เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ธ.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ วันพระ วันโกน เราชาวพุทธ วันพระ วันโกน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หาธรรมะใส่หัวใจ ดูหน้าเราสิ บรรพบุรุษเราอพยพมา พอเข้ามาถึงเมืองไทย มันรอดตาย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มันอุดมสมบูรณ์ไปหมด เวลาอุดมสมบูรณ์ไป คนขยันหมั่นเพียรเอาตัวรอดได้ทั้งนั้นน่ะ คนขยันหมั่นเพียรอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในน้ำ จับไปเถอะ มันได้กุ้งหอยปูปลามาประทังชีวิตทั้งนั้นน่ะ แล้วก็ยังทำอาชีพได้ด้วย เวลาสิ่งใดที่มันอุดมสมบูรณ์ ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทั้งนั้นน่ะ เวลามันแห้งแล้ง เวลามันภัยพิบัติขึ้นมา ทำสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปทั้งนั้นน่ะ ตอนนี้เขาจัดระเบียบสังคมๆ อยู่ มันติดขัดกันไปหมด ถ้ามันติดขัดกันไปหมดนะ

เวลาจิตใจของเราอ่อนแอ จิตใจของเรา คำว่า “อ่อนแอ” นะ ก็เราต้องมีอาชีพ ถ้าเราขาดอาชีพ เราจะอยู่ได้อย่างไร เวลาถึงคราวเปลี่ยนแปลงไง ถ้าคราวเปลี่ยนแปลง ทางโลกมันมีการเปลี่ยนแปลง เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะอยู่กับสังคมได้

เวลามาบวชเป็นพระๆ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา มันบวชใหม่ๆ ขึ้นมา สดชื่น มีเป้าหมายทั้งนั้นน่ะ หวังจะพ้นทุกข์ๆ เวลาประพฤติปฏิบัติก้าวหน้าไปๆ พรรษามากขึ้นๆ ตั้งแต่ความอุดมสมบูรณ์ของโลก อุดมสมบูรณ์ทางโลก เพราะมันอุดมสมบูรณ์ของมัน ทำสิ่งใด จับสิ่งใดมันได้ผลตอบแทนทั้งนั้นน่ะ เวลาภัยพิบัติขึ้นมา เวลาสภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงไป ทำสิ่งใดมันแห้งแล้งไปทั้งนั้นน่ะ

จิตใจของเราก็เหมือนกัน เวลาบวชใหม่ๆ ขึ้นมา มันตั้งเป้านะ บวชใหม่ๆ ขึ้นมา สดชื่น แล้วเราจะขวนขวายไปของเรา พอ ๒ พรรษา ๕ พรรษา ๑๐ พรรษาไป มันแห้งแล้งๆ ไปเรื่อย ถ้าแห้งแล้งไปเรื่อย เพราะอะไร เพราะว่าเราทำแล้วเราไม่ได้ดูแลรักษาให้ดี ถ้าดูแลรักษาให้ดีนะ คนที่เขาเป็นเกษตรพอเพียง เขารักษาของเขาในสภาวะแวดล้อม เขารักษาไว้ดี เขายิ่งทำของเขา เขายิ่งทำสิ่งใดยิ่งประสบความสำเร็จของเขา เขาทำอย่างไร สภาวะแวดล้อมของเขา เขารักษาของเขา รักษา มันอุดมสมบูรณ์ไปหมด ที่อื่นเขาแห้งแล้ง แต่ที่ของเรา เราดูแลรักษาของเรา มันอุดมสมบูรณ์

ในจิตใจของเรา ในจิตใจของเราต้องฝึกหัดของเรา เราจะมองแต่สภาวะแวดล้อม ถ้าเขาแห้งแล้ง เราก็จะแห้งแล้งไปกับเขา สภาวะแวดล้อม ถ้าเรารักษาของเรามันก็ดีขึ้นมาได้ไง หัวใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรารักษาของเรานะ รักษาของเรา เห็นไหม เวลามาทำทาน รักษาศีล มาภาวนา เวลาทำทานของเรา เราทำแต่พอประมาณของเรา ถ้าจิตใจมันสูงส่งขึ้นมา มันทำของมันแล้วมันสดชื่นของมัน แต่เราทำพอประมาณของเรา เราดูแลของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา

ทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับภาวนาเกิดปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง เวลาศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเป็นนามธรรมทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เป็นนามธรรมมันเข้าหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เรารักษาหัวใจของเรา

ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าจิตใจของเรามันอ่อนด้อย เวลาคนทุกข์คนจนเห็นอะไรก็อยากกิน อยากใช้ อยากสอยไปทั้งนั้นน่ะ เพราะเราขาดแคลน เวลาคนเขาร่ำรวยขึ้นมา เขาประหยัดมัธยัสถ์ของเขานะ เขาใช้ด้วยความประหยัดของเขา เขาร่ำเขารวยขึ้นมาเพราะเขาประหยัดของเขา เขาดูแลรักษาสมบัติของเขา

จิตใจของเราถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันไม่ขาดไม่แคลนขึ้นมา มันอุดมสมบูรณ์ของมัน มันไม่ขาดไม่แคลน มันไม่อยากไปทางโลกเลย แต่ถ้าเราแห้งแล้งของเรา ไปไหนมีแต่ความอยากไปทั้งนั้นน่ะ หัวใจก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราดูแลรักษาหัวใจของเรา รักษาดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา ไอ้การขาดแคลนๆ มันขาดแคลนเพราะจิตใจของเรามันอยากได้อย่างประณีต อยากได้อย่างดี อยากได้อย่างนั้นน่ะ ถ้าเราประหยัดมัธยัสถ์ อะไรมันก็ใช้ได้ทั้งนั้นน่ะ พออะไรมันใช้ได้ทั้งนั้นแล้ว สิ่งที่มันกดดันหัวใจเรานี่เบาหมดน่ะ

ถ้าถึงคราวขาดแคลน ขาดแคลนมันก็ต้องขาดแคลนเป็นเรื่องธรรมดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพุทธประวัติ เวลาพราหมณ์นิมนต์ไว้แล้วข้าวยากหมากแพง เขาลืมไง เขาลืมใส่บาตรด้วย พอดีมีผู้ค้าโคค้าม้า เขาค้าม้า เขาเดินทางมาถึงหน้าฝนกลางเข้าพรรษา เขาก็กลับบ้านของเขา เขาให้เลี้ยงม้าของเขาด้วยข้าวกล้อง

ฉะนั้น เวลาพระไปบิณฑบาตไม่ได้ เขาก็ถวายข้าวกล้องนั้นมา ข้าวกล้องนั้น พระอานนท์ก็ได้มา เขาถวายคนละแล่ง เพราะสมัยนั้นพระรูปร่างใหญ่ พระอานนท์มา พระทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ พระปรุงอาหารเองไม่ได้ เป็นอาบัติหมด ฉะนั้น พระอานนท์มาก็เอามาบด เอามาบดให้เป็นแป้ง เอาน้ำพรม แล้วถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนเห็นแล้วทุกคนทุกข์ยากไปหมด แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเห็นถึงคราวว่าเวลากรรมมันให้ผลของมัน

จนพระโมคคัลลานะจะพาพระไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง จะพาพระไปบิณฑบาต เพราะมีฤทธิ์มีเดช ทำอะไรให้มันประสบความสำเร็จทั้งนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามๆๆ เวลาออกพรรษาขึ้นมาแล้ว พราหมณ์ถึงนึกได้ ถึงนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฉันในราชวัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชมพระที่นั่นว่า “เราชนะแล้วๆ ชนะความทุกข์ความยากความลำบากอันนั้น” นี่พูดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาถึงคราวเวรกรรมขึ้นมา

ทีนี้ของเรา ถ้าเรามีเวรมีกรรมของเราขึ้นมา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะผ่านวิกฤติไปได้ทั้งนั้นน่ะ วิกฤติอย่างนี้มันวิกฤติมา เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมันมากกว่านี้ ที่ไหนเขาอุดมสมบูรณ์ ท่านไม่ไป ท่านจะไปหาแต่ที่อัตคัดขาดแคลน

คำว่า “อัตคัดขาดแคลน” เราไม่ได้ไปเพ่งโทษว่าคฤหัสถ์เขาเป็นแบบนั้น เราไปหาแบบนั้น เพราะที่อัตคัดขาดแคลน บ้านสองหลังสามหลังขึ้นมา เขาก็ต้องหาอยู่หากินของเขา เขามีจิตใจอันดีงามของเขา เขาก็ใส่บาตรเรามา ใส่บาตรเรามา เราฉันของเราแล้วเราก็จะรีบขวนขวายของเรา จะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ทำหัวใจของเรา พยายามฟื้นฟูหัวใจของเราขึ้นมาให้ได้

วันพระๆ มันพระที่ไหน เวลาจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวอกนี้ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปฏิสนธิจิต เวลาจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ การกำเนิด ๔ เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ไปแล้ว แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือสัตตะผู้ข้อง

เราเกิดในวัฏฏะ เรามีอวิชชาขึ้นมา เราเกิดในวัฏฏะ แต่เรามีบุญกุศลของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน สอนให้เราเริ่มต้นจากมีการเสียสละ การเสียสละ เสียสละอะไร เสียสละเพื่ออะไร เสียสละให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าเข้มแข็งขึ้นมา มันเสียสละอารมณ์ได้ไง ถ้าจิตใจเสียสละ จิตใจเป็นสาธารณะ อยู่ในสังคมขึ้นมามันจะไม่เบียดเบียนกัน มันจะดูแลรักษากัน จิตใจมันจะอบอุ่น ถ้าสังคมที่ดี คนเราอยู่ในสังคมที่ดี เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็มีโอกาสของเราใช่ไหม

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้การเสียสละ เสียสละสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เสียสละโอกาส เสียสละ ดูสิ ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทาน เราให้ปัญญาเขา สิ่งที่ปัญญา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้การเสียสละ เสียสละเพื่อใคร? ก็เสียสละเพื่อหัวใจของเรานี่ไง

เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา หน้าชื่นอกตรม เวลาอยู่กับสังคมโลกนี่หน้าชื่นอกตรม เพราะมันมีทุกข์มียากของมัน แต่ถ้าเรามีคุณธรรมของเรานะ หน้าชื่น หัวใจก็ชื่นบานด้วย เพราะหน้าชื่น เพราะเรามีความสุขจากภายในไง ถ้าความสุขมันเกิดจากภายใน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามันจิตสงบระงับเข้ามาแล้ว สิ่งข้างนอกมันเป็นหน้าที่การงาน

คนเรามันจะดีจะชั่ว เขาดูกันที่นี่ไง อยู่ที่หน้าที่การงาน ความรับผิดชอบ ถ้าเรารับผิดชอบ เรารับผิดชอบถึงชีวิตเราด้วย เรารับผิดชอบแล้วเรายังเหลือ สิ่งที่เราเหลือ เราเจือจานอีกด้วย การสร้างบารมี ถ้ามันมีความสุขร่มเย็นจากภายใน สิ่งที่หามาได้มันก็เป็นความสุข ความสงบ ความระงับ แล้วเราเจือจานสังคมไปเพื่ออำนาจวาสนาบารมี ถ้าทำอย่างนี้แล้ว เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ง่าย ง่ายเพราะอะไร ง่ายเพราะมันเบาใจ ง่ายเพราะมันไม่มีสิ่งใดฝังใจ สิ่งใดที่มันมากดถ่วงหัวใจมันไม่มี เพราะเราทำมาตั้งแต่ข้างนอกแล้ว นี่ทาน

เวลามาถือศีล ถือศีล ความปกติของใจ ถ้าใจมันปกตินะ เรามีอำนาจวาสนาบารมี เราได้เสียสละเจือจานกับสังคมด้วย แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อตัวเราเองด้วย เราจะมีอัตตสมบัติของเรา เราจะมีสติ สติยับยั้งหัวใจเราด้วย

ในสังคมที่เขากระทบกระเทือนกัน ที่เขามีปัญหากัน เพราะว่าจิตใจของเขา จิตใจของเขามันมีความคิด แล้วความคิดเบียดเบียนตนเองแล้วเบียดเบียนผู้อื่น แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน เราเดินตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ธรรมและวินัยจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของเรา เราทำแล้วเรามีความปลอดโปร่ง มีความสบายใจ นี่ทาน พอรักษาศีล เวลาจะมาภาวนามันก็ปลอดโปร่ง

เวลาเสียสละทาน เสียสละทานเพื่อใคร บุญกุศลเพื่ออะไร บุญกุศลเพื่อความสุขสบายใจเรานี่ไง ถ้าความสุขสบายใจ แล้วใจมันเป็นอย่างไรล่ะ ใจเป็นอย่างไร ใจเรา ถ้าเราทำความสงบของใจ ใจมีสัมมาสมาธิ นี่ไง ใจเป็นอย่างนี้ ใจเป็นสัมมาสมาธิ ใจมันตั้งมั่น ใจมันตั้งมั่น

สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ ความสุขที่จับต้องไม่ได้ ความสุขนี้มันจับต้องได้อย่างไร สติปัญญาของเรามันจับต้องได้ พอจับต้องได้ เราดูแลรักษาของเรา พัฒนาจนมันมีกำลังขึ้นมา พอมีกำลังขึ้นมา มันฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในการแยกแยะ ในการรื้อค้น รื้อค้นในอะไร? รื้อค้นในร่างกายเรานี่ เพราะเรามีชีวิต เราเป็นเรา เราถึงไปหาทรัพย์สมบัตินั้นมา สมบัตินั้นมา เพราะมีเราถึงได้สมบัตินั้นมา เวลาเราพยายามจะหาหัวใจของเรา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ความสงบอันนั้น จิตที่มันสงบ เพราะเรามีหัวใจ เรามีชีวิต เราถึงหาทรัพย์สมบัตินั้นมาเป็นของเรา สิทธิเป็นของเรา เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามานี่เป็นของใคร จิตสงบมันเป็นของใคร

ถ้ามันมีสติมีปัญญา สัมมาสมาธิมันรักษาของมัน แล้วถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาที่มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากใจที่ออก มันแยกแยะ ปัญญาที่เห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

เห็นกายๆ ใจของเราเห็นกายของเรา ไอ้นี่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ ให้หมอดูแล ให้หมอรักษา แต่ถ้าจิตเราสงบแล้วเราเห็นกาย นี่จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรมเป็นสติปัฏฐาน ๔

สติปัฏฐาน ๔ เกิดจากไหน เกิดจากพุทธะ เกิดจากจิตผู้รู้ เกิดจากหัวใจของเรา เราเกิดมาเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. สมมุติตั้งให้ แต่จิตนี้เสมอภาคกันหมด จิตนั้นมันเป็นผู้รู้ นี่ธรรมๆๆ สิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมา ธรรมเกิดขึ้นมา เวลามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง ที่ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้ไง ประเสริฐที่เกิดเป็นมนุษย์มีสติมีปัญญาของเรา สติปัญญาทางโลกเราก็หาอยู่หากิน หาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อสังคม เพื่อสังคม เพื่อชาติ เพื่อตระกูลของเรา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อตัวของเรา เพื่อจิตดวงนี้

เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามว่า “ใครเป็นคนที่ทรมานมาๆ”

ลูกศิษย์พระสารีบุตร ๕๐๐ ลูกศิษย์พระโมคคัลลานะ ลูกศิษย์พระอุบาลี “ใครทรมานมาๆ” ใครทรมานคือผู้ชี้นำ ผู้คอยชี้แนะ พอชี้แนะ สิ่งใดที่มันเกิดขัดแย้ง มันเกิดโต้แย้งในหัวใจ ครูบาอาจารย์ต้องเป็นคนแยกแยะ เป็นคนชี้นำว่าอะไรผิดอะไรถูก แยกแยะให้เราค้นคว้า แต่เวลาจะภาวนาขึ้นมา เวลาจิตเราสงบแล้ว เกิดถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเกิดภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิตนี้ จิตนี้ต้องเป็นผู้ที่แยกแยะ จิตนี้เป็นผู้ขวนขวาย จิตนี้เป็นผู้กระทำ เพราะจิตนี้ เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะพญามารมันครอบงำจิตดวงนี้ เพราะจิตดวงนี้โดนครอบงำด้วยพญามาร มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง พอจิตมันสงบขึ้นมา มันไปรู้ไปเห็น จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นตามความเป็นจริง เห็นเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากความเป็นจริง ถ้าความจริงเกิดขึ้นมา มนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้

แต่เราประเสริฐ ประเสริฐทางโลก ประเสริฐทางวิทยาศาสตร์ไง เราศึกษามา เรามีวิชาชีพมา เรามีปัญญาขนาดไหน เราก็ขวนขวาย เราก็กระทำเพื่อเราไง เพื่อให้มีชื่อฝากไว้ในประวัติศาสตร์ไง ประวัติศาสตร์มันจะมีต่อไปเรื่อยๆ มันจะมีตลอดไป

แต่เวลาเราภาวนาขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันรู้เฉพาะหน้า มันรู้ตามความเป็นจริง เอ๊อะ! เอ๊อะ! เอ๊อะ! แล้ว เอ๊อะ! เอ๊อะ! พูดกันรู้เรื่อง รู้เรื่องกับผู้ที่เห็นตามความเป็นจริงไง

แต่ผู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง เอ๊อะ! เอ๊อะ! อะไร เอ๊อะ! ก็ขี้ควายไง กองขี้ควาย กลิ่นเหม็นๆ นั่นน่ะ มันเอามาทาตัวมัน แล้วมันบอกว่านี่ธรรม

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง ถ้าปัญญาทางโลก ปัญญาทางโลก ปัญญาเขาทำวิจัยกัน ทำให้มีทางวิชาการฝากไว้กับโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นวิชชา ๓ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทำลายอวิชชาไปแล้ว เป็นปัจจัตตัง เป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติเข้าไปรู้ตามความเป็นจริงอันนั้น มันเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรมในหัวใจ โลกรู้ด้วยไม่ได้ ไม่ได้หรอก โลกรู้ด้วยไม่ได้ แต่โลกพยายามขวนขวาย เราเกิดมาเป็นโลก เราเกิดมาเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ แล้วเราพยายามขวนขวาย

ทำความสงบของใจคือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือยับยั้งทั้งหมด ยับยั้งความคิดทางโลกทั้งหมดให้มันกลับมาเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา แล้วใจดวงนี้เป็นสัมมาสมาธิ มันรื้อค้น มันมีการกระทำของมันขึ้นไป มันเป็นสัจธรรม แล้วสัจธรรมกับสัจธรรมมันเข้ากัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้งในสัจจะความจริงเลย เราทำเพื่อเราไง ถ้าเราทำเพื่อเรา มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว

แม้แต่เวลาจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เทวดา อินทร์ พรหมเขามีบุญกุศลของเขา เขาถึงได้ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมของเขา แต่เขาก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วแต่อายุขัยของเขา ถ้าเขามีสติปัญญาขึ้นมา เขาถึงมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เขาถึงมาฟังธรรมครูบาอาจารย์ของเราไง นี่ไง เขาต้องมาฟัง แต่เราไม่ต้อง เราอยู่ในภพชาติเดียวกัน เราเห็นหน้ากัน เราสื่อสารกันด้วยภาษาได้ ถ้าเราขวนขวายของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเราๆ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เราอยู่ทางโลกเราก็ทุกข์เราก็ยากแล้ว ตอนนี้เศรษฐกิจมันตกต่ำ เราก็มีความทุกข์ความยากกันไปหมด แต่ความทุกข์ความยาก คราวที่เวลาเศรษฐกิจดีล่ะ เศรษฐกิจดี เราก็มีความชื่นใจ เราก็มีความสุขของเราไง สิ่งนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง เราก็ขวนขวายของเรา นี่ทางโลก

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตใจมันชื่นบาน จิตใจมันชุ่มชื่นขึ้นมา เศรษฐกิจมันดี แต่ถ้าเศรษฐกิจมันร่วงโรยล่ะ จิตใจของเราเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เราจะรักษาอย่างไร เราจะดูแลอย่างไร

มองโลกไง ดูหนังดูละครแล้วย้อนมองดูตัว แล้วย้อนมองดูหัวใจของตน เราจะทำใจของเราอย่างไรให้มีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์เป็นที่พึ่งของเรา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ความสุขหาได้ด้วยหัวใจของเรา ความสุขหาได้ที่นี่ แต่เราโดนการโฆษณาชวนเชื่อ พยายามจะหาความสุขข้างนอกกัน เราจะต้องขวนขวาย เราจะต้องแสวงหา แล้วก็ต้องชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงที่สุดก็ต้องตายไปทั้งหมด แต่เราขวนขวายทรัพย์สมบัติของเรา ถ้ามันจะตาย มันไปกับเรา ก็เราไปขวนขวาย เรามีทรัพย์สมบัติของเรา อัตตสมบัติเกิดที่จิต ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกเกิดกับเรา แล้วเราจะตาย ตายก็ไปกับเราไง ไปด้วยกัน เพราะเราหามา เราทำของเรา

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี หน้าที่การงานเราก็ทำ เราไม่ปฏิเสธเราก็ทำ แต่เราก็ต้องดูแลหัวใจเราด้วย เราก็ต้องขวนขวายให้พบให้เจอ ถ้าพบเจอแล้วนะ มันจะซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งว่าทำไมเราโง่ขนาดนี้ ทำไมเราโง่ขนาดนี้ แต่ถ้ายังไม่เจอ มันว่ามันฉลาดนะ มันนักปราชญ์ ไอ้พวกโง่ๆ มันไปอยู่วัดอยู่วา มันไปอยู่โคนไม้ มันจะมีความสุขได้อย่างไร ของเราสิ โอ้โฮ! ความสุขรอบด้าน ไอ้อยู่โคนไม้มันสุขได้อย่างไร

เพราะเขาไม่มีวิหารธรรม เขาไม่มีคุณธรรมในใจเขา ถ้าเขามีวิหารธรรม เขาจะรักษาวิหารธรรมของเขา เอวัง

i