เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ส.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันสำคัญ วันสำคัญเพราะวันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ วันแม่แห่งชาตินะ ทุกชนชาติเขามีวันแม่เหมือนกัน แต่มันคนละวันกันไง วันของเราวันแม่แห่งชาติคือวันเกิดของสมเด็จพระนางเจ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านมีลูกของท่าน มีหลานของท่าน แล้วเวลาพวกเราชาวไทยมีความทุกข์ความยากเขียนฎีกาไปถวาย พอเขียนฎีกาไปถวาย ท่านรับไว้ ท่านรับไว้ ท่านดูแล

พอวันแม่แห่งชาติ เราดูข่าวพ่อแม่เลี้ยงลูกที่พิการ เลี้ยงลูกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วพ่อแม่ก็ไม่มีอาชีพ ลูกก็เลี้ยงพ่อแม่ พ่อแม่ที่พิการต่างๆ มันเป็นสายใยไง เวลาวันแม่แห่งชาติๆ มนุษย์ คนเกิดมามีชีวิต ชีวิตนี้มาจากไหน มาจากพ่อจากแม่ไง ดื่มเลือดในอกนะ อยู่ในครรภ์ดื่มเลือดในอกนะ โตมาแล้วดื่มน้ำนมก็น้ำเลือดของแม่ เราดื่มน้ำเลือดในอก เรามีชีวิตขึ้นมา ถ้ามีชีวิตขึ้นมาแล้ว ชีวิตนี้มันมีค่า มีค่าที่ไหนล่ะ มีค่าเพราะความรู้สึกนี้

เวลาวันแม่แห่งชาติ เวลาเขาจัดกัน เขาจัดงานให้ลูกล้างเท้าแม่ กอดกันร้องไห้ มันตื้นตันใจไง มันมีสิ่งใดเราคุยกันได้ ถ้าอยู่ด้วยกันคุยกันเองไม่ได้ คุยด้วยกันเอง แม่ก็เข้าใจผิดลูกไปอย่างหนึ่ง ลูกก็เข้าใจแม่ไปอย่างหนึ่ง มันต่างวัย มันเป็นไปโดยวัยๆ ไง วันนี้เป็นวันโอกาส โอกาสที่เราได้สารภาพกัน ได้คุยกัน ได้เจือจานกัน เวลามันสะเทือนใจ น้ำหูน้ำตาไห ลมันปลื้มใจ นี่ความรักความผูกพัน

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านบอกนะ เวลาท่านบรรลุธรรม น้ำตาล้างภพน้ำตาล้างชาติ มันหลั่งไหลออกมาล้างภพชาติ ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว นี่เวลาน้ำตาของพระอรหันต์นะ ความเป็นพระอรหันต์อันนั้นธรรมสังเวชไง มันสังเวชในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แล้วท่านบากบั่นของท่าน ท่านบากบั่นของท่านถึงที่สุดของท่าน ท่านบอกน้ำตามันแตกพรากออกมาเลยนะ นี่น้ำตาที่ล้างภพล้างชาติไง

วันแม่แห่งชาติๆ ความเข้าใจผิดกัน ความบาดหมางกัน น้ำตาอย่างนี้น้ำตาผูกโกรธ น้ำตาในความสะเทือนใจมันน้ำตาของโลก น้ำตาของโลก น้ำตาของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยาก

แต่เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป เวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ร่างกายของคน ร่างกายของคน ๗๐ ส่วนเป็นน้ำ ร่างกายของคน เวลามันสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจ หัวใจมันหวั่นไหว หวั่นไหว โลกธาตุมันหวั่นไหว ร่างกายนี้หวั่นไหว สะเทือนหัวใจไปหมดไง พอสะเทือนหัวใจไปหมด เวลาท่านพูด ขันธ์มันทำงานๆ มันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนขันธ์ไง แล้วมันก็พรั่งพรูออกมา แต่การพรั่งพรูอย่างนั้นมันพรั่งพรูด้วยความปีติ พรั่งพรูโดยความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันลึกซึ้งๆ

