เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราแสวงหา แสวงหากันอย่างนี้ เราแสวงหาสัจธรรม สัจธรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่คืออริยสัจ นี่คือสัจจะความจริง แก่นของศาสนาอยู่ตรงนี้ แต่พวกเรามันเข้ากันไม่ถึงไง
แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา อจินไตย ๔ พุทธวิสัยรู้รอบขอบชิด รู้ไปหมด อนาคตังสญาณส่องไปในหัวใจของสัตว์โลกนี้กระจ่างแจ้งหมด แล้วรู้ว่าคนที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องสร้างอำนาจวาสนามา
อยู่ในอภิธรรม พระอรหันต์ต้องสร้างมาแสนกัปอย่างน้อยถึงจะเป็นพระอรหันต์ คือต้องมีอำนาจวาสนาบารมีพอ ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีพอ เวลาเทศนาว่าการไป เขาจะมีความเข้าใจของเขา
แล้วอย่างพวกเราลุ่มๆ ดอนๆ ทุกข์ๆ ยากๆ มา มันเข้าถึงสัจจะอันนั้นไม่ได้ ถ้าเข้าถึงสัจจะอันนั้นไม่ได้ ท่านถึงได้วางทาน ศีล ภาวนากันไว้ไง ถ้าวางทาน ศีล ภาวนาไว้ วางทานไว้เพื่ออะไร เพื่อสัจธรรม ให้การฝึกหัด ให้การเสียสละของเราเพื่อให้หัวใจมันเปิดกว้างขึ้นมา ถ้ามันฟังธรรมๆ ขึ้นมา มันจะได้เข้าใจของมัน
ถ้าเป็นสัจจะความจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์นี่คือมรรค วิธีการดับทุกข์ที่เราแสวงหากันอยู่นี่ เราแสวงหาวิธีการดับทุกข์ แต่เราแสวงหาไม่ได้ไง เราแสวงหาไม่ได้ เราเข้าใจ เข้าใจโดยอวิชชา โดยความไม่รู้ เข้าใจโดยความไม่รู้มันเข้าใจได้อย่างไร ความไม่รู้เข้าใจได้อย่างไร ความไม่รู้คืออวิชชา
ดูสิ เวลาทางโลกเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความผิดพลาดโดยความไม่รู้ เราให้อภัยกันๆ เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาไม่รู้ นี่อวิชชาๆ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะความจริงอันนั้นมันสุดยอด แต่ของเรา เราเข้าไม่ถึงๆ ดูสิ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นเจ้าของสวนๆ เจ้าของสวนไง เวลาคนอื่นจะแสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามหมด เพราะสิ่งนั้นมันไม่ใช่เข้าสู่ทางดับทุกข์ การดับทุกข์มันเรื่องของอริยสัจ เรื่องของสัจจะความจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
วิธีการดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้ามันสัจจะความจริงเข้ามาอย่างนี้ มันเข้ามาได้อย่างไรล่ะ เข้ามาดูสิ เราสื่อสารกัน เรายังเข้าใจกันไม่ได้เลย ฉะนั้น เวลาคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นผล กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันเป็นผลของเวรของกรรม ถ้าผลของเวรของกรรม เราเกิดมาร่วมกัน เรามาเป็นมนุษย์ด้วยกัน เวลาเป็นมนุษย์ด้วยกัน เหมือนในสวน ดูมะม่วง มะม่วงแต่ละสายพันธุ์มันแตกต่างกันแต่ละสายพันธุ์ๆ แต่มันก็เป็นมะม่วง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบัญญัติไว้นะ ห้ามอวดอุตตริมนุสสธรรม พวกเดียรถีย์ก็มาท้าลองๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับท้าเอง แล้วคฤหัสถ์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามคนอื่นทำๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำเองได้อย่างไร
