เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ มี.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อความร่มเย็นในหัวใจไง ถ้าหัวใจร่มเย็น ทุกอย่างจะร่มเย็นไปหมดนะ ถ้าหัวใจมันเร่าร้อน ตอนนี้มีภัยแล้ง ภัยแล้ง เวลาน้ำท่วม เวลาน้ำท่วมมันทำลายทรัพย์สินเขาไปทั้งหมดเลย เวลาคนที่เขาน้ำท่วม บ้านเขาก็โดนน้ำท่วมด้วย แต่เขาต้องไปช่วยเหลือคนอื่น เขาต้องทิ้งบ้านไว้ข้างหลังนะ ดูสิ หัวใจมันละล้าละลังแค่ไหน เขาต้องทิ้งทรัพย์สินของเขา เขาก็รู้อยู่ เพราะเขาไปช่วยคนน้ำท่วม เขาเห็นทรัพย์สินของคนอื่นมันโดนทำลายไปหมดเลย แล้วบ้านของเขาโดนน้ำท่วมมันก็โดนทำลายอย่างนั้นน่ะ ดูหัวใจของเขาสิ หัวใจเขาต้องห่วงหน้าพะวงหลัง พะว้าพะวง แต่เขาก็ไปช่วยคนอื่น เพราะอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของเขา เพราะเขามีน้ำใจของเขา

เวลาภัยแล้งก็เหมือนกัน เวลาภัยแล้งดูสถานที่ต่างๆ ทั่วไปมันมีแต่ภัยแล้งไปทั้งหมด เขาต้องเอาน้ำเอาท่าไปแจกคนอื่น คนเรามีผลกระทบแล้วมันเดือดร้อนกันไปทั้งนั้นน่ะ แต่เดือดร้อนแล้วหัวใจของคนมันจะทรงตัวได้หรือไม่ ถ้าหัวใจคนทรงตัวไม่ได้นะ เวลามีเหตุการณ์วิกฤติขึ้นมามันทำร้ายตัวเองไง คือฆ่าตัวตายๆ คนเราทุกข์ยากขึ้นมาแล้วไม่มีทางออกก็ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองคิดว่ามันจะจบสิ้น มันไม่จบสิ้นหรอก เวลาคนเบื่อหน่ายทางโลกคิดว่าไปแล้วมันจะจบ มันไม่จบหรอก เพราะไปแล้วมันก็หิวกระหายอยู่อย่างนี้ เพราะว่าหัวใจมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน

จิตใจดวงนี้ถ้ามันทุกข์มันยากอย่างนี้ ปัจจุบันทุกข์ยากอย่างนี้ ต่อไปข้างหน้ามันก็ไปทุกข์ยากของมัน ถ้าหัวใจดวงนี้ ในปัจจุบันนี้ถ้ามันมีความสงบร่มเย็นของมัน ถ้ามันไปไหนมันก็มีความร่มเย็นของมัน สุคโตมันต้องสุคโตในปัจจุบันนี้ สุคโตมันต้องรักษาหัวใจเราอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วหัวใจจะรักษาได้อย่างไรล่ะ

เวลาเกิดน้ำท่วม ดูสิ มันทำลายทรัพย์สินเสียหายไปทั้งนั้น เวลาเกิดภัยแล้งทำให้พืชพรรณธัญญาหารไม่มีจะกิน แล้วมันจะทำใจให้มันอยู่ มันมีความชุ่มเย็นอย่างไรล่ะ

สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยนี้มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย เครื่องอาศัย ดูสิ สมัยโบราณเรา เราเกิดมามันมีความอุดมสมบูรณ์ไปหมด ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในแม่น้ำ ไปจับเอาได้เลย ปลามันชุมมาก สมัยโบราณเวลาน้ำท่วมทีหนึ่ง มันพัดสิ่งใดมามันมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ไปทั้งนั้นน่ะ คนเกิดยุคนั้นเขาก็มีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา

เกิดในยุคปัจจุบันนี้ ดูสิ มันต้องมีการแข่งขัน มันแข่งขันขึ้นไปก็ต้องมีสติมีปัญญาเพื่อการแข่งขันนั้น ถ้าเพื่อการแข่งขันนั้น ถ้ามีสติปัญญา มันไม่เร่าร้อนจนเกินไปไง คำว่า “ไม่เร่าร้อน” มันมีสติปัญญา

มนุษย์เกิดมาก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มนุษย์เกิดมา สิ่งมีชีวิตมันต้องขวนขวาย การขวนขวาย เราขวนขวายขึ้นมาแล้วถ้ามันประสบความสำเร็จ คำว่า “ประสบความสำเร็จ” มันจะเปรียบเทียบกันที่อำนาจวาสนาของคนแล้ว อำนาจวาสนาของคน คนที่มีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดเขาจะประสบความสำเร็จของเขา เขาจะมีคนจุนเจือของเขา มันร่มเย็นเป็นสุขไปหมด ไอ้ของเรามันทุกข์ๆ ยากๆ มันขาดแคลนไปทั้งหมด มันจวนเจียนๆ แต่ไม่ได้สักที

เวลาย้อนกลับมา ย้อนกลับมาชีวิตของเรา ถ้าชีวิตของเรา ถ้าทำสิ่งใดด้วยความจริงจังของเรา เราทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จหมด เวลาเราทำสิ่งใดด้วยความจับจด เราทำสิ่งใดด้วยความพลั้งเผลอ มันจะไม่ได้ของมัน มันจะมีความผิดพลาดของมัน

ชีวิตของคน จิตของคน เวลาเราทำบุญกุศลกัน เราเสียสละ เราทิ้งเหวไปเลย เราทิ้งเหว เราเสียสละไปแล้ว สิ่งที่เราเสียสละไปแล้วมันมีบุญกุศลในจิตใจของเราแล้ว เราฝึกหัดของเราแล้วไง เราฝึกหัดของเราขึ้นมาให้จิตใจมันมั่นคงของมัน ทำสิ่งใดก็ทำด้วยความจริงจัง มันสุคโตตั้งแต่ปัจจุบันนี้ไง มันไม่โลเลตั้งแต่ปัจจุบันนี้ไง ถ้ามันไม่โลเล ทำสิ่งใดมันก็ทำจริงจังของมัน

แต่ถ้าด้วยอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนเขาทำของเขามา เวลาทำของเขามา ถึงเวลาจังหวะและโอกาสของเขามันพอดีกับเขาตลอดไป แต่จังหวะโอกาสของเรามันไม่สมความปรารถนาของเรา เราก็พยายามของเราไง เราพยายามของเรา

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะนะ ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราทำความเพียรของเรา ถ้ามันขาดตกบกพร่อง เราทำมา ถ้ามันทำมา มันจะย้อนกลับมาที่การภาวนา เวลาคนเรามีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา อยากจะพ้นจากทุกข์ทั้งนั้นน่ะ คนที่ยังไม่เชื่อเรื่องศาสนา “ศาสนาเป็นยาเสพติด”

ขอให้มันเสพให้ติดเถอะ มันเสพแล้วมันไม่ติดด้วย เสพแล้วไม่ติดอีกต่างหาก เสพแล้วไม่ติดเพราะลุ่มๆ ดอนๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้ามันเสพติดนะ ให้เชื่อฟัง เชื่อฟังแล้วทำความจริงของมัน

ถ้าศาสนามันมีความจริงจังของมัน เรามีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อก็ขวนขวาย คนที่มีศรัทธาความเชื่อจะละทิ้ง เพราะอะไร โลกมันบีบคั้น โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีพอดีเลย โลกมันมีแต่การขาดตกบกพร่องตลอดเวลา แล้วเราอยู่กับโลก เราอยู่โดยความขาดตกบกพร่อง แล้วหัวใจเราก็เร่าร้อนอยู่อย่างนี้ มันอยู่กับความขาดตกบกพร่อง มันก็มีความทุกข์ความยาก พอความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากที่ไหน ความทุกข์ความยากเพราะความวิตกกังวล ความทุกข์ความยากเพราะความรู้สึกนึกคิด เพราะความรู้สึกนึกคิด สิ่งใด ธรรมโอสถมันจะเข้าไปจุนเจือหัวใจอันนี้