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆ แต่มันวิมุตติสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประกาศธรรมๆ ไป ปัญจวัคคีย์ปฏิบัติธรรมเป็นพระอรหันต์ไป ยสะเป็นพระอรหันต์ไป ชฎิล ๓ พี่น้องเป็นพระอรหันต์ไป เอหิภิกขุบวชให้เอง เลี้ยงดูเอง บวชเองคือคลอดเอง ให้กำเนิดเอง แล้วฝึกหัดเอง บำรุงรักษาเองจนเป็นพระอรหันต์ไปๆ นี่พระอรหันต์ของในพระพุทธศาสนาไง

แต่พ่อแม่เราเป็นพระอรหันต์ของลูกนะ เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เราก็มีกิเลสใช่ไหม พ่อแม่เราก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม บางทีพ่อแม่ก็รุนแรงไปกับเราบ้างใช่ไหม พ่อแม่ดูแลเรา เราก็เหมือนกันไง นี่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ก็ยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ มันเป็นเรื่องของโลกๆ ไง ถ้าเรื่องโลกๆ ถ้ามันเป็นความสำคัญๆ ศาสนาสอน สอนให้มีกตัญญูกตเวทีไง เป็นเครื่องหมายของคนดีๆ สิ่งใดชีวิตนี้ได้มา แก้วแหวนเงินทอง สิ่งที่ท่านกระทบกระเทือนมันเล็กน้อยๆ เล็กน้อยทั้งนั้นน่ะ เวลาคลอด ถ้าคลอดออกมานะ ถ้าคลอดไม่ได้ ท่านก็ตาย ต่างคนต่างต้องสละชีวิตนะ เราผ่านจากช่องคลอดกันออกมา เราเอาชีวิตรอดมาได้ไง ชีวิตรอดมาได้ทั้งคู่ทั้งแม่ทั้งลูก ถ้ามันไม่รอดมามันก็ตายนะ นี่สละชีวิตให้กันมา สละชีวิตให้กันมาไง แล้วสละชีวิตให้กันมา สิ่งที่มีชีวิตมันมีค่า มีค่าที่ไหนล่ะ

มีค่า ดูสิ เวลาหลวงตาท่านระลึกถึงแม่ของท่าน ระลึกถึงพ่อของท่าน ท่านมาเอาแม่ของท่านมาบวช แต่พ่อของท่าน ท่านกำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ พ่อของท่านเสียไปก่อนไง พอพ่อของท่านเสียไปก่อน นี่ระลึกถึงบุญถึงคุณ เวลาระลึกถึงบุญถึงคุณ สิ่งที่เป็นการกระทำอันนั้น ชีวิตนี้ได้มา ได้มาอย่างไร ถ้าได้มา เราได้มาทางโลก ได้มา เรามีชีวิต เรามีสติปัญญาหรือไม่ เราจะกตัญญูกตเวทีพ่อแม่ของเราหรือไม่ ถ้าเรากตัญญูพ่อแม่ของเรา แล้วเราจะกตัญญูกับตัวเราหรือไม่ ถ้ากตัญญูกับตัวเรา ถ้าเราเป็นคนดีเสียอย่าง พ่อแม่ปลื้มใจหมดนะ พ่อแม่ก็ปรารถนา ก็ปรารถนาให้ลูกมีความสุขทั้งนั้นน่ะ มันจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เรื่องโลกช่างมัน ขอให้เราคุยกันรู้เรื่อง ขอให้เรามีความเข้าใจกัน ขอให้เราๆ พูดกันได้ เราสบตากันแล้วมีความสุข มันจะกัดก้อนเกลือกินมันก็มีความสุขของมันน่ะ ถ้าเรามีทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่มีแต่ความบาดหมาง มีแต่การกระทบกระเทือนกันไป มันมีประโยชน์อะไร ไฟทั้งนั้น เอาไฟมาเผาเราทำไม นี่ธรรมะสอนอย่างนี้ ธรรมะสอนอย่างนี้ เราถึงมีความกตัญญูกตเวที

เราพากันมา เขาโปรโมต เห็นไหม พาแม่ไปเที่ยวหรือเปล่า นี่เรามาวัด เราพาแม่มาวัด เรามาวัดมาวากัน มาวัดมาวา วัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติ ยิ้มแย้มแจ่มใสของเรา ให้ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ เพราะเวลาใจเย็นจากข้างนอก แต่ข้างในเป็นไฟทั้งนั้นน่ะ เพราะมันเป็นจริต โทสจริต โมหจริต โลภจริต จริตของคนไง ถ้าเป็นโทสจริต กระทบอะไรไม่ได้เลย มันพุ่งทันทีๆ เลย เราก็ฝึกหัดเอาๆ

นี่ไง เวลาพระอรหันต์ของเราอยู่ที่บ้าน พระอรหันต์ของเราจับต้องได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ดูสิ เวลาเขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไปอินเดีย ของเราพระปฏิบัติๆ จะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พุทโธ หัวใจของเราๆ หัวใจที่อยู่ หัวใจเราพุทโธ พยายามลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ พุทโธๆ จนละเอียดเข้ามาๆ คือว่ามันกลมกลืนกัน เริ่มต้นพุทโธมันจืดชืด พุทโธแล้วมันคิดไปร้อยแปดเลย พุทโธแล้วมันไปไหนก็ไม่รู้ แล้วกว่าจะมาพุทโธ ก็เราเชื่อมั่น เราเชื่อมั่นว่าพุทธะ พุทธานุสติ เราจะมีสติปัญญาของเรา แล้วมันทำไมไม่ชอบๆ ล่ะ

มันไม่ชอบหรอก มันชอบแสงสีเสียงนู่น มันชอบไปข้างนอกนู่น ก็บังคับเอาๆ พุทโธทีแรกมันก็ขัดๆ เขินๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันละเอียดเข้ามา พุทโธมันกลมกลืนกันนะ พุทโธกับจิตมันเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องพุทโธ มันระลึกในใจเลยล่ะ พุทโธๆ มันดังในใจเลยล่ะ นี่ไง มันกลมกลืนกัน กลมกลืนไป กลมกลืนกันจนมันละเอียดขึ้นไป มันปล่อยพุทโธจนเป็นตัวมันเอง

นี่ไง ชีวิตนี้ได้แต่ใดมา ปฏิสนธิจิตมันเกิดมาที่ไหน เวลาปฏิสนธิจิต จิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ แล้วกำเนิด ๔ ไม่มีใครดูแลรักษามัน เห็นไหม พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของลูก เรากลับบ้านกลับช่อง เรายังมีโอกาสได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ ได้ดูแลพ่อแม่ของเรา แล้วหัวใจของเราๆ เราจะดูแลมันอย่างไร นี่ไง ถ้ามันจะเป็นพระอรหันต์ มันจะเป็นพระอรหันต์ที่นี่ไง

ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา เวลาหลวงตาท่านคิดถึงพ่อถึงแม่ของท่าน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา ท่านระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาวางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยๆ ธรรมวินัย เพราะมันบากบั่นมา มันพยายามขวนขวายมา ดูสิ ในที่เจ้าชายสิทธัตถะออกไปค้นคว้าอยู่ พวกฤๅษีชีไพรในลัทธิต่างๆ เขาก็ว่าเป็นพระอรหันต์ๆ ไปศึกษากับเขา ฌานสมาบัติเขาได้กันทุกคนแหละ ฌานสมาบัติๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของสมาธินะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คำว่า “สมาธิ” กับ “ฌานสมาบัติ” ฌานสมาบัติมันก็เป็นเหมือนกับสมาธิอันหนึ่ง แต่มันมีช่องให้ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันเข้ามันออก มันเคลื่อนไหวไง มันเคลื่อนไหว มันเข้ามันออกไง

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามีสติปัญญาของมัน มันทรงตัวของมัน ถ้าจิตตั้งมั่นๆ จิตตั้งมั่น คนที่ตั้งมั่น ดูสิ นามธรรมๆ ที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี่ เวลาให้มันหยุดแล้วมันจะควบคุมอย่างไร แล้วถ้าสิ่งที่มันทำ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่จิตสงบแล้วมันสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ใครทำงานสิ่งใดก็เป็นของเราๆ เปิดบัญชีก็บัญชีของเรา ทรัพย์สมบัติก็เป็นของของเราไง เวลาภาวนา สมาธิของใคร “ว่างๆ ว่างๆ” ของใคร ของใคร

แต่ถ้าเป็นสมาธิของเรานะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! พูดไม่ออก มันเกิดที่จิต มันเกิดที่ปฏิสนธิจิตๆ ที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ เวลามันเป็นๆ ขึ้นมา เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง พุทธะๆ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเป็น มันเป็นกลางหัวใจ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านตรัสรู้ธรรม น้ำตาไหลพราก มันตื้นตันใจ มันตื้นตันใจ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมนะ ความปรารถนา ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนานะ เวลาออกมาจากเมือง เวลามาราชคฤห์ เวลามาพบกับพระเจ้าพิมพิสาร ให้กองทัพกลับไป กลับไปเอาคืน คิดว่าโดนเขาปฏิวัติมา โดนเขาขับไล่ออกมา

ไม่ใช่ ปรารถนามาหาพระโพธิญาณ

ถ้าอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติแล้วถ้ารู้แล้วให้กลับมาสอนด้วยๆ

สัญญากันไว้เลยนะ ให้กลับมาสอนด้วยๆ

สิ่งที่เวลาออกมานะ ออกมา ทิ้งสมบัติอย่างนั้นมา แต่เวลาได้ความจริงมา เสวยวิมุตติสุขๆ ความสุขความจริงอันนั้น ความสุขความจริงอันนี้ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ พระเจ้าพิมพิสารขอเลย ถ้าตรัสรู้แล้วให้มาสอนด้วย ถ้าตรัสรู้แล้วให้มาสอนด้วย เวลาจะไปสอน สอนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน มันก็เป็นเวรกรรมนะ

นี่พูดถึงว่าเวลาเราเกิด เราเกิดจากพ่อจากแม่ กตัญญูกตเวทีนะ แต่คนเกิด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ลูกของเราแต่ละคนความคิดไม่เหมือนกัน ความเห็นไม่เหมือนกัน ระหว่างภพชาติ จริตนิสัย พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมาด้วยกรรม

การกระทำดีๆ ทำดีย้ำคิดย้ำทำ ทำดีบ่อยๆ มันก็เป็นนิสัยของมัน ทำเลวบ่อยๆ มันก็เป็นนิสัยของมัน ความดีความเลวในจิตใจของคนมันมีมาแต่ละภพแต่ละชาติ ความที่มันแต่ละภพแต่ละชาติ มันตัดแต่งๆ มันมาเป็นจริตเป็นนิสัย ฉะนั้น เวลาจิตนี้มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาเป็นลูกของเรา แต่ละคนๆ นิสัย ความคิด ความรู้สึกถึงไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันอันนี้ จริตนิสัยๆ กรรมอันนี้มันจำแนกให้เกิดต่างๆ กันมา กรรมจำแนกให้เกิดต่างๆ กันมา แต่ถ้าเราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากำหนดพุทโธ จริตนิสัยใดก็แล้วแต่ ถ้าสงบเข้ามาแล้วเป็นสัมมาสมาธิอันเดียวกันหมด ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิเหมือนกันไง แต่ถ้าเป็นสมาธินะ ถ้าเป็นสมาธิมันมีแต่หยาบละเอียดต่างกันเท่านั้นเอง ถ้ามันหยาบ ละเอียดต่างกัน แต่สมาธิก็คือสมาธิไง มันต้องมีสติยับยั้งไง มีสติควบคุมดูแลไง ถ้าควบคุมดูแลเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เป็นสมาธิไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง

ผู้รู้ ผู้รู้มีตัวตนของเราใช่ไหม ผู้รู้ก็ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าทำเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา นี่ไง เราอุปัฏฐากหัวใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วเราพาพ่อพาแม่มามีวัตรปฏิบัติขึ้นมาให้มีหัวใจในการสร้างบุญกุศลขึ้นมา เวลาสร้างบุญกุศลขึ้นมา นี่ไง พันธุกรรมๆ ของเขาเอาไปไง

เวลาหลวงตาท่านตายนะ ท่านบอกเลย ไม่ต้องทำบุญให้เรานะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เราทำมาพอแรงแล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่เอา ท่านจะเอาของท่านไปเอง

นี่ก็เหมือนกัน เรามาทำบุญกุศลของเรา เราเห็นกับตานะ เราเป็นคนเสียสละนะ ถ้ามันจะไป ของเราทำไว้เอง เราพร้อมแล้ว เสบียงพร้อม จะเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ มันอบอุ่นไง แต่ถ้าไม่มีอะไรเลย แล้วจะไปไหน แล้วไปอย่างไร แล้วข้างหน้าจะเจออะไร มันมีอยู่จริงหรือเปล่า

มันมีอยู่จริงหรือเปล่า ไม่มีอยู่จริงหรือเปล่า มันดับความคิดไม่ได้ ความรู้สึกอันนี้ดับไม่ได้ ความรู้สึกมันมีตลอดไป จะมีสถานะไหนเท่านั้นเอง นี่สถานะเป็นมนุษย์นะ สถานะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สถานะเป็นเปรตเป็นผี มันไปของมันอย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าเราพร้อมแล้ว เราพร้อมแล้วมันจะไปไหนล่ะ ความพร้อมของเราไง

นี่พูดถึงวันสำคัญๆ สำคัญทั้งในครอบครัวเราด้วย สำคัญทั้งตัวเราด้วย พ่อแม่นะ ถ้าในสังคม ในบ้านของเรา ถ้ามีความสงบสุข พ่อแม่ชื่นใจมาก แต่ในหัวใจของเราเฉพาะตนแล้วนะ เฉพาะตน ปัจจุบันธรรมๆ พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ สอนที่ปัจจุบัน อดีตอนาคตแก้ไม่ได้หรอก แต่อดีตอนาคตมันส่งผลมาให้เป็นเรานี่ไง อดีตอนาคตส่งผลให้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ไง ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้แล้วเราจะตัดสินความรู้สึกนึกคิดของเราด้วยอะไร นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนที่นี่ไง ศาสนาพุทธสอนลงสู่เข้าหัวใจของสัตว์โลก ศาสนาพุทธสอนเข้ามาถึงการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ศาสนาพุทธสอนถึงการกระทำ การกระทำถึงว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เราจะหวังพึ่งกัน เทวดา อินทร์ พรหม หวังพึ่งข้างนอก หวังพึ่งวัฏฏะไง เราไม่หวังพึ่งธรรม ถ้าหวังพึ่งธรรมนะ ธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมมันคืออะไร ธรรมคือสัจธรรม ธรรมมันความรู้สึกเรานี่ไง ความรู้สึกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ไง ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นการกระทำนี่ไง เราหวังพึ่งตรงนี้ไง

ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า มันละเอียดลึกซึ้ง รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร มีการศึกษากัน มีปัญญากันทั้งนั้นน่ะ ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นนักวิจัยวิเคราะห์ รู้ไปหมดทั่วจักรวาล ลืมตัวเองไป ลืมตัวเองไปไง

นักวิทยาศาสตร์เขาบอกเลย เราค้นคว้าในจักรวาลนี้หมดเลย แต่ในโลกเรายังขาดการสำรวจอีกมหาศาล ในโลกเรายังเกิดพันธุ์ใหม่ๆ เมื่อ ๒ วันนี้ก็ยังเกิดสัตว์ใหม่อีก ๓ สายพันธุ์ มันยังเกิดสัตว์สายพันธุ์ใหม่ๆ เรายังไม่ได้สำรวจกันเลยนะ เราไปรับรู้จักรวาลหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน ความรู้เรามากมายมหาศาลเลย แต่ลืมตัวเองไปไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อมกลับมาที่นี่ น้อมกลับมาที่เรา

“อ้าว! ก็คนต้องอยู่ต้องกิน ไม่ทำมาหากินมันจะเกิดได้อย่างไร”

ไอ้คนต้องอยู่ต้องกิน มันหน้าที่การงาน มันเป็นสัญชาตญาณต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้ามีสติปัญญา เราทำงานอย่างไรก็แล้วแต่ เราระลึกถึงเรานะ ระลึกถึงเรา ขับรถบนถนนก็ไม่ทะเลาะกัน ถ้าเขาปาดหน้า เออ! ให้มันไปก่อน ไปข้างหน้าเดี๋ยวมันโดนตำรวจจับ นี่ถ้ามีสติปัญญามันไปได้หมดแหละ ใครมาทำอะไรนะ เรื่องของเขา

เรื่องของเรา มีพุทโธ เรื่องของเรา มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของเรา มันกระทบจริงๆ มันรู้สึกจริงๆ แต่ควบคุมได้ มันรู้สึกจริงๆ แต่เข้าใจได้ แล้วเข้าใจได้ มีปัญญาด้วย มีปัญญา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมนะ เดี๋ยวไปข้างหน้ามันไปเจอคนอื่น เดี๋ยวไปข้างหน้ามันไปพบของมันเอง เรามีสติปัญญาของเราไง เรารักษาหัวใจของเราไง รักษาหัวใจของเรา เรารักษาของเราเพื่อหัวใจของเรา ธรรมะสอนอย่างนี้

ธรรมๆๆ ธรรมคือสัจธรรม ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริง เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม มีสติปัญญามีเหตุมีผลขึ้นมาทันที ขาดสติแล้วจะเอากับมันน่ะ จะไปล่อเขาก่อนเลย ถ้ามีสติปัญญาแล้วมีเหตุและผล สมควรไหม เขาทำเราจริงหรือเปล่า มันสุดวิสัยหรือเปล่า เขาพลั้งเผลอหรือเปล่า เขาว่าเราจริงหรือ ถ้ามีสติปัญญานะ แต่ถ้าขาดสติปัญญามันไปแล้วๆ นี่พูดถึงว่าถ้าเราดูแลหัวใจของเรา

ในครอบครัวของเรา ในครอบครัวของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในสังคมมีความสุข มันเป็นความกตัญญูกตเวทีในสังคมโลก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนมาที่ใจด้วยนะ จะไม่ลืมตัวเองไง จะไม่ลืมหัวใจของเราไง

สิ่งของมีค่าๆ ดูสิ ในบ้านคนหนึ่งเวลาคนตาย เศร้าไหม เอาศพไปเผาข้างนอก แล้วทรัพย์สมบัติ เงินหายไปจากบ้าน เงินต้องใช้จ่ายไปทุกวันๆ นี่ก็สมบัติอันหนึ่ง แต่ถ้าว่าจิตดวงหนึ่งได้ออกจากร่างไป จิตดวงหนึ่งได้พ้นไปน่ะ เศร้าไหม ว้าเหว่ไหม อาลัยอาวรณ์ไหม เราจะยกให้เห็นว่ามันมีค่าจริงๆ ไง หัวใจเรามันมีค่าจริงๆ นะ เวลาออกจากร่างนี้ไป คนในบ้านเราเศร้าไปทั้งครอบครัวเลย หงอยกันไปหลายปีเลย แล้วเวลามันอยู่กับเราทำไมไม่ดูแลรักษา ทำไมไม่ค้นคว้ามัน ไม่วิเคราะห์วิจัยมันเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง