เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระ พระผู้ประเสริฐ พระผู้ประเสริฐคือว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ผู้ประเสริฐ พระอรหันต์ของเราให้ชีวิตนี้มา นี้วันพระ ถ้าผู้ประเสริฐนะ ถ้าจิตใจนั้นประเสริฐ ผู้ประเสริฐ ประเสริฐในหัวใจนั้น ในพุทธะนั้น ในพุทธะนั้นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ชีวิตคือธาตุรู้ ชีวิตคือจิตวิญญาณ ถ้าจิตวิญญาณปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ

วันนี้วันพระ วันพระเป็นผู้ประเสริฐใช่ไหม ถ้าประเสริฐ ประเสริฐจากข้างนอก ประเสริฐจากข้างในไง ถ้าเป็นข้างนอก พระอรหันต์ของลูก เพราะเราได้ชีวิตจากพ่อแม่เรามา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเป็นพระอรหันต์ในหัวใจของเรา ถ้าในใจเราเป็นพระอรหันต์นะ มันสิ้นสุดแห่งทุกข์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันเป็นความมหัศจรรย์ไง จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ถ้าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในลัทธิศาสนาต่างๆ สอนให้คนทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี สอนให้ทำคุณงามความดี ถูกต้อง ความดีก็จะได้เป็นคุณงามความดีนั้นไป ถ้าคุณงามความดีนั้นไป คนทำคุณงามความดีก็เกิดในสวรรค์ ในอินทร์ ในพรหม คนทำความบาปความชั่วตกนรกอเวจี นี่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผู้ที่ทำคุณงามความดีก็เป็นคุณงามความดีของเขา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันพ้นจากวัฏฏะ มันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แล้วมันพ้นไปได้อย่างไรล่ะ ของมันพ้นไปไม่ได้หรอก ของมันเป็นธรรมชาติมันต้องวนเวียนไปธรรมชาตินี้ แล้วมันหลุดพ้นออกจากธรรมชาตินี้ไปได้อย่างไร ถ้ามันหลุดพ้นออกจากธรรมชาตินี้มันต้องมีเหตุมีผลเพราะเราออกจากธรรมชาตินั้นสิ

ของที่เป็นธรรมชาติมันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาก็แปรสภาพของมันไป ถ้าแปรสภาพนะ สสารมันมีของมัน มันแปรสภาพของมันตลอดไปทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้ามันเป็นทางจิตๆ จิตที่มันมหัศจรรย์ ธรรมะมหัศจรรย์ตรงนี้ไง วันพระๆ เป็นผู้ที่ประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้ไง

เพราะเป็นวันพระใช่ไหม แล้ววันนี้วันพระ วันนี้วันฉัตรมงคลด้วย เป็นวันครองราชย์ของในหลวง การครองราชย์ ผู้นำที่ดีๆ ไง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไง ถ้าพระมหากษัตริย์ที่ดี ผู้นำที่ดีจะทำให้สังคมนี้ร่มเย็นเป็นสุข แต่คนน่ะ คนเรามันจะดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มันหาไม่ได้หรอก มันต้องมีความผิดพลาดของเขา แต่ความผิดพลาดมันส่วนน้อยไง คุณงามความดีมันส่วนใหญ่

ถ้าส่วนใหญ่อย่างนั้นเพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์ สิ่งที่เป็นชาติ ชาติก็เป็นสังคมเรา สังคมเรานะ เราจะเป็นคนดีใช่ไหม คนดีเราจะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ มันหลอกมันล่อเราไปตลอด ถ้าเราอยากดังอยากใหญ่ อยากมีอำนาจ มันก็ต้องแสวงหา การแสวงหามา แสวงหามาด้วยถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เบียดเบียนเขา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิไง คน ดูสิ ดูผู้นำที่ดีโอบอ้อมอารี ด้วยความอบอุ่นของสังคม สังคมระลึกถึงบุญถึงคุณไง นี่บารมีเกิด เกิดตรงนี้ไง บารมีมันเกิดจากคุณงามความดีนะ คุณงามความดี ดูสิ ถ้าคุณงามความดี

