ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

บริษัท ๔

๑ พ.ค. ๒๕๕๙

บริษัท ๔

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ธรรมโอสถ

กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ขอหลวงพ่อเมตตาตอบปัญหาเกี่ยวกับการป่วยของพ่อค่ะ พ่อป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดและมีไข้สูงบ้าง เนื่องด้วยข้อเท้าบวมทั้งสองข้าง บวมนิ้วกลางเท้าด้านขวามีหนอง โดยไม่มีสาเหตุค่ะ ไปโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่ ๑๓ วันแล้ว

เนื่องจากลูกๆ ทำงานต่างจังหวัด ไกลกันมาก และช่วยกันส่งเสียค่าใช้จ่ายพ่อแม่ตลอดทั้งเดือนค่ะ จึงต้องเปลี่ยนเวรกันช่วยมาเฝ้าไข้พ่อ เนื่องจากอยู่ตามลำพังสามคนพ่อแม่ และหลานน้อยอีกหนึ่งคนค่ะ จึงคุยกันว่าต้องมีคนที่เสียสละดูแลพ่อแม่ค่ะ เพราะท่านแก่แล้ว แต่โยมมีภาระทางด้านหนี้สินต่อเนื่อง ก็เลยบอกให้พี่ชายคนโตดูแล เพราะไม่มีครอบครัวที่กรุงเทพฯ ขออนุญาตถามหลวงพ่อดังนี้เจ้าค่ะ ถามปัญหาธรรมค่ะ

โดยฐานะเป็นลูก จะช่วยพ่อทางธรรมโอสถอย่างไรดีเจ้าคะ  ตอนนี้ได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร เพราะเชื้อโรคที่ทำให้ป่วย และฟังธรรมหลวงตาสอนพระ และธรรมของหลวงพ่อตลอดเจ้าค่ะ พร้อมเอาหนังสือธรรมะไปอ่านเวลาพ่อนอนหลับ ปฏิบัติได้บ้างเวลาเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลค่ะ อธิษฐานให้ตัวเชื้อโรคที่ทำให้พ่อเท้าบวมโดยไม่มีสาเหตุ คุณหมอเอกซเรย์ข้อเท้าแล้วไม่มีอะไร ไม่ทราบว่าเป็นโรคกรรมเก่าของพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ

โยมทุกข์ใจมากเจ้าค่ะ แต่คอยบอกตัวเองว่า แม้เป็นพระอรหันต์ยังป่วยเลยทุกคนหนีความเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่พ้นค่ะ แต่คิดว่าเราเป็นลูก ตอนนี้ช่วยให้สุดความสามารถก่อนทุกๆ ด้านเจ้าค่ะ ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำสั่งสอนด้วยเจ้าค่ะ

ตอบ : นี่พูดถึงธรรมโอสถ ธรรมโอสถไง เวลาพูดถึงธรรมโอสถนะ เวลาธรรมโอสถ เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆเจ้าลัทธิต่างๆ ทุกลัทธิเขาก็บอกว่าเขาเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์ของเขา” เขาได้ฌานสมาบัติ เขาได้อภิญญา เขาได้อะไร เขาว่าเขาเป็นพระอรหันต์เพราะเขาไม่รู้จักว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร เพราะเขาไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ความเป็นพระอรหันต์ของเขาได้หรอก แต่ด้วยเขาทำ ใครมีความสามารถขนาดไหนสูงส่งขนาดไหน เขาก็ว่าเขาประพฤติปฏิบัติสิ้นสุดกำลังของเขา เขาก็ว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่มีเลย เวลาไม่มีเลย เห็นไหม คำว่า “ไม่มีเลย” ไม่มีเพราะอะไร

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขา ไปศึกษากับเขาเพราะเขารับรอง เพราะศึกษากับอาจารย์องค์ใดก็ศึกษาจนหมดไส้หมดพุงของครูบาอาจารย์องค์นั้น แล้วครูบาอาจารย์องค์นั้นก็บอกว่า หมดความสามารถแล้วสอนถึงสิ้นสุดความรู้ของเขาแล้ว แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสติสัมปชัญญะว่าเรายังมีกิเลสอยู่

นั่นไง ถึงบอกว่าทุกลัทธิศาสนา ที่ว่าไปศึกษากับเขาๆ ที่เขาบอกเขาปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดา นั่นน่ะมันเป็นความเชื่อของเขา มันไม่เป็นความจริงเลย มันไม่มี มันไม่มี ถ้ามันไม่มี เห็นไหม

ฉะนั้นบอกว่า เวลาที่ว่า เวลาเราจะรักษาธรรมโอสถๆ เวลาธรรมโอสถ ถ้าเอาเป็นแนวทางใหญ่ๆ มันก็  นะ ธรรมโอสถที่เวลารักษาไข้กิเลส คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากนั้นเป็นมรรค แต่ธรรมโอสถเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเรื่องร่างกาย มีธรรมโอสถ ครูบาอาจารย์ท่านมีกำลังของท่าน ท่านมีสติปัญญาของท่าน ท่านรักษาของท่าน

เวลาหลวงตาท่านป่วยไข้หลายรอบเลย แล้วท่านใช้ธรรมโอสถของท่านขณะที่ท่านใช้ธรรมโอสถของท่าน ท่านมีสติสัมปชัญญะ เวลาที่ว่าท่านไปป่วยที่บ้านผือ ที่หนองคายน่ะ ท่านวิตกกังวลขึ้นมาว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะตายก็ไม่ว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์มันก็จบใช่ไหม มันได้หมดเรื่องหมดราวกันไปเสียที แต่นี้รู้ตัวเองว่ามันยังไม่เป็นพระอรหันต์ ตอนนั้นท่านได้อนาคามี ท่านบอกรู้ในใจของตนว่า ถ้าท่านตายไปมันต้องไปเกิดเป็นพรหม เป็นอนาคามี ท่านอยากไม่เกิดท่านอยากจะให้สิ้นสุดชาตินี้เลย จะไม่มีการเกิดอีกหนึ่งภพ ไม่มีการเกิดเป็นพรหมอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็เลยไม่อยากตาย พอท่านไม่อยากตาย ท่านอยากจะประพฤติปฏิบัติให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ไง

