หมาเฝ้าบ้าน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “การเฝ้าดูจิต”
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ กระผมเคยฟังบรรยายของหลวงปู่ดูลย์ทางยูทูบ บรรยายโดยลูกศิษย์ของท่าน ฟังแล้วดูเหมือนว่าทำง่าย แต่ยากมาก และยังมีข้อสงสัยอยู่ จึงขอรบกวนถามพระอาจารย์ดังนี้ครับ
๑. ในขณะที่ผมดูจิตนั้นจะมีเผลอตามดูนิมิตที่เกิดขึ้น ควรแก้อย่างไรครับ
๒. ผลที่เกิดจากการดูจิตนั้นทำให้เราสามารถดับอารมณ์ความรู้สึกได้เร็วขึ้นใช่ไหมครับ
๓. ในขณะที่ดูจิต เกิดความว่างขึ้น ความว่างนี้ก็ยังเป็นไตรลักษณ์อยู่ใช่ไหมครับ จากเหตุคือการดูจิตและผลการรู้ทันจิต รู้ทันอารมณ์ได้เร็วขึ้น นี้เป็นการปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้องใช่ไหมครับ ขอพระอาจารย์เมตตาด้วย
ตอบ : ผิดหมด
ถูกต้อง ถูกต้องอะไร มันไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้องเพราะอะไร เพราะว่าเราจะพูดถึงนะ เพราะว่าคำถามเริ่มต้นบอกว่า “กราบนมัสการท่านอาจารย์ กระผมได้ฟังบรรยายของหลวงปู่ดูลย์โดยผ่านทางยูทูบ บรรยายโดยลูกศิษย์ของท่าน”
ถ้าพูดถึงว่าหลวงปู่ดูลย์ๆ เราไม่สงสัยในหลวงปู่ดูลย์เลย เพราะคนเป็น คนเป็นท่านบอกคำว่า “ดูจิตของท่านๆ” เพราะ “หลวงปู่ฝากไว้” ในหนังสือของหลวงปู่ดูลย์ ท่านพูดถึงการดูจิต ท่านพูดชัดเจนมาก เพราะคำว่า “ดู” ของท่านคือดูด้วยปัญญา คือดูด้วยปัญญาอบรมสมาธิ คือดูด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ดูเพ่งอย่างพวกเรา
ทีนี้พอบอกว่า บรรยายโดยลูกศิษย์ของท่าน
แล้วบรรยายโดยใครล่ะ บรรยายโดยลูกศิษย์ของท่าน ก็ที่เราศึกษา พระเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ๙ ประโยคกัน นี่คือการศึกษาทางวิชาการ คือจบแล้ว แล้ว ๙ ประโยคกัน เวลาเขาจบ ๙ ประโยคแล้วเขาไปทำอะไรกันต่อ เขาทำอะไรกันต่อ
แต่เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านศึกษาโดยการประพฤติปฏิบัติของท่าน ชีวิตของท่านตั้งแต่เริ่มต้น เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเกิดในป่า เกิดที่สวนลุมพินี ท่านตรัสรู้ในป่า เวลาชีวิตของท่านอยู่ในป่าแล้วเวลาเผยแผ่ไปๆ ก็แล้วแต่กิจนิมนต์ เวลาท่านจะนิพพานก็ไปนิพพานในสวนของมัลลกษัตริย์ นี่ไง ชีวิตเกิดในป่า อยู่ท่ามกลางในป่า อยู่เป็นหลักเป็นเกณฑ์
ทีนี้พอศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบมา ๙ ประโยค๑๐ ประโยค แล้วทำอะไรต่อ เผยแผ่ธรรม ขี่เครื่องบินรอบโลกไปทัศนศึกษา แล้วมันได้อะไรขึ้นมา
เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ไปเผยแผ่ธรรมๆ เอาธรรมะไปเผยแผ่หรือเอากิเลสไปเผยแผ่ คนที่มีเจตนาตั้งใจทำดี มี เราเข้าใจว่ามี แต่ถ้ามีขึ้นมา ดูสิ เวลาไปเผยแผ่ทางยุโรปต่างๆ เขาต้องการสมาธิ เขาต้องการทำความสงบ เขาต้องการข้อเท็จจริง การศึกษาเดี๋ยวนี้ใครก็ศึกษาได้
ฉะนั้นบอกว่าฟังธรรมของหลวงปู่ดูลย์
คำว่า “หลวงปู่ดูลย์ๆ” สาธุ ยกครูบาอาจารย์ท่านไว้ ทีนี้คำว่า “หลวงปู่ดูลย์” หลวงปู่ดูลย์ถูก แต่ความหมายของหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดกระชับ คำว่า “กระชับ” การดูจิต เพราะใน “หลวงปู่ฝากไว้” ในธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ท่านจะเขียนคำว่า“รู้” หรือ “ดู” เป็นตัวใหญ่ๆ คือท่านจะเขียนอักษรมาธรรมดา แต่พอดูหรือรู้ ท่านจะขยายเป็นตัวใหญ่ คำว่า “ตัวใหญ่” คือไม่ใช่ดูธรรมดา ไม่ใช่ดูไม่ใช่รู้ธรรมดาแบบเรานี่ คำว่า “ดู” คำว่า “รู้” ดู รู้ แบบความเป็นจริงไง
ฉะนั้น แล้วบอกว่าบรรยายโดยลูกศิษย์นี่ไปเลย เพราะลูกศิษย์ของท่าน ลูกศิษย์ของท่านมหาศาล แล้วลูกศิษย์มันไม่รู้จริงเห็นจริง มันก็อ้าง อ้างว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์ ทุกคนก็อ้างว่าหลวงปู่ดูลย์ เหมือนสุนัขห่มหนังเสือ เห็นไหม เอาเสือมาห่มตัวเองไว้ แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นเสือ เห่าออกมาก็เป็นสุนัขวันยังค่ำ แต่ถ้ามันเป็นเสือนะ เขาไม่ต้องห่ม มันเป็นข้อเท็จจริงของเขา ถ้ามันเป็นความจริงไง
