ดูถูก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัยไง ถ้าเราไม่มีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย โลกก็อาศัยไม่ได้ เพราะเราหนีโลกนี้มา โลกอาศัยไม่ได้ โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีสิ่งใดเติมเต็มได้ โลกพร่องอยู่เป็นนิจ พร่องอยู่เป็นนิจเพราะว่ามันพร่องโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน ให้ครองโลกมันก็ไม่พอ ให้ครองจักรวาลนี้มันก็ไม่พอ กิเลสตัณหาความทะยานอยากถมไม่มีวันเต็ม
ถ้ามันจะเต็มได้ต้องมีสัจธรรมในหัวใจ ถ้ามีธรรมในหัวใจ เรามีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย ฟังธรรมๆ ฟังธรรมจากสัจธรรม ไม่ใช่ฟังธรรมจากกิเลส ฟังธรรมจากโลก ฟังธรรมจากโลกนะก็อ้างอิง อ้างว่าเป็นธรรมๆ ไง แต่เป็นธรรมๆ เพื่อเราไง เป็นธรรมเพื่อกู ถ้าเป็นธรรมๆ ต้องให้เราใหญ่โตมันถึงจะเป็นธรรมได้ แต่ถ้าเราเสมอภาคกันเป็นธรรมไม่ได้ นี่มันไม่ยอมรับความเสมอภาคกัน ความเสมอภาคกันสิ เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมาน่ะ คนเกิดเหมือนกัน กินเหมือนกัน อยู่เหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน จะยากดีมีจนเหมือนกันทั้งนั้น นี่เราบวชเป็นพระ เห็นไหม อาวุโสภันเตมันก็เหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่เราเคารพกันด้วยคุณธรรมในใจไง
เราเคารพกันด้วยคุณธรรมนะ คุณธรรมที่เขามีน้ำใจต่อเรา เราเคารพกันตรงนั้น เพราะเราบวชมาเราเสมอกันโดยศีล ๒๒๗ ไง ไม่อย่างนั้นเราลงอุโบสถไม่ได้ ความเป็นอุโบสถ เห็นไหม ถ้ามันมีด่างพร้อยเป็นโมฆะ ถ้าเป็นโมฆะ แม้แต่พระด้วยกันอยู่นอกหัตถบาสยังเป็นสังฆกรรมไม่ได้เลย ต้องอยู่ในหัตถบาส คำว่าอยู่ในหัตถบาสมันอยู่ใกล้ชิดกัน อยู่โดยความเสมอภาคกัน ความเสมอภาคอันนี้เป็นธรรม
ถ้าสัจธรรม เห็นไหม ความเสมอภาคโดยธรรม บวชมาแล้วเป็นพระเท่ากัน มีความเสมอภาคเป็นพระเหมือนกัน แต่เราเคารพกันเราบูชากันด้วยคุณธรรมในหัวใจไง ถ้าคุณธรรมในหัวใจนั้นเพราะมันธรรมเหนือโลกไง
นี่โลกพร่องอยู่เป็นนิจ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันหมุนไปโดยสัจจะข้อเท็จจริงของมัน เพียงแต่! เพียงแต่ว่ากรรมของใครมาก่อนไง เวลาเกิดหมดอายุขัยเขาต้องไปก่อน คนอายุสั้นอายุยืนแตกต่างกัน แตกต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมีของคน ดูสิ เวลาบอกว่าคนที่มีศีลสมบูรณ์ เห็นไหม อายุยืน ผิวพรรณผ่องใส เพราะคนมีศีล ๕ บริสุทธิ์ไง ถ้าใครด่างพร้อยสิ่งใดล่ะ ด่างพร้อยสิ่งใดมันก็ให้ผลไปตามนั้น ถ้าให้ผลตามนั้นนี่ เห็นไหม มันไม่เท่ากันตรงนั้น
ถ้ามันไม่เท่ากันโดยกรรม เราไม่เท่ากันกันโดยการกระทำอย่างนั้น นั่นมันเป็นเวรกรรมของสัตว์โลก มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์ได้สร้างเวรได้สร้างกรรมอย่างนั้นมา ไม่มีใครจะชักนำให้มันเสมอภาคกัน ไม่มีใครจะชักนำให้มันเท่าเทียมกันได้ เพราะว่ามันเกิดจากการกระทำ มันเกิดจากกรรมของเขา เขาก็ทำของเขา เวรกรรมให้ผลของเขา แล้วใครจะมีอำนาจไปทำให้มันเสมอภาค ความเสมอภาคเป็นไปไม่ได้ไง
ความเสมอภาคขึ้นมา ความเสมอภาคนี่เราบวชเป็นพระ มันเสมอภาคกันโดยการเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ความเสมอภาคกันโดยธรรม ความเสมอภาคในศีล ๒๒๗ เหมือนกัน บวชมาแล้วศักยภาพเท่ากัน แต่เวลาเคารพบูชากัน เห็นไหม ดูสิ เวลาสมัยหลวงปู่มั่นน่ะ ครูบาอาจารย์ท่านจะอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นท่านช่วงชิงกันนะ ช่วงชิงเวลาเข้าไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ทีนี้เข้าไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ใครไปก่อน ใครได้ก่อน ถ้าใครไปก่อน เห็นไหม อยู่ที่ความมุมานะความบากบั่นของคน
ทีนี้ความบากบั่นของคน คนไปไม่ได้คนไปไม่ทันล่ะ ไปไม่ทันก็เขาก็พยายามพัฒนาตัวเขา ถ้าเขาเป็นธรรม ถ้าใจเขาเป็นธรรมนะพัฒนาตัวเขา เพราะว่าหลวงปู่มั่นมีองค์เดียว หลวงปู่มั่นไม่มีหลายๆ องค์หรอก ถ้าหลวงปู่มั่นมีองค์เดียว ท่านก็ใช้สอยในตัวท่านองค์เดียวเท่านั้น อุปัฏฐากธาตุขันธ์ของท่านด้วยความเคารพบูชาเพราะหลวงปู่มั่นมีองค์เดียว แล้วอาจารย์ของเรามีองค์เดียว แต่ว่าลูกศิษย์มีมาก ลูกศิษย์มีมากมีคนเคารพบูชามาก มีคนต้องการอุปัฏฐากอุปถัมภ์ท่านมาก แต่นี่มันก็อยู่ที่ว่าคนเป็นธรรมไม่เป็นธรรมไง
ถ้าเป็นธรรมก็เป็นแบบหลวงตา หลวงตาท่านเป็นผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ท่าน ท่านคอยดูแล ไอ้ที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมเข้ามามันก็เหยียบย่ำคนอื่นไง เหยียบหัวเขาไปว่าตัวเองมีคุณธรรม เวลาคนที่เหยียบหัวเขาไป ดูสิ เวลามองคนอื่นมองด้วยการดูถูกเหยียดหยาม การมองดูถูกเหยียดหยามมันมองด้วยชายตา มันมองด้วยหางตาว่าคนอื่นด้อยค่า เรามีคุณค่า นี่ ความดูถูกไง ความดูถูกเหยียดหยามคนมันน่าเกลียด แต่คนที่มันทำมันไม่รู้ มันคิดว่ามันเก่ง มันคิดว่ามันทำของมันได้ไง มันคิดว่ามันมีอำนาจ มีศักยภาพ ความมีศักยภาพ นี่ไง มันไม่เสมอกันโดยธรรมแล้ว ไม่เสมอโดยธรรม