ถ้าหัวใจอันนี้ถ้ามันขาดตกบกพร่องขึ้นมาแล้ว แล้วข้างนอกของเล็กของน้อย ถ้าจิตใจมันห่อเหี่ยว ของเล็กของน้อยมันก็คิดมาก ถ้าจิตใจของคนเข้มแข็งนะ ของมากน้อยขนาดไหนมันก็คิดเล็กๆ ถ้าจิตใจคนมันจะมีคุณธรรมในหัวใจ มันจะทุกข์มันจะร้อนขนาดไหน เหลียวหาไปสิ คนเขาทุกข์ร้อนมากกว่าเราอีก ถ้าคนทุกข์ร้อนมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดา มันก็ไม่บีบคั้น กิเลสมันก็ฉกฉวยไปใช้ไม่ได้ แต่ถ้าจิตใจคนที่อ่อนแอ ของเล็กๆ น้อยๆ มันคิดใหญ่โตไปหมดแหละ คิดจนตนเองทุกข์ยากไปหมด นี่ไง ถ้าพูดถึงว่าเรามีศรัทธาความเชื่อ เห็นการแข่งขันทางโลกเขา

เราเสียสละทางโลกมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเป็นนักปฏิบัติ บวชเป็นพระเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร ทุกคนก็ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ๆ เวลาภาวนาไปลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้นน่ะ ก็ภาวนาเหมือนกัน เขาก็ภาวนา เราภาวนามากกว่าเขาอีกนะ พระบางองค์เวลาทุ่มเท ภาวนามากกว่าเขาอีก ลงทุนลงแรงมากกว่าเขาอีก แต่มันไม่เป็นไป นี่ไง ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ปฏิบัติยากรู้ง่าย ปฏิบัติยากรู้ยาก เวลาปฏิบัติไป คน ตรงนี้มันอยู่ตรงไหนล่ะ ตรงนี้มันอยู่ที่สร้างบุญกุศลมา เพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระโพธิสัตว์ ถ้าวาสนาไม่เต็ม ไม่ถึงกับสละลูกสละเมีย จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ คนเราติดข้องแค่นี้ ถ้าติดข้องแค่นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางพิมพา กัณหา ชาลี ต้องเสียสละ ถึงที่สุด ชาติสุดท้ายถ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเสียสละหมด เพราะอะไร เพราะว่าโลก กามราคะ โลกของกาม กามคุณ ๕ สิ่งที่เป็นกามนะ วัตถุกาม สิ่งที่เป็นวัตถุข้าวของเป็นกามทั้งนั้นน่ะ เพราะเป็นความพอใจปรารถนาอยากได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วความอยากได้ อะไรจะไปตัดรอน ตัดรอนอย่างนี้ตัดรอนโดยอำนาจวาสนานะ ไม่ได้ตัดรอนด้วยมรรคนะ เพราะพอบารมีเต็มขึ้นมาแล้ว ไปเสวยเป็นเทวดารอเวล่ำเวลา ถึงเวลาแล้วมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ

เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเกิดจากมรรค เกิดจากมรรคคือเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา คือเกิดจากปัญญาในใจดวงนั้น ถ้าปัญญาในใจดวงนั้นมันมีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์ ทำความสงบร่มเย็นเข้ามา ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มันศึกษามาขนาดไหน ศึกษาก็ไม่รู้ ยิ่งศึกษาก็ยิ่งงง