ทีนี้คำว่า “การเฝ้าดูจิตๆ” เขาว่าอย่างที่ทำมาถูกไหม
ผิด เพราะการดูของหลวงปู่ดูลย์มันดูแบบหลวงตาที่หลวงตาท่านเทศน์สอนคือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าการดูของหลวงปู่ดูลย์นะ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ คือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้าบริกรรมพุทโธ หลวงปู่ดูลย์สอนพุทโธ บางคราวท่านก็ให้ทำพุทโธ แต่ด้วยความถนัดของท่าน ท่านพูดถึงว่า ทีนี้ท่านใช้คำกระชับว่า “ดู” ดูคือดูแบบผู้บริหารจัดการ ดูแบบผู้อำนวยการโครงการ ต้องของบประมาณ ต้องมีบุคลากร ต้องมีโครงการทำทุกอย่างมันถึงจะเป็นอะไร
ไอ้ของเราดูแบบภารโรง คอยแลกบัตรอยู่หน้าสำนักงานน่ะ ไอ้ดูอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์หรอก อย่างนี้เขาเรียกว่าหมาเฝ้าบ้าน
ดูหมาเฝ้าบ้านสิ หมาเฝ้าบ้านนะ ดูสิ อย่างที่ว่าถ้าพูดถึงเขาเป็นยาม เขาดูแลความปลอดภัย มันเป็นประโยชน์ไหม ก็เป็น เป็นประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าในองค์กรนั้น ผู้อำนวยการองค์กรนั้น งบประมาณในองค์กรนั้นบุคลากรในองค์กรนั้น โครงการนั้นใครเป็นคนบริหารจัดการ นั่นน่ะมันถึงให้องค์กรนั้นมีข้อเท็จจริงตามองค์กรนั้น ยามก็เป็นบุคลากรคนหนึ่ง เป็นบุคลากรส่วนหนึ่ง
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน หมาเฝ้าบ้าน หมาเฝ้าบ้านมันเห่านะ มันดูแลนะ มันซื่อสัตย์กับเจ้านายมันนะ มันก็เป็นประโยชน์ของมันนะ แต่หมาไม่ใช่เราใช่ไหม ดูจิตๆจิตของใคร มันจะเป็นหมาเฝ้าบ้านใช่ไหม
ถ้ามันเป็นความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงมันจะต้องมีสติมีปัญญา เพราะว่าสมัยหลวงปู่ดูลย์ เรารู้ เวลาดูจิต ทุกคนจะไปรายงานท่าน ท่านบอกผิดทุกที การดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ ถ้าหลวงปู่ดูลย์ยังมีชีวิตอยู่นะ ท่านสอนอย่างนี้จริงๆ แล้วก็ให้กลับไปดู กลับไปรักษาไปดูแล แล้วเวลาไปหาท่าน ท่านจะบอกไม่ใช่ๆๆ หลวงปู่ดูลย์ที่จะบอกว่าใช่นี่น้อยมาก ท่านจะให้อุบาย แล้วทุกคนเข้าไป เข้าไม่ถึง เวลาหลวงปู่ดูลย์อยู่ มันไม่เป็นอย่างนี้
ตอนนี้พูดถึง เวลาบอกว่า ฟังบรรยายธรรมของหลวงปู่ดูลย์โดยผ่านลูกศิษย์ๆ
แล้วลูกศิษย์ถ้ามีความรู้จริงนะ เขาอธิบายแล้วมันจะเข้าใจ นี่พูดถึงนี่อารัมภบทนะ ยังไม่เข้าปัญหาเลย
ปัญหา “๑. ขณะที่ผมดูจิตนั้นจะมีเผลอตามดูนิมิตที่เกิดขึ้น ควรแก้อย่างใด”
นี่หมาเฝ้าบ้าน หมาเฝ้าบ้านนะ เวลาหมาเฝ้าบ้าน เวลามีคนมามันจะเห่า ถ้ามีรถมา มันจะวิ่งตามไปเลย นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่ดูจิตนี้มันเผลอดูนิมิต มันก็ส่งออกไง มันตามไปไง หมาเฝ้าบ้านไง
คำว่า “ดูจิตๆ” เขาดูการเกิดดับ เขาต้องดู การเกิดดับคืออะไร คือความคิดความคิดเกิดจากอะไร เกิดจากจิต ถ้าความเกิดดับแล้วมันจะเข้าไปสู่จิต นี่เวลาหลวงปู่ดูลย์สอน ท่านสอนอย่างนี้ คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดนั้นก็ต้องใช้ความคิด การดูก็ต้องมีสติปัญญาดูแลรักษานะ นี่ถ้ามันเอาข้อเท็จจริง
ทีนี้มันอยู่ที่เด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเด็กมันดูมันก็ดูแบบยามน่ะ มันบอกว่าของมันๆ เหมือนหมาเลย หมามันเฝ้าบ้านอยู่ อยู่หน้าบ้าน ทรัพย์สมบัติในบ้านมหาศาลเลย หมามันว่าเป็นของมันไหม ถ้ามันเอามันก็เอาอาหารเท่านั้นน่ะ หมามันต้องการอาหาร ต้องการให้เจ้านายซื้อไส้กรอกให้มันกิน แต่แก้วแหวนเงินทองมันไม่รู้จักหรอก นี่ถ้าหมาเฝ้าบ้าน ถ้าหมาก็สัญชาตญาณของมัน มันรักเจ้าของแต่ทรัพย์สมบัติในบ้านนั้นมันไม่รู้จัก นี่ก็เหมือนกัน ดูจิตๆ ดูอย่างไร ดูอย่างไร
แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ ใช้ปัญญาดู ใช้ปัญญา เพราะความคิดมันก็เกิดจากจิต ไอ้ปัญญาๆ ก็เกิดจากจิต ถ้าปัญญาเกิดจากจิต มีสติปัญญา มันก็ไล่เข้าไปเป็นปัญญาอบรมสมาธิ หลวงตาท่านใช้คำว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็นสมถะ มันเป็นสมถะเพราะจิตมันหยุดไง “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด” หยุดคิดของหลวงปู่ดูลย์นั่นน่ะ ต้องหยุดคิด ต้องใช้ปัญญา “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่ก็ต้องใช้ความคิด”