ดูสิ หลวงปู่มั่นมีองค์เดียว หลวงปู่มั่นมีองค์เดียวลูกศิษย์ลูกหามีมหาศาล ถ้าลูกศิษย์ลูกหาที่มีจิตใจเป็นธรรมท่านอยากจะอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ของท่านด้วยความเคารพบูชา ด้วยทดแทนบุญคุณ เพราะว่าได้อาศัยพ่อแม่ครูอาจารย์ ได้อาศัยพึ่งพาอาศัยด้วยข้าว ด้วยน้ำข้าว ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย ได้อาศัยท่านด้วยอำนาจวาสนาบารมีคอยควบคุมดูแลหัวใจของเรา เวลาหัวใจของเรามันคิดนอกเรื่องนอกราวขึ้นมา ด้วยความเคารพบูชา ด้วยความกลัวท่าน มันก็รักษาใจนั้น ด้วยเคารพบูชา ด้วยการชี้นำของท่าน ด้วยการชักนำของท่าน ด้วยแบบอย่าง ใช้ชีวิตของท่านเป็นตัวอย่าง มันเคารพบูชาอย่างนั้นนะ ถ้าจิตใจของคนที่เป็นธรรม มันเคารพบูชาของเขาอย่างนั้น
แต่ไอ้คนที่เหยียบย่ำ มองคนด้วยการดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าตัวเองมีศักยภาพ ก็คิดว่าตัวเองทำได้ๆ มันสร้างเวรรสร้างกรรมทั้งนั้น มันไม่เสมอภาค ถ้ามันไม่เสมอภาคกันด้วยสัจจะด้วยความจริงอันนั้น มันก็เป็นการดูถูกดูแคลน คนดูถูกดูแคลนคนมันก็เหยียบย่ำเขาไปทั่ว ถ้าเหยียบย่ำเขาไปทั่ว เหยียบย่ำมาจากไหนน่ะ เหยียบย่ำเกิดจากทิฏฐิมานะในใจนั่นน่ะ ถ้าทิฏฐิมานะในใจทำสิ่งใดออกไปโดยที่ว่าขาดสติ ไม่ได้คิดว่าสิ่งนั้น เห็นไหม ความลับไม่มีในโลกหรอก ตัวเองคิดตัวเองทำมันก็น่าเกลียดอยู่แล้ว แล้วพอคนอื่นเขามองเขาเห็น เขารับไม่ได้หรอก
แต่ที่ความเป็นธรรมนะ ดูสิ่งที่เป็นธรรม ใครๆ ก็แสวงหาความเป็นธรรม แสวงหาคุณงามความดี ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ท่านคอยควบคุมดูแล คนนั้นอุปัฏฐากบาตรนะ ไปรับบาตร คนนั้นดูกระโถนนะ คนนั้น... เพราะต่างคนอย่าแย่งกัน อย่าทำอะไรกัน เพราะหลวงปู่มั่นมีองค์เดียว แต่ทุกคนที่เข้าไปอุปัฏฐากอุปถัมภ์ท่านอยากได้บุญกุศลจากท่าน เข้าไปด้วยน้ำใจด้วยความเคารพบูชานะ ถ้าน้ำใจเคารพบูชามันนอบน้อม มันอ่อนน้อม มันทำเพื่อคุณธรรม แต่ถ้าเข้าไปด้วยทิฏฐิมานะมันกางปีกกางก้าม เข้าไปน่ะไร้สาระ แล้วไร้สาระยังคิดว่าตัวเองมีอำนาจวาสนานะ ว่าตัวเองมีศักยภาพ ศักยภาพอย่างนั้นมันของกิเลสทั้งนั้น การดูถูกเหยียดหยามคนไม่ดีทั้งนั้นเลย แล้วไปดูถูกเหยียดหยามเขาทำไม
คนที่มาใหม่ เห็นไหม ดูสิ เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่น ท่านก็ต้องเข้าไปฝึกหัดใช่ไหม ควรจะเดินยังไง เดินด้วยปลายเท้ายังไง อย่าเดินด้วยเต็มเท้า การเดินที่ไม่ให้มันเกิดเสียงกระทบไง การหยิบการจับสิ่งใดน่ะมันต้องมีสติปัญญายังไง การวาง วางโดยมุมของมันก่อนแล้ววางโดยเต็มพื้นที่ วางยังไงเพื่อไม่ให้เกิดเสียงกระทบ มันก็ต้องไปฝึกไปหัดไปสังเกตไปดูแลเขา ไปสังเกตดูว่าเขาทำกันยังไง แล้วฝึกหัดทำให้ได้ ถ้าทำได้ขึ้นมาแล้วมันก็เป็นตัวสำรองขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ ฝึกหัดขึ้นมา
นี่ที่คนเขามีคุณธรรมเขามีหัวใจกันน่ะเขาฝึกหัดกันอย่างนี้ เขาฝึกหัดให้เขาหัดทำ หัดทำให้มันเป็นขึ้นมา ถ้าเป็นขึ้นมาเขาก็มีข้อวัตรติดหัวมันไป คนที่เขาไม่ดูถูกเหยียดหยามกัน เขาทำของเขาเป็นอย่างนั้น นี่ความเป็นธรรม แล้วมันเสมอภาคกันไง เสมอภาคลงอุโบสถ เห็นไหม สามัคคีอุโบสถ วันอุโบสถมันก็สมานฉันท์ มันทำให้ไม่มีการหวาดระแวงต่อกันไง ถ้ามีความหวาดระแวงต่อกัน ไอ้โน่นก็ไม่ถูก ไอ้นี่ก็ไม่ถูก มันหวาดระแวงต่อกันไปหมดเลย ถ้ามันหวาดระแวงต่อกันแล้วเราจะทำอะไรต่อไปล่ะ มันก็มีแต่ความเศร้าหมองในใจไง มันมีแต่ความสะดุ้งกลัวในใจไง มันไม่เป็นความราบรื่นเลย
ถ้ามันจะเป็นความราบรื่นของเรานะ ความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจของเรา ด้วยศีลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม เราไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่ดูถูกดูแคลนใคร คำว่าจะดูถูกของเรานี่ให้มันดูถูกดูผิด ถ้ามันผิดถูกขึ้นมาโดยสัจธรรมโดยข้อเท็จจริงอันนี้แหละสำคัญ ถ้ามีสติปัญญามันแยกถูกแยกผิดได้ ถ้ามันแยกถูกแยกผิดได้ด้วยสติปัญญา การแยกถูกแยกผิด นี่ ถ้ามันแยกถูกแยกผิดได้ มันไม่ใช่ดูถูกดูแคลน ความดูถูกดูแคลนๆ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
