ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จิ้งจอก

๒๑ พ.ค. ๒๕๕๙

จิ้งจอก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : วิถีงาน ปัจจุบันนี้ข้อบังคับใหม่ต้องทำตำแหน่งวิชาการเป็น ผศก็ต้องทำ รศภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะถูกเลิกจ้าง ไม่ต่อสัญญา ถ้าได้ รศก็จะอยู่ได้จนเกษียณ ทีนี้ทำตำแหน่งก็ต้องทำงานวิจัย ซึ่งจะมีงานยุ่งกว่าชีวิตปัจจุบันที่ผ่อนงานวิจัย จึงมีเวลาปฏิบัติธรรมอยู่วัดหรือวางแผนว่าเราพอใจที่ ผศพออยู่พอกินแบบนี้ไป ไม่เคร่งเครียด ได้มีเวลาปฏิบัติภาวนาเข้าวัดได้ตามต้องการ ชอบสมดุลชีวิตแบบนี้

คำถามคือ ตอนนี้มีโอกาสได้งานวิจัยใหม่ ทีมงานเก่งเข้ามา

ลูกควรรับโอกาสนั้นเพื่อความก้าวหน้าในงานไหม หรือควรยืนยันความตั้งใจเดิม พอใจตำแหน่งที่มี ทนต่อสิ่งยั่วยุ เมื่อครบกำหนดจริงค่อยว่ากัน ออกมาทำอย่างอื่น

จะมีผลกระทบต่องานทางธรรมที่ยังอ่อนไหว กลัวโดนกิเลสหลอกให้หลงทาง ขอคำแนะนำในการดำเนินชีวิตเพื่อพัฒนาธรรมได้อย่างต่อเนื่อง

ถ้าทำงานวิจัยที่ต้องเอาสารหรือเลือดที่สัตว์ผลิตมาใช้ แม้ไม่ได้ฆ่าเอง ผิดศีลข้อ  มีบาปหรือไม่

เล่นหุ้นมีผลต่อศีลต่อการปฏิบัติธรรมไหม ถ้ามีผล หุ้นที่มีอยู่ควรขายทิ้ง เลิกเล่นใช่หรือไม่

กราบขอบพระคุณหลวงพ่อด้วยความเมตตาชี้ทางให้ลูกเสมอนะ

ตอบ : ในทางโลกนะ ถ้าเราอยู่ทางโลก ความเจริญของโลก เขาเรียกว่ารู้เท่าทันโลกไง เวลาที่ปฏิบัติจริงจังขึ้นมา เวลาคนที่สมัยที่อยู่กับหลวงตานะ มีพวกข้าราชการหลายคนมากไปปรึกษาท่าน ไปปรึกษาท่านบอกว่าจะลาออกจากราชการเพื่อมาประพฤติปฏิบัติจริง บางคนท่านก็ให้ลาออกแล้วมาปฏิบัตินะ บางคนท่านยับยั้ง ท่านบอกไม่สมควร ไม่ให้ ท่านไม่ให้

ฉะนั้น มันมีอยู่คนหนึ่งเขาเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลสุราษฎร์ฯ หรือประจวบฯ จำไม่ได้แน่ หลวงตาบอกไม่ให้ลาออก เขาขืนลาออก เขาขืนลาออกแล้วมาปฏิบัติ พอปฏิบัตินี่หลุดนะ หลุดหมดเลย แก้ผ้าวิ่งโทงๆๆ อย่างนั้นเลยนะ ผู้หญิงนะ เป็นพยาบาล

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าบางที ท่านไปปรึกษาหลวงตา บางคนท่านเห็นว่าโอกาสสมควร ท่านก็โอเค โอเคว่าทำแล้วมันจะพอมีหนทางไปได้ แต่บางคนนะ มีหมอหลายคนเลยพวกผู้หญิง หมอผู้หญิงไปหลายคนไปบอกท่าน ขอลาออกแล้วจะมาปฏิบัติกับท่าน ท่านไม่อนุญาต จนปัจจุบันนี้ยังเป็นหมออยู่เลย แต่เวลาปฏิบัติแล้วเขาก็ทำงานไปด้วย แต่เป็นหมอ เป็นหมอมันอยู่เวรอย่างเดียว โอ้โฮคร่ำเครียดอยู่กับเวรนั่นน่ะ แล้วจะเอาเวลาไหนปฏิบัติ แต่เขาก็ยังทำอยู่จนป่านนี้ไง

ฉะนั้น พูดถึงว่า จะบอกว่า เราคิดแล้วเราจะทำอย่างนั้นๆ บางทีเวลาอนาคตมันไม่สมกับเป็นอย่างนั้นหรอก ฉะนั้น ถ้าเวลาอยู่กับทางโลก เราก็ต้องขวนขวายไปกับโลกเขา คำว่า “ขวนขวายไปกับโลก” ที่เราพูดบ่อย เราพูดบ่อยเพราะเราพูดตามข้อเท็จจริง ทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะเราต้องทำมาหากิน แต่การทำมาหากิน การทำมาหากินมันเป็นงานประจำชีวิต เป็นงานประจำธาตุขันธ์ เป็นงานประจำโลกไง แต่ถ้าทำงานแล้วมันมีความทุกข์ความยากในหัวใจ เราก็มีธรรมะมาปลอบประโลม ธรรมะนี้มาเกื้อหนุนในชีวิตของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้ที่ฉลาดเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไปหาหมอ ทุกข์ใจ เราก็ไปหาธรรม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราอยู่กับทางโลก เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราเราก็ต้องปากกัดตีนถีบไปกับโลกเขา ถ้าปากกัดตีนถีบไปกับโลกเขา เราต้องมีสติปัญญา มีสติปัญญา เราคัดเลือกเอาๆ แต่มันก็ต้องมีความเจริญมีความก้าวหน้าไป ถ้ามีความเจริญก้าวหน้าไป ความเจริญก้าวหน้าไปจนสุดกำลัง เพราะคำว่า “สุดกำลัง” คนเรามันมีบุญน่ะ เวลาบุญมันมาให้ผล ทำอะไรประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นน่ะ เวลาบุญมันยังไม่ถึง ทำอะไรผิดพลาดๆเพราะมันทำจะได้ๆ แต่ไม่ได้สักทีหนึ่ง แต่เราก็ขวนขวายของเรา แล้วเรามาบ่นน้อยเนื้อต่ำใจไง

ถ้าเราเป็นพระตลาดนะ พูดอย่างนี้เลย ถ้าเป็นพระตลาด เขาบอก “นี่ไงก็มันขาดอีกนิดนึง ถ้าโยมทำบุญอีกหน่อยจะได้เลยน่ะ” เปิดโล่งเลย “เอามาๆ อีกนิดนึง” ถ้าเราเป็นพระตลาด

