เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ เม.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราแสวงหากัน เราขวนขวายกัน เราขวนขวายเพื่อสัจธรรมในหัวใจเรา ถ้าเราขวนขวายสัจธรรมในหัวใจเรานี้ เราจะมีความสุขของเรา แล้วความสุขอย่างนี้มันแสวงหาในโลกนี้ไม่ได้ แสวงหาทางโลกมันสุขเวทนา ทุกขเวทนาทางโลกของเขา สุขเวทนา ความสุขของเราอยู่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวมันก็เกิดความทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไปก็เกิดความสุขความพอใจก็เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเป็นวิมุตติสุข สุขเดิมแท้ สุขความเป็นจริงในหัวใจเรา อันนี้มันคงที่ตายตัวของมันไป คงที่ตายตัวเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นของคู่

ของคู่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา โลกนี้เป็นของคู่ แต่ถ้าเป็นวิมุตติสุขมันเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งไม่มีสองคืออะไร หนึ่งไม่มีสองคือจิตใจที่มันพ้นจากทุกข์ไปแล้ว นี่หนึ่งไม่มีสอง แล้วหนึ่งไม่มีสอง จิตใจที่พ้นจากทุกข์ไปแล้ว ถ้ามีจิตที่ไหนก็มีภพที่นั่น ถ้ามีภพที่นั่นมันก็มีที่เกิดที่นั่น แต่ถ้ามันหนึ่งไม่มีสอง หนึ่งแล้วมันไม่มีตัวตนของมันด้วย ไม่มีตัวตนของมันเพราะเหตุใด ไม่มีตัวตนของมันเพราะมันทำลายภวาสวะ ทำลายภพชาติอันนั้นไปแล้ว ถ้ามันทำลายภพชาติอันนั้นไปแล้ว คนต้องเห็นสัจจะความจริงอันนั้นมันถึงจะเข้าใจอันนั้นได้

แต่เราศึกษาของเรานะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งก็เลขหนึ่งไง หนึ่งก็ไม่ใช่สองไง ถ้าสองก็ไม่ใช่หนึ่งไง อันนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ถ้าวิทยาศาสตร์เราพิสูจน์กันได้ไง ดูตรรกะสิ ตรรกะเราคาดเราหมายได้ เราคาดเราหมายได้เพราะอะไร เพราะเป็นโลกไง ถ้าใครมีการศึกษา ความรู้กว้างไกล ถ้าความรู้กว้างไกล เทียบเคียงไปแล้วมันส่งออกไปทั้งหมดแหละ มันส่งออกไปทั้งหมด เราถึงมีความจำเป็นกันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อนไง ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจมันสงบแล้วก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน แต่หนึ่งนี้มันหนึ่งแบบมีไง หนึ่งแบบภวาสวะ หนึ่งแบบภพไง ภพเพราะอะไรล่ะ ภพเพราะหาตัวตนของเราไง

เราเกิดมาๆ เกิดจากพ่อจากแม่ แต่ไม่รู้จักตัวของเราไง ถ้าเราไม่รู้จักตัวของเรา เราไม่รู้จัก ลองผ่าไปสิ มิลินทปัญหา มิลินทปัญหาเขาถามนาคเสนว่าคนมันคืออะไร คน คนอยู่ที่ไหน เขาบอกคนเปรียบเหมือนรถ รถ สิ่งที่ประกอบกันด้วยอะไหล่ขึ้นมาแล้วถึงเรียกว่ารถ ลองแยกอะไหล่ออกจากรถแล้วมันเหลืออะไร นี่ก็เหมือนกัน คนมันมาจากไหน ถ้าคนมาจากไหน แยกชิ้นส่วนแยกออกไปมันก็เป็นชิ้นส่วนอวัยวะ ๓๒ อย่างนั้น แล้วจิตอยู่ไหนล่ะ ค้นหากันไม่เจอไง ค้นหาตัวเองกันไม่เจอ ค้นหาตัวเองไม่ได้ เราถึงไปวัดไปฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังธรรมเพื่อค้นหาตัวเรา