การแยกถูกแยกผิดโดยสัจธรรม การแยกถูกแยกผิดด้วยสติปัญญา ถ้าเราแยกถูกแยกผิดได้ นี่เราดูถูก ดูถูกดูผิด ถ้าผิดก็เป็นผิด ถูกก็เป็นถูก ถ้าผิดเป็นผิดขึ้นมาเราแยกแยะได้ว่าเป็นผิด เราก็ไม่กระทำสิ่งนั้น เพราะการกระทำสิ่งนั้นมันชักให้จิตใจนี้มันต่ำทรามไป ถ้ามันเป็นความถูกต้องดีงาม เราจะเหยียบคันเร่งของเราเลย เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำสมาธิภาวนาของเรา ทรัพย์สมบัติอะไรมันจะมีอัตตัตถสมบัติในหัวใจ ทรัพย์สมบัติสิ่งใดจะมีค่าเท่ากับอัตตัตถสมบัติในหัวใจ
อัตตัตถสมบัติในหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมนะ มันเป็นชื่อเป็นตำรา เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่ชาวโลกชาวพุทธของเราแสวงหาต้องการ แล้วเราพยายามฝึกหัด เราพยายามทำเข้ามาให้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา สิ่งที่เขาแสวงหาเขาต้องการ เราก็แสวงหา เราก็ต้องการเหมือนกัน ถ้าเราแสวงหาเราต้องการเหมือนกัน เราต้องการตัวจริงของมัน ถ้ามีสติขึ้นมา เห็นไหม เราดัดแปลงความรู้สึกนึกคิดของเรา ดัดแปลงการกระทำของเรา ดัดแปลงให้มันเข้ารูปเข้ารอย ถ้ามันดัดแปลงเข้ารูปเข้ารอยได้ นี่เราดัดแปลงๆ เพราะอะไร เพราะการดัดแปลงนี่มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้น มันเป็นประโยชน์กับเรา เรามีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วหมู่คณะเขาร่มเย็นเป็นสุขไปกับเรา
แต่ถ้ามันเป็นการดูถูกดูแคลนกัน มันเป็นการสะดุ้งระแวงในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นการสะดุ้ง มันเป็นการระแวงในใจของเรา เราอยู่ไม่เป็นสุขหรอก เราอยู่ไม่เป็นสุข เราต้องคอยระแวงตลอดเวลา เราต้องคอยให้คนอยู่ในอำนาจเราตลอดเวลา จะทำให้เราพอใจตลอดเวลา มันไม่มีความสุข แล้วไอ้คนที่เขาอยู่ด้วยมันก็ไม่มีความสุขไปทั้งนั้น เพราะมันเป็นการเหยียบย่ำเหยียดหยามกัน เห็นไหม มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย นี่ถ้ามันเป็นอยู่ในหัวใจของเรา
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราฝึกหัดหัวใจของเรา เราพัฒนาหัวใจของเรา ถ้ามันมีสิ่งใดแล้วเราดูถูกดูผิดแยกถูกแยกผิดขึ้นมามันเป็นประโยชน์ของเรา มันเป็นประโยชน์เกิดจากสติปัญญาของเรา แล้วสติปัญญาที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้มันเป็นประโยชน์กับใคร มันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้น ดูสิมันไม่สะดุ้งไม่ระแวงอะไรเลยล่ะ มันไม่สะดุ้งไม่ระแวงอะไรเลยเพราะอะไร เพราะมันไม่มีความลับลมคมในอะไร ถ้ามันไม่มีลับลมคมในอะไร ไม่สะดุ้งสิ่งใดเลย มันมีความสุขไหม มันมีความสุขไหม จิตใจนี่เป็นอิสระไหม
ใจเหมือนกัน ใจอยู่ในตัวเรานี่แหละ มันไม่สะดุ้งไม่สะเทือนสิ่งใดเลย มันมีความสุข ความสงบไปทั้งนั้น เราแยกถูกแยกผิดได้หมด อะไรเป็นความดีความงาม เห็นไหม ความดีความงาม เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อทั้งนั้น ชื่อมันน่ะแล้วเราทำขึ้นมาเป็นตัวจริงเราได้ไหม นี่ดูสิ เรามีสติก็สติจริงๆ พอมีสมาธิจริงๆ มีความร่มเย็นเป็นสุขจริงๆ สิ่งที่พึ่งพาอาศัย เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ จิตนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่มันจะอยู่กับอะไร
จิตไม่มีเครื่องอยู่มันก็อยู่กับความรู้สึกนึกคิด แล้วความรู้สึกนึกคิดถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ชักนำไปทางเลวทราม แต่ถ้ามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันก็ชักไปในทางคุณงามความดี เพราะจิตมันไม่มีเครื่องอยู่ มันอยู่ไม่ได้มันต้องอาศัยเขา พออาศัยเขาขึ้นมาแล้วนี่ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาดูแลรักษา มันก็เป็นเครื่องอยู่ มันให้กิเลสพาไป กิเลสพาไปมันก็เหยียบย่ำเขาไปทั่ว เพราะกิเลสมันอยากใหญ่อยากโตทั้งนั้น มันอยากอยู่บนหัวของสัตว์โลก มันเหยียบย่ำเขาไปทั้งนั้น กิเลสไม่ยอมจำนนกับใครหรอก
ถ้าไม่ยอมจำนนกับใคร แล้วเราฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ มันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ไง เพราะใจดวงนี้มันมีสติปัญญาขึ้นมาเป็นผู้รักษามันไง ดูสิ สัตว์อาชาไนยๆ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นสัตว์อาชาไนย ท่านเลือกแยกแยะอารมณ์ความรู้สึก เลือกแยกแยะสิ่งที่จะเข้ามากระทบใจเรา ถ้ามันเลือกแยกแยะ เห็นไหม สัตว์อาชาไนยมันไม่กินอาหารพวกสัพเพเหระทั่วไป มันจะกินแต่ยอดหญ้า มันจะกินแต่น้ำค้าง มันจะกินแต่ความดีๆ ของมัน มันกินยอดอาหารน่ะ
นี่เหมือนกัน ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันคัดมันแยกของมัน มันเห็นถูกเห็นผิดขึ้นมาด้วยความเป็นจริงขึ้นมา นี่เห็นถูก เห็นไหม ดูถูกดูผิดขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ไง ถ้าประโยชน์กับใจดวงนี้ นี่ไง เวลาทำขึ้นมาแล้วใครเป็นคนได้
เราบวชมา เราอยากมาประพฤติปฏิบัตินะ มรรคผลมันอยู่ที่ใจ ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่ได้มาๆ นี่ด้วยคุณธรรม สิ่งที่ได้มาสิ่งใดขึ้นมาเป็นคุณธรรม เห็นไหม มันประโยชน์โลกทั้งนั้นเลย ถ้าจิตใจมันไม่มีคุณธรรม สิ่งที่ได้มาเป็นโทษทั้งนั้น นี่ของกูๆ แล้วก็ตระหนี่ถี่เหนียวรักษาไว้ ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือให้ปัญญาเลยล่ะ ให้ตั้งแต่ความรู้สึกนึกคิดอันนั้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้าประพฤติน่ะ กลิ่นของศีลหอมทวนลม การทำคุณงามความดีมันหอมทวนลม ลาภสักการะมันจะเกิดขึ้น ถ้าลาภสักการะเกิดขึ้น ถ้าจิตใจมันดีงามอยู่แล้วมันเป็นประโยชน์ มันสละเจือจานกับโลกได้ทั้งหมดล่ะ โลกจะได้สิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัยกับเรา นี่อยู่ใกล้คนมีบุญ นี่ต้นไม้ใหญ่ ร่มโพธิ์ร่มไทร นี่มันมีร่มมีเงา มันมีลูกโพธิ์ลูกไทรให้นกได้จิกกินเป็นอาหารของมัน มันก็ยังเป็นประโยชน์กับมัน นี่ถ้าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
ถ้ามันไม่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรมันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นไหม เห็นแก่ตัวมันก็คิดว่า กิเลสคิดว่าเป็นสมบัติของเราไง กิเลสคิดว่านั่นเป็นประโยชน์ไง นี่มันคิดว่า นี่ไง มันไม่เห็นน่ะ เพราะมันคิดว่ามันก็เลยเหยียบย่ำไง เพราะมันคิดว่ามันเลยดูถูกดูแคลนไง แต่ถ้ามันไม่คิดว่า เรามีสติปัญญาของเรา เรามีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ มีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม แล้วมีคุณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องอยู่ จิตมันพาดพิงอะไรมันจะได้ประโยชน์สิ่งนั้น
จิตนี้ละเอียดอ่อนมาก เวลามันพาดพิง เห็นไหม ดูสิ กิเลสตัณหาความทะยานอยากหลอกลวงมันไปนะ เอามันไปใช้งาน ทั้งๆ ที่ว่ากิเลสมันเกิดจากจิต จิตนี้ละเอียดอ่อนมาก เป็นที่อยู่ เป็นภวาสวะ เป็นภพ แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไปแล้ว เห็นไหมทั้งๆ ที่มันอาศัยจิตนี่เกิด อาศัยจิตนี้เป็นที่อยู่อาศัย แล้วมันก็ชักลากไป มันออกไปทำตามแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการ มันต้องการ มันต้องการ มันดูถูกดูแคลนเขา มันเหยียบย่ำเขา มันทำลายเขา แต่มันไปทำไม่ได้ มันไปทำไม่ได้เพราะอะไร
เพราะกิเลส เห็นไหม มันเกิดดับ กิเลสมันเป็นนามธรรม มันเกิดจากจิต ถ้าไม่มีจิตไม่มีพลังงานให้มันไปทำมันทำอะไรล่ะ มันก็มั่วสุม มันก็ครอบงำ แล้วมันครอบงำให้จิตพาดพิงถึงมัน เป็นขี้ข้าของมันนะ แล้วมันก็พาไปทำ พาไปกว้านเอาความบาปกรรมมาใส่ตัวมัน แล้วเวลากิเลสมันอิ่มหนำสำราญพอใจมันแล้ว มันอิ่มท้องมัน พุงกางแล้ว เดี๋ยวมันก็พอใจมัน เดี๋ยวมันก็หยุดอยู่แค่นั้น เดี๋ยวมันก็คิดใหม่ เดี๋ยวมันก็ทำของมันอีก แล้วมันก็จะกินให้พุงกางเลยน่ะ พุงกางพอใจมันเลยนะ แต่วิบากกรรมมันตกที่ใครล่ะ กิเลสมันเอาไปใช้ เอาเป็นวิบากกรรมไหม มันไปรับผิดชอบไหม มันพาจิตนี้ไปทำ แล้วเสร็จแล้วเวรกรรมวิบากกรรมน่ะตกอยู่ที่จิตหมดเพราะอะไร เพราะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
จิตนี้เวียนว่ายเกิดจากการกระทำนั้น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ะมันพาจิตนั้นไปสู่วิบากกรรมอันนั้น ถ้าสู่วิบากกรรมอันนั้น แล้วผลลัพธ์ของใคร ผลลัพธ์มันของจิตไง ผลลัพธ์คือภวาสวะคือภพไง คือจิตดวงนั้นที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เวลาทำทำไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่มันพาทำๆ เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะเราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ไง เราไปเอาสิ่งกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นเครื่องอยู่ไง ให้มันชักนำไปไง ให้มันเกิดจากจิต แล้วก็พาจิตไปทำ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นประโยชน์ของมัน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นเครื่องอยู่ๆ ให้มันพาดพิงอยู่ เกาะเกี่ยวอยู่นี้ไว้ เกาะเกี่ยวอยู่กับความเป็นอยู่ของเรา ถ้าเกาะเกี่ยวความเป็นอยู่ของเรา เราตั้งสติของเราขึ้นมา เราภาวนาของเรา เราภาวนาของเราทำไมต้องภาวนา อยู่เฉยไม่ได้เหรอ อยู่เฉยๆ นั่นมันขี้เกียจขี้คร้าน หนังหนา แล้วมันก็จะพาลงสู่นรกอเวจีนั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะความชั่วมันเกิดขึ้นอยู่แล้วถ้าไม่ทำสิ่งใดเลย นี่ดูสิ ว่าความเป็นกลางๆ นี่กลางขี้ขลาดไม่ทำอะไรเลย มันก็ลงสู่กิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น
ความเป็นกลางคือความสมดุล ความเป็นกลางคือการไม่ตกไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในอัตตกิลมถานุโยค กามสุขขัลลิกานุโยคในหัวใจเรา นี่ความเป็นกลางคือความบากบั่นหมั่นเพียร ความเป็นกลาง ความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ นั่นละคือความเป็นกลาง ความเป็นกลางอย่างนั้นเป็นการกระทำ มันกระทำเพื่ออะไร เพื่อให้มันตื่นตัวไง ให้จิตมันตื่นตัวของเราขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาเห็นไหม นี่ ใครได้ประโยชน์ การประพฤติปฏิบัติการกระทำนี่จิตเราได้ประโยชน์ทั้งนั้น แต่เวลาเขาทำหน้าที่การงานขึ้นมา บอกมันเหนื่อยมันล้า แต่มันไม่เห็น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี หลวงปู่มั่นท่านบอกท่านสลบเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย องค์หลวงปู่มั่นท่านบอกท่านเคยสลบ ๓ หน หลวงตาท่านเล่า เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยไง เวลาท่านมีไข้ แล้วท่านนั่งภาวนาของท่าน รู้สึกตัวอีกทีนอนอยู่แล้ว รีบลุกขึ้นมาเลยน่ะ ท่านบอกสลบไปเลยน่ะ ๓ หน แต่ไม่ได้เป็นทีเดียว เวลาป่วยไข้นานๆ เป็นทีหนึ่ง ท่านทำขนาดนั้นนะ สลบถึง ๓ หน นี่คนที่สลบไปก็ช็อก คนช็อกมันก็ตาย ถ้ามันไม่ฟื้นสติมาก็ตาย แต่ท่านก็ทำของท่าน
นี่ไง คือการกระทำอย่างนี้ทำขึ้นมาเพื่อหัวใจดวงนั้นไง แล้วการกระทำอย่างนี้มันเป็นสิทธิ์ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม มันเป็นความพอใจของเรา เราจะทำที่ไหนก็ได้ เราทำส่วนตัวของเรา มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเรา มันเป็นสิทธิ์ที่เราจะทำน่ะ แล้วเวลาทำไปแล้วถ้ามันไม่ได้ผลขึ้นมามันเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เบื่อ ไม่อยากทำเลย เบื่อฉิบหาย ความเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เวลาเป็นอย่างอื่นเรียกร้องสิทธิ์ๆ
นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นสิทธิ์ของเราไง ถ้าเป็นสิทธิ์ของเราเห็นไหม ดูสิ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน แล้วมืดสว่างๆ อยู่อย่างนี้ แล้วความเป็นสิทธิ์ของเราเราก็แสวงหาของเรา เราก็เจียดเวลาของเรา เราก็การกระทำของเราให้มันเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม พูดถึงเวลาทำขึ้นมาก็ทำเพื่อดวงใจดวงนี้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทุกคนปฏิบัติขึ้นมาเพื่อใจของตัวเองทั้งนั้น
เวลาปรารถนา นี่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างสมบุญญาธิการมาแต่ละภพแต่ละชาติขึ้นมา สิ่งที่การกระทำมามันก็ซับสมลงที่ใจนั้นๆ พระโพธิสัตว์ เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยจนตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการสร้างคุณงามความดี ด้วยการกระทำอันนั้นต่อเนื่องๆๆ ไป
ความต่อเนื่องนั้น เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีก็เกิดสูงเกิดส่ง เกิดเป็นจักรพรรดิ เกิดเป็นเทวดา เกิดต่างๆ นี่การเกิดนั้น เกิดแล้วเป็นหัวหน้าเป็นผู้ที่พากระทำเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีขึ้นไปให้สูงขึ้น เวลาสูงขึ้นจะมีสติปัญญาแยกแยะ แยกถูกผิดได้ชัดเจนขึ้น อะไรผิดถูกขึ้นมาจะพากลุ่มพามวลชนชุมชนนั้นกระทำคุณงามความดี นี่พัฒนาการของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นั่นน่ะเกิดจากอะไรล่ะ เกิดจากการกระทำทั้งนั้น มันต้องมีการกระทำ ทางโลกเขาทำขึ้นมาเขาก็ทำเพื่อวิชาชีพของเขา เขาก็ทำเพื่อประโยชน์ของเขา
เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาไม่เห็นได้อะไรเลย ก็เดินไปเดินมานั่นน่ะ เดินไปเดินมาเดินเอาหัวใจ เดินไปเดินมาน่ะเก็บพุทธะ มันไม่ใช่เดินไปเดินมาโดยไม่มีหลักเกณฑ์ เดินไปเดินมาโดยไร้สาระ นี่ไง มันดูถูกดูแคลนเขาไปทั่ว นี่ปฏิบัติจะไปนิพพานใช่ไหม สู้ฉันไม่ได้ฉันมีปัญญามาก ฉันค้นคว้าของฉัน ฉันมีปัญญาของฉัน ปัญญาอย่างนั้นเอาไปทำอะไร เอาไปประดับเกียรติกิเลส ให้กิเลสมันเอามาเป็นเครื่องมือของมัน แล้วก็คิดตามนั้น กิเลสมันควบคุมไว้หมด มันไม่เป็นความจริงอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เราทำของเรา สิ่งที่ใครประพฤติปฏิบัติ ใครเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาได้มากน้อยแค่ไหนมันก็เป็นการพัฒนาจิตของตัวเอง มันมีกำลังแก่กล้าขึ้น ดูสิ ต้นไม้ ต้นไม้ที่มันมีน้ำมีปุ๋ยอย่างดี ต้นไม้ดูมันแตกใบอ่อน โอ้โฮ มันสวยงามมาก มันแตกใบอ่อน มันไร้เดียงสา โอ้โฮ มันนิ่มนวล
