เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ต.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระเนาะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมที่จับต้องได้ไง สิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์ได้ การวิพากษ์วิจารณ์นั้นวิพากษ์วิจารณ์เพื่อสติปัญญา ไม่ใช่บูชาไว้บนหิ้งไง ธรรมะนะ สัจธรรมๆ ที่เราแสวงหา เราแสวงหาขึ้นมาในหัวใจของเรานะ ไม่ใช่ไปไว้ในตู้ เห็นไหม ดูสิ เวลากราบ กราบพระพุทธ พระธรรมก็พระไตรปิฎกเอาไว้ในตู้ แล้วไม่เคยเปิดอ่านเลย แล้วไม่เคยเปิดอ่านเลย แล้วหัวใจของตนๆ ล่ะ

วันนี้วันพระ เราขวนขวายมาทำบุญกุศลของเรา มนุษย์ถ้ามีศาสนาจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่ไม่มีศาสนา ดูสิ ดูบ้านเรือน ดูวัตถุ มันก็เหมือนวัตถุ มันเหมือนกับแร่ธาตุอันหนึ่ง มนุษย์เป็นแค่นั้นหรือ มนุษย์เป็นแค่นั้น เขาถึงบอกทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรมนุษย์เขาจะบริหารจัดการไง ถ้าบริหารจัดการ บริหารจัดการแบบเขา นั่นเพื่อเศรษฐกิจ เพื่อเศรษฐศาสตร์ เพื่อการบริหารจัดการของเขา

แต่ธรรมะๆ สัจธรรมๆ มันเป็นเรื่องส่วนตน มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคน เป็นเรื่องความสุขความทุกข์ในใจของเรา ถ้าความสุขความทุกข์ในใจของเรา ศาสนาสอนลงที่นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ ตรัสรู้ธรรม เห็นไหม วิมุตติสุขๆ

สุขของโลกเขา สุขเวทนา ทุกขเวทนา มันเป็นเวทนา มันเป็นขันธ์ ๕ มันเป็นเรื่องเกิดดับ แต่ถ้าเรื่องวิมุตติสุขๆ มันสุขแท้จริง สุขที่ไม่สั่นไหว ไม่แปรปรวนเลย ความสุขอันนั้นๆ นี่ศาสนาสอน สอนอย่างนี้ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นี่ ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วทอดธุระๆ “จะสอนได้อย่างไรๆ” ก็เรื่องของเรา เรื่องของบุคคลคนนั้น แล้วถ้าให้คนอื่นมาบอก คนอื่นมาบอกแล้วเขาเชื่อได้อย่างไร เขาเชื่อได้อย่างไร

ดูสิ เอ็งเอาเงินมาแล้วเอาบุญไป แลกกัน เอาเงินมาแล้วเอาบุญไป เอาอย่างนั้นหรือ ไอ้นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเรื่องของน้ำใจสิ ถ้าน้ำใจ เราระลึกถึงกัน ความคิดถึงกัน สิ่งที่หัวใจที่มีค่ามันมีค่าที่นี่ คนสวยงามสวยงามมาจากภายในไง เขาว่าถ้าสวยให้มีสมองไง ถ้ามันมีสมองมาจากภายในขึ้นมามันเป็นคนที่ดี ถ้าเป็นคนที่ดีขึ้นมา แต่คนเรากว่าจะดีได้ คนเราเกิดมาด้วยอะไร คนเราเกิดมาด้วยอวิชชาคือตัณหาความทะยานอยาก คือพญามาร ครอบครัวของมารไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะมารนะ พวกเราไม่มีสิทธิ์ ไม่เคยรู้เคยเห็น มันรู้แต่ว่าเป็นเราๆ ทั้งนั้นน่ะ สรรพสิ่งนี้เป็นเรา เรามีปัญญา เราเป็นคนยอดเยี่ยม เราเป็นคนมหัศจรรย์ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารไง “มารเอย เมื่อใด สิ่งใดที่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่กล่าวแก้คำจาบจ้วงต่างๆ ได้ เรายังไม่ยอมนิพพาน”

มารๆ เห็นไหม สิ่งนี้ “เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย” ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีครอบครัวของมารไง ครอบครัวของมารคือพญามาร เจ้าวัฏจักร ลูกหลานของมัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัว นี่เป็นลูกหลานของมารทั้งนั้นเลย ถ้าลูกหลานของมาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายอวิชชา ทำลายครอบครัวของมารออกจากหัวใจอันนั้นแล้ว พระพระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ไง แต่การสอนลงที่นี่มันต้องมีวิธีการ เขาเรียกอุปกรณ์

เรื่องของทานๆ เรื่องของทานที่ว่าเอ็งเอาเงินมาแล้วเอาบุญไป เอาอย่างนั้นหรือ เงินมันมาได้อย่างไร เงินคือเศษกระดาษ เงินมันคือเศษกระดาษเท่านั้นน่ะ เพียงแต่ว่าน้ำใจของคนๆ ใช่ไหม ถ้าน้ำใจของคน น้ำใจของคนที่ใจเขาเป็นกุศลของเขา เขาจะสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาเสียสละเพื่อความสุขของมวลชน แต่เขาเป็นคนให้ มันคืออำนาจวาสนาบารมีของเขา เพราะจิตใจเขายิ่งใหญ่ จิตใจเขาทำได้ จิตใจเขามีค่ามากกว่าเงินทองอันนั้น จิตใจเขามีค่ามากกว่าสิ่งที่เขาเสียสละออกไป สิ่งที่เสียสละออกไปของเล็กน้อย เขาถึงเสียสละออกไป จิตใจเขายิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เขาเสียสละนั้น เขาถึงเสียสละสิ่งนั้นได้ไง

ไอ้พวกเรามันตระหนี่ถี่เหนียว ไม่มีก็ว่ามี ไม่รวยก็ว่ารวย อวดดิบอวดดีไปทั้งนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละทานนี่ไง หลอกมันให้เสียสละ นี่ไง มันเป็นอุบาย เสียสละอย่างนั้นทำไม เพราะเสียสละ จิตใจมันเดือดร้อนนะ ครอบครัวมารมันเดือดร้อนมาก เวลาเราจะให้ใครมันคิดเลยล่ะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ นี่ครอบครัวของมารมันทะเลาะกันแล้ว เพราะอะไร เพราะเราจะเสียสละทาน ครอบครัวมารมันทะเลาะกันในใจเรานั่นน่ะ นี่ไง ดัดนิสัยมัน ดัดนิสัยกิเลสไง

แต่เราไม่อย่างนั้นสิ จิตใจที่ไม่มีหลัก กิเลสเป็นเรา อ้าว! ก็ความคิดของเรา ความเห็นแก่ตัวคือเรา สรรพสิ่งเป็นเราหมดเลย แล้วมันจะคิดอย่างนี้ไหม ถ้ามันไม่คิดอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงวางวิธีการไว้ ให้ทาน มีทาน มีศีล มีภาวนา การเสียสละทาน คนที่จิตใจยิ่งใหญ่ทำได้ทั้งนั้นน่ะ ดูสิ พระโพธิสัตว์เสียสละชีวิตนะ เรานี่เสียสละด้วยวัตถุนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์เป็นกระต่าย นายพรานเขาหลงอยู่ในป่าหนาวเย็น จุดกองไฟ ผิงไฟอยู่ คนจะอดตายอยู่ พระโพธิสัตว์โดดเข้ากองไฟเลย เป็นกระต่าย สัตว์

สัตว์มันยังมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น มันเสียสละชีวิตของมันเพื่ออีก ๒ ชีวิตได้อยู่รอดไป มันเสียสละชีวิตเลย เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละ เสียสละถึงชีวิต เสียสละทุกๆ อย่าง เสียสละเพื่ออะไร เพื่อจิตใจที่เต็มไง จิตใจที่มีบารมีเต็มๆ “เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีกแล้ว เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ทั้งๆ ที่ยังไม่ตรัสรู้เลย

ถ้าจิตใจที่ยิ่งใหญ่เขาเสียสละได้แม้แต่ชีวิตของเขา วัตถุนี่มันของเล็กน้อยมาก แต่คนตระหนี่ถี่เหนียว โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มันแสวงหาลาภ แล้วมีลาภมาแล้วใครไม่สักการะกู ลาภนั้นไม่มีความหมาย ถ้ามีลาภแล้วเขายังยกย่องสรรเสริญอีกนะ ยกตูด อู้ฮู! ลอยเลย สักการะสำคัญมาก สักการะก็เหมือนกับเราจะเอาชนะคะคานกันไง อยากจะอยู่บนหัวคนอื่นไง

คน คนเขาให้ความเสมอภาคของคน ใครจะเหนือคน คนไม่มีใครเหนือใครหรอก แต่มันจะเหนือได้มันเหนือในหัวใจ มันเหนือที่ไหนล่ะ มันเหนือพญามารนี่ไง ถ้ามันทำลายมาร ทำลายกิเลสในหัวใจทั้งหมดแล้ว มันเหนือที่นี่ เหนือที่นี่ที่ไหน เหนือที่นี่ กลับสู่สามัญไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ การดำรงชีพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอะไรบ้างที่แตกต่างไปจากพระ

ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระที่ยิ่งใหญ่ ก็พระธรรมดานี่แหละ ก็พระที่ติดดินนี่แหละ เพราะติดดินเพราะอะไร ติดดินเพราะจิตใจมันเป็นธรรมไง แต่ถ้ากิเลส เพราะถ้ามันไม่ติดดินนั่นคือกิเลสไง มันกีดมันขวางไปหมด ไม่มีใครนับหน้าถือตา ไม่มีใครยกย่องสรรเสริญ มันจะกระอักเลือด

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรม เป็นธรรมในใจแล้ว มันอิ่มเต็มในใจแล้ว สรรพสิ่งอื่นแล้วมันเติมไปไม่ได้ มันอยู่นอกทั้งนั้นน่ะ ถ้าเหนือโลกๆ มันเหนือโลกที่หัวใจดวงนั้น ถ้าเหนือโลกที่ใจดวงนั้นนะ แต่เหนือโลกโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

เศร้านะ เวลาพูดอย่างนี้ เวลาพระอานนท์เวลาท่านพูด “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว” ดวงตาของโลกนะ คนที่มีศรัทธามีความเชื่อนะ พึ่งพาอาศัยทั้งทางโลก พึ่งพาอาศัยทั้งทางธรรม พึ่งพาอาศัยทั้งนั้นน่ะ พึ่งพาอาศัยการชี้นำของท่าน “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว” ถ้าดวงตาของโลก รถไฟเสีย ไฟหน้าดับมันไปได้ไหม ไปมันก็เจออุบัติเหตุทั้งนั้นน่ะ รถเราถ้ามันไม่มีดวงไฟ มันไปอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นั่นน่ะท่านชี้นำเพราะมันเป็นสิ่งที่ชี้นำโลก จะอยู่ อยู่เพราะเหตุนั้นน่ะ อยู่เพราะให้พิสูจน์กับโลกไง เพราะโลกเขาแย่งชิงกันไอ้เรื่องโลกๆ ไอ้เรื่องบ้าบอคอแตกนั่นน่ะ แต่ที่มีธรรม หลวงตาท่านถึงบอกว่าถ้าพูดถึงทางโลกท่านโง่ที่สุด เพราะท่านก่อนที่ออกมาโครงการช่วยชาติ ท่านไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใครเลย ท่านให้เขาทั้งนั้น เสียสละทั้งนั้น เว้นไว้แต่เวลาสอน เวลาสอน สอนลูกศิษย์ลูกหา สอนให้ชนะกิเลส ท่านถึงได้หนักหน่วง

เวลาท่านสอนให้เอาชนะกิเลส ท่านเอาจริงเอาจังนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องโลกธรรม ๘ ท่านไม่เคยหันหน้ามามองเลย ท่านถึงบอกว่าถ้าพูดถึงทางโลก ท่านถือว่าท่านโง่มาก คือท่านไม่แย่งชิงอะไรกับใคร ท่านปล่อยให้คนอื่นหมดเลย แต่ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรมนะ เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเก็บเล็กผสมน้อย คำว่า “เก็บเล็กผสมน้อย” สิ่งใดที่มันเป็นการข้ามล่วง ท่านจะไม่ทำๆ ท่านจะไม่ทำเพราะเหตุใด ท่านจะไม่ทำเพราะเป็นแบบอย่างไง เพราะมันมีแต่คนสอนไง มันไม่มีใครทำให้เห็นไง สอนนี่เก่งนัก มีแต่คนสอนคนอื่นทั้งนั้น แต่ไม่มีใครสอนตนเองเลย

ครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนตัวท่านก่อน ท่านสอนท่านให้ได้ก่อน การที่สอนตนให้ได้ก่อนมันถึงได้รู้วิธีการ ถึงได้เห็นน้ำหนักของมันไง เห็นเล่ห์เหลี่ยมของมันไง เห็นความเห็นแก่ตัวไง เห็นการที่มันเหยียบย่ำไง เพราะมันเหยียบย่ำหัวใจดวงนี้แล้วมันถึงไปเหยียบย่ำหัวใจดวงอื่นใช่ไหม ถ้ามันไม่เหยียบย่ำหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ที่มันจะฉลาดขึ้นมา ก็เรามาวัดมาวากันเพราะต้องการให้หัวใจดวงนี้มันฉลาดขึ้นมา ถ้าหัวใจดวงนี้มันฉลาดขึ้นมา มันจะมีสติ ฝึกหัดๆๆ สติๆ มันมีแต่ชื่อ ส.เสือ ต.เต่า สระอิ สติๆ แล้วก็โม้กันไป

ถ้ามีสติ เขาจะไม่มีความผิดพลาดแม้แต่กิริยาของเขา เขาจะไม่มีความผิดพลาดในทางความคิดของเขา ในทางความคิด ในทางความรู้สึกนึกคิดในหัวใจ เพราะนั้น เพราะมันเป็นอารมณ์ สิ่งที่มันพวยพุ่งออกมาจากใจ ถ้ามันพวยพุ่งออกมาจากใจ ถ้ามีสติปัญญา สติมันยับยั้งได้ทั้งนั้นน่ะ มันดูแลรักษาได้ ถ้าฝึกหัด เรามาวัดมาวา สิ่งที่เราศึกษามาแล้ว ศึกษานี่ศึกษามาหมดแล้วแหละ ทหารอออกรบไม่ต้องเอาตำราไปหรอก ทหารออกรบ เขาฝึกดีแล้วเขาถึงได้ออกรบ ไม่มีทหารที่ไหนออกรบแล้วกางตำรา บรรจุกระสุนอย่างไร จะยิงอย่างไร ตายหมด

นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องการศึกษา เรื่องปริยัติ ปริยัติ ศึกษาเราก็ศึกษามาแล้ว ขณะที่จะออกรบไง ตอนที่จะมาประพฤติปฏิบัติไง ฝึกให้มันเป็น ก็ยิงให้มันเข้าเป้าสิ ยิงเลยๆ ยิงที่ไหน ยิงในใจของตนนั่นน่ะ ยิงในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ต้องไปยิงข้างนอก

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นเอาชนะตน ถ้าตนเอาชนะตนได้แล้ว พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ ถ้าพระพุทธศาสนา ในทางการพิสูจน์แล้ว พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ สันติภาพ ภราดรภาพทั้งในใจของเราก่อน มันจะเกิดกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน

เราไม่เคยเห็นหรอก คนภาวนาไม่เป็น คนภาวนายังทำไม่ได้ ไม่รู้จักสงครามธาตุ สงครามขันธ์ เวลาเกิดสงครามธาตุ สงครามขันธ์ขึ้นระหว่างกิเลสกับธรรมประหัตประหารกันในหัวใจนะ สงคราม ถ้าไม่สงคราม ไม่แลกด้วยชีวิต ครูบาอาจารย์เราท่านเสียสละทั้งนั้นน่ะ เวลาสงครามธาตุ สงครามขันธ์เกิดขึ้น ถ้าสงครามธาตุ สงครามขันธ์เกิดขึ้น เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดสมาธิขึ้นมา

สมาธิ ตัวมันเป็นอย่างไร สมาธิ ตัวมันเป็นอย่างไร แล้วเกิดสมาธิแล้วเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ที่มันไปฟาดฟันกับกิเลสมันฟาดฟันไปอย่างไร ถ้าคนเรานะ ประพฤติปฏิบัติแล้วไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง คือไม่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริง หมายความว่า หมายความว่าจิตมันสงบแล้ว จิตมีกำลังแล้ว จิตมันจับต้องได้ จิตมันรื้อค้นได้ นั้นมันถึงจะเป็นความจริงไง ไอ้ที่มันพูดๆ ขี้โม้ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมามันจะเห็นสงครามธาตุ สงครามขันธ์ การต่อสู้กันน่ะ

ถ้าทางโลกการต่อสู้กัน เวลาเขาทำวิจัย เขาขัดแย้งกัน เขาโต้แย้งกันด้วยเหตุด้วยผล ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสกับธรรมในหัวใจของเรามันโต้แย้งกันในใจของเรา ถ้ากิเลสมันโต้แย้ง ถ้ากิเลส ในการวิเคราะห์วิจัยที่หักล้างกันด้วยเหตุผลนั้น เพราะเขามีทั้งพวกที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เรามีแต่ธรรมๆ มีแต่ศีล มีแต่สมาธิ มีแต่ปัญญา ปัญญานี่เลอเลิศมาก แต่ไม่เคยเห็นกิเลสเลย ไม่เคยเห็นคู่ขัดแย้งเลย ไม่เห็นสิ่งที่มันโต้แย้งเลย แล้วจะเอาอะไรไปโต้แย้งกับมัน

ถ้าจิตสงบเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันจับได้ จิตเห็นอาการของจิต เห็นความคิด เห็นสิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากจิต เห็นสิ่งที่มันขัดแย้งในใจ เห็นสิ่งที่มันพอใจ ถ้ามันจับต้องได้ ถ้ามันจับต้องได้ มันวิเคราะห์วิจัย มันต่อสู้กันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลนะ ที่เป็นธรรมด้วยเหตุด้วยผล ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการเหยียบย่ำ

เหยียบย่ำกดขี่ไม่ได้ เหยียบย่ำกดขี่ กิเลสมันก็สงบตัวลง มันก็หลบซ่อนไป พอเดี๋ยวสมาธิเสื่อม มันก็โผล่ออกมา ในการกระทำมันต้องใช้เหตุใช้ผลพิจารณากันโดยการเป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วเกิดพิจารณาไปแล้วถ้าเป็นตทังคปหานด้วยเหตุด้วยผล ด้วยคุณธรรมที่มันมีคุณค่ามากกว่า กิเลสมันยอมรับๆ มันก็ปล่อยวางๆ มันยอมรับเหตุผล ยอมรับสติปัญญาของเรา เห็นไหม ระหว่างสงครามธาตุ สงครามขันธ์ที่มันเกิดขึ้น ถ้ามันยอมรับๆ นั่นล่ะที่มันมีการประหัตประหารกัน มันเกิดจากการกระทำอย่างนั้น

เวลาศึกษา ศึกษามาแล้ว ศึกษามาๆ สาธุ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นศาสดาของเรานะ เราศึกษามาแล้วแหละ ศึกษามาแล้วเราวางไว้ แล้วเราพยายามฝึกหัด พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเราไง ให้เป็นสติปัญญาของเรา เราเป็นช่าง เราก็ต้องมีภูมิของช่าง เราเป็นวิชาชีพใด เราก็ต้องมีองค์ความรู้จริงของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็ต้องมีปัญญาของเรา มีการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ประหัตประหารกัน ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ปล่อยแล้วปล่อยเล่า เวลามันสมุจเฉทปหาน สงครามจะยุติลงต่อเมื่อมรรคสามัคคี สงครามจะยุติลงต่อเมื่อกิเลสมันตาย กิเลสมันตาย เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านออกประพฤติปฏิบัติ เวลาอดอาหารมันจะตาย มันจะตายแล้วนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไป ท่านบอกว่าเวลาภาวนาไปกิเลสมันจะหลอกเลย “ตายนะ นี่ใกล้ตายแล้วล่ะ” แต่ท่านก็บอกอะไรตายก่อน พิสูจน์หน่อย สุดท้ายท่านบอกว่ากิเลสตาย กิเลสตายไปจากหัวใจของท่าน หัวใจของท่านสะอาดบริสุทธิ์ หัวใจของท่านมีแต่สัจจะความจริง

ถ้าเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ไง ถ้าสอนลงที่นี่ สิ่งที่เราทาน ศีล ภาวนา สิ่งนี้ระดับของทาน เราก็เสียสละของเราเพื่อให้กิเลสมันเดือดร้อน แต่คนที่มีคุณธรรมขึ้นมาแล้ว การเสียสละนั้นเขาสละด้วยความเป็นนิสัยของเขา แล้วเขาก็ฝึกหัดมีศีลของเขา ฝึกหัดมีปัญญาของเขา ถ้ามีปัญญาของเขานะ ธรรมจักรๆ สัจธรรมที่มันกังวานกลางหัวใจ

วันพระ วันพระๆ ประเสริฐที่ไหนล่ะ พระประเสริฐที่ใจนี้ไง ใจเป็นผู้ประเสริฐ พุทธะ พุทธะ เห็นไหม เขาไปอินเดียกัน ของเราไม่ต้อง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะไปเฝ้า เฝ้าด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เฝ้าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง คุณธรรมในใจนี้ไง เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เราจะอุปัฏฐาก เราจะดูแล เราจะรักษาไง ประเสริฐ ประเสริฐที่นี่ไง ถ้าประเสริฐที่นี่ จิตสงบแล้วมันก็ซาบซึ้งแล้วแหละ จิตสงบแล้วมันจะเชื่อมั่นในศาสนามาก เพราะอะไร เพราะตัวนั้นน่ะ ตัวสัจจะความจริงนั้นน่ะเป็นตัวภาชนะที่จะสัมผัสธรรมได้

หลวงตาท่านบอกว่าไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้ เว้นไว้แต่ความรู้สึกคือใจของคนเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดสัมผัสศาสนาได้ ไม่มีวัตถุสิ่งใดพิสูจน์ได้ เว้นแต่ความรู้สึกเท่านั้น เอวัง