“จิตส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์ ดูจิตๆ จนจิตเห็นอาการของจิต”
ตอนที่จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิต จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงจะเป็นอริยสัจ
“จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลของการที่จิตเห็นจิตเป็นนิโรธ”
เขาไม่ได้ไปดูนิมิต เขาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นตามความเป็นจริงไง
ทีนี้เข้าคำถามที่ ๑. “ในขณะที่ผมดูจิตนั้นจิตมันเผลอดูนิมิตไปเกิดขึ้น ควรแก้ไขอย่างไร”
นิมิต ถ้าพูดถึงใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าใช้ปัญญาใช่ไหม นิมิตคืออะไร ใครเป็นคนเห็นมัน แล้วเห็นเป็นประโยชน์อะไร หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนอย่างนี้ไง การดูการรักษาคือดูแลอย่างนี้ ดูแลแบบเจ้าของบ้าน
เจ้าของบ้านนะ ใช่ มีหมาเฝ้าบ้าน มีหมาอยู่หน้าบ้าน หมาอยู่ในบ้านก็ได้อยู่หน้าบ้านก็ได้ หมาก็คือหมา หมามันก็ซื่อสัตย์กับเจ้าของมัน หมามันก็เป็นยามคอยเห่าเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามา แต่ทรัพย์สมบัติ ของในบ้านเรามีค่าไม่มีค่าเราเป็นคนรู้นะ ของที่มีค่า เอกสารที่มีความสำคัญ เราจะเก็บรักษาอย่างใด นี่ไงถ้ามันรู้ เราเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วมันก็ปลอดภัย มันก็สบายใจใช่ไหม มันก็เป็นสมาธิไง
ถ้าเราเก็บดูแลรักษาอย่างดี เช้าขึ้นมา หายหมดเลย เอกสารก็หาย ทุกอย่างก็หาย ว่างหมดเลย ดูจิตจนว่างเลย ถ้าพอเข้าใจได้ โทษหมา หมาเอ็งเฝ้าบ้านไม่ดี เอ็งเฝ้าบ้านอย่างไรให้ขโมยเข้ามาลัก นี่ไปโทษหมา โทษเขาไปหมดเลยเพราะไม่ใช่ปัจจัตตัง ไม่ใช่สันทิฏฐิโก ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อเรา ไม่ใช่การปฏิบัติด้วยความเป็นจริง
นี่ไง ดูจิตๆ ดูอย่างไร
นี่พูดถึงว่า ถ้าลูกศิษย์เขามาอธิบายก็ฟังไป พอฟังไปแล้วเป็นอย่างนี้ คือการปฏิบัติมันปฏิบัติง่าย ถ้าการทิ้งๆ ขว้างๆ นี่ง่ายหมด คนเราลูกหลานโตมาไม่ต้องมีการศึกษา ให้มันโตมาเลย เดี๋ยวพ่อแม่จะเลี้ยงทั้งชีวิต โอ้โฮ! มันมีความสุขของมันน่ะ
แต่ถ้าคนที่มีปัญญานะ เขาส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ๖ ขวบ ๗ ขวบ ขึ้นเครื่องบินไปคนเดียว น้ำตาท่วมสนามบินน่ะ กว่าที่มันจะไปเรียนเมืองนอก กว่าที่มันจะไปสร้างสมตัวมันมา มันต้องไปศึกษามา ไปศึกษา ถ้ามันมีวุฒิภาวะ มันเอาตัวรอดได้ มันก็ได้ความรู้มา บางคนไปศึกษาแล้วเขาเอาตัวรอดไม่ได้ จิตใจของเขาอ่อนแอ เขาไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก เขากลับมาโดยความล้มเหลว นี่ไง มันยังมีอย่างนั้น เห็นไหม ลูกเราหลานเราก็ต้องมีการศึกษา
นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องทำอะไรเลย ดูเฉยๆ ปล่อยมันลอยลม แล้วมันจะเป็นคนมีปัญญามาก ทุกอย่างจะดีไปหมดเลย...มิจฉาทิฏฐิ ผิด
แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนพุทโธ ท่านสอนพุทโธด้วย พุทโธนี่นะ มันเป็นที่พักได้ เช่น เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันเหนื่อยมันล้า มันเพลีย เราก็มาพุทโธเสีย ใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนจิตมันหยุด พอจิตมันหยุด มันดับหมด แบบว่ามันหยุดคิด มันไม่ดับ พลังงานยังมีความรู้สึกอยู่ แล้วทำอย่างไรต่อ ทำอะไรไม่ได้ เราก็พุทโธต่อเนื่องไป
พุทธานุสติเป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธงนำในการทำความสงบ แล้วท่านให้พวกเราทำ แล้วทำไมเราไม่ใช้ล่ะ ทำไมธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ล่ะแล้วเราบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์ไง
แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นนิสัยของพุทธะ นิสัยของพุทธจริต มีปัญญา เราก็ใช้ปัญญาไป มันก็ไม่เสียหาย แต่เราต้องเข้าใจว่าปัญญาอย่างนี้คือปัญญาหยุดคิด ปัญญาหยุดไม่ให้เราฟุ้งซ่าน ปัญญาหยุดไม่ให้เราเอาความคิดมาแผดเผาตัวเราเอง มันก็เป็นเท่านี้ หยุดคิด หยุดคิดขึ้นมา พอหยุดแล้วมันก็เป็นสมาธิ ถ้ามีสติปัญญาต่อไปมันก็ต่อไป