แล้วท่านก็วิตกกังวล ไปสวดมาติกาวันหนึ่ง  ศพ  ศพ เป็นโรคนี้มันต้องตายหมด แล้วตอนนี้ท่านมาเป็นของท่านเอง ท่านก็เอาไปวิตกกังวลอยู่ตรงนั้นน่ะว่าไม่อยากตาย จิตมันส่งไปที่ความคิดความวิตกกังวลอันนั้น จนธรรมขึ้นมาเตือนนะ “ท่านก็เคยป่วยเคยไข้มาตั้งหลายรอบแล้ว ท่านก็เคยพิจารณาจนความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็หายมาหลายครั้งแล้ว ท่านจะมาวิตกกังวลทำไมกับเรื่องอย่างนี้ ท่านก็พิจารณาสิ” ท่านได้สติเลย ได้สติขึ้นมา พิจารณา นี่ไง ที่พิจารณาโรคภัยไข้เจ็บเห็นไหม นี่ธรรมโอสถ

เวลาธรรมโอสถนะ เวลาธรรมโอสถ ขณะที่วิตกกังวลขึ้นมา เพราะว่าถ้าตายไปก็ต้องไปเกิดอีกรอบหนึ่ง ไปเกิดบนพรหมอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่รอบหนึ่ง ครั้งหนึ่งแล้วถ้าจะพิสูจน์ที่นั่น เพราะตอนนั้นท่านมั่นใจว่าท่านได้อนาคามี ท่านผ่านอสุภะมาแล้ว แต่ทีนี้พอมาวิเวกออกมา มันเห็นจุดและต่อมที่ดอยธรรมเจดีย์แล้ว ก็วิเวกออกมา แล้วมาที่นี่ มารักษาไข้ที่นี่กลับไปก็กลับจากตรงนี้ กลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์อีกหนหนึ่ง

พอกลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ท่านอยู่ที่หนองผือ ท่านพิจารณาของท่านจนโรคนี้หายหมด เวลาพอธรรมะมาเตือนนะ ท่านก็เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาหลายรอบแล้ว ท่านก็พิจารณามาหลายครั้งแล้ว แล้วคราวนี้ก็เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านจะวิตกกังวลเรื่องอะไรอีก ก็กลับมาพิจารณาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นสิ” คืนนั้นทั้งคืนเลยพิจารณา

แล้วมันที่ว่ามีชาวบ้านคนเป็นห่วงก็มาจุดมานอนอยู่ข้างๆ น่ะ ท่านเดินจงกรมจน  ทุ่ม  ทุ่ม โอ้โฮโรคมันหายหมดเลย สิ่งที่เป็นโรคเสียดอกหายหมด ถอดเสี้ยนถอดหนามหมดเลย โล่งหมดเลย พอโล่งหมดเลยนะ ท่านไปเห็นคนที่มานั่งเฝ้าอยู่นั่นน่ะ ให้กลับ ไม่ยอมกลับนะ พอพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ท่านกลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์ พอวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปสิ้นสุดกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ อันนั้นน่ะจุดและต่อมตัวจริง อันนั้นน่ะจิตเดิมแท้น่ะ ไปคว่ำจิตเดิมแท้ที่วัดดอยธรรมเจดีย์นั้นอีกรอบหนึ่ง

เราจะบอกว่า เวลาเป็นมรรคเป็นผลนี่เรื่องหนึ่ง ถ้าบอกว่ามันเป็นธรรมโอสถมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันก็เป็นกรณีที่ว่าเวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา ท่านเป็นโรคเสียดท้อง เป็นโรคท้อง เวลาท่านฉันยาต้ม ฉันสมุนไพร ฉันแล้วมันหาย แต่คราวนั้นฉันเท่าไรก็ไม่หาย พอไม่หาย ท่านก็โยนหม้อทิ้งเลย ไม่กินเลิก ตายเป็นตาย แล้วท่านพิจารณาโรคเลย พิจารณาโรคภัยไข้เจ็บ ทีนี้จิตมันพิจารณาใช่ไหม พิจารณาโรค พิจารณาโรคด้วย แล้วพิจารณากิเลสด้วย เวลามันรวมลง เห็นไหม รวมลง โรคภัยไข้เจ็บหายหมด

แล้วท่านบอก หลวงตาท่านก็พิจารณาตาม เวลาหลวงตาท่านพิจารณาเวทนามาก่อน แล้วท่านมาพิจารณากาย พอท่านพิจารณากายขึ้นไป โลกนี้ราบหมดเลยขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอก “เออมหาเหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเลย โลกนี้ราบหมดเลย แต่ของมหาไม่มียักษ์ ของเรามียักษ์” นี่ตรงนี้ท่านได้สกิทาคามี โลกนี้ราบหมด พิจารณาธาตุหมดเลย นี่ท่านพิจารณาโรคภัยไข้เจ็บของท่านด้วย แล้วท่านพิจารณากิเลสตัณหาความทะยานอยากด้วย แล้วเวลามันหลุดไปแล้ว มันขาดหมด จิตนี้รวมลงหมด เห็นไหม ที่เขาเป็นเทพารักษ์อยู่ที่นั่นน่ะ เข้ามากราบเข้ามากราบ เข้ามาที่ว่าจะเอากระบองมาตีน่ะ “ของเรามียักษ์ด้วย แต่ของมหาไม่มี

แต่หลวงปู่มั่นท่านพิจารณา ท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกาต่อเนื่องไป แล้วท่านพิจารณาต่อเนื่องไป ท่านก็ไปเจออสุภะข้างบน แล้วท่านก็พิจารณาอสุภะ ท่านถึงได้อนาคามีอีกชั้นหนึ่ง ท่านได้สองขั้นที่นั่นน่ะ นี่เวลาท่านได้ แต่เราได้อย่างไร นี่พูดถึงว่า เวลาธรรมโอสถกับเวลาพิจารณามรรค ฉะนั้น เวลาพิจารณามรรค

ทีนี้โยมถามว่า “พ่อเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บไข้ได้ป่วย อยากได้ธรรมโอสถ