แต่เราไม่ใช่ เราไม่ใช่พระตลาด การตลาดของเขา เราไม่ใช่พระอย่างนั้น ทุกคนเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราก็ต้องเกิด แก่เจ็บ ตายด้วยเหมือนกัน แล้วเรามาทำการตลาดอยู่เพื่อของชำร่วยเล็กๆน้อยๆ แล้วสุดท้ายไป เสียเวลาการประพฤติการปฏิบัติของเราไป สุดท้ายแล้วต่างคนต่างมาพะว้าพะวังกัน แล้วจะทำให้ถึงที่สุด พยายามขวนขวายของคนก็ไม่มีโอกาสได้ทำ มาพะเน้าพะนอกันอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่เราไม่ใช่พระตลาด

ถ้าเราจะเอาจริงเอาจังของเรา ถ้าเป็นโลกก็ต้องโลกจริงๆ เวลาโลกจริงๆ ธรรมโอสถก็เอามาชโลมหัวใจ เอามาเป็นเครื่องอยู่ของเรา แต่เวลาอยู่กับโลก เราก็ต้องอยู่กับโลก เวลาไปทำงานก็ต้องทำจริงๆ ไง เหมือนเราเราเป็นชาวนา เราเป็นชาวนานะ ถึงเวลาแล้วเราจะทำนา เวลาน้ำมานี่ อืมเราอยากจะนั่งสมาธิ ก็เปิดน้ำเข้านากันนะ ตอนนี้กำลังเดินจงกรมอยู่ ไม่มีเวลา เดินจงกรมอยู่ พอเดินจงกรมเสร็จ เขาผันน้ำเข้านากันหมดแล้ว พอเราเดินจงกรมเสร็จแล้วเราจะเอาน้ำเข้านาเรา น้ำไม่มีแล้ว นี่มันไปขวางโลกไม่ได้หรอก

เราเป็นชาวนา ดูสิ พื้นนาในโครงการของชลประทาน เวลาเขาปล่อยน้ำมา เขาปล่อยน้ำมาเป็นครั้งเป็นคราว เขาจะมีกำหนดของเขา ตำบลไหนก็แล้วแต่ ถึงเวลาแล้วเขาต้องชักน้ำเข้านาพร้อมกันหมด เพราะกรมชลเขาปล่อยมาให้ แล้วเราจะไปเกี่ยงอยู่นะ “ฉันกำลังนั่งสมาธิ ต้องรอฉันก่อน ชาวบ้านทั้งหมดเลยต้องหยุดก่อน รอให้ฉันนั่งสมาธิเสร็จก่อน” มันไม่มี โลกนี้มันไม่มีหรอก เพราะการนั่งสมาธิเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา แต่เวลาเรื่องชุมชนเรื่องสังคม เขานัดแนะพร้อมกันแล้ว เราต้องทำตามนั้น ถ้าทำตามนั้น เห็นไหม นี่เรื่องโลก เราอยู่กับโลก เราต้องไปกับโลกให้ได้ ถ้าไปกับโลกให้ได้แล้วถึงเวลาแล้วเราค่อยมาปฏิบัติของเราไง

ผันน้ำเข้านาให้ได้ก่อน พอเสร็จแล้วนะ เราจะไถหว่านเมื่อไหร่นะ ไถเสร็จแล้วค่อยมานั่งสมาธิ เวลาเราไถอยู่ เราก็ตั้งสติของเราไปด้วย เห็นไหมถ้าเราขยันหมั่นเพียรขึ้นมา ดินมันจะพร้อมในการปลูกข้าว ถ้าเราทำของเราไม่รอบคอบขึ้นมา ดินไม่พร้อม

เราทำงานมันก็ตั้งสติได้ เราทำงาน เรามีสติปัญญา มันก็เป็นการรักษาใจ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปได้ แต่เป็นงานโดยทั่วไปนะ ถ้างานละเอียดไม่ได้ งานละเอียดไม่ได้ ฉะนั้น จะบอกว่า อยู่กับโลกก็ต้องเป็นเรื่องโลก

ฉะนั้น เขาบอกว่า “ลูกควรรับโอกาสนั้นไหม

ควร ว่าอย่างนั้นเลยนะ

อ้าวควรแล้วไม่เห็นแก่การภาวนาหรือ

เอ็งไปเรียนให้จบ กลับมาภาวนาได้ ไปเลย

ลูกสมควรรับโอกาสนั้นไหม

ควร แล้วรับโอกาส งานมันยุ่งมาก มันมีลูกศิษย์ที่ทำอย่างนี้เขาบอกว่าเขาก็ทำงานวิจัยเหมือนกัน เวลาไปผ่ากุ้ง เขาบอกว่าเขาทำใจยาก กุ้งสดๆต้องมาผ่าพิสูจน์ เวลาผ่ากุ้งนี่

เราก็อโหสิกรรม คนเรานะ มันถึงเวลาทำงานมันเป็นชิ้นเป็นอันนะ โดยนิสัยโดยสันดานของเรา เรารักษาศีล แต่โดยหน้าที่การงานของเรา โดยหน้าที่การงานของเรานะ หน้าที่การงานของเราเพื่อทำวิจัย เพื่อตรวจสอบเพื่อสังคม เพื่อประชาชน เราตรวจสอบว่ามันมีสารพิษไหม มันมีอะไรไหมมันเป็นหน้าที่การงานของเรา เราปกป้องชีวิตของคนอีกมหาศาลเลยด้วยการผ่ากุ้งตัวเดียว นี่เวลาถ้ามันคิดอย่างนี้ได้ มันก็ทำได้ไง ไม่ได้ทำด้วยความซาดิสม์ ไม่ได้ทำด้วยความพอใจ มันเป็นผลประโยชน์กับโลก ผลประโยชน์กับงานวิจัย ผลประโยชน์ตรงนั้นปั๊บ เราทำของเรา เราไม่ได้ทำด้วยสันดาน ไม่ได้ทำด้วยความชอบ ไม่ได้ทำด้วยความสนุกครึกครื้น เราทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เราคิดอย่างนี้ได้ปั๊บ จบเลย งานบางอย่างเราต้องทำเราทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์ใช่ไหม ทำประโยชน์ก็เป็นประโยชน์อันนั้นไป

นี่พูดถึงว่า “เราควรรับโอกาสนี้ไหม

ควร แล้วถ้ารับโอกาสนี้ มันไปพลอยมีตำแหน่ง มันจะมีสิ่งยั่วยุ อันนั้นก็วาสนาของคน อันนั้นมันอยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนาดี มันก็ไปถึงที่สุด ถ้าวาสนามันไปถึงตรงนั้น เราก็ยอมรับความจริงอันนั้น เรามีวาสนาอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะว่าโอกาสมันมาแล้ว ถ้าเราไม่จับหยิบฉวยไว้ แล้วถึงเวลาแล้วอืมปฏิบัติธรรมก็ต้องคนปฏิบัติธรรมต้องโง่ๆ คนปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนล้าหลัง คนปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนเซ่อเซอะซะ”...ไม่จริงหรอก