นี่พูดถึงข้อที่ ๑. “ขณะที่ผมดูจิตนั้นจะมีการเผลอตามดูนิมิตเกิดขึ้น ควรแก้ไขอย่างไร”
ควรแก้ไขอย่างไร ก็ใช้ปัญญา ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ ถ้าพุทโธก็พุทโธชัดๆ มันจะกลับมาเอง เพราะนิมิตเราไม่ต้องการไง เพราะอะไร เพราะในทางอภิธรรมเขาจะบอกว่าพวกพุทโธพวกนี้จะติดนิมิต นิมิตมันจะเกิดขึ้น
นิมิตมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตมันมีจริตนิสัย บางคนสงบเฉยๆ ไม่เกิดนิมิตก็ได้ถ้าบอกว่ามันติดนิมิต ในเมื่อนิมิตมันเกิดขึ้น คนเรามีจริตนิสัย คือว่าคนเราเป็นโรคอย่างใดก็ต้องแก้ไขโรคนั้น ถ้าคนเรามีนิมิตอย่างไร เราก็พุทโธไว้ให้มันข้ามพ้นไป มันต้องแก้ไขไง คนแขนคอกก็ต้องทำให้มันแขนตรง คนขาเป๋ก็ต้องทำให้คนขาตรง
มันมีอะไรที่เราเป็นที่มันไม่ปกติ เราก็ทำให้กลับมาเป็นปกติตามแต่คนที่เป็นแล้วคนที่ไม่เป็นก็ไม่ต้องทำไง เราแขนไม่คอก เราขาไม่เป๋ เราจะไปดัดอะไร ก็มันสมบูรณ์อยู่แล้วไง นี่ไง คนที่ไม่เห็นนิมิตก็คืออย่างนี้ไง คนที่บางทีสงบเฉยๆ ไม่เห็นนิมิตเพราะเขาไม่มีสิ่งผิดปกติในร่างกายเขา คือเขาไม่มีสิ่งใดผิดปกติในจิตใจเขา เขาก็ไม่มีสิ่งใดที่มันจะมาหลอกลวง มันก็เป็นสัจจะ
ทีนี้เวลาใครทำไปมันก็อยู่ที่บุคคลคนนั้น บุคคลคนนั้นที่ว่ามีความบกพร่องอย่างใดมันก็จะแสดงออก เพราะการทำความสงบของใจคือมันเป็นปกติ คือทำจิตตั้งมั่น จิตปกติ สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น คือความสมบูรณ์ของจิต เราพยายามทำความสมบูรณ์ของมัน ถ้าใครมีความบกพร่องสิ่งใด มันก็จะเติมเต็มตรงนั้นๆ แต่ถ้าใครบกพร่องสิ่งใด มันก็แสดงออก แสดงออก เราก็แก้ไข การแก้ไข
จะบอกว่า “พุทโธแล้วจะเกิดนิมิต”...ไม่ใช่
มันเป็นเพราะจริตมันเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะคนเป็นอย่างนั้น เพราะบางคนพุทโธมาบ่นกับเราเยอะแยะ “หลวงพ่อ ไม่เคยเห็นอะไรเลย” แล้วเขาก็น้อยใจว่าเราภาวนาไม่ดี คนนู้นก็เห็นนิมิต เราไม่เห็นอะไรเลย เยอะ แต่คนเห็นก็เยอะ แต่คนไม่เห็นมากกว่า ไอ้ที่ไม่เห็นอะไรเลย เยอะมากเลย เพราะมันสงบไปเฉยๆ หรือว่าบางทีก็ไม่สงบก็ต้องสู้กัน แต่ถ้าสงบก็สงบเฉยๆ
คือเราจะบอกว่า มันไม่ใช่วิธีการภาวนาอะไรหรอก มันเป็นจริตนิสัย เป็นเวรเป็นกรรมของจิตดวงนั้นน่ะ จิตดวงที่เป็นมันมีอาการของมัน จะทำอะไรก็เป็น
เพราะอภิธรรมมาหาเราเยอะ เกี่ยวกับนิมิตนี่ เขากำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมมันก็เกิดนิมิตเหมือนกัน ถ้าคนมันจะเกิด มันก็คือมันเกิด เพราะแขนมันคอก มันก็ต้องคอกอยู่อย่างนั้นน่ะ เอ็งจะไปทำวิธีไหนมันก็คอก แล้วทำให้มันตรง ดัดเสียให้มันตรงก็จบ มันไม่ใช่อยู่ที่วิธีการ มันอยู่ที่จิตมันเป็น แต่ถ้าคนเป็นมันทำได้มันก็ทำได้นี่พูดถึงนิมิตนะ
เพราะว่าเขาพยายามจะพูดให้ไขว้เขวไง “ไอ้พวกพุทโธเป็นสมถะ แล้วติดนิมิต”
แล้วพวกสมถะนี่คนกลัวมาก แต่มันไม่เข้าใจเลยว่าทำให้จิตเป็นปกติ ทำให้จิตเป็นสัมมาสมาธิตั้งมั่น คนเราต้องร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จะทำสิ่งใด นักกีฬาความฟิตสำคัญที่สุด จะเล่นกีฬาอะไรก็แล้วแต่ จะเล่นกอล์ฟ เล่นอะไรก็แล้วแต่เขาต้องมาฟิตร่างกายเขาให้แข็งแรง มันไม่น่าเชื่อว่า จะกีฬาทุกชนิดเลย เขาต้องฟื้นฟูร่างกายเขาก่อน แล้วอย่างอื่นนั่นทีหลัง
นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ จิตต้องเป็นสัมมาสมาธิก่อน ถ้าจิตไม่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นโลกียปัญญา คือสามัญสำนึกของเรา เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นธรรมะไม่ได้ ธรรมะต้องจิตสงบก่อน แล้วสงบมันจะเป็นนิมิตเป็นอะไรไปก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
ทีนี้พออีกกรณีหนึ่ง เวลาคำถามไง “ผมไปฟังเทศน์ของหลวงปู่ดูลย์ผ่านทางยูทูบโดยลูกศิษย์เขาบรรยาย”
พอบรรยายขึ้นไป ใครรับผิดชอบล่ะ เวลาถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็บอกว่า เอ็งไปฟังผิดพลาด เอ็งฟังไม่เข้าใจ
ไม่มีใครรับผิดชอบหรอก เพราะเขาเสนอมาในทางสาธารณะ แล้วเราก็ไปศึกษากัน แล้วสุดท้ายทำอะไรไปแล้วใครจะรับผิดชอบ
“๒. ผลที่เกิดจากการดูจิตนั้นทำให้สามารถดับอารมณ์ความรู้สึกได้เร็วขึ้นใช่ไหมครับ”
เราย้ายอารมณ์ เราย้ายอารมณ์หนึ่งไปไว้อีกอารมณ์หนึ่ง มันไม่ใช่พุทโธๆๆหรือปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันสงบมาโดยข้อเท็จจริง แต่เราดูจิต เราย้ายอารมณ์สร้างอารมณ์ไง ที่เราบอกว่าการสร้างอารมณ์ เราย้ายอารมณ์หนึ่งไปอยู่อีกอารมณ์หนึ่ง อารมณ์ว่างๆ
แต่ถ้าเวลาเราภาวนาพุทโธ อู้ฮู! มันเครียด มันตึงเครียด พุทโธไม่ได้เลย มันต่อต้าน แต่ถ้าดูจิต ปล่อยมันไหลไปเลย มันสบาย...หมาเฝ้าบ้าน หมาเวลามีใครให้อาหารมัน มันกระดิกหางไปหาเขาเลย มันกระดิกหางเลย ถ้าใครมีเนื้อมานี่กระดิกดิ๊กๆๆ เลย ถ้ายิ่งใครมีขนมหวานมา กระดิกไปเลย
หมาไม่ใช่เรา อารมณ์นั้นเป็นสมาธิหรือ ดูเฉยๆ ให้มันหายไปนั่นเป็นสมาธิหรือ
เป็นสมาธิมันต้องมีสติสิ เรามีสติ เราพุทโธๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันมีสติพร้อมนะ เวลามันปล่อย มันเริ่มเวิ้งว้าง อู้ฮู! มันเบา พอมันเบาขึ้นมานะมันเบาก็ยังไม่มีสมาธิ พอมันเบาขึ้นมา มันรู้เท่านะ พุทโธจนพุทโธไม่ได้เลย มันเป็นตัวมันโดยข้อเท็จจริง โอ้โฮ! มหัศจรรย์น่ะ มันรู้หมดไง เหมือนอากาศร้อน เราก็รู้ว่าร้อน เวลาอากาศเย็น เราก็รู้ว่าเย็น อากาศมันเปลี่ยนแปลง เราก็รู้ว่าอากาศมันเปลี่ยนแปลง นี่ไง ถ้ามันเป็น มันต้องเป็นแบบนี้ไง
ทีนี้เขาบอกว่า “การดูจิตมันสามารถดับอารมณ์ความรู้สึกได้เร็วขึ้น”
เพราะว่าไอ้การดูจิต การต่างๆ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนะ มันเป็นอุบาย มันเป็นเทคนิคอันหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นเทคนิคอันหนึ่ง เราคิดว่าอย่างนี้ ไอ้การดูแบบพลั้งเผลอ การดูแบบไม่รับรู้ เราคิดว่าสะดวกสบาย แต่ในการดูของหลวงปู่ดูลย์ ท่านดูด้วยสติด้วยปัญญา การดูโดยต้องการผลงาน การดูเพื่อเป็นสมบัติของเรา ความดูมันแตกต่างกัน มันแตกต่างกัน
แล้วถ้ามันดูแล้วมันดับอารมณ์ได้ง่ายๆ คนที่ไม่เอาไหน คนที่พลั้งเผลอ พอหมามันเฝ้าบ้าน มันออกไปเที่ยวเล่นของมัน มันบอกว่าทำอย่างนี้มันเร็ว
มันจะเร็วมันจะช้านะ อยู่ที่ความชำนาญ ถ้าชำนาญ มันทำได้มันก็คือทำได้ถ้าทำไม่ได้มันจะเสียหาย เราบอกเลย มันจะเสียหาย
“๓. ในขณะที่ดูจิต เกิดความว่างขึ้น ความว่างนี้ยังเป็นไตรลักษณ์อยู่ใช่ไหมครับ จากเหตุคือการดูจิต และผลคือจิตรู้ทันอารมณ์เร็วขึ้น เป็นการปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้องหรือไม่”
มันจะเป็นไตรลักษณ์ที่ไหน ว่าความว่างนี้มันเป็นไตรลักษณ์ไหม...มันขำน่ะ
ไตรลักษณ์ ดูสิ มันต้องรู้จริงเห็นจริง แล้วมันแปรสภาพให้รู้จริง ถ้าเป็นไตรลักษณ์จริงๆ นะ เห็นกาย โอ้โฮ! เห็นกาย เวลาจิตสงบแล้วเห็นกายมันก็มหัศจรรย์อยู่แล้ว แล้วพิจารณา มันจะยื้อกัน แต่เวลาพิจารณาไปแล้วมันแปรสภาพไง วิภาคะคือแยกส่วนขยายส่วน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านตั้งกายขึ้นมา พิจารณาไปแล้วมันผุมันพัง มันเน่า มันย่อยสลาย มันอะไรไป นั่นน่ะคือไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์คือมันเปลี่ยนแปลงไตรลักษณ์คือการตั้งอยู่ไม่ได้ ไตรลักษณ์คือลักษณะ ไตรลักษณะ พระไตรลักษณ์เวลาพิจารณาไป ถ้ามันรู้จริงเห็นจริงมันจะเป็นอย่างนั้น
ไอ้นี่เขาบอกเขาดูจิตมันว่าง พอว่าง อารมณ์ว่าง แล้วใครรู้ไตรลักษณ์ ไม่มีใครรู้ว่าไตรลักษณ์ แต่เราเอาชื่อไตรลักษณ์มาสวมไงว่ามันเป็นไตรลักษณ์หรือไม่
มันไม่เกี่ยวกันเลย มันอยู่คนละมิติเลย เพราะอะไร เพราะนี่ดูจิตเฉยๆ มันไม่มีเหตุมีผล เอาอะไรมาเป็นไตรลักษณ์ ไอ้ที่มันเป็นความว่าง ว่างก็หมาเฝ้าบ้านมันไปเที่ยวไง หมามันนั่งอยู่หน้าบ้านมันก็มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เวลาหมามันออกไปเที่ยวเล่น ตรงนั้นก็ว่าง หน้าบ้านที่หมามันนั่งอยู่ มันไม่มีหมาแล้ว อ้าว! หมามันนั่งอยู่นั่นก็เห็นหมาใช่ไหม เดินไปเห็นสบายใจ หมามันเฝ้าเราอยู่ พอเดินมา อ้าว! หมาไม่อยู่ หมาหายไปแล้ว ว่าง...มันเป็นอะไรล่ะ
นี่พูดถึงว่า ความว่างก็คือความว่าง ความว่างต้องมีสติ เพราะคำว่า “ความว่าง” นะ เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อความว่าง ความว่างมันคืออะไร มันว่างของใครเพราะความว่างเป็นมิจฉาทิฏฐิเยอะแยะไป คำว่า “มิจฉาทิฏฐิ” มันคือขาดสติ ขาดสติ ขาดผู้รับรู้
แต่ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันว่าง มันเวิ้งว้าง มันมีสติ มีผู้บริหาร มีผู้จัดการ มีคนเป็นเจ้าของ นี่จิตของเรา จิตของเรา สมาธิเกิดจากจิต แล้วถ้ามันสมาธิของเราเรามีสติพร้อม มันถึงเป็นสมาธิของเรา
สมาธิ ชื่อของสมาธิ ศึกษามานี่ชื่อของสมาธิ แล้วเราก็สร้างอารมณ์ขึ้นมาแล้วก็ใส่ชื่อมันเข้าไปว่าอย่างนี้เป็นสมาธิ แล้วเป็นสมาธิแล้ว ถ้ามันพิจารณาไปแล้วเป็นไตรลักษณ์อีกด้วย นี่พอเป็นไตรลักษณ์ขึ้นมา ถ้าเป็นไตรลักษณ์นะไตรลักษณ์ใช่ไหม พิจารณาแล้ววิภาคะ จบแล้ว นี่เป็นโสดาบันแล้วนะ ถ้าเห็นไตรลักษณ์ ลักษณะ เห็นลักษณะความเปลี่ยนแปลง มีความเข้าใจ มีความรู้โสดาบันแล้ว แล้วมันมาจากไหนล่ะ
เรื่องดูจิตก็ส่วนดูจิต ทีนี้ดูจิตมันจบไปแล้วรอบหนึ่ง ทีนี้ไปเข้ายูทูบ จะฟื้นดูจิตไง จะฟื้นดูจิต
ดูจิตเป็นของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ เราเห็นด้วย ทีนี้มันบังเอิญ ไอ้นี่มันเป็นกรณีที่ว่ามันเป็นกรณีสังคม เพราะว่าผู้ถามเข้าไปดูในยูทูบ ไปเห็นในนั้นขึ้นมา แล้วก็ไปเห็นแล้วชอบใจ ก็ปฏิบัติ ปฏิบัติเสร็จแล้วก็เขียนมาถามเรา แต่ไม่ได้คิดหรอก คนเราไม่อยู่ในเหตุการณ์ไง อย่างเช่นผู้เฒ่าผู้แก่ที่สมัยสงครามโลกเขาจะเห็นภัยของสงครามนะ ตอนนี้ที่เกาหลีใต้ เวลาเขาพูดถึงทหารญี่ปุ่นเอาผู้หญิงไปเป็นโสเภณี คนที่ออกไปเป็นพยานยืนยันอายุ ๘๐-๙๐ ยังเหลืออยู่หลายสิบคนเขาจะไปสัมภาษณ์ว่าตอนที่ญี่ปุ่นเขาเกณฑ์ไปบำเรอพวกกองทัพ มีความทุกข์ความทรมานลำบากลำบนแค่ไหน นี่เขายังสัมภาษณ์อยู่นะ
นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่เกิดเหตุการณ์ตอนที่เราโต้แย้งเรื่องการดูจิต ถ้าตอนนั้นใครอยู่ในเหตุการณ์ เขาก็เข้าใจได้ เหมือนคนอยู่ท่ามกลางสงคราม มันจะเห็นการรบ เห็นความกระทบกระเทือนต่อกัน ความลำบากลำบนของเรา แต่พอมันช่วงพ้นสงครามไป ไอ้คนที่อยู่ในสงครามนั้นมันก็จะฝังใจมาก เห็นโทษเห็นภัย ไอ้คนที่ไม่ได้อยู่ในสงครามนั้นก็คิดว่า “ไอ้พวกที่พูดว่าลำบากลำบน เขาพูดโดยไม่มีเหตุผล มันจะลำบากลำบนที่ไหน เราก็สุขสบายอยู่นี่ ทุกอย่างก็สมบูรณ์”
คือคนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์มันมีความคิด ไม่มีประสบการณ์อย่างนั้น ไม่เห็นข้อเท็จจริง มันไม่สะเทือนหัวใจ แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์มันสะเทือนใจ มันจะฝังใจ นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ เพราะกาลเวลามันเคลื่อนไปแล้ว พอเคลื่อนไปแล้วกลับมาอีกแล้ว อยู่ในยูทูบอีกแล้ว มาอีกแล้ว ดูจิตมาอีกแล้ว
พอพูดไปมันสะเทือนไง เพราะศาสนาพุทธก็อยากให้คนที่ศึกษาแล้วต้องมีการปฏิบัติ เวลาปฏิบัติไปแล้ว ทุกคนก็จะขวนขวาย จะหาแนวทางปฏิบัติของตนแล้วเวลาปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ เวลามีใครเสนอแนวทางใดมันก็อยากไป แล้วอยากไป นี่ดูจิตอีกแล้ว เราบอกว่าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน จบ
ถาม : เรื่อง “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตนในทางธรรม”
ตนแลเป็นที่พึ่งของตนนี้มีทั้งคิดในทางธรรมและทางกิเลสใช่ไหมคะ ท่านอาจารย์อธิบายให้ฟังด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ มันมีแต่ในทางของธรรม ในทางของกิเลสไม่ต้อง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ หรอก มันมีของมันอยู่แล้ว มันมีของมันอยู่แล้ว แล้วมันก็จะชักลากให้เราไปกับมันอยู่แล้ว