คำว่า “ธรรมโอสถของเรา” ธรรมโอสถ แล้วแต่จิตใจของบริษัท  เราเป็นบริษัท  ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกา ถ้าจิตใจที่ยังเป็นระดับของฆราวาส เราศึกษาธรรมะๆ มันก็เป็นระดับของธรรมโอสถอันหนึ่ง

ธรรมโอสถ เวลาจิตใจของเราเวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมามันมีความทุกข์ความยากในใจ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นธรรมะ นี่ธรรมโอสถ ศึกษาแล้ว มันศึกษามันมีเหตุมีผลไง เหตุผลมันมาคลี่คลายคลี่คลายความยึดมั่นถือมั่น คลี่คลายความทุกข์ยากในใจของเรา เห็นไหม ความทุกข์ยากในใจของเรามันไม่มีทางออก มันโดนสิ่งใดบีบคั้นขึ้นมามันก็มีความทุกข์ในใจของมัน

เราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วโดยข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้น ถ้าเรารู้เท่ารู้ทันแล้วเราปล่อยวางแล้วมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ถ้าเราไปยึดไปมั่นของเรา เรามีแต่ความทุกข์ความยากของเรา ถ้าเรายึดมั่นโดยความหลงผิดของเราไง

พอเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หูตาเราสว่างกระจ่างแจ้ง มันผิดเพราะเรายึดเรามั่นของเรา ถ้าเราไม่ยึดไม่มั่น มันก็เป็นข้อเท็จจริงของมันอย่างนั้นน่ะ

ข้อเท็จจริง คนยึดมั่นถือมั่นมากเท่าไร มันก็มีความทุกข์ยากมากเท่านั้น คนที่ยึดมั่นถือมั่นปานกลางก็มีความทุกข์ยากปานกลาง คนที่ยึดมั่นถือมั่นเบาบางมันก็เป็นความทุกข์ยากเบาบาง ความทุกข์ความยากมันเป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นของเรา เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา อวิชชาคือความไม่รู้ข้อเท็จจริงของเรา มันก็ไปยึดมั่นถือมั่น เห็นไหม

ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ถึงข้อเท็จจริงในสัจธรรม เราศึกษาแล้ว เราเอามาเทียบเคียงแล้วมันก็เห็นว่ามันก็เป็นแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดจริงๆ แต่มันผิดที่เราไปยึดมั่นถือมั่นเอง มันก็ปล่อย มันก็คลาย เห็นไหม เราจะบอกว่าอย่างนี้ก็เป็นธรรมโอสถเหมือนกัน เป็นธรรมโอสถเพราะอะไร

เพราะเราศึกษาสัจธรรมอันนั้นมา เราศึกษาสัจธรรมอันนั้นมา เพราะสัจธรรมอันนั้นมันมีเหตุมีผลเหนือกว่าความยึดมั่นถือมั่นของเรา มันเหนือกว่า มันเหนือกว่ามันก็ปล่อยวางได้ๆ มันก็เป็นธรรมโอสถอันหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ที่เราศึกษาธรรมๆ ธรรมโอสถ ในบริษัท  ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา มันมีวุฒิภาวะมีกำลังมากน้อยแค่ไหน มันก็จะได้ประโยชน์ต่อศาสนามากน้อยเท่านั้น

หลวงตาท่านบอกว่าศาสนาพุทธมันเหมือนห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปห้างสรรพสินค้า ใครมีทุนมาก ใครอยากจะซื้อของที่มีคุณค่ามาก เขาก็ได้ทรัพย์สมบัติที่มีค่าไป คนที่เข้าไป เข้าไปเงินมีน้อย เราก็แลกเปลี่ยนได้สิ่งของมีค่าน้อยมา คนที่เขาเข้าไปเที่ยวเล่น เขาก็ได้ความสดชื่นมา ได้แค่ไปเห็นไง ไปเห็น แต่เราไม่ได้ทรัพย์สมบัติใดมา นี่มันเหมือนห้างสรรพสินค้าที่ใครมีวุฒิภาวะแค่ไหนเข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้น ก็จะได้ประโยชน์ในห้างนั้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครศึกษามาก ใครประพฤติปฏิบัติมาก ใครมีวุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน เขาก็จะได้ประโยชน์มากน้อยตามที่เขามีกำลังของเขาออกไป นี่ก็เหมือนกัน นี่พูดถึงธรรมโอสถในบริษัท 

ทีนี้จิตใจของเราเวลาเราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายากขึ้นมา เพราะเขาบอกว่า “ฟังธรรมหลวงตาสอนพระมาตลอด ฟังเทศน์มาตลอด

ฟังเทศน์มาตลอด เราเป็นลูกศิษย์มีครูไง เวลาครูของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา ครูเอกของโลกก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอก แล้วสอนครูบาอาจารย์เป็นชั้นๆ ขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็รื้อค้นของท่านมาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ไปเอาแม่ของท่านมาดูแลอยู่พักหนึ่ง แล้วแม่เป็นภาระๆ ท่านก็เอาแม่ของท่านไปส่งที่อุบลฯ แล้วท่านขึ้นไปเชียงใหม่ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีอำนาจวาสนา ท่านก็ไปเอาพ่อเอาแม่มาดูแล ถ้าพ่อแม่ที่มีความสนใจในการประพฤติปฏิบัติ พ่อแม่ก็จะมีความสุข แต่พ่อแม่ท่านยังติดโลกอยู่ ท่านก็ไม่อยากจะเข้ามา นี่มันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ นี่เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านยังทำเป็นตัวอย่างไง

ทีนี้พอถึงผู้ถามใช่ไหม ผู้ถามบอกว่า “พ่อเจ็บไข้ได้ป่วย ลูกแต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ เราก็จะมาช่วยกันดูแลพ่อของเรา

ถ้าช่วยดูแลพ่อ เราก็มีน้ำใจไง เราพูดกันด้วยน้ำใสใจจริง คนเราจะพูดด้วยน้ำใสใจจริงว่าใครมีกำลังมากน้อยแค่ไหนก็จะมาช่วยกันดูแลพ่อของตน ถ้าดูแลพ่อของตน ทีนี้พ่อของตนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยการติดเชื้อ เวลาติดแล้วมันไม่ได้กรรมเก่ากรรมใหม่ ถ้าเราเข้าใจได้ เรารักษาหัวใจของเรา เห็นไหม

แต่ถ้าบอกว่าธรรมโอสถ ธรรมโอสถที่จะรักษาของเรา

เวลาครูบาอาจารย์เราท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านเป็นโรคประจำตัวเหมือนกัน ท่านไม่ค่อยทันกับหมู่คณะ ไปไหนเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยท่านจะปูผ้าอาบของท่าน แล้วท่านนอนจนกว่าไข้จะหาย ท่านถึงจะไปตามหมู่คณะทัน สุดท้ายท่านนั่งสละตาย พิจารณา พุทโธๆๆ นี่แหละ เวลาจิตมันรวมลง เห็นไหม เพราะเราตั้งใจของเรา เราตั้งใจของเรา จิตมันรวมลง

เราทำสมาธิก็เป็นสมาธิอันหนึ่งนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันรุมเร้าเข้ามา พอรุมเร้าเข้ามา เราพุทโธของเรา พุทโธของเราด้วยความเป็นอิสรภาพของเรา ถ้าจิตมันปล่อยหมด เป็นอิสระหมด โรคภัยไข้เจ็บจะหลุดออกไป

เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพิจารณาของท่าน พุทโธๆ พอจิตมันรวมลง โอ้โฮสว่างหมดเลย แล้วท่านเห็น ท่านพูดไว้ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังไว้ว่า ธรรมโอสถมันฟอกร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บหายแล้ว มันยังเป็นการรองรับเป็นนิมิต เห็นกวางตัวหนึ่งโดดออกจากร่างกายนี้ออกไป นี่ท่านหายหมดเลย โรคประจำตัว โรคที่เคยเป็นโรคประจำตัวหายเลย นี่ธรรมโอสถอย่างนี้ มันต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมันถึงทำได้ไง

เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหลวงตาไง บอกว่าอยากจะรักษาด้วยธรรมโอสถท่านบอกว่าคนที่จะรักษาด้วยธรรมโอสถได้ต้องมีกำลัง จิตต้องมีกำลัง ต้องมีสมาธิที่มั่นคง เพราะเวลานั่งสมาธิเรานั่งโดยปกติเรายังหงุดหงิด เรายังนั่งได้ยากแล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็มาเร้าอีกต่างหาก เห็นไหม เราเองก็หงุดหงิดอยู่แล้ว แล้วสิ่งนั้นมาเร้า นั่งสมาธิมันจะลง มันก็กลับไม่ลงไง พอกลับไม่ลง

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านนั่งตลอดรุ่ง ถ้าวันไหนท่านบอกพิจารณาพับๆๆ พุทโธๆ ถ้าจิตมันลงนะ ลงหนึ่งรอบ คลายออกมา พิจารณาซ้ำก็ลงอีก คืนนั้นลุกขึ้นออกจากสมาธิลุกขึ้นเดินได้เลย เพราะร่างกายมันไม่บอบช้ำ ถ้าวันไหนนะ มันไม่ลง ต้องพิจารณาต่อสู้กันด้วยความรุนแรง ความเจ็บปวดมันบีบคั้น แต่ด้วยจิตใจที่มั่นคง ท่านก็ต้องต่อสู้กับมันด้วยสติด้วยปัญญาจนจิตมันลงได้ แต่จิตลงได้ ลงได้ด้วยความบอบช้ำ คืนนั้นออกจากสมาธิแล้วลุกไม่ได้ ต้องตั้งสติ แล้วเอามือจับเท้าออกไปก่อน ให้เท้าสองข้างยืดไปก่อน แล้วนั่งเฉยๆ ให้เลือดลมมันเดินก่อน

บางคืนร่างกายไม่บอบช้ำ ลุกไปได้เลย บางคืนร่างกายบอบช้ำ บอบช้ำมากมันต้องนั่งก่อน ให้ร่างกายมันฟื้นฟูก่อน ให้เส้นประสาทมันสมบูรณ์ก่อน ถึงจะลุกขึ้นไปได้ไง นี่คนคนเดียวเวลาปฏิบัติแต่ละคราวมันยังไม่เหมือนกันเลย

ฉะนั้น เวลาธรรมโอสถๆ ถ้าจิตใจเข้มแข็งแล้ว จิตใจเข้มแข็งคือมันเคยทำได้เคยผ่านช่องทางอย่างนี้ เคยผ่านความลำบากมา ถ้ามีความลำบากมาขวางหน้าเท่าไร มันใช้สติปัญญามันแยกแยะขึ้นไป มันก็จะผ่านความลำบากนั้นเข้าไปสู่ความสงบได้ นี่พูดถึงว่าถ้าจิตใจคนที่มีกำลัง

จิตใจคนที่ไม่มีกำลัง มันจะผ่านความลำบากนั้นมันก็ยากอยู่แล้ว แล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยมาอีก ท่านถึงบอกว่า ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งให้ไปหาหมอซะ ไปหาหมอก่อน ร่างกายฝากไว้กับหมอ จนกว่าเราฝึกของเราได้ไง

ธรรมโอสถมันรักษาอย่างนั้น แต่ถ้าพูดถึงเวลาเป็นอริยมรรค เวลาที่จิตใจเราปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา มันยากกว่านี้อีก ยากกว่านี้เพราะอะไร เพราะกิเลสมันมีชีวิต กิเลสมันปลิ้นปล้อน กิเลสมันพลิกแพลง กิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันหลบมันซ่อน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายต่างๆ มันต้องมีความละเอียดรอบคอบเวลาเราจะสู้กับมัน เห็นไหม ถ้าสู้กับมัน มันถึงว่าธรรมโอสถอย่างหนึ่ง มรรคเป็นอย่างหนึ่ง

ฉะนั้น เวลาผู้ถามถามถึงพ่อ มันสะเทือนใจ เพราะเราเป็นลูกใช่ไหม แล้วเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกๆ เราก็เป็นภาระหน้าที่เราจะต้องดูแล มันละอายใจ ถ้าละอายใจ เราจะช่วยท่าน เพราะมันก็ต้องจิตใจของท่าน ถ้าเป็นธรรมโอสถ จิตใจท่านก็ต้องเข้มแข็ง จิตใจของท่านต้องพิจารณาของท่านเอง เพราะจิตใจของท่านเป็นผู้ป่วย ผู้ป่วยนั้นจะเป็นผู้ทำให้จิตมันเป็นอิสระหายป่วยนั้นเอง แต่เราเป็นลูกๆ เราไม่สามารถที่จะเข้าไปชี้นำในใจของท่านได้เราก็ดูแลของเราด้วยกำลังของเราไง

