้างสิ่งนั้นให้ย้อนกลับมาให้จริตนิสัยนี้มันควรแก่การงาน เขาสร้างโอ่ง สร้างไห เขาสร้างสิ่งต่างๆ เขาต้องนวดดินของเขาขึ้นมา ถึงจะสร้างรูปของเขาขึ้นมา

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีหัวใจ มีศรัทธาความเชื่ออย่างนั้น มันจะมีความจงใจ มีความเชื่อ เห็นไหม เราอยากปฏิบัติ เรานั่งปฏิบัติของเรา เราก็ชวนหมู่คณะของเรานั่งปฏิบัติ เขาไม่อยากปฏิบัติ เขาก็นั่งเพราะการชวนของเรา ก็สักแต่ว่าทำ มันเหมือนกับวัตถุอันหนึ่ง เหมือนกับตอไม้ เหมือนกับสิ่งที่เอามาตั้งไว้ มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะมันสักแต่ว่า เพราะมันปฏิเสธผล

แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีศรัทธาความเชื่อ เราเปิดโอกาสของเรา ถ้าได้ก็ได้เต็มที่ ถ้าไม่ได้ก็คือการกระทำของเรา นี่ปฏิบัติบูชา บูชาเพื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะเราตั้งใจ เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา นี้เป็นเป็นพุทธธรรม พุทธธรรมคือความเป็นกลาง เป็นความสมดุล ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่คดโกงแม้แต่ตัวเอง แล้วไม่คดโกงคนอื่นแล้วจะเป็นสิ่งที่จรรโลงศาสนา เอวัง