แต่เวลามากำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จิตมันกำหนดแล้วจิตมันปล่อยวาง จิตมันปล่อยวาง จิตมันเป็นอิสระ จิตเป็นอิสระขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมามันเกิดจากจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้นเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนั้นมีอวิชชาปิดบังหัวใจดวงนั้น จิตดวงนั้นถึงมีความทุกข์ความยากไป พอจิตดวงนั้นเราไปศึกษา ไปศึกษาด้วยความมืดบอด ศึกษาด้วยอวิชชา ศึกษาด้วยความไม่รู้ มันก็มีความไม่รู้ทับถมกันไป

เหมือนเราคิด คิดจนคิดไม่รู้เรื่อง คิดๆๆ ทำๆๆ ทำขึ้นไปนะ แต่มากำหนดอานาปานสติ เกิดความปล่อยวาง เกิดความสะอาดของใจขึ้นมา เวลามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เกิดมรรคญาณขึ้นมา มันทำลายอวิชชา สำรอกคายออกไป ถ้ามันสำรอกคายออกไป นี่ไง เวลาจะมาตรัสรู้ก็มาตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลก โลกมีการแข่งขัน โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ถ้าเราอยู่กับโลกๆ อยู่กับโลกถ้าคนที่มีคุณธรรม คนที่มีศาสนา อยู่กับโลกก็ ดูสิ ดูเจ้าหน้าที่ ดูบรรเทาสาธารณภัย บ้านเขาก็น้ำท่วม บ้านเขาก็ทุกข์ร้อนทั้งนั้นน่ะ เขายังมีน้ำจิตน้ำใจมาช่วยเหลือคนอื่น

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราทุกข์ เราทุกข์แล้วเราจะจมอยู่กับทุกข์เราไหม เราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ ทุกคนก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แล้วทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละ เสียสละทางโลก เรามาบวชเป็นพระ เรามาเป็นนักบวช นักบวชบวชที่ไหน

นักบวช ดูสิ บวชมาญัตติจตุตถกรรม บวชเป็นพระ บวชมาตามธรรมวินัย บวชมาแล้วมันก็บวชเฉพาะร่างกาย บวชมาได้ศักยภาพ ดูสิ เราอยู่ทางโลกเราเป็นหญิงเป็นชาย เวลาบวชมาแล้วเป็นเพศสมณะ พอเพศสมณะแล้ว แล้วหัวใจมันเป็นไหมล่ะ ถ้าหัวใจมีศรัทธาความเชื่ออยู่มันก็รักษาหัวใจนี้ภาวนาขึ้นมาได้ ถ้าภาวนาได้มันจะเทียบกันตรงที่อำนาจวาสนาแล้ว ทำไมเราภาวนาแล้วมันไม่ได้ ทำไมคนอื่นเขาภาวนาแล้วมันได้ๆ มันได้ มันได้ตรงไหนล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำบุญกุศล เราทำแล้ว เราเสียสละของเราด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเรา เสียสละเพื่ออะไรล่ะ เสียสละ ดูหัวใจดวงนี้สิ หัวใจดวงนี้มันขัดแย้งไหม มันอึดอัดขัดข้องไหม ถ้าเราเสียสละไป ความเสียสละคือความคิดใช่ไหม ความคิดมันเจตนาใช่ไหม มันมีเจตนา มีความรู้สึกนึกคิดอันนั้น ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันทำของมันขึ้นไป ก็ใจดวงนั้นไง ถ้าใจดวงนั้นมันรับรู้ไง ถ้าใจดวงนั้นรับรู้ สิ่งที่เราสละเป็นวัตถุไง แล้วเราระลึกถึงภาพนั้นสิ นี่ฝึกหัดใจๆ ไง การเสียสละทานคือฝึกหัดใจของเรา ถ้าฝึกหัดใจของเรา ฝึกหัดใจของเรา ความตระหนี่ถี่เหนียว ความขัดข้อง เราเสียสละไม่ได้ก็อาศัยวัตถุนี้เป็นเครื่องดำเนิน แต่ถ้าเวลาเราจะมาภาวนา ไอ้ความรู้สึกนึกคิด ถ้าเรากำหนดพุทโธก็เอาความคิดนี้ สิ่งที่มันจะคิด มันจะคิด มันยังไม่ได้คิด มันจะคิดไง เรามีสติปัญญาให้ระลึกพุทโธ

ถ้าเราไม่บังคับมันก็คิดของมัน ธรรมชาติของมัน ธาตุรู้มันคิดของมันอย่างนั้น แต่เรามีสติปัญญา เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราน้อมไปคิดพุทโธ เราน้อมไปปัญญาอบรมสมาธิ เราชักนำมันทำก่อน ทำๆ ขึ้นมาเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในใจดวงนี้ ถ้าใจมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา มันมีความสงบร่มเย็น ถ้าความสงบร่มเย็น

นี่ไง เวลาทางโลก ทางโลกเรารับรู้ได้เท่านี้ ทางวิทยาศาสตร์ไง มันเป็นสสารสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นทฤษฎีที่จับต้องได้ จิตก็เหมือนกัน จิตเวลาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เรารับรู้เอง เวลามันทุกข์มันร้อนเราก็รู้ว่าเราทุกข์เราร้อนนะ แล้วเราทุกข์เราร้อนเอาอะไรเป็นเครื่องแก้ล่ะ

ไอ้นั่นมันระดับของทาน ระดับของทานก็ระดับของโลก ระดับของความอบอุ่น ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน เป็นบัณฑิต อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราไม่คบคนพาล เราจะอยู่กับพวกบัณฑิต คนที่มีจิตใจที่เป็นสาธารณะ แล้วเวลาจิตใจของเราถ้ามันคิดทำร้ายตัวเองมันเป็นพาล แต่ถ้ามันคิดเรื่องดีๆ มันก็เป็นบัณฑิต เราจะคบบัณฑิตๆ ถ้าเราคบบัณฑิตขึ้นมา เราเสียสละของเราขึ้นมาให้จิตใจฝึกหัดใจให้มันเป็นไง ถ้ามันเป็น จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นพุทธศาสน์ มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง

แต่ของเรา เราไม่รู้ไง เราไม่รู้เราทำไปแล้ว บุญมันเป็นอย่างไรล่ะ ทำไปแล้วก็ว่าได้บุญๆ ทำไปแล้วก็ทำทุกวันๆ เลย ไม่เห็นมันได้อะไรเลย

ทำไมคิดไม่เป็น หัดไม่เป็นล่ะ ก็สิ่งที่เวลากลิ่นของศีลหอมทวนลม คนที่ทำคุณงามความดี คนที่มีสติมีปัญญา เขาก็ว่าคนนั้นเป็นคนดี คนดี คนก็อยากคบอยากหา คนที่เป็นคนพาล คนที่เห็นแก่ตัว คนที่ทำร้ายเขา คนนั้นไม่ดี นี่เวลาทำมันก็เป็นสิ่งที่สังคมมองเห็นแล้ว ถ้าสังคมมองเห็นของเขา ความดีของเรา เราไม่ต้องไปอวดใครหรอก ทำความดีเพื่อความดีทั้งนั้นน่ะ แล้วความดีมันขจรขจายไปเอง ถ้าเป็นความดีขึ้นมาแล้ว แล้วจิตใจล่ะ จิตใจ สิ่งที่เราทำมาแล้วมันย้อนกลับมาที่นี่ไง ถ้ามันย้อนกลับมาที่นี่ เพราะผู้นี้เป็นผู้กระทำ ใจนี้เป็นคนกระทำ มันทำแล้วมันฝึกหัด การกระทำคือการฝึกหัดใจเรานี่แหละ การฝึกหัดใจให้มันยอมรับไง การฝึกหัดใจที่มันกว้านทุกอย่างมาเป็นของเราไง ของของเราจริงๆ แต่เรามีน้ำจิตน้ำใจหรือไม่

ถ้าเรามีน้ำจิตน้ำใจหรือไม่ เราเจือจานเขา เพราะของที่เราใช้ ทุกคนก็ใช้เท่านี้ ทุกคนก็ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยแค่นี้แหละ แต่สิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง แล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่น น้ำใสใจจริง เราก็มีน้ำใจต่อเขา เขาก็มีน้ำใจต่อเรา ถ้ามีน้ำใจต่อเรา สังคมร่มเย็นเป็นสุขไหม นี่ระดับของทาน ระดับของสังคมโลก สังคมโลกเป็นแบบนั้น ถ้าสังคมโลกเป็นแบบนั้นนะ เราก็อยู่กับโลกไง เราจะปฏิเสธโลกไม่ได้นะ เพราะเราเกิดมามีพ่อมีแม่ พ่อแม่ก็มีปู่ย่าตายาย เรามีญาติพี่น้องทั้งนั้นน่ะ เราก็เกิดมากับโลก แต่เราเกิดกับโลก โลกก็เป็นโลกไง แล้วเราจะทำไหม เราเกิดมานี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจะเป็นจักรพรรดิ ถ้าอยู่ทางโลกเป็นจักรพรรดิแล้ว ทำไมท่านเสียสละล่ะ ไอ้ของเรา เราแย่งชิงกันเพื่อสถานะนั้นไง แต่ท่านเสียสละมาเพื่ออะไรล่ะ เพื่อโพธิญาณ แล้วโพธิญาณ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ถ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเราคิดถึงความตายสิ บอกว่าเราจะตาย แล้วถามตัวเองว่าตายแล้วไปไหน แค่นี้มันลังเลแล้ว แต่ถ้าเวลาเขาชำระล้างกิเลสแล้ว พอบอกว่าจะตาย อะไรตาย ตายก็ตาย มันไม่มีความระแวงสงสัย ไม่มีอะไรคาในหัวใจเลย ที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขเป็นอย่างนี้ มันไม่มีสิ่งใดเลย

แต่เราบอกว่าต้องตาย พอตายแล้วมันสงสัย ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วจะไปเจออะไร ตายแล้วเป็นอย่างไร มันวิตกกังวลไปหมด นี่ไง ถึงเวลาคน จริงๆ ลึกๆ แล้วทุกคนกลัวตายทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเกิดมามันไม่รู้ตัวนะ มาอย่างไรไม่รู้ แต่เวลาจะตาย กลัวทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าจะกลัวมันก็ต้องอาศัยตรงนี้ไง

ไม้ใกล้ฝั่ง คนชราคร่ำคร่า ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ไม้ ถ้าไม้ใกล้ฝั่งมันชราภาพแล้ว มันต้องล้มลงแม่น้ำแน่นอน ชีวิตของเรา เราต้องจากไปแน่นอน ถ้าเราจากไปแน่นอน เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องประกันกับชีวิตเราล่ะ ถ้าเราจะเอาเครื่องประกันกับชีวิตนะ เราสร้างคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีนี้ประกันกับชีวิตเราไง นี่ชีวิตทางโลก สุจริตธรรม ธรรมาภิบาล เราได้ทำสิ่งนั้นมาประจำใจของเรา เราไม่มีสิ่งใดที่เป็นอกุศล ไม่มีสิ่งใดที่มันเศร้าหมองในใจของเรา นี่สุคโต แล้วมันจะไปไหนล่ะ ถึงมันต้องไป เพราะมันต้องเกิด เพราะเรายังไม่สิ้นกิเลส แต่จะไปก็ให้มีบุญกุศลสิ่งนี้ไง ให้มีคุณงามความดีเป็นเครื่องพยุงหัวใจเรานี้ไปตลอดไง เวลาเกิดก็ขอให้เกิดดี เกิดประสบความสำเร็จ เกิดมาไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แต่มันต้องเกิดไง

แต่ถ้าเรามีความจริงของเราขึ้นมา เราปฏิบัติของเราขึ้นมานะ เวลามันสิ้นกิเลส มันจบสิ้นไปมันรู้กลางหัวใจ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าไม่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันสงสัย คนสงสัย ความลังเลสงสัยมันไปแล้ว คนสงสัยนะ

นี่ไง สัจธรรมๆ ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เรามีสติมีปัญญาของเรา ปัญญาอยู่กับโลก ปัญญาอยู่กับโลก เราไม่ขวางโลกนะ คนมีคุณธรรมเขาไม่ขวางโลกหรอก เราอยู่กับเขา เราไม่ขวางโลก แต่เราก็ไม่อยากให้โลกจูงเราไป คนที่ไม่มีสติปัญญาไม่ขวางโลก แต่ใครจูงไปไหนก็ไปกับเขาหมด แล้วเขาจูงไป เชื่อใจเขาได้อย่างไรล่ะ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราไม่ขวางโลก แต่เรามีปัญญาของเรานะ แล้วเราเห็นสิ่งใดที่มันสังเวช มันสังเวช ถ้าเรามีสติปัญญา จิตใจเขาไม่ถึงเรา เขาทำอะไรสังเวชทั้งนั้นแหละ มันเกิดความรู้สึกธรรมสังเวช มันสะเทือนใจ ธรรมสังเวช ชีวิตของเขา ทำไมเขาทำร้ายตัวเองขนาดนั้น ทำร้ายตัวเองคือทำกรรมชั่วอย่างนั้น แล้วมันจะไปไหนของเขาล่ะ เขาทำร้ายใจของเขา ทำไมเขาไม่รู้ แล้วเรามายืนดู มันสังเวชไหม มันเกิดธรรมสังเวชไง

แต่ถ้าเขาทำคุณงามความดี เราชื่นชมไปกับเขา นี่ถ้ามีปัญญา ไม่ขวางโลก แต่ก็ไม่ให้ใครชักจูงไปในทางเสียหาย แต่ถ้าทางดีขึ้น เราไปด้วยกับเขา นี่พูดถึงทางโลก

ถ้าเป็นทางธรรมนะ เสวยอารมณ์ ความคิด ภวาสวะ ทำลายภวาสะไปแล้ว มโนสัญเจตนาหาร ต้องมีมโน มีอาหาร มีสิ่งต่างๆ มันถึงสื่อออกมาไง แล้วถ้ามันขยับขึ้นมา รู้เท่าทันหมด นี่พูดถึงว่าเวลามันเท่าทัน วิมุตติสุข ไม่มีการเคลื่อนไปและเคลื่อนมา แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเลย แล้วนิพพานเป็นสมบัติของใครล่ะ ถ้าไม่มีอะไรเลย เป็นสมบัติของใคร คุณธรรมนี้เป็นสมบัติของใคร

มันก็เป็นสมบัติของใจดวงนั้นไง มันก็เป็นสมบัติของผู้ที่กระทำไง นี่ไง มันถึงเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง แล้วมันอยู่ไหนล่ะ อยู่ใต้ความคิดเรา ความคิดมันออกมาจากจิต แล้วความคิดเราออกมาจากจิต แต่ความคิดถ้ามันดีๆ มันก็ฝึกหัดจิตขึ้นมาให้มันดีขึ้น ถ้าความคิดออกจากจิต ถ้าความคิดมันไม่ดี มันก็พาให้จิตนี้ลุ่มๆ ดอนๆ พาให้จิตทุกข์ยากไป แล้วมันมาจากไหนล่ะ

มันก็อยู่ที่จิตใต้สำนึกเราไง ภวาสวะ อยู่ที่ชีวิตเรานี้ไง สิ่งที่มีคุณค่าคือชีวิตของเรา แล้วเราพาชีวิตของเรา เราทำคุณงามความดีของเราเพื่อชีวิตนี้ เอวัง