ดูสิ จิ้งจอกสยามๆ ๑๐๐ กว่าปี เขาไม่มีค่าอะไรเลย เขาก็อยู่ในสังคมของเขา เวลาคนไทยเราไปทำให้มันประสบความสำเร็จขึ้นมา การทำประสบความสำเร็จนั่นคือคุณงามความดีไง เราก็เป็นชาวสยามใช่ไหม มันก็เป็นเกียรติยศใช่ไหม พอเป็นเกียรติยศอันนั้นมันก็เป็นความปลื้มใจใช่ไหม มันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้นแหละ แต่มันเป็นความดี นี่ความดี ถ้าคุณงามความดีของเราทำขึ้นมา มันทำคุณงามความดี ความดีมันดีอย่างหยาบๆ ต้องให้คนเชื่อถือศรัทธา ต้องให้คนเคารพนับถือ ไอ้ความดีอย่างนั้นมันจ้างเขาได้ เอาเงินแจกเขาก็ยกมือไหว้ทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าคุณงามความดี คุณงามความดีจากข้างใน ถ้าความดีจากข้างใน ความดีที่ละเอียดไง ถ้าความดีที่ละเอียด เราก็จะย้อนกลับมาที่ตัวเราแล้ว ความดีมันความดีของเขา เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ใครทำความชั่วมันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ แล้วเวลาทำคุณงามความดีขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ขอให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ

ถ้าทำคุณงามความดี ประพฤติปฏิบัติภาวนาไป แล้วก็หยำเปไป แล้วก็อีลุ่ยฉุยแฉกไป แล้วก็ออกนอกลู่นอกทางไป แล้วยังสำคัญตนว่าเป็นนักปฏิบัตินะ

แต่ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมามันก็ต้องเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมามันสงบระงับเข้ามา มันละเอียดลึกซึ้ง ถ้าละเอียดลึกซึ้งขึ้นมา ถ้าสัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้าเรามีสัมมาสมาธิขึ้นมา เราจะเห็นคุณค่าของความเป็นคนเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะความเป็นคน จิตวิญญาณนี้มันทำให้สงบระงับเข้ามาได้ ถ้ามันไม่มีสิ่งมีชีวิตมันจะทำอะไรของมันได้

ดูสิ เราไปเห่อกันเรื่องวัตถุ เรื่องสิ่งที่ว่าร่ำรวยมหาศาลนั่นน่ะ มันมีความสุขที่ไหน มันไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตคือหัวใจของคน หัวใจของสัตว์ ดูสัตว์สิ เราให้อาหารมัน เราดูแลมัน มันมองหน้านะ มันสบเราด้วยสายตานะ “ขอบคุณ ขอบคุณ” เพราะเขาแสวงหาไม่ได้ สัตว์มันมองเรามันมองด้วยสายตา มันยังขอบคุณๆ เลย ถ้าเรามีเมตตากับมันน่ะ นี่ไง สิ่งมีชีวิตเท่านั้นน่ะ แล้วสิ่งมีชีวิตมันมีคุณค่า ทีนี้มีคุณค่าขึ้นมา เพราะด้วยเวรด้วยกรรมขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม เขาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขามีทิพย์สมบัติของเขา ทิพย์สมบัติเพราะอะไร เพราะเขาได้เสียสละของเขา เวลาเขาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมของเขา เทวดา อินทร์ พรหมไม่มีตลาด เทวดา อินทร์ พรหมไม่มีร่างกาย เทวดา อินทร์ พรหมไม่ต้องกินข้าวแบบนี้ เขาอิ่มทิพย์ของเขา ความเป็นทิพย์ของเขา นั่นเพราะเขาทำของเขา เขาถึงมาเกิดเป็นเทวดาของเขา

เราเกิดเป็นมนุษย์ไง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไง ธาตุ ๔ มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม ชีวิตมันต้องมีอาหารของมัน ต้องมีความดำรงอยู่ของมันไง พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องมีความดำรงอยู่ มีปัจจัยเครื่องอาศัยไง เราต้องปากกัดตีนถีบกันอยู่นี่ไง ถ้าปากกัดตีนถีบขึ้นมาก็เพื่อหาเลี้ยงร่างกายนี้ไง เลี้ยงร่างกายขึ้นมา เลี้ยงร่างกายด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยความทุกข์ความยากไง แต่คนถ้าเขามีบุญกุศลของเขา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา เขาเลี้ยงร่างกายของเขาด้วยความสุขของเขา ด้วยความสุขของเขา จิตใจของเขาอ่อนนิ่มควรแก่การงาน ควรแก่การงาน เพราะจิตใจของเขาควรแก่การงาน เขาจะมีสติมีปัญญาฝึกหัดภาวนาของเขา ถ้าฝึกหัดภาวนาของเขา เพราะเขาจะบ่มเพาะหัวใจของเขา ถ้าเขารู้จักชีวิตของเขา รู้จักความสำคัญของเขา เขาจะบ่มเพาะหัวใจของเขา ถ้าเขาบ่มเพาะหัวใจของเขาด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา บ่มเพาะหัวใจด้วยทาน

ทำไมต้องทานด้วยล่ะ

การเสียสละ การเสียสละของเรามันไปขัดแย้งกับความตระหนี่ถี่เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวนั่นคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ โดยสัญชาตญาณของมนุษย์มันตระหนี่ถี่เหนียวทั้งนั้นน่ะ มันต้องการของมันๆ มันจะเอาของมันไว้โดยสัญชาตญาณของมัน แล้วเรา เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราฝึกหัดของเรา เราเสียสละของเรา เราเสียสละ ฝึกหัดเสียสละ แล้วเสียสละมันต้องไปเสียสละอะไรมาก เห็นเขาทำความดีกัน สาธุ

เห็นเขาทำความดีไม่ได้ อิจฉาตาร้อน

เห็นเขาทำคุณงามความดีกันน่ะ สาธุ นั่นล่ะ ไม่ต้องว่า “อู๋ย! ทำทานๆ ต้องไปแบกหาม ต้องไปขวนขวายมา”...ไม่ใช่ นั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นั่งเฉยๆ นี่นาโน ความรู้สึกที่ละเอียดที่สุด มันซับซ้อนของมันขึ้นมา ซับซ้อนของมันขึ้นมาจนเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ถ้ามันตั้งมั่นขึ้นมา สิ่งมีชีวิตๆ มันตั้งมั่นขึ้นมาด้วยการบ่มเพาะของเราไง แต่คนเรามันไม่เคยเห็นคุณค่าของน้ำใจไง มันไปเห็นคุณค่าของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความทะเยอทะยานอันนั้นคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไปยอมจำนนกับความทะเยอทะยานอันนั้นไง แล้วก็จะแสวงหาสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของตนไง แล้วก็ไม่ได้สิ่งใดเป็นสมบัติของตนเลย สร้างเวรสร้างกรรมกันตลอด

แต่ของเรา ถ้าคนมีสติมีปัญญา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะธรรมดาของพลังงาน ไฟฟ้าเขาใช้มาเพื่อประโยชน์ เวลามันลัดวงจรขึ้นมา มันไหม้บ้านไหม้เรือนของคนไปหมดเลย จิตใจของเราเป็นพลังงานที่มันส่งออก มันทำลายตลอด ทั้งๆ ที่เป็นพลังงานของเรา จิตนี้เป็นพลังงาน พลังงานที่มันเสวยด้วยขันธ์ ๕ ด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันโดนครอบงำโดยตัณหาความทะยานอยาก จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้อยู่ในอำนาจของกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไว้ แล้วมันชักนำไป แล้วเราก็จำนนกับมันมาตลอดๆ ไง แล้ววุฒิภาวะมันอ่อนด้อยไง “ตายแล้วก็สูญ ภพชาติหน้าไม่มี” นี่ไง มันอ้างของมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันอ้างของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันอยากเชื่ออยู่แล้ว จริงๆ มันก็เชื่อของมันอยู่แล้วแหละ แต่มันสร้างอารมณ์ขึ้นมา สร้างหลักฐานขึ้นมาให้อุ่นใจ แต่มันก็สงสัยนะ เฮ้ย! มันมีจริงหรือเปล่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ชีวิตนี้มีจริงหรือเปล่า

แต่เวลาผู้ที่มีจริงหรือไม่มีจริง ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอจิตสงบมันก็รู้แล้ว พอจิตสงบมามันมหัศจรรย์ไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วมันจะเห็นเลยล่ะ คนที่เขาดิ้นรนกัน แสวงหากันนั่นน่ะ มันขวนขวายแต่ฟืนแต่ไฟ ถ้ามันขวนขวายแต่ฟืนแต่ไฟ มันจะได้อะไรมา มันก็ได้ฟืนได้ไฟ แต่ของเรา ถ้าเราพุทโธๆ จนมันสงบได้ ถ้ามันสงบได้ ถ้ามันสงบไม่ได้ เหมือนคนมีการศึกษา ศึกษาไม่จบ ครึ่งๆ กลางๆ นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง ครึ่งๆ กลางๆ มันก็สงสัย

แต่คนที่มันจะหายสงสัยได้มันต้องปฏิบัติไปถึงที่สุด มันถึงปฏิบัติแล้วได้ผลอันนั้น ถ้าปฏิบัติได้ผลอันนั้นขึ้นมาแล้วมันจะเห็นความเป็นจริงนะ อ๋อ! จิตเดิมแท้ อ๋อ! จิตมันเป็นแบบนี้ ในร่างกายของมนุษย์มันมีธรรมชาติอันหนึ่ง พลังงานอันนั้นที่มันมีชีวิต ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นธาตุที่มีชีวิต มันสืบต่อสันตติ มันเกิดมาจากไหน จิตนี้มันเกิดมาจากไหน แล้วมันทรงตัวของมันได้อย่างไร แล้วเวลาถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้ว ถ้ามันเสื่อม มันก็เสื่อมสภาพของมันไป แต่ถ้าเวลาเสื่อมแล้วเราจะฟื้นฟูมัน ฟื้นฟูมันแล้วถ้ามันตั้งมั่นๆ ตั้งมั่นมันต้องมีที่มาที่ไปสิ

ดูสิ วัตถุสิ่งใดก็แล้วแต่ เขาต้องมีภาชนะบรรจุวัตถุนั้น เขาถึงว่ามันจะมีอยู่จริง ดูน้ำ ถ้ามันระเหยไปในอากาศมันก็จบ ถ้าเรามีภาชนะบรรจุมันไว้ มันก็เห็นว่ามีน้ำ จิตของเราอยู่ในร่างกาย แต่เราจับต้องมันไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะพิสูจน์มันได้ว่ามันอยู่ที่ไหนไง แต่ถ้ามันมีสติระลึกพุทโธๆ

“พุทโธทำไมต้องระลึกมันล่ะ มันก็แค่ไอ้คำท่อง ท่องจำใครก็ทำได้ พุทโธเราก็เขียนได้ ทุกคนก็เขียนได้”

อันนั้นมันเป็นกิริยาเฉยๆ แต่เอาความรู้สึกไปเกาะไว้ ความรู้สึกนี้มันส่งออก พลังงานนี้มันส่งไป เอาพลังงานนี้ไปเกาะไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พลังงานนี้มันจะสะท้อนกลับจากพุทโธ พุทธานุสติ อยู่กับมันตรงนี้ พุทโธๆๆ ถ้าจิตมันสงบได้ พอมันสงบได้มันมหัศจรรย์แล้ว พอมหัศจรรย์ขึ้นมา คนที่มหัศจรรย์ คนที่อ่อนด้อย “โอ้โฮ! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”

มันยังบ้าอยู่นั่นน่ะ นิพพานอะไรของมึง มันก็หัวตอเท่านั้นน่ะ แค่รู้จักหัวตอ รู้จักตัวตนมันก็มหัศจรรย์แล้ว แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไร ท่านเริ่มต้นอย่างไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน การปฏิบัติมันมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นล้มลุกคลุกคลาน คนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยจะฝึกหัดให้มันทำเป็น อีกคราวหนึ่งคือคราวจะสิ้นสุด จะสิ้นสุด มันจะจบเกม มันจะจบอย่างไร มันจบไม่ลงนั่นน่ะ นี่ไง การปฏิบัติมันยากอยู่ ๒ คราว แล้ว ๒ คราวอย่างไรล่ะ ยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง” มันว่าของมันไปน่ะ

นี่ไง ที่ว่าเวลาจะมีคุณค่ามันมีคุณค่าจริงๆ แต่มันเป็นความเชื่อไง ศรัทธาคือความเชื่อ สังคมไทย สังคมไทยเราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ แล้วเวลาพระสงฆ์ที่ว่าบวชมาแล้วมันเป็นสมมุติสงฆ์ คำว่า “สมมุติสงฆ์” มันสมมุติให้เป็นพระ มันยังไม่เป็นจริง ถ้ามันเป็นจริง มันต้องเป็นมาจากหัวใจ หัวใจที่มันเป็น ดูสิ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบัน นางวิสาขาไม่ได้บวชนะ เขาเป็นพระโสดาบัน อริยบุคคลในหัวใจนั้น แล้วอริยบุคคลในหัวใจนั้น ผู้ที่ตรวจสอบได้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเองว่านางวิสาขานี้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันเพราะเขาละสังโยชน์ ๓ ตัว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด ความเห็นผิดในความเห็นเรื่องร่างกาย เรื่องจิตใจ นี่ความเห็นผิด นี่คือสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด แล้วพอทำให้มันถูกต้องดีงามขึ้นมา ถูกต้องมันก็ถูกต้องอยู่ในทำนองคลองธรรม แต่ถ้ามันพิจารณาของมันไปถึงที่สุดแล้วมันขาด มันหลุดออกไปจากหัวใจน่ะ เวลากิเลสขาดมันดั่งแขนขาด กิเลสมันขาดๆ

เราเกิดมาเรามีกิเลสนะ เราเกิดมาเราเป็นโรคเป็นภัยกันมาทั้งหมดเลย แต่เวลารักษา ไม่เคยมีใครหายจากโรคสักคนหนึ่ง แล้วคนที่ไม่เคยหายจากโรคจะรู้ได้อย่างไรว่าการหายจากโรคเป็นอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน พิจารณาร่างกายๆ เวลาสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดมันขาดไป ดั่งแขนขาดๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าดั่งแขนขาด ไอ้เราก็ เออ! แขนขาด กูก็ตัดแขนนี่แหละ แล้วกิเลสขาดไหม ตัดแขนขาด กิเลสก็ไม่ขาดหรอก แต่พระพุทธเจ้าบอกดั่ง ดั่ง ดั่งแขนขาดๆ มันต้องมีการกระทำของมันสิ นี่คนที่เขาเป็นจริงเขารู้หมด เขาเข้าใจได้หมด เขาตรวจสอบกันอย่างนี้ นี่พระกรรมฐานเวลาเขาตรวจสอบ เขาตรวจสอบกันอย่างนี้ เขาตรวจสอบอย่างนี้มันก็เป็นความจริงอย่างนี้ ไม่ใช่เอ็งพูดได้ ข้าก็พูดได้...ก็พูดเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน นี่พูดถึงว่าฝึกหัด

วันนี้วันสำคัญ วันพระ วันพระคือวันที่เรามีสัตย์ เรามีสัตย์กับตัวเราเองไง เราต้องการ ดูสิ คนเวลาเขาแสวงหาเงินทองขึ้นมา เขาต้องการของแท้ทั้งนั้นน่ะ เขาไม่ต้องการของเทียม ถ้าทองคำก็อยากให้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทองคำในเหมืองยังไม่เอา มันยังไม่ถลุง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราก็อยากได้ของจริง แต่กิเลสมันบิดเบือน ความชอบ จริตนิสัยมันบิดเบือน บิดเบือนก็เป็นมิจฉา มิจฉามันก็ทำให้เราออกนอกลู่นอกทางไป แต่เวลาปฏิบัติเราก็อยากได้ของจริงๆ เราจะมีสัตย์ มีสัตย์กับตัวเราเอง เพราะสัตย์กับตัวเราเอง เพราะเวลาหลวงตาท่านโดนเหน็บแนม หลวงตาท่านประกาศว่าเป็นพระอรหันต์ ทุกคนบอกว่าแล้วใครจะการันตีล่ะ

หลวงตาท่านบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกไว้ให้กับสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองเฉพาะตน ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ถ้าเรามีความสัตย์ๆ เราทำความจริงของเราขึ้นมาสิ ถ้าความจริงขึ้นมา วันสำคัญ วันพระๆ พระเป็นผู้ประเสริฐ เราก็ไปกราบเขาทั่วเลย แต่หัวใจไว้ใจได้ไหม หัวใจนี้ไว้ใจได้ไหม ถ้าหัวใจนี้ไว้ใจได้ เราถึงเกิดมาเป็นศาสนทายาท หัวใจนี้ไว้ใจได้ไหม หัวใจนี้ บ่มเพาะๆ ฝึกหัดๆ หัวใจนี้ ถ้าหัวใจมันทำได้ นี่ไง เวลาปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจไง เวลาบวชขึ้นมา บวชจากอุปัชฌาย์อาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ยกเข้าหมู่นะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กลั่นมันออกมา เวลาออกมาขึ้นมาแล้วมันรู้แจ้งแทงตลอด นั่นล่ะเป็นความจริง นี่ความจริงขึ้นมา วันสำคัญ วันพระ วันพระด้วย วันฉัตรมงคลด้วย แล้วจิ้งจอกสยามมันได้แชมป์ด้วยนะ แหม! มีความสุขมาก

ความดี ความดีก็คือความดี ความดีมันเป็นนามธรรม วัฒนธรรมความดีมันต้องมีวัฒนธรรม มีที่มาที่ไป คุณงามความดีไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องมาอวด คนทั่วโลกเขาชื่นชมไปหมดเลย ความชั่ว ที่ไหนใครก็ไม่เอา ยัดเยียดให้ใคร ใครก็ไม่เอา แต่ความดีเขาทำกันอยู่นู่นน่ะ เขารับรู้กันไปทั่วโลก ทั่วโลกเขาก็ชื่นชม

ความดี เห็นไหม แล้วบอกทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี...ทำดี เอ็งทำดีไปเถอะ ทำดีไปเถอะ ถ้ามันตาบอดก็เรื่องของมัน แต่เราทำของเรานะ ใครจะทำชั่วเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ ทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจดวงนี้ เพื่อคุณงามความดีของเรา ใครจะเห็น ใครไม่เห็น ความลับไม่มีในโลก หัวใจเรารู้ เราเป็นคนทำ เราเห็น เห็นเต็มหัวใจเลย เอวัง