คนปฏิบัติธรรมนี่ฉลาด คนปฏิบัติธรรมนี่สติสมบูรณ์ คนปฏิบัติธรรมนี่มีปัญญาแยกแยะอะไรควรไม่ควรได้ ไม่ใช่คนปฏิบัติธรรมแยกแยะอะไรไม่ได้นี่ไม่ใช่คนปฏิบัติธรรม นี่เป็นเรื่องโลก เห็นไหม เรื่องโลกก็ส่วนเรื่องโลก คนปฏิบัติธรรมนี่ฉลาด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธออย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” เป็นพระอริยเจ้านะ พระอริยบุคคลนะ นิ่งเงียบ เพราะท่านฉลาดในอารมณ์ของท่าน ท่านฉลาดในความคิดของท่าน เพราะพูดออกไปแล้ว เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านพูด ท่านบอกท่านไม่อยากคุยกับใครเลย เพราะอะไร เพราะคุยไปแล้วเขาจะหาว่าเราบ้า

เราจะมองว่าคนมีคุณธรรมบ้านะ เพราะท่านพูดเหนือโลก พูดเหนือสิ่งที่เราไม่เข้าใจ งง เอ๊ะเอ๊ะท่านไม่อยากพูดกับใคร พอพูดออกไปแล้วมันเป็นประโยชน์ไหม พอพูดออกไปแล้วคนอื่นเขาสงสัย เขางง เอ๊ท่านพูดอะไรท่านทำอะไร ฉะนั้น ท่านยังนิ่งอยู่ เพราะอะไร เพราะพูดไปแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ไง

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” นี่ผู้ที่ฉลาด ฉลาดมากๆ เลย นิ่งเงียบ ของจริงเป็นอย่างนั้นน่ะ ไอ้พล่ามๆ มันไม่ได้เรื่อง เวลาเขาถามธรรมะน่ะตอบไม่ได้ เวลาเขาไม่ต้องการน่ะพล่ามๆ เหมือนหมาบ้าเลย เวลาเขาถามนี่ เออควรตอบ อะไรผิดอะไรถูกต้องชี้แนะ เวลาเขาไม่ได้ถามล่ะพล่ามๆ เชียว พอถามเข้า ทำฉุนเฉียวเชียวนะ “ฉันมีคุณธรรม”...โธ่เอ้ย!

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน “โอกาสที่ลูกมีควรจะรับไว้ไหม

ควร

แล้วถ้ามันเป็นสิ่งยั่วยุล่ะ

นั่นแสดงว่า สติเราอ่อนแอ มันเป็นจังหวะ

ในเมื่อมีผลกระทบต่อทางธรรมที่ยังอ่อนหัดอยู่ โดนกิเลสมันหลอกเดินหลงทาง ขอคำแนะนำในการดำเนินชีวิตในการพัฒนาธรรมด้วย

ให้ต่อเนื่อง ให้ต่อเนื่อง ตั้งสติ หลวงตาท่านบอกว่า งานใดก็แล้วแต่ถ้าขาดสติแล้ว งานนั้นจะไม่เป็นงาน การกำหนดพุทโธ การใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว มันเป็นการสักแต่ว่าทำ

เราไปมองว่าโลกนี้เป็นสักแต่ว่าๆ ไอ้การกระทำของมึงน่ะสักแต่ว่า “นู่นก็สักแต่ว่า โลกนี้ว่างหมด ฉันมีแต่ความสุข”...ไอ้ความคิดมึงนั่นแหละ นั่นแหละความคิดอันนี้สำคัญ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าถ้ามันยังอ่อนหัด เราก็ฝึกหัดสติไว้ มันอยู่ที่การฝึกหัดไว้น่ะ ถ้าเราฝึกหัดไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เราฝึกหัดของเราไว้นะ เราดูแลรักษาไว้ มันจะเป็นจริตเป็นนิสัยของเราไป แต่ถ้าเราเหลิงไปกับมัน เดี๋ยวก็ไป ว่าวเชือกขาดก็ไปตามเขา ถ้ามี เราก็ฝึกหัดสติของเราไว้

เวลาเขาคบบัณฑิต เขาคบบัณฑิต คบต่างๆ จะดูนิสัยเขาก็ดูเพื่อนเขานั่นแหละ ถ้าเพื่อนเขาเป็นคนที่มึงมาพาโวย ไอ้คนนั้นก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเพื่อนเขาสงบระงับ เพื่อนเขามีสติ เออแสดงว่าเขาก็มีสติสัมปชัญญะพอสมควร มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ก็ดูกันอย่างนั้นน่ะ

ถ้าทำวิจัยที่ต้องเอาสารหรือเลือดสัตว์ที่ผลิตมาใช้ แม้ไม่ได้ฆ่าเองผิดศีลข้อ  หรือไม่ เป็นบาปกรรมหรือไม่

อย่างที่ว่า ถ้ามันเป็นบาปเป็นกรรมมันโดยสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจนะ เราไม่มีเจตนา ถ้าเราไม่มีเจตนา แต่ไม่มีเจตนา พอบอกไม่ได้ตั้งใจไม่มีเจตนา เวลาวิจัยก็เลยวิจัยสักแต่ว่าอีกน่ะ

เวลาวิจัยต้องทำจริงจังนะ เพราะเราคนทำวิจัยเขาต้องมีสติของเขา แต่เวลาเราทำ มันโดยเจตนาของเราน่ะ เราปรารถนาดี เราตั้งใจทำความดีของเรา แต่เป็นหน้าที่การงานของเราไง แล้วเพื่อประโยชน์กับสังคมด้วย

มันมีลูกศิษย์คนหนึ่งเวลาเขามา เราบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณมหาศาลเลย มันบอกว่าเอดิสันมีประโยชน์มากกว่า เพราะเอดิสันมันคิดไฟฟ้าให้...มันมองไปนู่นน่ะ มันเถียงเราใหญ่เลยนะ กูบอกพระพุทธเจ้ากูประเสริฐที่สุด มันบอกเอดิสันคิดประโยชน์ให้โลกมากกว่า นี่วิทยาศาสตร์คิดอย่างนั้น

แต่เอดิสันมันคิดมานี่นะ แล้วมันทำธุรกิจมามันฟันเงินทั่วโลกไปเท่าไรพระพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์แสดงธรรมไปไม่เรียกค่าลิขสิทธิ์ของใครเลย แล้วลงไปในวัฒนธรรมของชาวพุทธ ไปดูสิ่งปลูกสร้างที่เป็นประวัติศาสตร์ของพุทธ

นั่นน่ะ เวลาคนมองมันมองแคบๆ ไง แต่ถ้าเรามองของเรา เรามองของเรา เรามองของเรานะ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เราจะทำหน้าที่การงานของเราให้ดี ให้ผ่านเหตุการณ์นั้นไปให้ได้ ฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ เวลาจำเป็นต้องใช้ เพื่อการพิสูจน์ เพื่อเป็นผลงาน เขาต้องทำ ทำเลย

มันจะเป็นบาปเป็นกรรมไหม

เราไม่มีการตั้งใจ มันไม่มีเจตนา มันไม่ครบองค์ประกอบไง มันเหมือนตำรวจ ตำรวจยิงคนร้ายตาย เป็นบาปไหม ตำรวจฆ่า ฆ่าไอ้โจรห้าร้อย มันวิสามัญฆาตกรรม มันเป็นการฆ่า แต่มันเป็นการฆ่าเพื่อความสุขสงบของสังคม แต่การฆ่านั้นไม่มีโทษ เพราะตำรวจนั้นไม่มีโทษทางกฎหมาย นี่ไงเวลางานมันเป็นอย่างนั้น เวลาทำของเขามันทำอย่างนั้นได้

ตำรวจเวลาฆ่าโจรน่ะ เพราะเขาเป็นโจร เขาทำให้สังคมปั่นป่วนหมดเลย สังคมนอนสะดุ้งกันทุกบ้านทุกเรือนเลย แล้วทุกคนก็ต้องมีความทุกข์อยู่อย่างนั้นน่ะ ถึงเวลาแล้วเขาก็ไปจับมันต่อสู้ ต่อสู้ก็ยิงกัน ยิงกันก็วิสามัญฆาตกรรม เป็นบาปไหม

ถ้าจะบอกโดยข้อเท็จจริง มันก็มีส่วนเวรส่วนกรรม มันก็ต้องมีนิดหน่อยมีนิดหน่อย แต่ผลประโยชน์มันมหาศาลน่ะ สังคมนอนกัน อู้ฮูมีแต่ร่มเย็นเป็นสุข เปิดประตูบ้านนอน ทั้งสังคมทั้งตำบลนอนกันสุขสบายเลย

ไอ้นี่ เห็นไหม เวลาธรรมมันต้องเป็นอย่างนั้นน่ะ เสร็จแล้ว เวลาเราจะมาภาวนานั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี่เวลารักษาใจไม่รักษาใจ ไปเอาแต่สภาวะสังคมมาต่อรองกับชีวิตเราเองไง

เล่นหุ้นมีผลต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมไหม ถ้ามีผล หุ้นที่มีอยู่ต้องขายทิ้งหรือไม่

ไม่ เล่นหุ้นก็ส่วนเล่นหุ้นสิ เล่นหุ้น คนเล่นหุ้นมันเล่นหุ้นโดยข้อเท็จจริงไง มันเป็นการลงทุนนะ ถ้าลงทุน เราลงทุนของเรา เราไม่ได้ไปปั่นหุ้น เราไม่ได้ไปวิ่งเต้นใคร เพราะคนเล่นหุ้นเขาจะมีสติปัญญาของเขา

แหมเราจะเป็นนักเศรษฐกิจกันอีกแล้ว พระนะเว้ย ไม่ใช่พระตลาด จะไปเล่นหุ้นกับเขาแล้วล่ะ ก็เป็นคำถามน่ะ

เพราะว่ามันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง มันเป็นธรรมน่ะ เราก็เล่นไปกับเขา เพราะมันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันลงทุนมันก็มีขาดทุนมีกำไรนะ เวลาถ้ามีกำไรขึ้นมา มันก็เป็นเงินทุนของเราแต่ถ้ามันขาดทุน ขาดทุนก็เงินทุนของเราขาดทุนไป มันเป็นความเสี่ยง มันเป็นความเสี่ยงอันหนึ่ง มันเป็นการลงทุน

ฉะนั้นว่า “มันเป็นบาปกรรมหรือไม่

ความบาปกรรมมันต้องเป็นการโกง การโกง การฉ้อโกง การเอารัดเอาเปรียบเขา แต่ไอ้นี่รัฐบาลเขาส่งเสริม ส่งเสริมให้มีการลงทุน ส่งเสริมให้มีการลงทุนนะ แต่นี่มันก็เป็นทางโลกนะ อันนี้ถ้าพูดถึงว่า ถ้าจะขายทิ้งไหม

เอามาให้พระดีกว่า ไม่ต้องขาย

ไม่หรอก นี่พูดเล่น ไม่เอา ของเรา เรายังจะสละทิ้งเลย ไม่เอาของใครทั้งสิ้น ไอ้นั่นมันเป็นการลงทุน เราก็ต้องรักษาไว้ ไอ้นี่พูดถึงตรงนี้ก่อนนะ

ขอบคุณมากค่ะ

จบ

มันมีประเด็นอยู่วันนี้ วันนี้มีประเด็นอยู่ เดี๋ยวจะมีประเด็น

ถาม : เรื่อง “ภาวนา

กราบนมัสการหลวงพ่ออย่างสูง ผมภาวนาอานาปานสติครับ จิตมันค่อยๆ วางสภาพปรุงแต่งต่างๆ เหลือแต่ลมกับจิต ไม่มีภาพหรือนิมิตสว่างอะไร ผมใช้วิธีระลึก เมื่อจิตมันไหลหรือหลงไป ถ้ามันหลงไป เหมือนมีตัวปรุงแต่งหยิบขึ้น ภาพจมูก ตัว จะปรากฏเป็นร่างกายขึ้นมาหรือหลงไปคิดแว็บปรุงต่างๆ พอมันกลับมาที่จิตกับลม สภาวะก็จะหยุดออกหมด ซึ่งมันคล้ายๆ มันจะแว็บไปแล้วกลับมาฉวยจิตหรือลมเอาไว้

ผมภาวนาจะเห็นตัวปรุงหลงไป กับตัวที่มาฉวยจิตและจับลมมาก ครั้งหนึ่งเคยแว็บไปแล้ว พอระลึกขึ้นมาได้ มันวางลง ไม่ไปหยิบอะไรเลย แต่ลมและจิตก็ยังมีอยู่ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร มันละเอียดมาก เหมือนมันไม่มีน้ำหนัก มันไม่จับอะไร เหมือนเราไม่ได้ทำอะไร คล้ายๆ ว่าไม่มีเรา รู้สึกมหัศจรรย์มาก แต่มันเกิดขึ้นแว็บเดียวแล้วมันก็รีบฉวยจิตขึ้นมา เห็นตัวเจตนาไปจับจิตชัดมาก ความรู้สึกว่าเป็นเราก็กลับมา แล้วมันก็ไม่วางอีกครับ

คำถาม ผมภาวนาอย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับ จะล้างกิเลสได้ไหมครับแล้วต้องแก้ไขให้อุบายส่วนไหนบ้างครับ ขอบพระคุณอย่างสูง

ตอบ : เริ่มต้นตั้งแต่ว่า ก็ใช้อานาปานสติแล้วมันเกิดความปรุงแต่ง มันไประลึกถึง มันไปจับภาพ เขาว่ามันจะไปจับฉวยๆ

คำว่า “จับฉวยๆ” เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติ สติปัญญาของคนมันแตกต่างกัน พอแตกต่างกัน เราก็ฟังแนวทางปฏิบัติมามากๆ ใช่ไหม เขาก็บอกว่าให้รู้เท่ารู้ทันขึ้นมา ไม่ให้มันปรุงแต่ง ให้มันเป็นปัญญาๆ นี่พวกอภิธรรมนะ เวลาทำอย่างนี้ปั๊บ จิตมันไม่สงบ จิตมันไม่สงบใช่ไหม มันก็จะจับจะฉวยไป เวลาจับฉวยขึ้นมาแล้วก็เป็นความผิดไง

เวลากำหนดพุทโธ เขาบอกว่าพุทโธไม่ได้นะ เดี๋ยวมันจะเกิดนิมิตๆ ไงแล้วก็กลัวการเกิดนิมิตไง ถ้ามันจะเกิดนิมิตอย่างไรขึ้นมาก็ให้มันเกิดสิ มันจะแก้ไขของมันไป ถ้าเราทำของเราไปด้วยความไม่วิตกกังวลไง

แต่เริ่มต้นเราก็มีความวิตกกังวล อย่างนั้นก็จะผิด อย่างนี้ก็จะผิด ก็เริ่มต้น เริ่มต้นทำสิ่งใด มันคล้ายๆ จะแว็บไปจับไปฉวย มันคล้ายๆ มันคล้ายๆเพราะเราลังเลจดจ่ออยู่ตลอดเวลา เห็นไหม

เขาบอกว่า แต่ภาวนาอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพยายามของเขา ด้วยกำหนดลมชัดๆ ขึ้นมา เสร็จแล้วมันวางลงแล้วมันไม่หยิบฉวยจิตอะไรเลย มันเหลือแต่จิตอยู่น่ะ มันเหลือแต่จิต มันละเอียดมาก เหมือนไม่มีน้ำหนัก มันจับต้องอะไรไม่ได้ เหมือนเราไม่ได้ทำอะไร คล้ายๆ กับว่าไม่มีเรา รู้สึกมหัศจรรย์มาก แต่มันเกิดแว็บเดียว มันเกิดแว็บเดียว

ถ้ามันจะเป็นจริงจะเป็นอย่างนี้ ที่เราเวลาจะเป็นจริงๆ เป็นจริงคือว่ามันจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ อธิบายเป็นภาษาสมมุติแทบไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ จิตที่มันตั้งมั่น คำว่า “จิตที่ตั้งมั่น” จิตที่มันจะเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิบ่อยๆๆ จนมันตั้งมั่น พอมันตั้งมั่นปั๊บ เราจะฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา เราจะเข้าฝึกหัดใช้ปัญญา เราจะพยายามฝึกหัดในแนวทางสติปัฏฐาน 

ไอ้คำหนึ่งก็แนวทางสติปัฏฐาน  สองคำก็แนวทางสติปัฏฐาน แนวทางสติปัฏฐาน  มันต้องมีจิตเป็นพื้นฐาน จิตเป็นพื้นฐานคือจิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นพื้นฐานแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะเป็นแนวทางสติปัฏฐาน 

แต่เขาบอกว่าเขาเป็นแนวทางสติปัฏฐาน  เขานึกเอา นึกภาพกาย นึกเอาแล้วรู้เท่าทัน นึกเอา...นึกเอาๆ มันเป็นโลกียปัญญาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีสติปัฏฐาน  อยู่จริง มันเป็นสติปัฏฐาน  ด้วยเป็นโครงการ เหมือนกับเราเขียนโครงการอะไรขึ้นมาแล้วเราก็จะทำให้เป็นโครงการนั้น ปฏิบัติเป็นโครงการไง เขียนเป็นตำรับตำรามา เขียนเป็นทางวิชาการมา แล้วเราก็ปฏิบัติตามโครงการนั้น พอจบโครงการนั้นแล้วก็นี่ปฏิบัติธรรม แล้วได้อะไร ได้สูญเปล่า ไม่มีอะไรตกผลึกในหัวใจ มันไม่มีสิ่งใดเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คือได้สัมผัสๆ ไง

แต่เวลาเราทำของเราไป เขาบอกกำหนดของเขาไปๆ เวลามันเป็นจริงขึ้นมา เขาบอกมันมหัศจรรย์ๆ

คำว่า “มหัศจรรย์” เขารู้ของเขาเอง เขาเห็นของเขาเอง ถ้าเขารู้เขาเห็นของเขาเอง ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้ เพราะคำถามถามว่า ถ้าเขาภาวนาอย่างนี้ถูกหรือเปล่า จะล้างกิเลสได้หรือไม่

ความถูก ความผิด การปฏิบัติของเราก็มีฝึกหัดถูกผิดอยู่นี่เป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม เราศึกษามาๆ คนเรามีการศึกษา เป็นนักศึกษาก็พยายามประกอบธุรกิจส่วนตน ถ้ามันมีการศึกษาด้วย ประกอบธุรกิจด้วย ถ้าธุรกิจมันสร้างฐานขึ้นมาได้ เขาจบการศึกษามาก็ประกอบธุรกิจไปเลย ถ้าคนมีการศึกษา ศึกษาจบมาแล้วไม่มีงานทำ

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาๆ ปริยัติมีการศึกษา ศึกษาแล้วฝึกหัดปฏิบัตินี่ไง ถ้าใครทำธุรกิจ ใครทำสิ่งใดแล้ว การทำธุรกิจมันต้องเสียภาษี มันต้องมีทุน มันต้องมีลูกค้า มันต้องมีอะไร เขาจะต้องทำของเขาจนจบของเขาได้ เขาถึงมีกำไรขาดทุนของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษามา ศึกษาเป็นภาคปริยัติ ปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้ว เวลาผิดถูกอย่างไร เราก็ย้อนกลับไปสิ ทางทฤษฎี ทางการศึกษาว่าเราทำถูกต้องหรือไม่ แต่เวลาปฏิบัติในภาคปฏิบัติ การศึกษานั้นเป็นนามธรรม แต่การปฏิบัติมันลงมือลงแรงในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาก็เป็นจริงอย่างนี้

แล้วมันจะแก้กิเลสได้หรือไม่

ถ้ามันถูกต้องดีงาม สัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม มันก็แก้กิเลสได้ แต่เวลาสัมมาทิฏฐิในพื้นฐาน แต่มันมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ข้างหน้าไง เวลามิจฉาทิฏฐิขึ้นมา เราเคยทำได้อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ มันเป็นการจำอดีตมา การจำอดีตมามันก็ไม่ได้ มันต้องเป็นปัจจุบันๆ คนปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นแบบนี้ไง

นี่พูดถึงว่า เพราะเขาต้องการคำยืนยันว่าปฏิบัติถูกหรือเปล่า ล้างกิเลสได้หรือไม่

ปฏิบัติไป ระหว่างเดินก้าวหน้าไปมันก็มีผิดมีถูกไป เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉา มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ถูกต้องบ้าง ความเห็นดีงามบ้าง แล้วฝึกหัดจนกว่ามีความชำนาญของเรา ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐินะ ถ้ามันเป็นมรรคเป็นผล ได้ แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิมันก็ความเห็นของตนถ้าความเห็นของตน ตนพอใจ ตนเข้าใจ ก็ว่าเป็นถูกต้องดีงาม อย่างนี้ละกิเลสไม่ได้ ละกิเลสได้ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม นี่พูดถึงในการปฏิบัตินะ จบ

ประเด็นมันจะเข้าตรงนี้

ถาม : เรื่อง “ยกเลิกคำถาม

ฟังหลวงตาให้ตัดทิ้งดุ้นไฟ จึงหมายถึงจิตและอัตตานุทิฏฐิ รู้แต่ทฤษฎีแต่จะพยายามเดินตามหลวงตาไปให้ถึงที่สุด เดินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดก็จะถึงสักวัน ขอบคุณหลวงพ่อ

ตอบ : เห็นไหม ยกเลิกคำถาม ยกเลิกคำถามเรื่อง “ดุ้นไฟ

การยกเลิกคำถามแบบนี้มันเป็นการยกเลิกคำถามแบบเจ้าเล่ห์ คนเจ้าเล่ห์ คนไม่มีความสัตย์ ถ้าคนไม่เจ้าเล่ห์ เขาควรยกเลิกคำถามตั้งแต่เขาถามมาแล้ว เขาถามมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเรื่องดุ้นไฟ เพราะเขาถามมาเยอะ เขาถามมาเยอะ แล้วคำถามของเขามันเป็นคำถามที่มันไม่ใช่เป็นคำถาม

คำถามนี่มันหมายความว่า ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ใครปฏิบัติแล้วมันมีความผิดพลาด มันมีความสงสัยแล้วถามมา เราเห็นว่าอย่างนี้เป็นคำถาม แต่มันไปเอาคำพูดของเราเองในคำถามคำตอบของเรามาถามเป็นคำๆ แล้วถามมาๆ เห็นไหม ครั้งที่แล้วเราตอบไปแล้ว แล้วเราบอกอย่าถามมาอีกนะ แต่คราวนี้เขาเลยยกเลิกคำถาม

ยกเลิกแบบนี้เป็นการยกเลิกแบบเจ้าเล่ห์ มันไม่ได้เป็นการยกเลิกแบบความตั้งใจเจตนา ถ้ามันยกเลิกโดยความตั้งใจเจตนา มันควรยกเลิกตั้งแต่เขาถามมาตั้งแต่วันนั้น แต่นี่มันตอบไปแล้ว ถามมา  สัปดาห์ เราก็ตอบไป สัปดาห์ แล้วนี่มายกเลิกคำถาม ยกเลิกคำถาม ยกเลิกคำถามด้วยเจ้าเล่ห์ไง คนไม่มีสัตย์

ถ้าคนเขามีสัตย์ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านแสดงธรรม การแสดงธรรมการแสดงธรรมด้วยไม่เสียดสี ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ลำเอียงเพราะรักเพราะชังนี่เวลาการแสดงธรรมๆ การแสดงธรรมก็แสดงเพื่อประโยชน์ไง

เวลาหลวงตาท่านพูดของท่าน ท่านแสดงธรรมของท่านเป็นหน้าที่ของท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นศากยบุตร เป็นศาสนทายาท เป็นภิกษุ เป็นผู้สืบต่อศาสนา ท่านแสดงธรรมเป็นหน้าที่ของภิกษุ นี่ท่านได้ทำหน้าที่ของท่าน ทีนี้เวลาผู้ที่ฟังแล้ว เป็นหน้าที่ของเราที่จะย่อยไง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ท่านประกาศธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม พอประกาศธรรมครั้งแรก พอประกาศธรรม เป็นหน้าที่ของท่าน เพราะท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เวลาปัญจวัคคีย์ฟังธรรมๆ ปัญจวัคคีย์ฟังธัมมจักฯ อยู่ นี่เป็นหน้าที่ของพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นหน้าที่ของพระมหานาม เป็นหน้าที่ของพระอัสสชิ

พวกพระอัสสชิ หน้าที่ของท่าน ท่านทำไม่ประสบความสำเร็จ แต่หน้าที่ของพระอัญญาโกณฑัญญะท่านย่อยสลาย ท่านย่อยสลายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเป็นปัญญาของท่าน พอเป็นปัญญาของท่านท่านมีดวงตาเห็นธรรม พอท่านมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลื้มใจมากเลย

นี่ท่านทำหน้าที่ของท่าน ท่านแสดงธรรมของท่าน เป็นหน้าที่ของท่านแต่หน้าที่ของผู้ฟังมันต้องย่อยสลายธรรมนั้น ถ้าย่อยสลายธรรมนั้นขึ้นมามันก็เป็นปัญญาของผู้ย่อยสลายธรรมนั้นได้ ถ้าย่อยสลายธรรมนั้นได้มันก็เป็นปัญญาอันนั้น นี่พระอัญญาโกณฑัญญะ อันนี้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง

แต่นี้ยกเลิกคำถาม ยกเลิกคำถามต่อเมื่อโดนด่าไปแล้วน่ะ ถ้ามันโดนด่าไปแล้วเป็นการยกเลิกแบบเจ้าเล่ห์ แล้วเจ้าเล่ห์ ไม่เจ้าเล่ห์ธรรมดานะ ไม่เจ้าเล่ห์ยังบอกว่า เพราะคำถามมันบอกว่าเป็นอัตตานุทิฏฐิ มันว่าดุ้นไฟๆ

แล้วอัตตานุทิฏฐิ มันก็เป็นคำพูดเราทั้งนั้นน่ะ เพราะเป็นคำพูดเราเพราะเราศึกษามา เราศึกษา มันอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วมันแบบว่ามันกินใจกินใจเราก็เอามาแสดงธรรม แล้วเขาก็ไปฟังไปค้นคว้า มันก็มีทางทฤษฎีนั่นแหละ มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเป็นคุณสมบัติของใคร ใครปฏิบัติแล้วมันได้ผลมากน้อยแค่ไหน

แต่นี้มันไปจำมาน่ะ แล้วเขียนมาจะให้ยืนยัน

ยืนยันเราก็ไม่ยืนยัน เราใช้คำว่า “ธรรมาธิษฐาน” ธรรมะไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาเป็นตัวอย่าง เอามาเป็นแบบอย่างธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐานไง เราไม่ผูกมัดกับใคร ไม่ผูกมัดทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นความเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์แสนกล มีความรู้ความเห็นอย่างไรก็จะให้คนอื่นยอมรับ แล้วถ้าคนอื่นไม่ยอมรับนะ ก็เลยเป็นหมาจิ้งจอก

หมาจิ้งจอกนะ มันเที่ยวล่า ล่าสัตว์ ล่าอาหารของคนอื่น แล้วมันก็ไปขุดหลุมฝังไว้ ไอ้พวกจิ้งจอก ธรรมะจิ้งจอก ความเห็นของเขาไง ถ้าไอ้พวกหมาจิ้งจอกมันไม่เป็นประโยชน์ไง ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์แล้ว สิ่งที่มันเป็นทิฏฐินะ เป็นทิฏฐิเป็นความเห็นของตน ถ้าเป็นทิฏฐิความเห็นของตน ถ้ามันเป็นคุณประโยชน์มันก็เป็นคุณประโยชน์ ไอ้นี่มันเป็นหมาจิ้งจอก หมาจิ้งจอกมันเจ้าเล่ห์มาก มันเที่ยววิ่งต้อนหน้าต้อนหลังจะไปลักไข่ของสัตว์อื่น สัตว์อื่นเขามีสิ่งใดแล้ว มันก็เที่ยวไปขโมยของเขา นี่ไอ้ความเป็นหมาจิ้งจอกไง

ฉะนั้น เวลาเรานักปฏิบัตินะ เราไม่ไปขโมยของใคร เราไม่ไปลักของใคร เราฟัง ฟังเป็นคติธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ได้พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นองค์แรก แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมต่อไปพระปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบันทั้งหมด แสดงอนัตตลักขณสูตรขึ้นมาปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ได้ปัญจวัคคีย์ ไปได้ยสะ ได้เพื่อนของยสะ๖๑ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” กระจายเผยแผ่ธรรมออกไปเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เขามีสัตย์ เขามีสัจจะ เขามีความจริงในใจของเขา เขาไม่ไปขโมยของใคร เขาไม่ไปหยิบฉวยของใคร เขาไม่ใช่จิ้งจอก ไอ้พวกจิ้งจอกมันจะไปขโมยของเขา แล้วพยายามจะให้คนอื่นยอมรับไง

นี่ไง คำว่า “ยกเลิกๆ” ยกเลิกอย่างนี้มันยกเลิกด้วยความเจ้าเล่ห์ มันไม่มีสัตย์ ถ้ามันมีสัตย์มีความจริงขึ้นมามันก็จะมีสัตย์มีความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์ไง นี่มันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ มันเห็นความเจ้าเล่ห์ ความเจ้าเล่ห์แสนงอนของเขา ถ้าความเจ้าเล่ห์แสนงอนของเขา

เราสั่งไปเองว่าอย่าเขียนมา มันเขียนมาด้วยความไม่เป็นประโยชน์ มันไม่เป็นประโยชน์เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นความเห็นของคนคนเดียวความเห็นของคนคนเดียว แล้วคนคนเดียวเขียนมา เขียนมาเพื่อเอาประโยชน์กับตน เอาประโยชน์กับตนเสร็จแล้ว พอไม่ได้ดั่งใจ เพราะเริ่มต้นมา เขาเขียนมามันน่ารำคาญ มันน่ารำคาญเพราะว่าสิ่งที่เขาแสดงไปแล้วมันเพื่อประโยชน์ มันเป็นหน้าที่เพื่อประโยชน์กับสังคม ใครได้ประโยชน์มากน้อยก็เอาไป ถ้าเขาได้แล้วเขาไปขยายความของเขา แล้วเขาปฏิบัติของเขามันได้ผลประโยชน์ไม่ได้ผลประโยชน์นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่ไม่มีเลย มันถามมาตรงตัวอักษรเลยทั้งดุ้น คือมันจับมาเป็นเรื่องนั้นแล้วก็ถามมาเรื่องอย่างนั้นน่ะ มันไม่ได้ย่อยสลายเลย มันไม่ได้ทำความเข้าใจเลย มันไม่มีปัญญาของเขา ไม่มีความเห็นของเขาเลย

เราได้อะไรมานะ เราก็ไปคิดใช่ไหม เวลาเราคิด เราพิจารณาของเราใช่ไหม เราก็มีความรู้สึกของเรา เรามีความเห็นของเรา เราถามมา เอออย่างนี้ยังควร

ไอ้นี่ก็คำพูดของเรานั่นแหละ ถามมาตรงๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่มีอะไรของเขามาเลย แล้วถามซ้ำถามซากมา - ครั้ง ครั้งที่แล้วก็เลยบอกว่าอย่าเขียนมาอีกนะ วันนี้เขียนมายกเลิกคำถาม ยกเลิกคำถามที่ตอบไปแล้วไงแล้วอย่างนั้นที่ตอบไปแล้วเป็นผลงานของใครล่ะ แล้วนี่เขายกเลิกคำถามเราเห็นแล้วมันเศร้าไง ไม่ต้องยกเลิก ไม่ต้องเขียนมามันก็จบ ไม่ต้องเขียนมา

เวลาพระเรานะ เวลาธุดงค์ไป เวลาไป พระเรานี่นะ ถ้าพรรษายังไม่พ้นนิสัย ถ้าไม่ขอนิสัย ถ้าเกิน  วันไปแล้วจะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เขายังให้นะพระไปเห็นครูบาอาจารย์ที่เราได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของอาจารย์องค์นี้ แล้วเราก็จะไปประพฤติปฏิบัติกับท่าน เราก็ไปอยู่กับท่าน ให้อยู่ด้วยกัน  วัน ให้ดูนิสัยกันก่อน ถ้านิสัยเข้ากันไม่ได้ เราต้องเก็บของของเราออกไป เก็บของของเราออกไป ถ้าเราทนอยู่ เราก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทุกวันพระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ๆ แต่ถ้าเราขอนิสัยก็จบ

เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังไม่ผูกมัดเลย ท่านจะให้ทดสอบกัน ให้ดูแลกันก่อน ถ้ามันเข้ากันได้ถึงเข้ากันได้ ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็แยกกันไป

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน นี่ไง เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักกัน เขียนมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นนามปากกาของใครก็ไม่รู้ หรือนั่งอยู่นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เขียนมาถามอยู่อย่างนี้ เขียนแล้วเขียนเล่าแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม คนที่เขาขนาดไปอยู่ร่วมกัน ถ้านิสัยใจคอเขาเข้ากับใครไม่ได้ เขายังต้องเก็บของไปเลย นี่พูดถึงธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านะ

ไอ้นี่เขียนมา เขียนมาจะให้ยอมรับเรื่องอัตตานุทิฏฐิว่ามันหมายถึงอย่างนั้น...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเอ็งล่ะ มันก็ดุ้นไฟ ก็เราพูดของเรา ดุ้นไฟน่ะแล้วมันเกี่ยวอะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะเราตอบไปแล้ว เอ็งมายกเลิกคำถามเอ็งอ่านคำถามแล้วเอ็งถึงมาตอบอีก กูตอบไปแล้ว เอ็งก็อ่านแล้ว แล้วเอ็งก็เขียนมายกเลิก

มันรับไม่ได้ตรงนี้ไง มันรับไม่ได้ที่ว่า เทศน์เมื่อเช้านี้ไง รูป รส กลิ่นเสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส คนนะ ความคิดของเรากับร่างกายของเรา ธาตุ และขันธ์  ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ กิเลสมันคือตัณหาความทะยานอยากในใจของคนต่างหาก

คนเรานะ ดูเวลาหลวงตาท่านแสดงธรรม เราอยู่กับท่านนะ เต็มศาลาเลย ท่านใส่เปรี้ยงๆ เลยนะ แล้วท่านคิดว่า กลัวว่ามันจะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ฟังไง ท่านบอกว่า ไม่ได้ว่าใครเลยนะ บนศาลานี้ทั้งศาลาไม่ได้ว่าใครเลยว่าไอ้นู่นน่ะ ฝั่งโขงฝั่งนู้นน่ะ ว่าไอ้ฝั่งโขงฝั่งนู้นน่ะ

ท่านกลัวเราไปคิดแล้วมันเสียใจไง แต่ความจริงท่านไม่ได้ว่า ท่านสงสารลูกศิษย์ของท่านมาก แต่พวกเราไม่ทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ท่านเตือนไง เตือนให้เราเท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรานั่นน่ะ นั่นน่ะไอ้กิเลสอันนั้นน่ะท่านติอันนั้น แต่ท่านไม่ได้ติความคิด ไม่ได้ติธาตุ  ของเรา

เพราะธาตุ  และขันธ์  ถ้าคนตายแล้วไม่มีจิต มันก็เป็นมีกิเลส ศพไม่มีกิเลส แต่ยังเป็นๆ อยู่นี่ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ มี แล้วความคิดมันก็ไม่ใช่เป็นกิเลส ถ้าความคิดบวกก็เยอะแยะไป แต่เวลาที่กิเลสมันท่วมท้นมาน่ะ นี่ไงท่านถึงบอกว่า ธาตุ  ขันธ์  ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่กิเลส

พระอรหันต์ก็มีธาตุ  ขันธ์  เหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีธาตุ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน นิพพาน เวลาฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน ฉันอาหารของนายจุนทะถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์คือธาตุ  และขันธ์  นี่ไง เวลาท่านทิ้งธาตุ  และขันธ์  นั่นน่ะอนุปาทิเสสนิพพาน เวลาฉันอาหารของนางสุชาดานั่นถึงซึ่งกิเลสนิพพานเพราะสิ้นกิเลสนะ ฉันอาหารของนางสุชาดา วันนั้นท่านตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาฉันอาหารของนายจุนทะครั้งสุดท้าย แล้วท่านก็ละขันธ์ของท่าน นี่ขันธนิพพาน

ขันธนิพพาน เพราะพระอรหันต์ พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีก็มีความคิด เพราะท่านเทศนาว่าการ ความคิดทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่พูดออกมานั่นน่ะก็ความคิดของท่าน ท่านแสดงธรรมออกมา มีกิเลสไหมไม่มีเลย ธาตุของท่านมีกิเลสไหม ไม่มีเลย

ธาตุ  ขันธ์  ไม่ใช่กิเลส แต่ถ้าคนมีกิเลส มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีหมดเลย มีกิเลสหมดเลยเพราะอะไร เพราะมันอยู่ในจิตใต้สำนึก มันอยู่ฐีติจิต มันออกมามันอยู่ที่พลังงานตัวนั้นเลย มันออกมาหมดเลย มันก็เลยเป็นกิเลสหมดเลยไง นี่เวลาท่านเตือน เตือนอย่างนี้

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อย่าให้เป็นจิ้งจอก เพราะความจิ้งจอก เพราะอะไรเพราะว่าเราต้องมีศีลมีสัตย์ เวลาคนเรามีศีลมีธรรมนะ คนมีสัตย์ คนมีสัตย์น่ะ พระเรา ครูบาอาจารย์เราท่านมีสัตย์นะ ท่านตั้งใจทำสิ่งใดท่านต้องทำอย่างนั้น ท่านนั่งตลอดรุ่ง ตลอดรุ่ง พอท่านตั้งสัจจะปั๊บ ต้องทำอย่างนั้นเลยต้องเต็มที่เลย ครูบาอาจารย์เราเป็นอย่างนี้ ต้องมีสัตย์ ถ้ามีสัตย์ขึ้นมาแล้วมันก็จะมีธรรม ถ้าไม่มีสัตย์มันก็อสัตย์ ถ้าธรรมะก็เป็นอธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความชอบธรรม ธรรมะชอบธรรม

ไอ้นี่มันไม่ชอบธรรม เป็นอกุศลน่ะ มันเป็นอกุศล เพราะการเขียนมามันไม่มีอะไรหรอก แต่พอเขาตั้งใจมา ไอ้ความตั้งใจเจตนา เรารังเกียจตรงนี้รังเกียจว่านี่มันเจ้าเล่ห์ มันจิ้งจอก ยกเลิกคำถาม

ถ้ามันยกเลิกมันต้องยกเลิกตั้งแต่เอ็งเขียนมาครั้งแรกหรือยกเลิกตั้งแต่วันนั้น ถ้าเอ็งเขียนมาแล้วยกเลิกตามมา

นี่มียกเลิกคำถาม - คำถาม เขาเขียนมาแล้วเขายกเลิกมาพร้อมเลย- คำถามยกเลิกอยู่นี่ เออเราเขียนไปแล้วเราไม่แน่ใจ เราก็ยกเลิก มียกเลิกคำถามอยู่เป็นประจำ แต่ไอ้นี่ยกเลิกคำถามมา ตอบไป  อาทิตย์เพิ่งมายกเลิกคำถาม แล้วยกเลิกคำถาม ยังยืนยันนะว่าจะไปฟังหลวงตา

เชิญตามสบาย แม้แต่เป็นพระด้วยกัน เวลานิสัยไม่ตรงกัน เขายังต้องให้ดูต่อกัน ฉะนั้น เราไล่คนออกไปเยอะ บอกอย่างนี้เลย คนที่มาทำนอกลู่นอกทาง เราไล่ออกไป แล้วพยายามจะกลับมา เราบอกว่า พระเยอะแยะไปวัดในเมืองไทย โธ่ลูกศิษย์ของหลวงตาเยอะแยะ ไปเลย เชิญตามสบายเชิญตามสบาย วัดเรามันเป็นวัดของคนทุกข์คนยาก ไม่ใช่วัดที่รื่นเริงของใคร เชิญตามสบาย เชิญเลยตามสบาย แม้แต่มายังไม่ให้เข้า เว้นไว้แต่แอบมา เวลามาน่ะทำอาจหาญนัก เวลาไล่ออกไป โอ๋ยเป็นคนดี เป็นคนดี...ดีขนาดไหน จบแล้ว จบแล้วคือจบ

คนยังเกิดอยู่ วันหนึ่งคนเกิดเท่าไร วันหนึ่งคนตายเท่าไร มันยังมีเยาวชนรุ่นใหม่อีกมหาศาล คนยังมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ามีเอ็งคนเดียวในโลกนี้ ยังมีการเกิดอยู่เรื่อยๆ ศาสนายังจะต้องดำเนินต่อไป ผู้ที่เกิดมาแล้วถ้ามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เขาจะถึงซึ่งพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ถึงอย่างเอ็ง เป็นเจ้าเล่ห์จิ้งจอก เป็นการลัก เป็นการขโมย เป็นการยึดมั่น แล้วจะเอามายืนยันกับเรา...ไร้สาระ ไร้สาระ อธรรม เอวัง