บริษัท  จิตใจที่สูงจะทำอย่างใดมันก็ทำด้วยวุฒิภาวะด้วยกำลังนั้น ทำอย่างไรก็ได้ประสบความสำเร็จ จิตใจปานกลางก็ได้แค่ปานกลาง จิตใจที่ต่ำต้อยแต่อย่างใดๆ ก็ยังมีธรรมโอสถเป็นที่พึ่งไง ถ้าเป็นที่พึ่ง

คำถาม คำถามเขาถามเลย เขาถามว่า ธรรมโอสถที่เขาศึกษามามันจะช่วยประโยชน์กับพ่อได้อย่างไร เราก็แผ่เมตตา แผ่เมตตา ที่ว่าเป็นเชื้อโรคเป็นอะไรต่างๆ เป็นเวรเป็นกรรมของท่าน

มันเป็นสายบุญสายกรรมนะ เวลาสายบุญสายกรรม ผู้ที่มีเวรมีกรรมอันนั้นถ้ามาไม่ได้ ลูกหลานเป็นสายบุญสายกรรมต่อเนื่องกันได้ แต่ถ้าเจ้าตัวมันดีที่สุดถ้าเจ้าตัว เวลาพ่อแม่ของเราท่านจะเชื่อหรือไม่ แล้วถ้าท่านเชื่อ คนเชื่อก็แล้วแต่นะ แต่เวลาที่จะมีภัยมาถึงตน ภัยคือมรณภัย ถ้ามรณภัยมา มันทำสิ่งใดมันหวาดเสียว เราก็ต้องค่อยๆ ดูแลกัน ค่อยๆ ดูแลกัน

อันนี้พูดถึงธรรมโอสถ แล้วธรรมโอสถของเรา เราก็ดูแลรักษาใจของเราเพราะเขาบอกว่า “โยมก็ทุกข์ใจมาก คอยแต่จะบอกตัวเองว่า แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังป่วยเลย ทุกคนจะหนีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายไปไม่พ้น

เราก็คิดของเรา มันก็บรรเทาใจของเราไง ถ้าบรรเทาใจของเรา เห็นไหม ผู้ป่วย ดูพระ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าอยากอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อุปัฏฐากพระภิกษุที่ป่วยไข้เถิด เพราะพระภิกษุที่ป่วยไข้มันก็อยู่ในสงฆ์นี่แหละ

ฉะนั้น เวลาจะอุปัฏฐากพระภิกษุที่ป่วยไข้ พระภิกษุที่ป่วยไข้ก็ต้องเป็นภิกษุที่พูดง่าย พูดเข้าใจ คือไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใจตนเอง เห็นไหม เวลาผู้ที่อุปัฏฐากต่อกัน ผู้ที่ดูแลต่อกัน ผู้ป่วยกับผู้ที่ดูแลผู้ป่วย เห็นไหม ในสมัยปัจจุบันนี้เขาต้องฝึกหัด ผู้ที่จะไปดูแลผู้ป่วยนะ ฝึกหัดเป็นวิชาชีพเลย ไปดูแลผู้ป่วย

นี่ก็เหมือนกัน เราจะดูแลพ่อเรา จิตใจเราต้องเข้มแข็ง จิตใจเราก็ต้องมีเมตตา จิตใจของเรานะ คนป่วย คนป่วยจะเอาแต่ใจ เพราะคนป่วยจะงอแง แต่เราก็ต้องมีใจของเรา เราต้องรักษาใจเรา ถ้ามีธรรมโอสถมันก็ทำใจเราได้ ทำใจเราได้ แล้วถ้าผู้ที่เข้าใจต่อกัน โอ้โฮมันยิ้มแย้มแจ่มใส อันนี้มันเป็นวาสนานะ

คำว่า “วาสนา” สายบุญสายกรรม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วเป็นพระอรหันต์ที่ดีด้วย สุดยอดเลย พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วพ่อแม่จะเอาแต่ใจตนเอง เราก็ต้องทำใจเราๆ ดูแล

นี่พูดถึงว่าธรรมโอสถ ธรรมโอสถเป็นอย่างนั้นจริงๆ ธรรมโอสถเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แต่คน คนที่ทำมามันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ทำมาทั้งนั้นน่ะ เราช่วยกันดูแลตรงนี้ เพราะเวลาพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกรรมๆ อะไรที่ทำอะไรไม่ได้ โยนให้กรรมหมดเลย โยนให้กรรม...ไม่ใช่

สอนให้เชื่อเรื่องกรรมๆ กรรมคือการกระทำ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วให้ทำคุณงามความดีของเรา แม้มันจะทุกข์มันจะยากก็ฝืนทนเอา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา จะลงไม่ลง จะได้ไม่ได้ โอ้โฮทุกข์น่าดูเลยนะแล้วถ้าคนไม่รอบคอบนะ มันลงได้ยาก มันเป็นความรู้สึก มันเฉียดฉิว จะได้จะไม่ได้ อู๋ยมันก็ต้องพยายาม

คนเราได้หรือไม่ได้นี่จบเลย บอกมาคำเดียว ให้หรือไม่ให้ เลิก ไอ้นี่ยื่นไปก็ยื่นมา เฉียดไปก็เฉียดมา เหมือนจะให้ แต่ไม่ให้ ว่าไม่ให้หรือก็จะให้ อู้ฮูภาวนานี่ใช่ไหม ต้องมีความรอบคอบ เวลาเราจะปฏิบัติของเรา ให้รอบคอบกับเรา

ฉะนั้น พูดถึงธรรมโอสถ ทีนี้ธรรมโอสถ ถ้าจะบอกว่าเอาเป็นแบบวิทยาศาสตร์ ต้องอย่างนั้นๆ นะ วิทยาศาสตร์ ก็ดูดจากไซริงค์ไง ดูดจากหลอดยาไซริงค์ดูด ฉีดเลย จบ ง่ายๆ วิทยาศาสตร์ นี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างนั้นๆ จบ...ไม่

กิเลสนะ ความพอใจของคน อารมณ์ความรู้สึกของคนมันวูบวาบ มันร้อยแปด แล้วเราต้องทำให้นิ่งๆ ทำให้มั่นคงได้ สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแล้วฝึกหัดของเรา ทำของเรา เดี๋ยวก็เข้มแข็ง เดี๋ยวก็อ่อนแอ เดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็ไม่ได้ ใจคนน่ะ ใจคน เราพยายามรักษาของเรา

นี่พูดถึงธรรมโอสถไง มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎีที่คงที่ตายตัวไง แต่ความรู้สึกของคน เวรกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ แล้วมันหยาบมันละเอียด โอ๋ยมันร้อยแปดเลย

ถ้าพูดอย่างนี้แสดงว่าพูดเพื่อจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม

ก็ไม่ใช่ มันมีอยู่จริง ทำได้จริง ทำได้จริง ความรู้สึกจริงๆ แล้วรักษาได้จริงๆรักษาได้จริงๆ มันถึงละเอียดอ่อน พอละเอียดอ่อนขึ้นมา ครูบาอาจารย์เราถึงอยู่ป่าอยู่เขาไง อยู่ในที่สงัด อยู่ในที่วิเวก เพราะเรารักษาใจเราเอง คนอื่นจะรู้กับเราได้อย่างไร ฉะนั้น ถึงเวลาจำเป็นจะต้องมาเข้าหมู่คณะ เราก็รักษาใจของตนของเรา นี่พูดถึงว่าธรรมโอสถ

ถาม : เรื่อง “กามวิตก

ทำไมนับวันกามวิตกมันยิ่งมากขึ้น กวนใจตลอดครับ แต่จะออกไปหามันจริงๆ มันก็ไม่ไป หลวงพ่อใช้วิธีระงับมันอย่างไรครับ ขอแค่ระงับพอภาวนาได้ครับ ทุกข์ใจมากเรื่องนี้ เรื่องกาม

ตอบ : กามวิตกๆ ไง นี่พูดถึงเขาเขียนเลยนะว่านี่พระนะ พระถาม พระทุกข์พระวิตกแต่เรื่องของกาม แล้วมันวิตก เห็นไหม “นับวันมันจะวิตกมากขึ้นๆ มันกวนใจครับ มันกวนใจครับ แต่จะออกไปหามันจริงๆ มันก็ไม่ไป หลวงพ่อใช้วิธีไหนครับ จะขอให้ระงับให้พอภาวนาได้บ้าง ทุกข์ใจมากจริงๆ

ทุกข์ใจมากจริงๆ เห็นไหม เวลากินอิ่มนอนอุ่นมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เวลาที่ว่าธรรมโอสถๆ เขาแสวงหาธรรมโอสถกันเพื่อชำระล้างกิเลส ไอ้นี่เป็นพระ เราบวชมา เวลาบวชมา อุปัชฌาย์ให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องวางรากฐาน ศีลสมาธิ ปัญญา แล้วถ้าเราจะมีศีลของเรา ศีลของเราบวชมา ศีลของเรา ๒๒๗ อยู่แล้ว ถ้า ๒๒๗ มันอยู่ที่พฤติกรรมของเราไง ถ้าพฤติกรรมของเรา การอยู่การกิน

หลวงตาท่านบอกท่านบวชมาท่านเป็นมหานะ บวชมาเรียนใหม่ๆ ไปบิณฑบาตมา เขาใส่นมเนยมา พอฉันเข้าไปแล้วมันมีอารมณ์ความรู้สึกเลย ฉะนั้นเวลาท่านมีอารมณ์ความรู้สึก ท่านมีสติปัญญาของท่าน เวลาท่านเป็นพระหนุ่มๆท่านไปบิณฑบาตได้นมได้เนยมานะ ท่านไปหาพระหลวงตา ในวัดมีหลวงตา ไปให้พระหลวงตา ท่านคัดเลือกเอาแต่พวกฉันแล้วกินแล้วมันไม่ไปเสริม ไม่ไปเสริมไปยั่วไปยุกิเลส

คนที่บอกว่ากามวิตก กามวิตกที่มันจะเกิดขึ้นมันต้องอยู่ที่พฤติกรรมตั้งแต่การดำรงชีวิตไง ดำรงชีวิต ศีลของเราให้บริสุทธิ์ เราอย่าไปคลุกคลี

นี่บอกเลย บอกว่ากามมันวิตกเลย อยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่ชีวิตของเราเราไปเสพอะไรบ้างล่ะ เราไปเสพข่าวสาร เราไปเสพสิ่งอย่างนั้น

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถามเองถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า “ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ในสังฆมณฑลมันต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิง ผู้หญิงก็ต้องเข้ามาหา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภิกษุควรทำอย่างใด

เธออย่าดูอย่าเห็นเลย ดีที่สุด อย่าดูอย่าเห็นเลย ดีที่สุด

อ้าวแล้วต่อไปนี้ถ้าเขาเข้ามา เขาเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ เขาเข้ามาหาลูกหลานเขา จะทำอย่างไร

เธอจงตั้งสติไว้ ถ้าควรพูดกับเขา พูดด้วยสติสัมปชัญญะ พูดกับเขากี่คำ

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้ว ถ้าบอกไว้หมดแล้วถ้าบอกว่าเราเป็นพระ แล้วบอกว่าถ้าเราจะไประงับกามวิตก สิ่งที่มันวิตกเรื่องกามตลอดเวลา เราก็ต้องตัดตั้งแต่ตอนนู้น

ไอ้นี่เวลาอยู่ชีวิตประจำวัน โอ้โฮเสพสุขตามสบาย พอถึงเวลาแล้ว โฮ้กามมันวิตก ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้มี

มันต้องย้อนกลับไปตรงนั้น ย้อนกลับไปตั้งแต่เช้าขึ้นมา ตื่นนอนขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์แล้ว ถ้าศึกษาเล่าเรียน เราศึกษาเล่าเรียนอย่างไร ออกบิณฑบาตมาแล้ว บิณฑบาตมารักษาอย่างไร

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกว่า ไม่ให้พระอยู่ป่าอยู่เขา ไม่ให้ไปรับกิจนิมนต์ ยิ่งวัดป่าบ้านตาด หลวงตาไม่ให้มีกิจนิมนต์เลย แล้วเราก็จำท่านมานี่ จำท่านมา ในวัดของเรา เราไม่รับกิจนิมนต์ ไม่รับกิจนิมนต์นี่ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะพระที่เขาจะรับกิจนิมนต์ทั่วประเทศไทย ที่ไหนเขาก็อยากได้ทั้งนั้นน่ะ

แต่พระของเรา พระของเราจะประพฤติปฏิบัติไง ถ้าพระเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาที่จะออกนั่งรถไปฉัน ไปสวดมนต์ที่บ้านเขา เพื่อไปทำบุญกุศลของเขาแล้วก็กลับมา กลับมากว่าจะล้างบาตรเสร็จครึ่งวัน ครึ่งวันนั้น ถ้าพระอยู่ในวัดครึ่งวันนี้ พระได้เดินจงกรมหลายชั่วโมงแล้ว แล้วถ้าไปได้สิ่งใดมา ไปรู้ไปเห็นสิ่งใดมา ถ้ารู้เห็นสิ่งใดมา ในสมัยพุทธกาล นางอะไรที่ไปเห็น ที่ว่าช็อก กินไม่ได้เลยถ้าไปเห็นอย่างนั้นขึ้นมามันติดขึ้นมา

นี่ไง พูดถึงเขาบอกว่า “กามวิตกมันมีมากครับ มันยิ่งมากขึ้นทุกวันๆ มันกวนใจผมมาก

คำว่า “กวนใจ” มันก็ส่วนเรื่องกวนใจ กวนใจ เพราะคนเราเกิดมานี่สัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันมีของมันอยู่แล้ว ถ้าสัญชาตญาณของมัน อวิชชามันมีอยู่ในใจอยู่แล้ว ทีนี้เราบวชเป็นพระแล้ว ถ้าบวชเป็นพระ นี่ไง เวลาเราพูดถึงพระ เวลาเราเทศน์อบรมพระ เพราะเวลาเราเทศน์อบรมพระ เราถือว่าพระปฏิบัติเวลาพระปฏิบัติ ใส่เข้าไปเลย เพราะพระปฏิบัติ พระปฏิบัติเขารู้กติกากันอยู่แล้วถ้ารู้กติกากันอยู่แล้ว เวลาหลวงตาท่านเทศน์สอนพระๆ สอนพระนี่เป็นวงใน ใส่ได้เต็มที่เลย ไม่ต้องไปแปลศัพท์แปลอะไรให้มันวุ่นวาย

แต่ถ้าเป็นโยมสิไม่ได้ “โอ้โฮพูดอย่างนี้กิเลสทั้งนั้นเลย อาจารย์นี่กิเลสหนามาก พูดแต่เรื่องกิเลส ไม่เคยพูดถึงเรื่องความดีเลย

อ้าวก็จะชี้หัวมันน่ะ จะตีมันน่ะ จะจับมันน่ะ จะจับมันก็ต้องบอกมันเป็นอย่างไร จะจับกิเลส ไม่พูดถึงเรื่องกิเลส มึงจะจับอะไร จะจับกิเลสก็ต้องคุยเรื่องกิเลสเว้ย จะจับกิเลส ไปบอกว่าเป็นคุณธรรมๆ เป็นคุณธรรมก็โดนหลอกน่ะสิ

ถ้าจะจับกิเลสก็ต้องลากกิเลส ต้องตีหัวกิเลส ต้องชี้หน้ามันเลย ถ้าชี้หน้ามันนี่ไง เวลาพระปฏิบัติเวลาเทศน์ หลวงตาท่านบอกว่าเทศน์ปฏิบัติเทศน์ง่ายๆ เลยเทศน์ง่ายๆ คือว่าภาษาเดียวกัน ภาษาเดียวกัน สื่อเหมือนกัน ใส่เหมือนกัน ทุกคนมีแรงปรารถนาเพื่อมาชำระล้างกิเลส เพื่อจะถอดจะถอนมัน แล้วต่างคนต่างหามันไม่เจอไง แต่ครูบาอาจารย์ที่แสดงธรรมท่านรู้จักตัวมันไง ท่านพยายามชี้หน้ามัน บอกตัวมันว่าอยู่ตรงนั้นๆ ไง ให้ทำไง

ไอ้เราพอชี้ให้ทำขึ้นมาก็ “โอ้โฮไม่มีดีเลยเนาะ มีแต่เลวทั้งนั้นเลย

ก็ตัวมันน่ะ ก็ตัวมัน ก็ชื่อมันน่ะ ก็จะเอาตัวมันน่ะ ถ้าเอาตัวมัน เห็นไหม นี่เวลาเรื่องเทศน์พระ ถ้าเทศน์พระเขาเทศน์กันอย่างนั้น นี่พูดถึงเวลาเทศน์พระป่าเวลาพระที่ปฏิบัติเขาเทศนาว่าการต่อกัน ถ้าเทศนาว่าการต่อกัน เขาก็ชี้หน้าเลยชี้หน้าถึงมันนะ เห็นไหม

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ใจดวงนั้นได้พลิกแพลงได้แก้ไขพฤติกรรมของมันแล้ว ใจดวงนั้นถึงได้กำจัดมันได้แล้ว นี่ไง จากใจดวงนั้นยกมาสู่ดวงใจของผู้ปฏิบัติเรา ท่านก็ชี้เข้ามาๆ เห็นไหมเวลาใจของท่านสว่างไสว ท่านพูดอะไรก็แจ่มแจ้งหมดน่ะ ไอ้ใจของเรามืดบอด ไอ้ห้องสว่างๆ จะเก็บอะไร เก็บของสิ่งใด วางก็ชัดเจนใช่ไหม ไอ้ห้องของเรามืดตึ๊ดตื๋อ เอามือคลำยังไม่เห็นเลย จับต้องไม่ได้เลย

นี่ไง เวลาท่านพูด ท่านพูดถึงใจของท่าน ใจของท่านมันสว่างไสว มันสว่างโพลง เห็นไหม ในชั้นนั้นมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเก็บไว้ ชั้นนั้นมรรค  ชั้นนั้นเป็นอวิชชา ท่านจับต้องชี้ให้เราดู ไอ้ห้องของเรามืดตึ๊ดตื๋อเลย ท่านถึงบอกว่าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน จุดไฟๆ จุดไฟให้ได้ ถ้าจุดไฟ

ทีนี้เราจะบอกว่า เวลาท่านพูด ท่านพูดชัดเจน เพราะในห้องของท่าน ในใจของท่านมันสว่างไสวใช่ไหม ในหัวใจของเรามันมืดบอด แต่ก็พยายามจะฟังพยายามจะฟัง พยายามจะฝึกหัด จะทำใจของเราให้ได้ ทำใจของเราให้ได้

นี่พูดถึงเวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านเทศน์จากใจของท่าน จากใจดวงที่สว่างไสวเปรียบเทียบมากับใจที่มืดบอดของเรา ถ้าใจมืดบอดของเรามรรค  ผล  จริตนิสัยมันก็เริ่มเป็นจริตนิสัย แต่เวลาอริยสัจมันเป็นหนึ่งเดียวกันจะทำเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มันจะเหมือนกัน เหมือนกันที่ว่าเวลาจะขาด ขาดอันเดียวกัน เพราะอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันต้องสรุปมา ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค มันนิโรธ มันดับหมด มันทำมามันจะกลั่นออกมาจากอริยสัจถ้าอริยสัจ มันก็เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน แต่ขณะที่มืดบอดมันทำไม่ได้ มันก็ต้องพยายามของเรา

นี่พูดถึงเขาบอกว่ามันกวนใจๆ คำว่า “กวนใจ” เขาถามว่า “หลวงพ่อทำอย่างไรครับ

ทีนี้ทำอย่างไรครับ มันทำอย่างไรครับ มันเป็นปลายเหตุ ที่เราพูดนี่เราพูดถึงว่า เวลากามวิตก เวลามันเกิดทุกข์เกิดยากขึ้นมาแล้ว ทุกคนก็ไม่รู้ โอ้โฮมันทุกข์มันยากมันลำบาก แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรล่ะ

ไอ้นี่มันปลายเหตุไง มันเป็นวิบาก มันเป็นผลน่ะ แต่ถ้ามันจะแก้ มันก็ต้องเริ่มต้นกลับไปที่ศีล ความดำรงชีพของเราดำรงอยู่ของเรา ถ้าดำรงอยู่ของเรา คนที่จะเข้าไปรู้เห็นกับมัน ก็แบบครูบาอาจารย์เราที่ท่านวางข้อวัตรไว้นี่ อย่างหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำนะ ทำไว้ก็เพราะเหตุนี้แหละ ถ้าเราเพลิดเพลิน เราอยากอยู่สุขอยู่สบาย เราจะอยู่ทุกอย่างให้ประณีตไปหมดเลย ผลของมันก็กามวิตกนี่ไงผลของมันนี่ไง

แต่เวลาถ้าจะเอาผลของเรา เริ่มต้นขึ้นมา ศีลเราก็ต้องรักษาของเราให้ดี เราก็ต้องรักษาอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราต้องรักษาของเรา เรารักษา ดูสิ จะขบจะฉันก็ต้องดูแลของเรา จะดื่มจะกินอะไรก็ต้องดูมันไปกระตุ้นไหม มันเป็นประโยชน์ไหม เราต้องตัดทอนตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าตัดทอนตอนนั้นขึ้นมา แล้วถ้ามันยังเกิดขึ้นมาอีก เกิดขึ้นมาอีก นั่นก็มรณานุสติ มันจะไปไหน มันก็ตายทั้งนั้นน่ะมันก็ผุพังทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ถ้าไม่มีกลิ่นน้ำหอม ไม่มีกลิ่นไอ้พวกน้ำมาบำรุงบำเรอนะกลิ่นคนก็กลิ่นซากศพ มันก็กลิ่นเดียวกันน่ะ เวลากลิ่นเน่า กลิ่นซากศพ มันจะหอมไปไหน

ไอ้นี่พรมใหญ่เลย สงกรานต์นี่ใช้น้ำอบเลยนะ พรมแต่น้ำอบเชียว จะกลบกลิ่นมันไง จะกลบกลิ่นมัน จะไม่ให้ได้กลิ่นมันไง นี่ไง ถ้ามันยังไม่ได้ก็ต้องคิดอย่างนั้น พิจารณาอย่างนั้น

นี่เขาถามไง “กามวิตก นับวันกามวิตกมันยิ่งมากขึ้น กวนใจตลอดครับ แต่จะออกไปหามันจริงๆ มันก็ไม่ไป หลวงพ่อใช้วิธีไหนครับ ขอแค่พอภาวนาได้ต่อไปครับ ทุกข์ใจมาก

คำว่า “ทุกข์ใจมาก” ทุกข์ใจก็ทุกข์ใจเรานี่ นี้เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่พูดถึงธรรมโอสถ ธรรมโอสถของฆราวาส ของบริษัท  เราก็พยายามรักษาหัวใจของเรา ไอ้นี่โดยเพศนะ โดยเพศเป็นนักบวชเป็นนักรบ ขนาดเป็นเพศนักบวชเป็นนักรบ นี่บริษัท  อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา

นี่ภิกษุ ภิกษุก็ทุกข์ ภิกษุกำลังขวนขวายดิ้นรน อุบาสก อุบาสิกาก็ทุกข์อุบาสก อุบาสิกาก็กำลังดิ้นรน ต่างคนต่างดิ้นรน ดิ้นรนเพราะอะไร เพราะกิเลสมันร้อยรัด กิเลสมันบีบคั้น ถ้ากิเลสมันบีบคั้น นี่ธรรมโอสถ ทีนี้ธรรมโอสถมันอยู่ที่จิตใจใครสูงใครต่ำ ถ้าสูงต่ำอย่างไร เราพยายามของเรา ประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อประโยชน์ของเรานะ นี่บริษัท  เอวัง