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แต่ทางโลกเขา เขาต้องมีหมู่มีคณะเป็นคนพึ่งพาอาศัย ถ้าคนพึ่งพาอาศัย ถ้าเรามีบุญกุศล มันก็พึ่งพาอาศัย น้ำใจไง ถ้าใครสร้างบุญกุศลมา เขาเรียกมีอำนาจวาสนา ดูสิ ในสมัยโบราณ ผู้ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนเป็นกษัตริย์ จนเป็นจักรพรรดิขึ้นมา มาจากคนทุกข์คนจน มาจากชาวนา มันก็มี เห็นไหม ทำไมเขาทำของเขาขึ้นมาได้ขนาดนั้นล่ะ นี่พูดถึงว่าถ้าเขามีอำนาจวาสนาบารมี นั่นในทางธรรมๆ
ฉะนั้น ในทางกิเลส คนเราเกิดมาอยู่ในเมือง อยู่จนมีสถานะเป็นกษัตริย์ มีสถานะเป็นเจ้าขุนมูลนาย ทำให้ล่มจมไปเยอะแยะไปหมด ในทางกิเลสมันทำลายทั้งนั้นน่ะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ที่ไหน
ฉะนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนมีสติปัญญา อันนี้มันเป็นคุณธรรม มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยอดธรรมเลย ยอดธรรมเพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ โคนต้นโพธิ์ นั่งอยู่องค์เดียว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เวลาเกิด เกิดมาคนเดียวนะ ตกนรกอเวจีก็ไปคนเดียวนะ เวลาทำสิ่งใดไปคนเดียวทั้งนั้นน่ะ แต่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์สังคม เราก็อยู่ในสังคม สังคมที่มันดีงาม เราช่วยเหลือเจือจานกัน การสร้างอำนาจวาสนาบารมีไง
แต่ถ้าเอาความจริงๆ เวลานั่งสมาธิภาวนาก็ต้องตัวใครตัวมัน นั่งอยู่ด้วยกันบนศาลา ถ้าจิตของใครสงบก็สงบ จิตใครมีปัญญาก็เป็นปัญญา มันก็เกิดขึ้นจากความเป็นจริงของเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ทีนี้ถ้าตนไม่เป็นที่พึ่งแห่งตน ตนหวังพึ่งคนอื่นหมดเลย แสวงหาครูบาอาจารย์ แสวงหาไว้เป็นที่พึ่งอาศัย ขอนิสัย ท่านคอยชี้คอยแนะเรา ไปหาครูบาอาจารย์แล้วก็ไปนอนแบเบาะเลย ให้อาจารย์คอยดูแลตลอดเลย เห็นไหม ตนก็ไม่เป็นที่พึ่งแห่งตนสิ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่เราไม่มีอำนาจวาสนา เราก็แสวงหาครูบาอาจารย์นี่แหละ แสวงหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แนะนำสิ่งใดต้องมีเชาวน์ปัญญา ท่านชี้ขุมทรัพย์ให้เราใช่ไหม เวลาท่านชี้ขุมทรัพย์ให้เราแล้วเราก็ไปตีขยายความวิเคราะห์วิจัยเพื่อให้เกิดปัญญาของเรา ถ้ามันเกิดปัญญาของเรา ปัญญาอันนั้นน่ะมันจะทำให้เรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ มันก็เป็นคุณสมบัติของเรานี่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เขาบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเป็นได้ทั้งสองทางใช่ไหม ทั้งทางธรรมและทางกิเลส
โอ้โฮ! ถ้าเป็นที่พึ่งแห่งตน พอกิเลสมันขึ้นมา มันฟูขึ้นมา แล้วก็ยุแหย่ขึ้นมาแล้วไปตามมันน่ะ เป็นที่พึ่งแห่งตนมันก็เหลวไหลไง
กิเลสมันต้องดับ กิเลสต้องตัดทิ้ง เพราะถ้าเรารู้ว่าเป็นกิเลสใช่ไหม อเสวนาจ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
อเสวนา เราไม่คบคนพาล เราไม่คบกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราคบบัณฑิต บัณฑิตคือธรรม ถ้าบัณฑิตคือธรรมก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เราคบธรรมเราคบสัจธรรม เราคบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าเราแสวงหาอย่างนี้ เวลากิเลสแล้วพยายามดับ กิเลสมันมา พยายามให้มันมอดมันไหม้ไป ดับมัน อย่าให้มันเกิดขึ้นมากับเรา
ถ้า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ของกิเลส ก็ไปหมดเลย นี่ความคิดไง ความคิดความเห็นของคนมันเห็นได้ เพราะความคิดของคน ความคิดเวลามันเกิดขึ้นมาเราก็คิดว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ อะไรจะไม่เป็นประโยชน์ แล้วบางทีกิเลสมันเข้มข้นกว่า เราก็คิดว่าอย่างนี้คิดถูก แล้วพอมันละเอียดเข้าไป เวลาภาวนา มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
เวลาอย่างหยาบๆ หยาบๆ ปัญญาของเรานี่หยาบๆ มันหยาบๆ ทางธรรมนะธรรมที่สูงกว่าเห็นว่าเราหยาบ แต่ถ้าในทางสามัญสำนึกในทางโลกไม่หยาบเพราะปัญญากว่าจะสร้างขึ้นมา เชาวน์ปัญญาสำคัญมากเลย เราก็มีสติมีปัญญาของเรา แต่มันเป็นปัญญาทางโลกไง ปัญญาทางโลกก็ปัญญาของเรานะ ฟื้นฟูวิเคราะห์วิจัยของเรา แต่มันไม่ละเอียดเข้ามาถึงสะเทือนหัวใจได้
ปัญญาที่เราทำ เราภูมิใจ เราภูมิใจปัญญาของเรา เราภูมิใจในหน้าที่การงานของเรา เราภูมิใจในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ เราภูมิใจ แต่ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์บอกนั่นปัญญาทางโลก ถ้าปัญญาทางธรรมนะ หยุดหมด
“อ้าว! หยุดแล้วจะเอาอะไรกิน หยุดแล้วจะมีหน้าที่การงานอย่างไร”
หยุดหมด นั่งเฉยๆ เอาให้อยู่ นี่ไง มันละเอียดขึ้นมาแล้ว นั่งเฉยๆ เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานก็ว่าทุกข์ว่ายาก ว่าลำบากลำบน นั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ ทำไม่ได้เหมือนกัน นี่ไง มันละเอียดแล้ว ละเอียดขึ้นมา
แล้วถ้าเป็นปัญญาภายใน ที่ว่าเวลามรรคมันเคลื่อน เวลาปัญญามันหมุนติ้วๆๆ โอ๋ย! มหัศจรรย์กว่านี้เลย นั่นแหละ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ของจริง
แต่ถ้าเป็นทั้งทางธรรมและทางกิเลส
ไม่ใช่ ทางกิเลสไม่ต้องไปส่งเสริมมัน ในทางกิเลสไม่ใช่ อตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ มันเหยียบย่ำอยู่แล้ว มันเหยียบย่ำ มันเหยียบย่ำเพราะอะไร ครอบครัวของมารไง ครอบครัวของมาร เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย” นี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยพญามารนะ
แล้วเราจะบอกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ มารกับเราจะพึ่งพิงกัน...มันตรงข้ามนะ มันตรงข้ามกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยถากถาง ไม่คบมันเลย
แต่ของเรา นี่พูดถึงว่าความเห็นของเรา ความเห็นของผู้ถาม เพียงแต่ว่าเราพูดให้เห็นชัดเจนไง ไม่ได้ตำหนิไม่ได้ติเตียนใคร เพราะความคิดของคนมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด แล้วกิเลสของคนถ้าเข้มข้นขึ้นมา มันเบี่ยงเบนไง มันบังเงาไง มันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาวุธของมันไงแล้วมาทำร้ายเราไง
แล้วเวลาพูดก็พูดเป็นธรรม พอเป็นธรรม เราก็ขาอ่อนเลย ก็ใส่ชื่อไง ใส่ชื่อสติ ใส่ชื่อสมาธิ ใส่ชื่อปัญญา แต่ความจริงมันเป็นเปรตหมดเลย มันเป็นเปรตเปรตชื่อสติ เปรตชื่อสมาธิ เปรตชื่อปัญญา แล้วเราเชื่อมันไหม เราเชื่อเพราะเราเป็นชาวพุทธไง พอชื่อมัน โอ้โฮ! ถ้าชื่อ กราบเลย เพราะเราต้องการ เราแสวงหาอย่างนี้ แต่ไม่รู้หรอกว่าเปรตมันใช้ชื่อนี้ นี่ไง กิเลสมันบังเงา
แต่ถ้าเป็นความจริงของเรา เราศึกษาของเรา สมาธิเป็นสมาธิ ชื่อสมาธิ ชื่อสติ ชื่อปัญญา แต่เวลามันเป็น อ๋อ! อ๋อ! สติมันยับยั้งหมดเลย มีสติเท่าทัน มีสมาธิอู๋ย! ร่มเย็นเป็นสุข โอ๋ย! มีปัญญาทะลุปรุโปร่ง อู้ฮู! ถ้ารู้อย่างนี้ปฏิบัติตั้งนานแล้วล่ะ นี่ถ้ามันเกิดปัญญา แต่ถ้ามันเสื่อมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าชื่อกับข้อเท็จจริงอันเดียวกัน เราก็เข้าใจได้ แต่ถ้าเรายังอ่อนแออยู่อย่างนี้มันเป็นเปรต มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันหยาบๆ มันหนานัก แต่มันใช้ชื่อไง ใช้ชื่อศีล สมาธิ ปัญญา ใช้ชื่อธรรมแล้วแอบอ้าง แล้วเราศึกษาธรรมมาๆ เราก็จำแต่ชื่อมัน เราถึงไม่รู้จักตัวมัน เราก็เลยยอมจำนนกับมัน
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ชื่ออย่างนี้ คุณสมบัติเป็นอย่างไร ถ้ามันคุณสมบัติไม่ใช่ แสดงว่าแอบอ้าง ถ้ากิเลสมันรู้ทัน เออ! ฉันไปแล้วรู้ทันฉันก็หลบแล้ว พอหลบไปก็จบ แต่มันต้องคนรู้เท่าทัน นี่ไง กิเลสมันร้ายอย่างนี้
ชาวพุทธเราที่ยังหาจุดยืนไม่ได้ก็เพราะอันนี้ เพราะจิตใจเรายังไม่ได้ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ จริง คือเรายังไม่ได้เห็นศีล สมาธิ ปัญญาจริง เราก็เลยเชื่อสิ่งที่จอมปลอมที่หลอกลวง แล้วแอบอ้างชื่อธรรมะ แต่ถ้าเราทำได้จริง เราเห็นได้จริงนะ เราจะรู้เท่า แล้วสิ่งนี้จะหลอกลวงเราไม่ได้ ถ้าหลอกลวงเราไม่ได้จะเป็น อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตามความเป็นจริง เอวัง