ที่เรามาวัดมาวากัน เราทำบุญกุศล บุญกุศล เรารู้จักบุญกุศลไหม เวลาทำบุญกุศล สิ่งที่เวลาบุญกุศลมันเกิดเจตนาอันนั้น เกิดจากหัวใจอันนั้นมันปรารถนา เวลามีความทุกข์ความยากในชีวิตของเรา มันทุกข์มันยากที่ไหนล่ะ มันทุกข์มันยากที่หัวใจนี้ไง ร่างกาย ดูสิ การเจริญเติบโตของร่างกาย คนเราเกิดมาแล้ว เด็กมันต้องเดินได้ เด็กมันต้องวิ่งได้ เด็กมันต้องทำงานได้ แต่เวลาการศึกษาล่ะ เวลาการศึกษา ใครศึกษามาแล้ว ศึกษาจบมาเท่ากัน แต่เวลาทำหน้าที่การงานแล้วประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน อันนี้มันเกี่ยวกับสติปัญญาอันหนึ่ง เกี่ยวกับอำนาจวาสนา หนึ่ง เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก เรามีความฉลาด มีความคิดก่อน เราคิดไปก่อนโลก โลกยังคิดไม่ทันเรา สิ่งที่เป็นความคิดของเราไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่คนเราเกิดมา เขาทำพอจังหวะโอกาสของเขา โลกเขาต้องการสิ่งนั้นอยู่พอดี นี่จังหวะและโอกาสมันได้ เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา นี่คืออำนาจวาสนาของเขาไง แต่ถ้าเราไม่ใช่อำนาจวาสนาของเรา ถ้าอำนาจวาสนาของเรา ทางโลกเขาวัดกันที่นั่น คนเราแข่งสิ่งใดก็ได้ แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ แข่งกันไม่ได้เพราะอะไร แข่งกันไม่ได้เพราะมันเป็นอดีตไง

สิ่งที่เราทำมาๆ ในปัจจุบันนี้เวลาเท่ากันใช่ไหม คนเราเกิดมา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน มีชีวิตเท่ากันใช่ไหม ทุกอย่างเท่ากันหมดเลย แต่ความคิดของคน ดูคนที่เขาเกียจคร้าน เวลาของเขาล่วงเลยไปโดยไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย คนที่ขยันหมั่นเพียรของเขา เวลามีคุณค่าของเขาตลอดไปเลย เวลาเท่ากัน แต่คนใช้เวลานั้นแตกต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตที่เกิดมาในปัจจุบันนี้ชีวิตเหมือนกันไง แต่ถ้าสิ่งที่อำนาจวาสนามันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน เมื่อวานนี้เราทำสิ่งใดมา ถ้าเมื่อวานสุคโตๆ เมื่อวานทำสิ่งใดมา วันนี้ ปัจจุบันนี้มันก็สุคโต มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นภาระแบกหามต่อไป ถ้าวันนี้ไม่มีภาระแบกหามต่อไป วันพรุ่งนี้ก็ไม่มีภาระหามแบกต่อไป แต่ถ้าเมื่อวานมันทำสิ่งใดมา มันเป็นหนี้เป็นสินมา วันนี้ต้องทำเงินทำทองเพื่อชดใช้หนี้เขา ถ้าชดใช้หนี้เขา เรายังต้องทำเงินทำทองขึ้นมาเพื่อชีวิตของเรา เรายังต้องทำเงินทำทองของเราเพื่อเกิดต่อไปเพื่อเป็นอนาคตของเรา นี่ไง สิ่งที่เวลาแข่งอำนาจวาสนาที่แข่งกันไม่ได้ๆ เพราะมันเป็นอดีตมาไง

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้เราก็ขวนขวายกันอยู่นี่ไง ขวนขวายกันมาๆ ขวนขวายกันมาเพื่อหาความสงบร่มเย็น ความสงบร่มเย็นในหัวใจ ถ้าความสงบร่มเย็น ทำความสงบร่มเย็น ทำไมต้องขวนขวายล่ะ ขวนขวายมันก็ไม่สงบแล้ว มันเคลื่อนไหวมันจะสงบได้อย่างไร

ก็การเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวให้มันสงบ แต่ถ้ามันไม่มีการเคลื่อนไหวให้สงบเลย นั่นแหละขี้ลอยน้ำ มันทับถมอยู่ในหัวใจของตนนั่นแหละ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเคลื่อนไหวของท่าน ท่านทำของท่าน ท่านใช้ปัญญาของท่าน แต่จิตของท่านสงบระงับไง ถ้าจิตสงบระงับ ระงับในการกระทำอันนั้นไง ดูสิ เวลาพระ ว่าพระวันๆ ไม่ทำสิ่งใดเลย พระเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาปัญญามันเกิด มรรคมันเกิด มันหมุนติ้วๆๆ ดูสิ คนที่บริหารจัดการ คนที่มีอำนาจ เวลาเขามีอำนาจ เขาต้องรับผิดชอบมาก ไม่กี่เดือนผมขาวโพลงเลย เพราะอะไร เพราะเขาใช้ความคิดของเขาเยอะ เขาต้องรับผิดชอบของเขาเยอะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดปัญญาขึ้นมา ที่มันหมุนติ้วๆๆ ในหัวใจ มันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากไหน เกิดจากการขวนขวายจากการกระทำนั้น มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก นี่ไง อำนาจวาสนาของเรามาจากไหนล่ะ อำนาจวาสนาของเราก็เกิดจากการกระทำของเรานี่ไง เราทำของเรามา เราทำของเรามา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม หอมทวนลม คนดี ที่ไหนมันก็ดีทั้งนั้นน่ะ ถ้าคนดี เขาก็เคารพนบนอบทั้งนั้นน่ะ แต่มันก็มีเวรมีกรรมไง ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เขาจ้างคนมาฆ่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วเราล่ะ เราจะมีสิ่งใด

ฉะนั้น สิ่งใดที่มันกระทบกระเทือนกระทบกระทั่งเรา เพราะการกระทำมันมีขั้วบวกขั้วลบทั้งนั้นน่ะ คนเราไม่ใช่ทำความดีมาตลอดและไม่ได้ทำความเลวมาตลอด เวลาผลกระทบขึ้นมา สิ่งที่มันหลีกเร้นไม่ได้ มีความจำเป็นก็ทำสิ่งนั้นไป ทำสิ่งนั้นแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย ไม่ดีเลย ถ้าไม่ดีเลย เราต้องมีสติปัญญายับยั้งไง แล้วในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาใช่ไหม พระพุทธศาสนาสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญาใช่ไหม

ศีล ศีลคือความปกติของใจของเรา สมาธิคือความสงบระงับของใจของเรา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาจะถอดถอนไอ้ความไม่รู้ในใจของเราออกไป แต่ถ้าเป็นปัญญาทางโลก เรามีการศึกษา มีสติปัญญามาขนาดไหน สติปัญญาอย่างนั้น เชาวน์ปัญญาอย่างนั้นมันมีฐานคือจิตดวงนี้ไง ถ้าจิตดวงนี้มีอำนาจวาสนา สิ่งนั้นก็เป็นธรรมาภิบาล สิ่งนั้นก็เป็นสุจริตชน

แต่ถ้าจิตของเรา จิตของเรามันเห็นแก่ตัว เราศึกษาสิ่งใดมา ความคิดอันนั้น จิตที่มันใช้งานๆ มันใช้เพื่อทุจริตไง มันใช้เพื่อสร้างบาปสร้างกรรมให้ใจของตนไง แต่ถ้าคนเขามีสติปัญญาของเขา เขามองค่าแต่ตัวเลข เขามองค่าแต่วัตถุนั้น เขาบอกวัตถุนั้นเขาทำแล้วเขาได้ประโยชน์ของเขา มันได้ประโยชน์ของเขา เขากว้านมาด้วยเวรด้วยกรรมของเขา ถ้าเวรกรรมของเขา เขาสร้างของเขา เขาบาดหมางของเขา แต่ถ้าคนมีสติปัญญา เขาทำสิ่งใดมาเป็นธรรมาภิบาล เป็นสุจริต ทำสิ่งนั้นมาด้วยอำนาจวาสนา ด้วยคุณงามความดี ถ้าจิตมันใช้ไง นี่พูดถึงปัญญาทางโลกไง ปัญญาทางโลก จิตที่มันคิดดี จิตที่มันทำดี มันทำประโยชน์สิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น ถ้าจิตมันคิดร้าย จิตมันคิดทำลายตัวมันเอง มันคิดทำลายตัวมันเองแต่มันปิดหูปิดตาบอกว่าสิ่งนั้นเป็นผลประโยชน์ของมัน ถ้าประโยชน์ของมัน มันทำ มันได้ มันได้เพราะว่าเราสร้างเวรสร้างกรรมไง มันได้มา สิ่งที่ทำมันได้มาทั้งนั้นน่ะ แต่มันได้มาด้วยสุจริตหรือไม่สุจริตล่ะ

ถ้ามันสุจริต เวลาเรามาฝึกมาฝนของเรา เราทำสติของเราเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมาล่ะ ถ้าเป็นสัมมา สติก็ต้องคือสติไง สติ ถ้าเรามีสติมีปัญญา ทำความเพียรด้วยมีสติปัญญามันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าทำ มันขาดสติไปมันก็สักแต่ว่าทำ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิใช่ไหม แล้วเกิดสติ สติที่ว่าสติที่มันเป็นตัวสติ สติ ถ้าการกระทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เป็นประโยชน์ขึ้นมา งานอย่างหยาบ งานอย่างละเอียดไง อาบเหงื่อต่างน้ำเราก็เป็นงานหนัก เราก็ว่าเป็นงานลำบาก เรานั่งโต๊ะ เราใช้สติปัญญาของเรามันก็เป็นงานอันละเอียด

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราแสวงหา เราแสวงหาสิ่งนั้นมามันเป็นเรื่องของหยาบๆ เป็นเรื่องของวัตถุไง แต่ถ้าเป็นวัตถุนะ เราเสียสละไป ยื่นจากมือของเราไป หลุดออกไป สิ่งนี้ เจตนาอันนั้นน่ะมันเป็นทิพย์ๆ มันฝังใจเราทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่มีเจตนาจะทำไหม

ของของเรา เราถือไว้พะว้าพะวงอยู่นี่ เราจะให้หรือไม่ให้ มันอยู่กับมือเราทั้งนั้นน่ะ วัตถุนั้นมันก็เสียหายไป แต่ถ้าเราเสียสละออกไปนะ วัตถุนั้นมันจากมือเราไปสู่มือของคนอื่นใช่ไหม มือของคนอื่นเขาใช้ประโยชน์ของเขา เราก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ๆ แล้วสิ่งที่มีค่าที่สุดคือว่าน้ำใจ น้ำใจสิ่งที่เขาได้รับ เขาได้รับขึ้นมา ถ้าจิตใจเขาเป็นธรรม จิตใจเขาเป็นทุกข์เป็นยากที่เขาได้รับนะ แต่ถ้าเป็น ๑๘ มงกุฎเขามาหลอกเขามาลวงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าในโลกของเรามันมีทั้งคนดีและคนชั่วรวมกันอยู่แล้วแหละ ฉะนั้น เราต้องมีสติปัญญาไง ทำสิ่งใดก็ต้องมีสติปัญญาทั้งนั้นน่ะ ทำงานถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ความพลั้งเผลอ ความผิดพลาดมันก็น้อยลง

นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญทำทานของเรา เราก็ใช้สติปัญญาของเรานะ ถ้ามันผิดพลาดไปมันก็ผิดพลาดไปเป็นครั้งเป็นคราว มันจะเป็นอะไรไป คนเรามันก็มีความผิดทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าผิดสิ่งนั้นไปมันก็จบไง เราไม่ไปวิตกกังวลกับมัน

นี่ก็เหมือนกัน แล้วเราก็ย้อนกลับมาๆ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเป็นงานอันละเอียดแล้ว สิ่งที่อาบเหงื่อต่างน้ำที่มันเป็นความทุกข์ความยาก เราต้องอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ในเมื่อเกิดมาเป็นคน คนต้องมีอาหารใช่ไหม มันต้องมีอาหาร มันต้องมีปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิตไง แต่ถ้าหัวใจ หัวใจมันเร่าร้อนอยู่นี่ ดูสิ เรากินอาหารเข้าไปก็เพื่อปากเพื่อท้อง ถ้าหัวใจของเรามันก็ยังทุกข์ร้อนอยู่อย่างนั้นน่ะ มันก็ทุกข์ร้อนอยู่อย่างนั้นน่ะ หัวใจมันต้องการสิ่งใดล่ะ หัวใจมันต้องการธรรมโอสถไง

ธรรมโอสถ เอ็งร้อนนัก จิตใจร้อนนักเพราะอะไร เพราะความโง่ ถ้ามีความฉลาดขึ้นมา ของเราก็เต็มบ้านเต็มเรือนอยู่แล้ว ของที่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัยที่มันจะขาดแคลนสิ่งใด เราก็แสวงหาพอดำรงชีพได้ แต่จิตใจนี้ทำไมมันเร่าร้อนนักๆ ไง ถ้าเร่าร้อนนัก ธรรมโอสถ เราตรึกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูคนทำคุณงามความดีของเขา ถ้าคุณงามความดีของเขา เราเห็นความยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นน้ำใจของคน เราต้องการตรงนั้น ต้องการตรงนั้น จิตใจมันต้องการตรงนั้นน่ะ มันต้องการความอบอุ่น มันต้องการคนเห็นน้ำใจ น้ำใจก็น้ำใจเท่ากันไง

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านอบรมลูกศิษย์ของท่าน ท่านถากท่านถาง ยิ่งถากยิ่งถาง ยิ่งถากยิ่งถาง ยิ่งถากให้ไม้นั้นมันตรงไง ไม้มันคดไม้มันงอต้องดัดให้มันตรง แล้วเวลามันตรง เราเอียงไปเต็มที่เลย ของฉันตรงแล้วๆ มันจะอ้อมไปไหนไม่รู้นั่นน่ะ ของฉันตรงแล้วๆ พอมันโดนถากโดนถางขึ้นไปมันก็น้อยใจ ทำไมเราโดนถากโดนถาง

นี่จะบอกว่าเวลาที่เราอบรมคุณธรรมๆ ท่านให้น้ำใจ ให้ความสัตย์จริง ให้ความเป็นจริงในใจนะ แต่วัตถุมันไม่มี มันไม่มีวัตถุสิ่งใดหรอก แล้วเราแสวงหาไป วัตถุเราก็แสวงหาของเราได้ใช่ไหม เราธุดงค์ไป เราวางบริขารของเรา เราจับบาตรออกไปบิณฑบาตตอนเช้า เราก็ได้ฉัน เราได้ฉันจากบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา เราจะได้อาหารดำรงชีวิตที่นั่น แต่เราจะได้น้ำใจ เราจะได้คุณธรรมจากใคร มันถึงต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ไง ถ้าครูบาอาจารย์ท่านชี้นำบอกเราๆ ไง

บอกเรา สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้ เหมือนทางโลก วัตถุที่เขาตระหนี่ถี่เหนียวของเขาไว้ เขาก็ได้แค่นั้นไง แต่นักปฏิบัติเหมือนกัน สิ่งใดที่มันเผาลนหัวใจน่ะ สิ่งใดที่เผาลนหัวใจทำไมไม่สลัดทิ้งล่ะ แล้วมันสลัดอย่างไร มันสลัดไม่ได้ มันสลัดแล้วก็อยากสลัด เพราะอยากสลัดมันยิ่งไปเขี่ยยิ่งไปคุ้ย มันก็ยิ่งลุกโชนในหัวใจไง ยิ่งมันฟุ้งซ่านก็อยากดับความฟุ้งซ่าน ยิ่งความฟุ้งซ่านมันก็ยิ่งลุกโพลงในหัวใจไง ยิ่งมันทุกข์ๆ อยากจะสลัดทุกข์ มันก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการไง เรากำหนดพุทโธ กำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วมันจะกำหนดไม่ได้เพราะจิตใจมันไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับ เราก็มาระลึกถึงชีวิตของเราสิ เราเกิดมา เรามีอะไรมา เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็มีเรา มีแต่ร่างกายนี้มา เราไม่คาบช้อนเงินช้อนทองสิ่งใดมาเลย สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมาก็เกิดขึ้นจากอำนาจวาสนา มองไปก็เห็นไง เวลาคนเขาสิ้นชีพไปนะ ไปถึงยมบาลเขาถามว่าเห็นธรรมไหมๆ

เขาบอกไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้สิ่งใดเลย

ยมบาลถามว่าเห็นคนเกิดไหม

เห็น

เห็นคนแก่ไหม

เห็น

เห็นคนเจ็บไหม

เห็น

เห็นคนตายไหม

เห็น

นั่นล่ะคือธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ธรรม

ดูสิ การล้างป่าช้า เวลาคนที่ล้างป่าช้าเก็บศพไร้ญาติทำให้เราได้บุญๆ ล่ะ นั่นคือการตาย การตายแล้วมันการตายด้วยอเนจอนาถ การตายด้วยไม่มีญาติ การตายด้วยไม่มีใครดูแล พวกเรายังไปหาบุญกุศลจากการตายอันนั้นเลย นี่ไง เห็นการเกิดไหม

เห็น

เห็นการแก่ การเจ็บ การตายไหม

เห็น

เห็นนั่นคือธรรมไง

ถ้าจิตใจมันไม่ยอมรับ จิตใจมันทุกข์มันยากแล้วมันดิ้นรน มันไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ ให้กำหนดพุทโธมันกำหนดไม่ได้ ให้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ทำไม่ได้ ก็เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายไง แล้วเราก็เป็นเช่นนั้น แล้วเราเป็นเช่นนั้น เราเป็นมาตลอด แล้วมันก็จะเป็นไปข้างหน้า แล้วหัวใจมันจะดิ้นรนเอาอะไรล่ะ หัวใจมันดิ้นรนเอาอะไร เพราะมันบอกว่ามันยังคงทนถาวร มันไม่ได้เป็นสิ่งใด มันก็เลยไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาลนหัวใจไง บอกว่าเอ็งต้องตาย เอ็งต้องจบ

ความคิดที่มันเผาลนหัวใจมันเบาบางลง เดี๋ยวก็คิดอีก เพราะธรรมชาติของมัน น้ำมันอยู่ที่ไหน มันเจอไฟมันติดตลอดแหละ นี่ไง ธาตุรู้เป็นยางเหนียว มันคิดตลอดล่ะ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพิจารณาของท่าน ท่านรู้ของท่านไงว่าจิตมันเป็นอย่างใด แล้วเวลาจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นพรหมเขามีความรู้สึกอย่างไร เกิดเป็นเทวดาเขามีความรู้สึกอย่างไร เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ คิดอะไรก็ได้ จะทำอย่างไร แล้วสัตว์นรกอเวจีเวลามันทุกข์มันยากของมัน มันอยากจะพ้นจากทุกข์ มันก็พ้นไม่ได้เพราะมันไม่สิ้นเวรสิ้นกรรม มันเป็นอย่างไร

ฉะนั้น ท่านถึงว่าจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งแทงตลอด จะสอนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สอนสิ่งที่ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ในเมื่อธาตุรู้ ธรรมชาติที่มันรู้มันดิ้นรนของมัน แล้วมันมีอวิชชา มีพญามารไปกระตุ้นมันอีก มันยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปเลยไง แล้วเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นวาสนานะ

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำไมถึงประเสริฐล่ะ พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ไง สอนที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันมีลัทธิศาสนาไหนสอนบ้าง ลัทธิศาสนาไหนเขาสอนเป็นลัทธิ เป็นความเชื่อ แล้วก็ต้องให้พระเจ้าพยากรณ์ โลกแตก ต้องให้พยากรณ์

ชีวิตของเรา การเกิดการตายของเราใครห้ามไม่ได้หรอก ใครก็พยากรณ์ไม่ได้ ใครก็ชำระล้างให้ไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย ให้ย้อนกลับมาที่นี่ไง ฉะนั้น เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีอำนาจวาสนาตรงนี้ไง ฉะนั้น มีอำนาจวาสนาตรงนี้ แต่เราไปทุกข์ไปยากกันที่ปัจจัยเครื่องอาศัย อาบเหงื่อต่างน้ำกันอยู่นี่ การอาบเหงื่อต่างน้ำมันเป็นคราว เป็นวาระนะ คนเรามันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป มันก็ยุบยอบลงไป มันมีของมันไง แต่จิตใจอันนี้ จิตใจอันนี้ที่มันมีคุณค่า ถ้าพระพุทธศาสนาสอนถึงที่นี่ ศาสนาพุทธเขาถึงเห็นคนที่ทรงศีลทรงธรรม ที่ไหนมีศีลมีธรรม เราจะเกื้อกูล เราจะเชิดชู เราจะเกื้อหนุนกัน การเกื้อหนุนกันนั่นเขาได้บุญกุศลของเขา ได้บุญกุศลของเขา เขาเสียสละทานของเขา ถ้าเราอยู่ในสังคมอย่างนั้น ถ้าเราเป็นความจริงของเราอย่างนั้น เราไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องการดิ้นรน การที่กิเลสมันเผาลนนั้นไง ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราใช้ปัญญาอย่างนี้ ไอ้ที่ว่ามันฟุ้งซ่าน ไอ้ที่ว่ามันทำไม่ได้ ไอ้ที่มันเดือดร้อน มันต้องเบาบางลง ฉะนั้น พุทโธก็มีโอกาส แล้วพุทโธมีโอกาสแล้วเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือเราใช้อานาปานสติ

ทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะ

ธาตุรู้ มันรู้แต่เรื่องเดือดร้อน มันกินแต่อาหารที่เป็นพิษ อาหารที่เป็นพิษเพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยาก ครอบครัวมารเอามาป้อน ถ้าเอามาป้อนนะ เราก็ตั้งสติ จะเกิดสติ ตั้งสติแล้วเรากำหนดพุทโธ เราท่องพุทโธๆๆ เราอยู่กับพุทธานุสติ ให้ธาตุรู้ที่มันเกาะกับอารมณ์ต่างๆ ให้มันมาแปะไว้กับพุทโธ เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เรามีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าเป็นที่พึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจิตมันไม่ยอมพึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคุณค่า เราเป็นชาวพุทธ ในสายเลือดเราก็เชื่อฟังของเรา แต่กิเลสมันก็ยุมันก็แหย่ นี่คนใน คนในยุแหย่ เชื่อคนในไง เวลาความรู้สึกนึกคิดของมันที่มันต่อต้านขึ้นมา เราก็น้อมเอียงไปไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ข้างนอกนู่น อยู่วัดนู่น แต่ความคิดมันอยู่กับเรา ถ้าเรามีสติปัญญาละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นมันก็มีสติปัญญาที่นี่ แล้วพอสติปัญญาที่นี่ เรามาระลึกถึงพุทโธๆ

แล้วพุทโธ ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อ พุทโธแล้วชื่นใจ พุทโธแล้วแจ่มแจ้ง ถ้ามันเบื่อหน่าย โอ๋ย! พุทโธตึงเครียดไปหมด พุทโธมันกดดันเราตลอดเวลา ถ้ากดดัน เราถ้ามีศรัทธา ศรัทธามันจะถากถางให้หัวใจเราได้ก้าวเดินได้ ถ้าก้าวเดินได้ เราค้นหาหัวใจนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมา มนุษย์จะเกิดมาจากไหน แล้วเกิดมาเกิดมาทำอะไร ถ้าไปเห็นใจดวงนี้ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วเราเห็นต้นเหตุแล้วแหละ ถ้าเห็นต้นเหตุแล้วเรามาแก้กันที่นี่ไง

ฉะนั้น เวลาไปวัดไปวา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนนะ อนุปุพพิกถา เรื่องของทาน คนที่ยังไม่เข้าใจเขาให้เสียสละอันนั้น เป็นที่วัตถุ เป็นของของเราทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละออกไปก็ฝึกหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจเขาอ่อน หัวใจเขาควรแก่การงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะเทศน์อริยสัจ ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ใครก็ทำได้...ทำไม่ได้หรอก สิ่งที่ทำได้มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ เรื่องโลกๆ คือเรื่องการเปรียบเทียบ

เรื่องการเปรียบเทียบนะ เปรียบเทียบก็เปรียบเทียบ เปรียบเทียบข้างนอกก็เหมือนกับดูหนังดูละครนั่นแหละ ขณะดูหนังดูละครเขายังให้ย้อนมาดูตัวเลย ไอ้นี่ตัวเล่น ตัวที่จะไปสวมบทบาทเป็นอะไรไง แต่นี่จิตเวลามันคิดของมันไปแล้วก็คิดเรื่องธรรมะไง มันก็สวมบทบาทว่ามีคุณธรรมไง แต่กิเลสอวิชชาเต็มหัวใจ

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เป็นตัวตนของเราจริงๆ ถ้าตัวตนของเราจริงๆ เห็นของเราจริงๆ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แม้แต่จิตสงบ คนคิดได้ว่าจิตสงบนี่คือนิพพาน “นิพพานเป็นอย่างนี้เอง เจอนิพพานแล้วนิพพานเป็นอย่างนี้เอง” พอนิพพานเสื่อมไปงงเลย “พระพุทธศาสนาคงจะหมดแล้วแหละ หมดคราวหมดวาระแล้ว มรรคผลคงไม่มีแล้วล่ะ” ไปนู่นเลยนะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ของมันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่มีกาลไม่มีเวลา อกาลิโก เวลาเราทำของเราได้นะ เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เวลามันทำได้มันอาจหาญมากนะ

“โอ๋ย! นิพพานเป็นอย่างนี้เอง นิพพานเป็นอย่างนี้”

เวลามันเสื่อมไปนะ “โอ๋ย! มรรคผลคงไม่มีแล้วแหละ”

แต่ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงขึ้นมามันจะมีองค์ความรู้ของมัน มันจะมีสัจจะความจริงของมัน เวลาจิตมันเสื่อม เวลาทำคุณงามความดีแล้วจิตมันเสื่อม จิตมันเสื่อมก็ขวนขวายๆ ขึ้นไป เพราะอะไร มันเจริญแล้วเสื่อมเพราะระยะทางที่เดิน กิริยา การกระทำนี้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนวิธีการกิริยาทั้งหมด ผลของมัน ผลของวิบาก ผลของมันคือจิตที่มันเป็นจริงไง