เราเป็นเจ้าของสวน เราเป็นเจ้าของสวน เราไม่ให้คนอื่นเด็ดมะม่วงเรากิน แต่เราเด็ดมะม่วงเรากินได้ไหม เด็ดได้ เพราะเจ้าของสวนเด็ดได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา สวนมะม่วงๆ สวนมะม่วงเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาเราเกิดขึ้นมา เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เหมือนกัน แต่มะม่วงคนละสายพันธุ์ๆ มะม่วงคนละสายพันธุ์มันก็ใช้แตกต่างกันไป อย่างของเรา เราเป็นมะม่วงป่า มะม่วงป่า ทางโลกไม่มีใครสนใจเลย แต่มันอยู่ในป่าในเขาของมัน อยู่ในป่าลึกๆ เวลามันออกผลขึ้นมามันเป็นอาหารของสัตว์ สัตว์มันแสวงหา มันรู้ว่ามะม่วงออกเมื่อไหร่ มันรู้ว่ามะม่วงจะสุกเมื่อไหร่ มันจะไปแสวงหามะม่วงของมันไง แต่ของเรา เราต้องตัดแต่งสายพันธุ์ เราคัดเลือกให้หอมหวาน ให้กรอบ นี่เราคัดนะ แล้วมันได้ผลของเราไหม
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันเกิดจากสัจจะข้อเท็จจริงอันนั้น ถ้าเกิดจากข้อเท็จจริงอันนั้น เราเกิดมา เราเกิดมาโดยเวรโดยกรรมของแต่ละบุคคล เวรกรรมของเราสร้างมาแตกต่างกัน ความรู้ความเห็นของเราไม่เหมือนกัน ความรู้ความเห็นของเรา มุมมองของเราแตกต่างกัน แต่แตกต่างกัน แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะค้นหาหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เรื่องจริตนิสัย เรื่องความชอบนั่นเรื่องหนึ่ง ความชอบ ศรัทธาความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าความชอบใจอันนั้นเป็นความสุข เป็นความพอใจทั้งนั้นน่ะ อะไรขัดใจๆ เป็นทุกข์ไปทั้งนั้นเลย สิ่งที่ขัดใจ ไม่ชอบๆๆ ไอ้ไม่ชอบๆ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ
ดูสิ เวลาอาหาร อาหารที่มันชอบใจ โอ้โฮ! อร่อย อาหารอะไรที่มันปฏิเสธ แต่คุณค่าของอาหารล่ะ คุณค่าของอาหารที่มันเป็นโทษกับร่างกายหรือมันเป็นคุณกับร่างกาย ถ้าเราคัดแยกอย่างนั้น แต่ความชอบๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าเป็นความชอบ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ล่ะ เราจะหาความจริงกัน เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างนี้ ถ้าเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริงเป็นอริยสัจ
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกในโลกนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป แต่พวกเราปรารถนาความสุข ปรารถนาความสุข ปรารถนาตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นสัจธรรมเลย แต่เวลาเราปรารถนา เราก็ปรารถนาด้วยความเห็นของเรา ด้วยการประชาสัมพันธ์ทางโลก ด้วยความเชื่อถือกันในโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง เราแสวงหาปากกัดตีนถีบขึ้นไปเพื่อหาลาภหายศของเราไง แล้วมันอยู่กับเราคงที่ไหม ของมันเป็นของชั่วคราวๆ มันจริงตามสมมุติ มันไม่จริงหรือ เราสมมุติบัญญัติขึ้นมาให้เป็นจริง เงินทองขึ้นมาก็สมมุติทั้งนั้นน่ะ แต่เขาสมมุติขึ้นมาให้ใช้ได้จริงไง ถ้าใช้ได้จริง มันก็มีคุณค่าจริงไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเชื่อถือศรัทธาในทางโลกเขา โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เราแสวงหา เราปากกีดตีนถีบเพื่อสิ่งนั้นมา มันก็สมความปรารถนา แต่สมความปรารถนา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกล่ะ ชีวิตการครองเรือน วิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาเล็กๆ ตัวหนึ่ง จะได้ปลาเล็กๆ ตัวหนึ่ง เราจะวิดทะเลทั้งทะเลเลยนะ เพื่อปลาเล็กๆ ตัวหนึ่งนะ นี่ชีวิตการครองเรือน เราก็ปรารถนาความสุข
วิดทะเล ทะเลดูสิ ใครจะวิดกว่ามันจะแห้งได้ขนาดไหน เราจะลงทุนลงแรงขนาดไหนกว่ามันจะเหือดแห้งขึ้นมาแล้วได้ปลามาตัวหนึ่ง ชีวิตการครองเรือนทุกข์ยากอย่างนั้นน่ะ นี่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป แต่เราไปโฆษณากันว่ามันเป็นความสุขๆ ไง
ถ้าอย่างนี้แล้วทุกคนก็ไม่มีครอบครัวหมดเลย
จริงไหมล่ะ เป็นไปได้ไหมล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันล้นหัวใจของเรา สิ่งที่ล้นหัวใจของเรา ฉะนั้น ทางวิชาการถึงบอกว่ามันเป็นธรรมชาติ เรื่องกามราคะมันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมชาติไง แต่ถ้ามันเป็นธรรมชาติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีศีลมีธรรม ศีล ๕ คู่ครองของเรา เราไม่ผิดคู่ครองของใคร ถ้าเราไม่ผิดคู่ครองของใคร เป็นธรรมชาติแล้ว
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็ให้เรามีคู่ครองของเรา ถ้าคู่ครองของเราไม่ผิดลูกเมียของใคร ไม่ผิดศีล ๕ ถ้าศีล ๘ ศีล ๗ ถือพรหมจรรย์แล้ว ถ้าศีล ๑๐ ศีล ๑๐ ศีลสามเณร ศีล ๒๒๗ เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเรื่องของทานๆ เราก็แสวงหาของเรา ทำบุญกุศลของเรา ถ้าทำบุญกุศลของเรา พอบุญอันละเอียดเข้ามา เรื่องผู้ทรงศีลๆ ไง แล้วผู้ทรงศีลเกิดปัญญาไหม ถ้าผู้ทรงศีลไม่เกิดปัญญา ฤๅษีชีไพร ฤๅษีกินเหี้ยน่ะ นั่งสงบเสงี่ยมนะ เวลาเหี้ยมันเข้ามาใกล้ๆ พอใกล้ๆ ขึ้นมา เอาไม้ปาเพื่อจะฆ่ามัน เสียใจมากเลย ฤๅษีกินเหี้ย นี่ไง ฤๅษีผู้มีศีล ฤๅษีชีไพรเขาถือศีลของเขา แต่ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่งๆ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฝั่งตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ศาสนาสอนตรงนี้ ศาสนาไม่ได้สอนสมาธิ สมาธิเป็นเรื่องของฤๅษีชีไพรมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม พลังจิตๆ พลังจิตมันก็เป็นอภิญญาเท่านั้น แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา
เวลาสอนปัญญาๆ เกิดจากภาวนามยปัญญา ที่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็สอน สอนให้เห็นทุกข์ สอนให้เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ๆ มันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปไง ถ้าเราไร้สมอง ไร้สมองก็เป็นโลกียปัญญา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนเข้าใจได้หมดเลย เข้าใจได้หมดมันก็เป็นตรรกะ มันเป็นโลกๆ ไง ขนาดเรื่องโลกๆ เราตรึกในธรรมๆ มันยังเกิดความสลดสังเวชนะ ถ้าตรึกในธรรมๆ จนน้ำหูน้ำตาไหลได้เลยนะ เพราะมันสังเวช
นี่ก็เหมือนกัน โลกียปัญญาๆ ไง เพราะอะไร เพราะจิตมันยังไม่สงบไง ถ้าเราทำความสงบของใจ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิๆ อันนี้ สิ่งที่เป็นสมาธิไม่ใช่ฌานโลกีย์ไง ไม่ใช่เรื่องอภิญญาไง มันเป็นเรื่องสมาธิ เพราะสมาธิมันเป็นสากลไง จิตที่เป็นสากล จิตที่ไม่มีตัวตน จิตที่ไม่มีอวิชชาความไม่รู้ตัวของมันไง เราศึกษาธรรมะด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่องกันด้วยปากเปียกปากแฉะ ด้วยการท่องจำไง แต่ความจริงขึ้นมาในหัวใจมันไม่รู้ไง
ถ้ามันจะรู้ขึ้นมา เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมที่ดอยธรรมเจดีย์ ท่านเล่าให้พระฟัง มีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมากราบแล้วกราบเล่า มันกราบอะไรนั่นน่ะ กราบแล้วกราบเล่าเพราะบรรลุธรรมก็จบแล้ว มันกราบแล้วกราบเล่า มันกราบแล้วกราบเล่าเพราะมันซึ้งในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันมหัศจรรย์ลึกซึ้งขนาดนั้นน่ะ แล้วถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา ใครมันจะรู้ได้ ท่านรำพึงขึ้นมานะ ใครจะรู้ได้ ใครจะรู้ได้ ขนาดนี้ใครจะรู้ได้
แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบเข้ามาแล้ว ถ้ามันเกิดฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาเพราะอะไร ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ งานชอบๆ งานของใจไง ดูสิ เราอาบเหงื่อต่างน้ำหามา หามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยไง แต่เวลาปัญญามันเกิดๆ มันเกิด นี่ไง เหตุให้ดับทุกข์ๆ
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ๆ แล้วมันอยู่ที่ไหน ถ้าไปอ่านตำราๆ มันก็เป็นทฤษฎี เวลาจำมา จำมาก็เป็นสัญญา เวลามันจินตนาการขึ้นมามันก็เป็นจินตนาการ มันไม่เป็นความจริงสักอย่าง มันเป็นของที่เกิดขึ้น สัญชาตญาณเกิดขึ้นบนโลกนี้ไง
แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ มันเกิดมรรคผลขึ้นมาด้วยความจริงของมันขึ้นมา เวลามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา ศาสนาพุทธสอนที่นี่ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนเรื่องสมาธิ แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อฝึกหัดใช้ปัญญา เพื่อจะเกิดวิปัสสนา ถ้าเกิดวิปัสสนา นี่ปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในตัวตนของตนไง รู้แจ้งในจิตใต้สำนึกของตัว รู้แจ้งในสิ่งที่มันขับเคลื่อนไป รู้แจ้งสิ่งที่จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันไปอย่างไรล่ะ ถ้ามันรู้แจ้งขึ้นมาด้วยปัญญาของจิตดวงนั้น แล้วจิตดวงนั้นจะไปได้อย่างไรล่ะ ถ้าจิตดวงนั้นมันรู้แจ้งแล้ว ถ้าจิตดวงนั้นมันยังมืดบอดอยู่ มันก็ไปของมันไง
สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เพราะมันมืดบอดของมัน มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง แต่ถ้าเราฝึกหัดของเราๆ พระพุทธศาสนาสำคัญ สำคัญตรงนี้ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ก็ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง ถ้ามันตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใจนี้มันจะไปเกิดอีกไหม ใจดวงนี้ที่มันเวียนว่ายตายเกิดมันจะไปอีกไหม
แต่ของเรา เราสงสัยไหม เราสงสัยไหมว่าเรามาจากไหน แล้วเราจะไปไหน ก็กลับบ้านไง กลับบ้านไปเฝ้าสมบัติของตนไง นี่มันคิดได้แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุที่เราสัมผัสได้ไง แต่มันไม่คิดถึงหัวใจของตนล่ะ ทำไมไม่สงสารใจของตนล่ะ ทำไมไม่รู้ว่าเรามาจากไหน มาทำไม แล้วจะไปไหน
แต่ถ้ามันมีสติปัญญา พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธศาสนามีคุณค่ามาก ดูสิ จะเข้าพรรษาอยู่แล้วนะ พระเรามาบวช มาบวชเพื่ออะไร บวชเพื่อค้นคว้า บวชเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตนได้แล้ว จะเอาใจของตนพิจารณา จะเอาใจของตนสำรอกคายไอ้ความไม่รู้ ไอ้อวิชชานั้นน่ะ พอมันคายสำรอกความไม่รู้อวิชชาไปแล้ว มันสว่างกระจ่างแจ้งกลางหัวใจ จิตใจนี้มันสว่างโพลง มันไม่มีการไปและไม่มีการมา ถ้ามีการนับอยู่ เป็นของคู่ โลกนี้เป็นของคู่หมด มืดคู่กับสว่าง ทุกข์คู่กับสุข มันมีการเกิดและมีการตาย ที่ไหนมีการเกิดต้องมีการตาย แล้วถ้ามันรู้แจ้งของมัน ถ้ารู้แจ้ง มันเกิดจากไหนล่ะ เกิดจากฟังธรรมๆ
เราอาบเหงื่อต่างน้ำมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ การเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คนที่มีสติมีปัญญาเสียสละไปเพื่อเป็นทานฝึกหัดใจของตน ฝึกหัดใจของตนแล้วถามถึงหัวใจของตนสิ ถามถึงเรา เรารักเราไหม เรารักเราไหม เราเบื่อความทุกข์ไหม ถามหัวใจของตน แล้วถ้ามันเบื่อความทุกข์ มันทุกข์มันยากอยู่นี่ แล้ววิธีการจะออกจากทุกข์มันทำอย่างไรล่ะ เราก็แสวงหากันทั่วเลย
พระบวชแล้วก็ออกไปธุดงค์ไปในป่าในเขา แล้วไปทำไมน่ะ ไปหาใจของตน ไปหาสัปปายะไง ถ้าอยู่ในสังคมมีความอบอุ่น คนนั้นจะดูแลคนนี้ คนนี้จะดูแลคนนู้น ฝากชีวิตไว้กับคนนั้น ฝากชีวิตไว้กับคนนี้ ฝากเขาไปทั่วเลย เวลาเข้าป่าไปแล้วฝากใคร ฝากกับต้นไม้หรือ เผลอๆ เดี๋ยวเสือจะคาบหัวไปกินน่ะ คืนนี้ถ้าผิดศีล ทุศีล คืนนี้เดี๋ยวพวกผีเปรตจะมาหลอกลวง มันด้วยความอยู่คนเดียวไง พออยู่คนเดียว สภาวะแวดล้อมมันบีบบังคับไง ทั้งตกใจ ทั้งกลัวไปหมด ถ้าคนไม่เคย ถ้าเราไปถึงอย่างนั้นแล้วมันต้องค้นหาตัวเราเองแล้ว
สิ่งที่จะพึ่งได้ เวลาพระเราไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปธุดงค์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากเลย ให้อาวุธไป ให้พุทธะ ให้ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ถ้าเธอกลัวผีให้ระลึกถึงพุทโธ ถ้าไม่หายให้ระลึกถึงธัมโม ให้ระลึกถึงสังโฆ เพราะเราไปอยู่คนเดียว เราไปอยู่คนเดียว เราไปในที่สงบสงัดแล้วมันไม่มีสิ่งใดเป็นพึ่งอาศัยแล้ว มันต้องอาศัยตัวเราแล้ว
ตัวเรา เพราะเราตั้งใจมาก็ตั้งใจจะมาค้นหาใจดวงนี้แหละ ถ้ามาแล้วมันไม่มีสิ่งใดที่จะไปพาดพิงแล้ว จิตจะพึ่งใครไม่ได้แล้ว มันจะพึ่งพรรคพวกเพื่อนฝูงพึ่งใครไม่ได้หมดเลย มันต้องพึ่งตัวมันเอง แล้วพึ่งตัวเองก็พึ่งไม่เป็นอีก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้อาวุธ ให้วิธีการไง ให้ระลึกถึงพุทโธๆๆ พุทโธจนสงบเข้ามา โอ้โฮ! ใครกลัว กลัวเรื่องอะไร มันสว่างโพลงอย่างนี้มันจะไปกลัวอะไร แล้วอะไรเกิดอะไรตาย โกหกทั้งนั้น ถ้ามันสว่างโพลงขึ้นไป นี่ไง ที่เราไปหาๆ กัน ที่ว่าเราไปธุดงค์กัน จะเข้าพรรษากันอยู่แล้ว จะเข้าพรรษาแล้วเขาจะฝึกหัดๆ ฝึกหัดอย่างนี้ ฝึกหัดค้นหาใจของตน ถ้าค้นหาใจของตนเจอพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจของเราแจ่มแจ้ง หัวใจของเราน่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตรัสรู้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เราก็ทำได้ เพราะอะไร เพราะต้นทุนคือจิตของเรา ต้นทุนคือความรู้สึกของเรา ความรู้สึกทุกข์ๆ ยากๆ ศาสนาจะขัดกล่อม ศาสนาจะขัดเกลาให้ดีขึ้น แล้วศาสนามันอยู่ไหนล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ไหน เราต้องฝึกหัดของเราขึ้นมาใช่ไหม สติเรายับยั้งขึ้นมาใช่ไหม เราหาอาวุธของเรา เราไปทำของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้หมดแล้ว แต่พวกเรามองข้ามกันไปหมดเลย ถ้าไม่มองข้ามขึ้นไป เราทำของเราอย่างนี้ ทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเราๆ ถ้าเป็นสมบัติของเรา มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกลางหัวใจดวงนี้ มีคุณค่า มีคุณค่าที่นี่
เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้ามีคุณค่า มีคุณค่าเพราะใจเราเป็นพุทธะ เพราะใจเรามันถึงศาสนาไง เรามีธรรมเป็นที่พึ่งไง เรามีคุณค่าขึ้นมาที่นี่ไง เกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐ ใจประเสริฐไหม ฝึกหัดมันๆ ทั้งๆ ที่ใจของเรา ทุกคนก็รักตัวเองทั้งนั้นน่ะ เราฝึกหัดใจของตนให้มันประเสริฐขึ้นมา ถ้ามันประเสริฐขึ้นมา เราจะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่เสียชาติเกิด เอวัง