เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ มี.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเป็นของสูงส่ง เป็นของสูงส่งจนเรามองว่านิพพานสุดเอื้อม มันเหนือโลกเหนือสงสารไง บอกธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ถ้าเป็นบาลีบอกธรรมะเป็นธรรมชาติเพื่อทำให้เราเข้าใจไง

แต่ถ้าธรรมชาติ ธรรมชาติคือวัฏฏะ ธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามันเหนือธรรมชาติไง เหนือธรรมชาติ เพราะเหนือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น อันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเป็นวิมุตติสุขๆ สุขอันแท้จริงมันเป็นสุขอย่างนั้น แต่ประสาโลกมันเป็นสุขจอมปลอมไง ความจอมปลอมมันไม่แน่นอนหรอก มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มี มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลามันถึงมีความจอมปลอมไง แต่มีความสุขอยู่ ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวนี้ก็เป็นความปรารถนาของสังคม ของโลกเรา

เวลารัฐบาลทุกรัฐบาลเขาบริหารเพื่อความสงบสุขในสังคม ถ้าความสุขในสังคมมันก็ของชั่วคราว ของชั่วคราวเพราะอะไร เพราะมันต้องมีปัจจัย มีสิ่งใดเกื้อหนุนมันถึงจะมีความสุขขึ้นมาได้ ถ้าความสุขอย่างนี้มันแสวงหาขนาดไหน มันเป็นวัตถุ แล้วมันไม่เสมอภาค

เวลาบอกว่าประชาธิปไตยๆ

กำปั้นเล็กกำปั้นใหญ่ไม่ประชาธิปไตยหรอก กำปั้นใหญ่มันเอาเปรียบตลอดเวลา ประชาธิปไตยมันก็เป็นแค่คำพูด มันเป็นแค่อ้างอิงเพื่อมันจะเอาเปรียบน่ะ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ดับความเร่าร้อน ดับความเร่าร้อนในหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนามาจะเป็นกษัตริย์ เวลาจะได้เป็นกษัตริย์แล้วต้องเสียสละสิ่งนั้นออกมา สละสิ่งที่เป็นโลกออกมา เพราะถ้าเป็นกษัตริย์มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งนั้น มันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันแสวงหาที่ไหน แสวงหาก็แสวงหาด้วยพรหมจรรย์ ถ้าพรหมจรรย์แลกมาด้วยอะไร ความสงบระงับ สงบระงับจากภายนอก

ถ้าภายนอกนะ ไปที่ไหนก็ครึกครื้น มีความสนุกสนาน เราชอบ ไปที่ไหนเขามีความสงบ มีความระงับ เราไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร เพราะมันไม่เข้ากับกิเลสไง กิเลสมันต้องการความฟุ้งซ่าน กิเลสมันต้องการความพอใจของมันนะ มันแสวงหาของมันเพื่อตามกิเลสของมัน เราได้สิ่งใดมาเติมเต็มมาก็เป็นความสุขของมันๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับไฟ ดับไฟในหัวใจของเรา

ดูไฟสิ ไฟเวลามันเผาผลาญสิ่งใด ถ้ามันเผาไม่หมดมันยังเหลือเชื้ออยู่ นี่ก็เหมือนกัน เราบวชเป็นพระๆ ธรรมะจะดับไฟในหัวใจของเรา แต่ไฟมันไหม้ เวลามันไหม้ มันให้ความร้อน มันให้ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ บวชเป็นพระมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะนั้นเป็นตบะธรรม ตบะธรรมมันแผดเผากิเลสไง

แต่กิเลสมันมาก ขยะมันมาก แล้วมันจุดไฟไม่ติด ถ้าขยะมันมาก กองขยะเปียกมันล้น มันกองเท่าภูเขา จุดอย่างไรมันก็ไม่ติด จุดอย่างไรก็ไม่ติด เวลาภาวนาล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่ไง ขยะมันจุดไม่ติด มันเผาไม่ได้ มันไม่มีตบะธรรมไปเผามัน แต่ถ้ามันมีตบะธรรมนะ จุดให้มันติด จุดให้มันติด กระดาษเปียกมันจุดอย่างไร จุดลำบากไหม เราทำความสงบของใจแต่ละครั้งแต่ละคราวทุกข์ยากไหม

มันทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าขยะมันไม่เผา มันไม่เผามันก็จะท่วมท้นไป มันจะส่งกลิ่นเหม็นไป มันจะทำลายสภาวะแวดล้อมไปทั้งนั้นเลย นั่นคือขยะในหัวใจไง นี่ขยะในหัวใจ ธรรมะจะดับไฟๆ แล้วไฟมันอยู่ไหนล่ะ ไฟมันอยู่ไหน ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญามันก็มีแต่ชื่อ ไปศึกษามาขนาดไหนก็มีความรู้ๆ ความรู้แต่ข้างนอก แต่ในหัวใจมันดิ้นรน

แต่ถ้ามันมีความซื่อสัตย์ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าระดับของทาน “ทานทำไมต้องทำ ทำทานทำไม”

ทำทานขึ้นมาก็ขยะไง ขยะถ้าไม่เขี่ยให้มันแห้ง มันจะไปจุดมันติดไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีระดับทาน ทานมันคืออะไร ทาน สิ่งใดเราได้มา ใครไม่รักไม่สงวน ถ้าของไม่รักไม่สงวนก็ไม่ใช่คนน่ะสิ ถ้าคนไม่มีสติปัญญาจะรักของของเราไหม เราหามาด้วยกำลังของเรา แล้วเราเสียสละไปเพื่ออะไร ของรักของหวง เวลามันเสียสละออกไป เสียสละออกไปเพื่อความตระหนี่ถี่เหนียวไง แล้วมันสละไม่ได้ คนให้คนไม่ได้ ถ้าคนให้นักบวชได้

เวลาคนให้คนทุกข์คนจน ดูสิ เวลาคนทุกข์คนจน เราอยากช่วยเหลือเขาเจือจานเขา ถ้าเราให้เขาไป ถ้าให้เขาไป เขาก็มีความสุขมีความสงบได้ชั่วคราว ถ้าเราเห็นรอยยิ้มของเขา เราเห็นเขาพ้นจากทุกข์ไป เราพอใจไหม มันเป็นบุญไหม ทีนี้เวลาบุญของเรา ผู้ทรงศีลๆ เนื้อนาบุญของโลกๆ ไง ให้ที่ไหนก็ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เทวดามาถามว่า “ควรทำบุญที่ไหน”

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ”

เพราะมันพอใจมันทำได้ ของของเรา เรารักเราหวง เราไม่พอใจเราให้ไม่ได้หรอก เขาจะสูงส่งขนาดไหน เราไม่รู้จัก เราไม่เข้าใจ เราก็ไม่ให้ มันต่ำต้อยขนาดไหน ถ้าเราเข้าใจว่าถูก เราจะให้ มันให้ไปเพราะมันพอใจไง มันพอใจ มันวัดค่าไม่ได้

แต่เวลาถามว่า “แล้วถ้าเอาถึงผลของมันล่ะ”

“ผลของมันก็ต้องอยู่ที่เนื้อนาบุญ”

พอเนื้อนาบุญ เราถึงแสวงหาไง เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศรัทธา เราถึงทำบุญกับผู้ถือพรหมจรรย์ ถ้าถือพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ของเขา ถ้าพรหมจรรย์ที่สะอาดบริสุทธิ์นะ พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ไง พรหมจรรย์ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าพรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง คำว่า “เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง” อยู่ด้วยศรัทธาของมนุษย์ อยู่ด้วยศรัทธาของเขา เวลาเขาจะใส่บาตรของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา ถ้าเขาไม่มีการกระทำ ไม่มีพระ เขาจะทำบุญของเขาได้อย่างไร

ไอ้พระๆ พระเราแสวงหาเพื่อจะดับไฟภายในของเรา ถ้าจะดับไฟภายในของเรา มันต้องมีความสงบ มันต้องมีศีล มันต้องมีความปกติ มันต้องมีความมั่นคงของใจ ถ้ามีความมั่นคงของใจ ถ้าไปทำงานทางโลกมันจะมีความปกติไหม มันก็มีทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเขา แล้วเขาจะดำรงชีพอย่างไร เขาดำรงชีพด้วยปลีแข้ง

นี่ไง เราถึงว่าระดับของทาน ทำไมต้องทำทาน ทำทานก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีกับหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ที่จะทำบุญกุศลเพื่อมันๆ เพื่อมันเพราะอะไร เพื่อมันเพราะมันมีวุฒิภาวะ

คนเราเคยเสียสละ สิ่งใดมันของเล็กน้อยทั้งนั้น ถ้าเห็นสิ่งใดเขาข่มขี่กัน กดขี่กัน เราเห็นแล้วเรารับไม่ได้ เราเห็นแล้วเรารับไม่ได้ แล้วเราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างนั้นเพราะหัวใจมันมีคุณธรรม หัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ เรามองเห็นสภาพอย่างนั้นนะ มันขวางตา แต่มันขวางตา มันเป็นกรรมของสัตว์ไง

เราจะบอกว่าทุกคนต้องเสมอภาค ทุกคนต้องเท่ากัน มันไม่มีในโลกนี้หรอก เพราะความคิดของคนไม่เหมือนกัน ทิฏฐิมานะของคนไม่เหมือนกัน มุมมองของคนไม่เหมือนกัน ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน ทำบุญในที่เดียวกัน คนทำด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อของเขา ด้วยความเคารพรักของเขา เขาจะได้บุญของเขาเพราะเขาสุขใจของเขา คนทำบุญที่นั้นด้วยความคลางแคลงใจ ทำด้วยความสงสัย เขาก็ได้ความสงสัยของเขาไป คนที่ทำบุญที่นั้น จิตใจของเขาโดนบังคับมา เขาทำสักแต่ว่าโยนทิ้ง โยนทิ้งมันก็ได้ธรรมะที่เขาโยนทิ้งไง แต่ถ้ามันมีศรัทธาความเชื่อของมัน มันได้มาจากหัวใจของมัน นี่ระดับของทาน

ทานแล้วมีศีล ธรรมะจะดับไฟๆ จะดับไฟที่ไหน จะดับไฟข้างนอก ดูสิ เวลานักผจญเพลิงเขาต้องไปสละชีวิตเลย เขาตายคากองไฟนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน นักบวชๆ เรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าทำของมันไม่ได้ มันล้มลุกคลุกคลานกับกิเลส ว่าธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ปรารถนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แล้วมันพึ่งที่ไหนล่ะ จะแสวงหาอยู่นี่ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ

มันต้องแลกมาด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เวลาเขาบอกว่าธรรมะมันปล่อยวางไง ธรรมะเป็นความว่างไง ทุกคนก็มานอนตีแปลงเลย ธรรมะเมื่อไหร่มันจะได้สักทีไง ไม่มีสิทธิ์หรอก ขี้ลอยน้ำ สวะมันไปตามน้ำนั่นแหละ

แต่ถ้าเธอจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด มันก็ต้องมีสติธรรม มีสติก็มีคุณค่า มีคุณค่าตรงไหน เราไม่เคยใช้ประโยชน์มัน เราก็ไม่เห็นคุณค่าของมันไง ทั้งๆ ที่มันเป็นประโยชน์ในตัวมันเองอยู่แล้ว เวลาเรารุ่มร้อน เรามีความวิตกกังวลนะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะยับยั้งมันได้ นี่ไง สติธรรมๆ มันมีคุณประโยชน์ขนาดไหน มันมีคุณประโยชน์ให้คนไม่เป็นเหยื่อ มันทำให้คนไม่โดนเขาชักนำไป มันทำให้คนยับยั้งความรู้สึกนึกคิดของคนได้ มันทำให้คนมีความร่มเย็นเป็นสุขได้ เวลาเราใช้มันๆ

แต่เราไม่ได้ใช้มัน เราได้แต่ชื่อแขวนมันไว้ สติอยู่นู่น แต่กูเผลอ กูไปตามอารมณ์กูตลอด กูมีแต่ความทุกข์ความยาก แล้วบอกว่าทำบุญแล้วก็ไม่ได้บุญ ทำบุญไม่ได้บุญ

บุญคืออะไร บุญมันก็มีสติมีปัญญาความรู้รอบตัวเองนี่ไงคือบุญ คนที่มีปัญญามากๆ ดูสิ เขาทำบุญกัน เวลาเขาทำบุญ เขาครึกครื้น มีแต่ความสุขของเขา

เวลาภัททิยะที่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่า “ศาสนาไหนก็ดี ศาสนาไหนก็ดี แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างไร”

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล จิตใจดวงใดไม่มีการประพฤติปฏิบัติ จิตใจดวงใดไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ผลจะเกิดจากที่ไหนไม่ได้ ไม่มี ฉะนั้น เธออย่าถามให้มากไปเลย เรามีเวลาน้อย ให้บวช”

เวลาบวชไปแล้ว เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามกำหนดสมาบัติเพื่อจะทำหน้าที่ของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ภัททิยะ พราหมณ์ผู้เฒ่าประพฤติปฏิบัติเต็มที่เลย ประพฤติปฏิบัติเต็มที่ ปฏิบัติเพื่อถวายบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาได้เป็นพระอรหันต์ในคืนวันนั้นน่ะ คำว่า “เป็นพระอรหันต์ในคืนวันนั้น” มันเป็นที่ไหนล่ะ

นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ที่มีสติปัญญา เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วก็รอนอนให้มันมา ธรรมะเมื่อไหร่จะมาเสียที ฉันทำบุญมหาศาล

ทำบุญก็คือทำบุญ ทานก็คือทาน มันไม่ใช่มรรค ถ้าเป็นมรรค มรรคของฆราวาส ฆราวาสเขาก็ทำคุณงามความดีของเขา ก็เป็นมรรคหยาบๆ ของเขา นี่ระดับของทานไง แต่ถ้าระดับของศีล ระดับศีล ไปที่ไหนเขาร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขามีสติปัญญารู้เท่าอารมณ์ความรู้สึกของเขา เขารักษาจิตเขาให้เป็นหนึ่ง ไม่พาดพิงกับอารมณ์ใด ถ้าไม่พาดพิงกับอารมณ์ใด มันเป็นเสรีภาพ มันเป็นอิสรภาพในใจดวงนั้น นี่ไง สติธรรม สมาธิธรรม

เวลาสติธรรมๆ เราก็สติ ก็แขวนมันไว้ กูก็รู้จักสติ แต่กูรุ่มร้อน กูมีแต่ความทุกข์ แล้วสติมันอยู่ไหนล่ะ แล้วเวลามันเป็นสมาธิ จิตมันเป็นหนึ่ง มันไม่พาดพิง มันเป็นอิสระของมัน มันมีคุณภาพขนาดไหน เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วธรรมมันอยู่ไหนล่ะ สติธรรม สมาธิธรรมมันอยู่ไหน ถ้าคนเคยมี คนเคยทำ คนเคยมี คนเคยทำเหมือนกับหมอ หมอเขาศึกษามา เขารู้ว่าอะไรเป็นเชื้อโรค อะไรเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน คนที่เขาทำ เขาก็ฝึกหัดสติมา เขามีสติมีปัญญา สติ ธรรมโอสถมันยับยั้งได้ เขารู้ว่าอันนี้มันเป็นประโยชน์ เวลาเขาได้สมาธิขึ้นมา เขารู้ว่าอันนี้เป็นประโยชน์ แล้วสิ่งใดที่มันเป็นโทษกับมันล่ะ โทษของมันคือการคลุกคลี โทษของมันคือการขี้โม้ โทษของมันคือการขาดสติ โทษของมันนะ แล้วเขาจะทำโทษไหม ถ้าคนเขาทำของเขาได้ เขาจะไปเอาสิ่งที่เป็นโทษกับมันไหม

เขาก็ต้องหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมันใช่ไหม เขาอยู่ในที่สงบสงัด เขาจะมีคุณธรรมในใจของเขา เขาจะมีศีลของเขา เขาจะไม่ไปในที่อโคจร เขาจะไม่ไปที่นั่น เพราะอะไร เพราะมันเป็นโทษกับใจ คนที่เขารู้ว่าอะไรเป็นโทษเป็นภัย แล้วเขาจะไปแสวงหาสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยไหม นี่ไง ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านจะรักษาตรงนี้

นี่ไง แล้วเวลาเกิดปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมามันจะแตกต่างกับปัญญาของเราเลย ปัญญาของเราเป็นโลกียปัญญา ปัญญาจากโลก ปัญญาจากข้อมูล ปัญญาจากภวาสวะ ปัญญาจากภพ ปัญญาจากปฏิภาณไหวพริบ ปฏิภาณของเรานี่ ความรู้สึกของเรามันเกิดจากไหน ทุกอย่างต้องมีที่เกิด ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล มันไม่ลอยมาจากฟ้า

ความคิดเกิดจากจิต จิตของคนมีอำนาจวาสนาบารมี มันจะคิดแต่คุณงามความดี มันจะคิดเพื่อประโยชน์ จิตของคนมันเป็นพาล มันจะคิดแต่เป็นโทษ แล้วมันคิดมาจากไหน มันคิดมาจากไหน? มันคิดมาจากจิต จิตมันมาอยู่ไหน จิตมันอยู่ไหน จิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันได้ทำบุญกุศลของมัน ได้ทำบาปอกุศลของมันมา มันเป็นจริตนิสัยของมันมา มันจะมีความคิดอย่างนั้นโดยสัญชาตญาณ โดยปฏิภาณไหวพริบของมัน

ดูสิ เวลาพระอรหันต์น่ะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่ละประเภทๆ ดูสิ เอตทัคคะแต่ละประเภทเพราะอะไร ก็เพราะอันนี้ เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สร้างของมันมา มันได้ทำของมันมา มันทำของมันมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สงฆ์เขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำเอียง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่ตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะมาทีหลัง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านทำตามข้อเท็จจริง มันเป็นสมบัติของพระสารีบุตร มันเป็นสมบัติของพระโมคคัลลานะ เขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาปรารถนามาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ท่านได้สร้างบารมีของท่านมา มันเป็นสมบัติของพระสารีบุตร ของพระโมคคัลลานะมา ที่เขาได้สร้างสมมาในวัฏฏะ เขาทำของเขามา เขาทำของเขามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงบอกเขาว่าเขาทำของเขามา เขาก็ตั้งให้เป็นอย่างนั้น

คนที่ไม่ได้ทำมาๆ ก็นี่ไง คนที่ไม่ทำมา จริตนิสัยที่มันทำแต่ความเลวมา มันคิดแต่เรื่องเลวๆ แต่คนที่ทำคุณงามความดีๆ มา มันก็คิดแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหม แต่จิตทุกดวงไม่มีใครทำดีมาตลอด คนเรามันขาดสติ มันได้ทำสิ่งใดมามันก็มีดีมีเลว ฉะนั้น เวลามันมีดี เวลาคิดแต่เรื่องดีๆ เราควรจะเร่ง ควรจะเพิ่มพูน เขาเรียกคันเร่ง เวลามันคิดแต่เรื่องเลวๆ เราต้องมีเบรก มีสติสัมปชัญญะเบรกมันๆ ไม่ให้มันเกิดขึ้น ไม่ให้มันพอกพูนขึ้นมาในใจของเราอีก ถ้ามันพอกพูน เชื้อมันมีอยู่แล้ว กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เชื้อมันมีอยู่แล้ว แล้วอะไรเข้าไปกระตุ้นมันๆ

เราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ๆ ไง เวลาสอนอย่างนี้ สอนให้จิตใจมันฉลาด สอนให้คนฉลาดกับอารมณ์ ฉลาดกับความรู้สึกของเรา ความดีความชั่วมันอยู่ที่นี่ เจตนา เจตนามันเป็นคนชี้กรรม เจตนาทำสิ่งใด เจตนามันออกไปอย่างใด แล้วเรามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย มันตรงนี้ เรามีสติมีปัญญาเป็นที่พึ่ง เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรม ธรรมมันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ มันมีคุณภาพขนาดไหน แต่พวกเราเข้ากันไม่ถึง พวกเราเข้ากันไม่ถึงก็ชายขอบ ชายขอบก็ยังดี เห็นกระแสมันบ้าง แต่ชายขอบ

แต่ทำจริงๆ แล้วเขาไปอินเดียกัน ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ นั่นก็เป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคยอยู่ที่นั่น แต่เวลาของเรา เราพุทโธๆ นะ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะกลางหัวใจ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะอันนี้ เราปฏิบัติได้ แล้วถ้ามันรู้มันเห็นของมัน นี่ไง กราบธรรมๆ ไง แล้วเรามีคุณค่าไหม มนุษย์จะมีคุณค่าไหม หัวใจจะมีคุณค่าไหม ความดีความชั่วในใจของเราจะมีคุณค่าไหม แล้วถ้ามีคุณค่า คุณค่านี้มันมาจากไหน

คุณค่านี้มาจากเราเชื่อ เราเชื่อเราศรัทธาเราถึงค้นคว้า เราค้นคว้า เราถึงพยายามกระทำ แล้วถ้ากระทำมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา บุคคล ๔ คู่ จิตดวงหนึ่งเป็นได้ถึงบุคคล ๘ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ จิตมันพัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มันเกิดที่ไหน เกิดในตำราหรือ เกิดที่ไหน

เกิดในหัวใจของสัตว์โลก เกิดในหัวใจที่ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ หัวใจที่ทุกข์ยากอยู่นี้เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก มีกิเลสครอบงำมันมา มันถึงพาให้เราหมุนเวียนไปในวัฏฏะ แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะมีแรงปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ท่านถึงได้สร้างบารมีของท่านมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยข้างหน้า ท่านก็สร้างของท่านมา ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำกันมาขนาดนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทำของท่านมา ท่านทำของท่านมา เวลาถึงโอกาสของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านถึงที่สุดของท่าน

ฉะนั้น เวลามันจะเป็น มันก็เป็นจิตของเรา เราต้องการทรัพย์สมบัติของเรานะ เราไม่ต้องการทรัพย์สมบัติของใคร เราไม่ต้องการ เราเป็นสาวกสาวกะได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวกสาวกะมีผู้ชี้นำ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราทำความจริงของเรา เราก็ปรารถนาสมบัติของเรา เราอยากได้มรรคได้ผลในใจของเรา เราไม่ต้องปรารถนาของใครหรอก แต่เราก็พึ่งพา พึ่งพา ดูสิ เป็นหมู่เป็นคณะ เป็นผู้ชักนำกัน เป็นสังคมที่ชักนำกันขึ้นไป

หลวงตาท่านบอกว่า จิตที่สูงกว่าดึงจิตที่ต่ำกว่าขึ้นมา ต่ำกว่า นี่มันละเอียดไง

“พระทำอะไร เห็นนั่งอยู่ทั้งวัน ทำอะไร พระไม่ทำอะไรเลย”

แต่เขาทำมรรคทำผลในใจของเขานะ การเอาใจไว้ในอำนาจของเราเป็นงานที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์นะ เอาใจไว้ในอำนาจของเรา แล้วใช้ตบะธรรมแผดเผามัน ทำเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจดวงนี้ไง เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ามกลางหัวใจของเรา เอวัง