ฟังธรรมๆ ตอกย้ำอย่างนี้ ตอกย้ำแล้วมันทำทันกันได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อๆ เพราะพระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เราก็เชื่อมั่นว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ ผู้ที่ทำเหมือนกันยังได้เหมือนกัน มีองค์ความรู้เหมือนกัน ถ้ามีองค์ความรู้เหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านไม่อาจหาญ ไม่เป็นเสาหลัก ไม่เป็นคนที่เผยแผ่ ไม่เป็นคนที่รื้อคนวิธีการ รื้อค้นการปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา ใครทำก็ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นเลย เหมือนกันหมดเลย นี่ถ้าธรรมความเป็นจริง มันถึงว่าเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ถ้าไม่มีกาลไม่มีเวลา เราประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงของเรา

แต่ถ้าเรายังหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ เวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน คนที่ใช้ทำประโยชน์ของเขา เวลาเขาน้อยนัก ไอ้คนที่ไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เวลามันเนิ่นนานนัก ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ เรามีสติมีปัญญาค้นคว้าของเราได้เหมือนกัน ถ้าเราทำของเราได้นะ มันจะเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา

มาวัดมาวาก็เพื่อเหตุนี้ เราทำบุญกุศลก็ได้บุญกุศลแล้วส่วนหนึ่งนะ ได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมนี้แสนยาก การฟังธรรมแสนยากเพราะมันฟังจากปาก แต่ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมันเจริญเท่านั้นเอง การฟังนี้แสนยาก เราฟังของเรา เราใช้สภาวะแวดล้อมให้หัวใจมันเชื่อ ให้หัวใจมันฟัง ให้หัวใจมันมีที่พึ่งอาศัย

ทุกคนเกิดมาว้าเหว่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เอง ในสโมสรสันนิบาต ในสโมสรสันนิบาตคือเขารื่นเริง เขากำลังเลี้ยงฉลองกันน่ะ ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจ ไอ้เราไม่ได้สโมสรสันนิบาตนะ ไอ้เราเกิดมาเป็นชีวิต ชีวิตเราดำรงอย่างไร มันว้าเหว่ไหม มันเหงาไหม มันเศร้าสร้อยไหม

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะสัจธรรมนี้มันจริงจัง สัจธรรมนี้แน่นอน เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มีความสงบระงับในใจ ไม่ฟุ้งไม่ซ่าน มีความสุขในใจ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วเราก็แสวงหาที่นี่ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อสภาวะแวดล้อมของใจ ให้ใจมันมีจุดยืนขึ้นมา ให้ใจมันกล้าหาญของมันขึ้นมา กล้าเข้าทางจงกรม กล้านั่งสมาธิ

จะเข้าทางจงกรมก็ โอ๋ย! เข่าอ่อนเลย จะนั่งสมาธินะ โอ้โฮ! มันเจ็บ เจ็บปวด มันฝังใจ

ตั้งสติ มันเป็นทางอันเอก มัคโค ทางอันเอก เราสร้างมรรคสร้างผลของเรา เราสร้างมรรค ผลมันจะมาของมันเอง เราสร้างเหตุไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราทำสิ่งใดได้อย่างนั้น “ถ้าเธอทำสิ่งใดแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย”

นี่อายุเท่าไหร่แล้ว ๖๐-๗๐ กันแล้วนะ เสียดายเวลาไหม แล้วเวลาตอนนี้ไปนั่งก็เจ็บปวดแล้ว นี่ไง “สิ่งใดที่เธอทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย” ตั้งสติตั้งปัญญาของเรา ขวนขวายของเราเพื่อใจดวงนี้ เพื่อหัวใจของเราให้เป็นสัจธรรมในใจของเรา ค้นหาที่นี่ สุขแท้อยู่ที่กลางหัวใจ

สงกรานต์ๆ เขาจะเที่ยวไหน เรื่องของเขา เราเที่ยวกลางหัวใจ ค้นหาหัวใจเราให้เจอ แล้วเอาอันนี้ให้ได้ หมั่นเพียร มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะมันอยู่ที่นี่ รู้ไปหมด เข้าใจไปหมด แต่ไม่ได้ทำ มันก็แค่นั้นน่ะ มันเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราศึกษามาเรารู้หมด แต่มันไม่ได้ทำ มันก็ไม่เป็นของเราไง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วประกาศให้โลกรู้ได้ด้วย

นี่ไง ให้ใครถามปัญหาธรรมะมาสิ หลวงตาท่านพูดบ่อย ถามเราให้จนทีเถอะน่า ท่านพูดอยู่ประจำว่าถามปัญหาท่านให้จนสักที ไม่มีสิทธิ์จนได้ เพราะมันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันมีเหตุมีผลของมัน มันแก้ไขของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เอวัง