ถ้าเราพัฒนาของเรา จิตมันสงบขึ้นมาได้ จิตมันมีแวว มีแววคือมันฉุกคิดน่ะ มันฉุกคิด มันสำนึกได้ มันมีความภูมิใจ มันเป็นสมบัติของใคร เวลาศึกษาขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ จ้ำจี้จ้ำไชขนาดไหนมันไม่เห็นมีอะไรเข้าถึงใจเราเลย มันไม่เห็นมีอะไรทำให้เราอบอุ่นเลย แต่เวลาเราคิดได้ เราพัฒนาได้ เราเป็นไปได้ นี่ฮู้หู มันฉุกคิด มันคิดได้ มันภูมิใจ แล้วมันเกิดจากอะไร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มนุษย์จะล่วงพ้นด้วยความเพียร ความเพียรของเราไง
เพราะความเพียร เรามีสติมีปัญญามันแยกถูกแยกผิดได้ พอมันแยกถูกแยกผิดได้ เห็นไหม ไม่ต้องมีใครมาบอกเรา หาครูบาอาจารย์ก็นี่แหละ ครูบาอาจารย์คอยแยกถูกแยกผิดคอยบอกเพราะอะไร มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบคือความคิดหยาบๆ ฉันทำความดีๆ ใครมาบอกฉันถือศีลแล้วลำบากไปหมดเลย โหย เป็นคนให้ทาน ให้ทานแล้วยังมีคนติเตียนตลอดเลย นี่ไง เวลาทำสิ่งใดแล้วก็จะให้เขายกย่องสรรเสริญบูชา ทำสิ่งใดก็คิดว่าตัวเองจะทำได้ไง นี่มรรคหยาบ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดไง
ถ้าเราจะทำคุณงามความดี เราก็ทำคุณงามความดี ความดีอย่างนั้นใช่ไหม เราทำบุญกุศลของเรา เราพัฒนาการของเรา มรรคหยาบๆ ใช่ไหม ถ้าละเอียดขึ้นๆ เราทำแล้วเราก็วาง วางแล้วเราก็หาทำความสงบใจเข้ามา นี่มันจะเกิดมรรคละเอียด มรรคละเอียด เห็นไหม ถ้ามรรคละเอียดมันก็ต้องวางหยาบไง อย่างหยาบที่ทำแล้วก็วางไว้ พอความคิดละเอียดขึ้นมันก็ละเอียดขึ้น ไอ้นี่ไม่ได้ ฉันทำความดี ฉันสุดยอดคน ฉันทำอย่างนี้ไม่ได้ นี่มันยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นกับมรรคหยาบๆ คือความคิดดีๆ ความคิดดีทางโลก ทางโลกเขาบอกคนจะมีคุณงามความดีต้องมีหน้าที่การงาน
แต่เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า คนจะมีคุณงามความดีมันต้องจิตสงบ ต้องมีคุณภาพของจิต ถ้าคุณภาพของจิต เห็นไหม คุณภาพของจิตมันมาจากไหนล่ะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านนั่งเฉยๆ นั่งสมาธิภาวนา นั่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั่งเฉยๆ เดินจงกรม โอ้โหย มันหมุนติ้วๆๆ นี่ ร่างกายมันเดินไปโดยสัญชาตญาณ แต่ปัญญาที่หมุนอยู่ในหัวใจน่ะ ปัญญาที่มันหมุนอยู่ในหัวใจ มันหมุนพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง มันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมัน แยกแยะเก็บเล็กผสมน้อย ความรู้เพิ่มขึ้น มีมุมมอง มีทักษะ มีความเห็น มุมมองที่ลึกซึ้งที่มันถอดมันถอน มรรคละเอียด มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดถ้าเราติดในดีของเราอยู่แต่คุณงามความดีว่าเราทำคุณงามความดีนี้มันถูกต้องดีงามอยู่แล้วนี่ แล้วเราไม่พัฒนาขึ้นไปเลยหรือ นี่มรรคละเอียดนี้มันจะเกิดขึ้นไง
ดูสิ มรรคหยาบมรรคละเอียดในมรรคเดียวนะ แต่เวลาพิจารณาไปแล้วน่ะ บุคคคลสี่คู่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตมรรค มันเป็นอีกชนชั้นเลยล่ะ เป็นขอบเขตเลยล่ะ เห็นไหม ความว่างของโสดาบัน ความว่างของสกิทาคา ความว่างของอนาคา ความหลุดพ้นของพระอรหันต์ ความว่าง ๔ นี่สมณะ ๔ สมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง สมณะที่สาม สมณะที่สี่ ความเป็นสมณะนี่ ความเป็นสมณะมีจิตที่เป็นคุณภาพความสมณะนั้น ถ้ามันเป็นสมณะนั้นมันต้องแยกถูกแยกผิดจนชัดเจนแล้วมันถึงเป็นสมณะอย่างนั้นได้ไง การเป็นสมณะอย่างนั้น
นี่ไง เวลาที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ใครเป็นคนได้ๆ ก็จิตดวงนั้นเป็นคนได้ไง ทีนี้ว่า เราทำหน้าที่การงานของเราแล้ว เราบอกว่าเราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราทำแล้วมีความทุกข์ของเรา เราไม่เห็นได้สิ่งใดเลย มันได้มันก็ได้บุญกุศลได้สัจจะความจริงอันนั้นไง นี่ดูสิ บางที่บางวัดเขาใช้ไง เขาบอกว่าใช้ผู้ทรงศีลเขาว่าเป็นแรงงานอริยะ เราบอกว่าแรงงานฟรีต่างหากล่ะ ถ้ามึงเอาแรงงานไปจ้างเขามามันต้องเสียตังค์ไง แรงอริยะ แรงงานฟรี หลอกให้ทำ หลอกให้ทำเพื่อกูจะต้องการผลงานไง
แต่เวลาทำของเรา เรานั่งสมาธิภาวนา เราทำข้อวัตรนี่ เขาไม่ได้หลอกให้ทำ เราพอใจทำ เราพอใจเพราะจิตเราปรารถนา นี่ไง เป็นเครื่องอยู่ นี่จิตมันเร่ร่อนมันก็เครื่องอยู่ของมัน พอเราพัฒนาของเรา ถ้ามันละเอียดขึ้นมามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันเป็นมรรคเป็นผล มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นองค์ความรู้ มันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการกระทำ มันจับต้องได้ มันมีองค์ความรู้
ดูสิ ดูวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเขาต้องมีคลื่น เขาต้องมีต่างๆ มันถึงจะส่งคลื่นส่งต่างๆ ออกไปได้ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีองค์ความรู้ ความรู้มีการกระทำขึ้นมามันถึงจะเป็นสัจจะความจริงไง ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมานี่ใครเป็นคนทำ เราต้องเป็นคนทำ นี่ ภาคปฏิบัติเขาปฏิบัติกันอย่างนี้ ปฏิบัติขึ้นมามันมีการกระทำตามความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงมันแยกถูกแยกผิดได้ ถ้ามันแยกถูกแยกผิดได้มันถึงเกิดปัญญาขึ้นมา
ถ้าเราแยกถูกแยกผิดไม่ได้ กิเลสมันก็ชักนำอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วก็สงสัย สงสัยไปเรื่อยๆ มรรคหยาบๆ ก็ยึดมั่นของมันไปอย่างนั้น เราทำความดี มรรคหยาบๆ มันต้องใช้เวลาสอนเด็กๆ น่ะ สอนเด็กๆ มันต้องเป็นรูปธรรม เวลาไปหาครูบาอาจารย์ เอ้า กราบพระ นี่ท่านให้กราบพระพุทธรูปก่อน ให้กราบพระ ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณกับสามโลกธาตุขนาดไหน พระธรรม พระธรรมทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณค่าขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมแล้วมีดวงตาเห็นธรรมก็เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก
กราบพระก็กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ากราบพระแล้วนี่ใครเป็นคนกราบ ถ้าหัวใจมันซาบซึ้งมันกราบของมันด้วยหัวใจ นี่กราบถึงพระ ถ้าหัวใจมันไม่ซาบซึ้ง โดนบังคับให้กราบ กราบเป็นพิธีก็กราบเป็นวัฒนธรรมแต่มันไม่เข้าถึงใจ ก็พัฒนามันบ่อยครั้งเข้าจนกว่ามันจะเข้าถึงใจของมัน ถ้าเข้าถึงใจของมัน คนที่เข้าถึงใจแล้วจะเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ของความเป็นคน เห็นคุณค่าของจิตดวงนี้
ถ้าเห็นคุณค่าของจิตดวงนี้ขึ้นมา มันจะมีสำนึกขึ้นมา มันจะมีความกตัญญูกตเวที มันจะคิดถึงสังคม คิดถึงพ่อถึงแม่ คิดถึงการกระทำ คิดถึงความดี ว่าความดีมันสืบต่อสู่ความดี ถ้าความดีเกิดขึ้นมาอย่างนี้มันระดับของฆราวาสธรรม ระดับของวัฒนธรรมประเพณี ถ้าเราติดอยู่อย่างนี้เราก็ออกปฏิบัติไม่ได้เพราะมันมีงาน งานของเรา เรารับผิดชอบ แต่ถึงเวลาแล้วนี่ เห็นไหม มันวางได้ เราหาเวลาภาวนาของเรา ถ้าคนที่เขามีสติปัญญา เวลาเขาทำงานไปด้วยเขาภาวนาไปด้วย ว่าพุทโธอย่างหยาบๆ มรรคอย่างหยาบๆ มันพุทโธไปได้ด้วย
แต่ถ้ามันละเอียดแล้วนี่มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้เกิดใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาละเอียดขึ้นมามันวางสิ่งใดหมดเลย วางแล้วมันจะหมุนเข้ามาข้างใน ถ้าหมุนเข้ามาข้างในนี่ ถ้าปัญญาในมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่มรรคมันละเอียดขึ้นมาเรื่อยๆ แยกถูกแยกผิด คือว่าสิ่งที่ทำขึ้นมาเป็นความถูกต้องใช่ไหม ใช่ แต่ถ้าจะให้มันละเอียดขึ้นไปนี่ มันต้องวางสิ่งนั้นมามันถึงจะมีละเอียดขึ้นมา มันวางมรรคหยาบได้มันก็เข้ามรรคละเอียดได้ ถ้าความละเอียดมันละเอียดสุดขึ้นมาไม่ได้ มันวางเป็นชั้นๆๆ ขึ้นมาไง มันต้องพัฒนา มันต้องวางมันขึ้นไป
ถ้าวางขึ้นไป เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาท่านรู้ ท่านรู้ว่าควรทำอย่างไร คนที่ภาวนาแล้วนี่มีอำนาจวาสนาแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นแล้วมันจะพัฒนายังไง มันต้องหาสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ฉะนั้น เวลาสมัยหลวงปู่มั่น ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนท่านภาวนาดีนะ ท่านจะบอกว่าองค์นี้ให้ไปอยู่ป่านั้น องค์นั้นให้ไปอยู่ถ้ำนั้น ท่านให้ไปอยู่คนเดียวเลย ให้ไปอยู่คนเดียว อยู่กับสภาพของสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น ให้สภาพแวดล้อมอย่างนั้นช่วยดูแล แล้วท่านเองท่านก็ดูแลของท่าน
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาแล้วท่านรู้ว่า เวลาจิตที่มันยกระดับขึ้นมันควรจะทำอย่างไร มันควรจะพัฒนาอย่างไร มันไม่ใช่นอนจมอยู่กับตัณหาความทะยานอยากอยู่อย่างนี้ จิตนี้ปล่อยให้มันนอนจมอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราไม่พัฒนาของเรากันเลย ถ้ามันพัฒนาขึ้นมามันพัฒนาด้วยการกระทำ พัฒนาด้วยมรรคด้วยผลจากภายใน มันก็เป็นพระองค์เก่า มันมีแต่แก่เฒ่าไปเรื่อยๆ ฟันมันจะหลุด หนังมันจะเหี่ยวไปอย่างนี้
แต่หัวใจ หัวใจที่มันพัฒนาของมันขึ้น เห็นไหม เพราะเขาภาวนากันที่นั่น เขาเป็นพระที่นั่น เขาเป็นพระในหัวใจ บวชใจๆ ถ้าใจมันเป็นพระขึ้นมา ความเป็นพระในใจอันนั้นต่างหากล่ะ ถ้าความเป็นพระในใจอันนั้น นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระในใจของท่าน เห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเทศนาว่าการของท่าน ท่านสามารถชักนำคณะสงฆ์ทั้งคณะสงฆ์ให้มีมุมมองมีความเชื่อในเรื่องมรรคเรื่องผล ทั้งๆ ที่ว่าแต่เดิมขึ้นมาน่ะ มรรคผลมันจะมีจริงหรือ? เราก็เป็นชาวพุทธน่ะ มันคงจะเป็นนิยายปรัมปราน่ะ มันคงจะว่ากันมา มันจะเป็นจริงหรือ?
มันจะเป็นจริงไม่เป็นจริงเพราะอำนาจวาสนาไง เพราะเราทำความสงบของใจไม่ได้ เราก็ยังโลเลไง แต่ถ้าใครทำใจถึงที่สงบได้ โอ้โฮ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ของมีค่ามากมายขนาดไหนมันก็มีค่าอยู่ในตัวมันเองอย่างนั้นแหละ ถ้ามันอยู่กับใครคนนั้นก็เป็นเจ้าของทรัพย์นั้น ทรัพย์นั้นมันไม่รู้หรอกว่ามันมีค่าขนาดไหน มันมีค่าในตัวมันเองแต่มันยังไม่รู้เลย ไอ้คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์นั้นมันถึงจะรู้ขึ้นมาไง
แล้วทรัพย์อย่างนั้น ดูสิ ถึงเวลาแล้วมันเป็นสาธารณะ เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา สักวันหนึ่งต้องมีพลัดพรากจากกันแน่นอน แต่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติของเรา เรามาค้นคว้าหาสัจจะความจริงอันนี้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานี่มันเกิดจากจิต นี่ สมาธิเกิดจากจิต สมาธิไม่เกิดที่ไหน สมาธิในตำรา สมาธิในการท่องบ่นมันก็เกิดจากการท่องบ่น สมาธิตำรามันก็เป็นชื่อสมาธิ มันไม่เกิดตัวสมาธิจริง
แต่ถ้าเป็นสมาธิเกิดในใจของเราขึ้นมา มันจะพลาดไปไหนล่ะ มันไม่ใช่วัตถุธาตุที่มีคุณค่าในตัวมันเอง มันเป็นสิ่งที่เกิดจากจิต แล้วมันเกิดจากที่อื่นไม่ได้ เพราะสมาธิไม่มีขาย สมาธิไม่มีการแลกเปลี่ยน สมาธิมีแต่ครูบาอาจารย์คอยชี้นำคอยบอกเรา คอยแนะเราให้เราฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา สมาธิไม่มีการแลกเปลี่ยน สมาธิไม่มีการหยิบยืม จะหยิบยืมกู้ยืมจากใครไม่มี มันเกิดจากเรา มันเกิดจากเรามันถึงเป็นสมบัติของเราไง เพราะมันเกิดจากเรา สิ่งที่เกิดจากจิตมันอยู่กับจิต
แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เกิดการกระทำขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันสำรอกมันคายของมันออก เห็นไหม นี่จากแยกถูกแยกผิดได้ มันจะเป็นความจริงในใจเลย มันเป็นความถูกต้องดีงาม เห็นไปช่องทางเดียวกันกับศีลกับธรรม เห็นไปช่องทางเดียวกันกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไปตามช่องทางเดียวกันเป็นมรรคเป็นผล เห็นไปตามช่องทางเดียวกันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม เห็นไปตามช่องทางเดียวกัน
ถ้ามันเป็นสัจจะ มันเป็นอริยทรัพย์จากในหัวใจ มันจะเห็นเป็นช่องทางนั้น มันถึงวางใจได้ไง ถ้าพูดถึงใครประพฤติปฏิบัติถึงช่องทางนั้นแล้ว เห็นไหม ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพาดกระแส มันพาดกระแสแล้วน่ะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์แน่นอน มันพาดกระแสมรรคกระแสผล มันต้องไปตามกระแสนั้น เพราะจิตมันเข้ากระแสนั้น
นี่ไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วมันสมบัติของใครล่ะ มันสมบัติของใคร มันสมบัติของจิตดวงไหน มันเป็นสมบัติของจิตดวงที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันเป็นสมบัติของจิตดวงที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโรรสโดยแท้จริง โดยแท้จริงมันเกิดจากที่นั่น จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าเป็นโลกของจิตวิญญาณโลกของนามธรรมเป็นเรื่องของความรู้สึกทั้งนั้น เทวดาอินทร์พรหมต่างๆ นรกสวรรค์มันเป็นเรื่องของอะไร เรื่องของนามธรรมทั้งนั้น เรื่องของทิพย์สมบัติทั้งนั้น
แล้วเวลาจิตมันเป็น จิตมันสัมผัสได้ จิตที่มันเทียบเคียงกันได้ มันเป็นระดับที่รู้แจ้งเห็นจริงได้น่ะมันเป็นอันใด มันเป็นอะไร มันเป็นสมบัติของใคร มันเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม แล้วมันเกิดจากอะไร เกิดจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะในการกระทำของเรา วันเวลาล่วงไปๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด
ในเมื่อเรายังมีกำลังยังมีสติมีปัญญาอยู่ เราพยายามหยิบฉวย ความเป็นอยู่ของเรานะ ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็อาศัยดูแลรักษาธาตุขันธ์ นี่ฟังธรรมๆ ว่าเป็นสัญญาอารมณ์เพื่อปลุกปลอบหัวใจของเรา แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะเห็นเป็นช่องทางเดียวกัน จะเห็นเป็นสัจธรรมเดียวกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปครูบาอาจารย์จะหลอกเราไม่ได้หรอก เวลาปฏิบัติมรรคก็คือมรรค ผลก็คือผล
ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราจับผิดได้หมด เราเห็นหมดเลยว่าคนนั้นพูดจริงหรือพูดไม่จริง จริงหรือไม่จริงมันจริงจากใจเรานี่ ถ้าใจเราจริงแล้วพิสูจน์ได้ทั้งนั้นเลย มันต้องพิสูจน์ในใจเราก่อนไง ใจเราพิสูจน์ตามความเป็นจริงในใจเราแล้วเห็นถูกเห็นผิดชัดเจน ความเป็นจริงเห็นชัดเจนในใจเรา ถ้ามันชัดเจนในใจแล้วข้างนอกจะมีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาอะไรเลย นี่เราทำของเราได้ เราพิจารณาของเราได้
เราถึงต้องย้อนกลับมาที่ใจเรา ถ้ามันย้อนกลับมาที่ใจเราคือสมบัติของเรา คือทำดีทำชั่วมันเป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่สมบัติของใครหรอก ติฉินนินทามันธรรมะเก่าแก่ โลกธรรม ๘ เรื่องของเขา หลวงตาท่านสอนประจำ ใครจะดีใครจะชั่วมันเป็นของเขานะ เขาทำของเขามันก็เป็นบาปเป็นกรรมของเขานะ ใครจะดีใครจะชั่วเป็นเรื่องของเขา เราจะเร่งความเพียรของเรา เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เราจะทำสัจจะความจริงของเรา เราหาคุณธรรมของเราในหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง