เทศน์บนศาลา

ชนะด้วยธรรม

๒๓ ส.ค. ๒๕๔๙

 

ชนะด้วยธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราจะตั้งใจเพื่อตัวเราเอง เพื่อชีวิตของเรา เพื่อเรานะ เพื่อโลกมานานแล้ว เราเพื่อโลก เราเกิดมา เราไม่ได้คิดถึงตัวเรามาก เราคิดถึงแต่โลกไง โลก คืออะไร โลก คือ โลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทา เรากลัวแต่สังคมจะติฉินนินทาเราไง เรากลัวสังคมนะ เรากลัวโลกมาก กลัวแต่เขาจะว่า กลัวแต่คนนู้นจะติฉินนินทา กลัวไปหมดเลย แต่เราไม่เคยกลัวกิเลสในหัวใจเราเลย

กิเลสในหัวใจของเรานี่นะ มันทำให้เราทุกข์เรายากอยู่นี่ สิ่งที่มีไง ถ้ามันมีสิ่งนี้ เพราะมีกิเลส มีกิเลสถึงปกครองหัวใจ ถ้าไม่มีกิเลสนะ ไม่มีกิเลสหัวใจนี้ก็มีอยู่ไง แต่หัวใจยังมีอยู่ มีอยู่โดยธรรมชาติไง นี่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติกัน คิดกันเอาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมชาติคือการเกิดการตายไง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นธรรมชาติไหม? ก็เป็นธรรมชาตินะ

ในปัจจุบันนี่ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มีมาก เพราะอะไร เพราะศึกษามาหนึ่ง เพราะจริตนิสัยไง การตั้งเป้ามา จิตของคนเราเกิดมานี่ ตั้งเป้านะ เวลาเกิดมาชอบโดยสัญชาตญาณ การตั้งเป้าแล้วการสะสมมา มันเป็นการชอบ การชอบความพอใจสภาวะแบบนั้น นี่ได้กระทำ ทำทาน ได้ทำคุณประโยชน์สิ่งนี้จะเป็นความสุขใจ เป็นความพอใจ ความพอใจอันนี้ สิ่งนี้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนามาก การปรารถนาเพราะเราศึกษา เราศึกษา เราว่าสิ่งนี้เป็นพื้นฐานของใจ รากหญ้า รากเหง้าวัฒนธรรมของจิตไง จิตมีวัฒนธรรมมีรากเหง้าของจิตนะ แต่เราไปมองแต่ข้างนอก มองแต่ข้างนอกมองแต่โลก

โลก สภาวะโลก โลกหมุนเปลี่ยนไปตลอดเวลา โลกนี้เป็นอนิจจังนะ ดูสิ ดูอย่างแต่ละจังหวัดแต่ละอำเภอหมุนเวียนไป นี้ในปัจจุบันนะเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวนี้ทางวิชาการเทคโนโลยีมันเจริญ เรื่องน้ำ แหล่งน้ำอะไรต่างๆ มันถึงว่าพยายามดึงมาใช้กันได้ แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณนะมันเป็นธรรมชาติไง ถ้าแหล่งน้ำเหือดแห้งแหล่งน้ำไม่มี หมู่บ้านหรือตำบลต้องย้ายหมู่บ้านนะ ย้ายหนี โลกนี้เปลี่ยนไปเป็นสภาวะแบบนี้ เปลี่ยนไป

แต่ในปัจจุบันเราจะสังเกต ทางชาวตะวันตกเขาบอกว่า เรื่องน้ำสะอาด เรื่องของสังคมเราใช้น้ำสะอาด แหล่งน้ำจะทำให้คนเรามันจะมีปัญหา เกิดโรคภัยไข้เจ็บ นี่เกิดในประเทศอันสมควร ถ้าเกิดในประเทศอันสมควร แหล่งน้ำดีที่เราชักนำมาได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกๆ เรื่องของภายนอก ภายนอก คือ การเกิดและการตาย ชีวิตนี้มันก็เป็นสภาวะแบบนี้ เกิดตาย เกิดตายอยู่นะ แล้วก็เกิดตายมา

ในปัจจุบันเกิดมาแล้วชีวิตนี้มั่นคง มั่นคงเพราะอะไร มั่นคงเพราะสภาวะโลก กึ่งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” ถ้าหนหนึ่ง หนหนึ่งคือในชาวพุทธเราไง แต่ในชาวพุทธเราในประเทศที่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็มีชนชาติต่างๆ มีลัทธิต่างๆ เหมือนกัน

ในสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม พวกเดียรถีย์ พวกต่างๆ เขาก็มีของเขาอยู่อย่างนั้น สภาวะแบบ...นี่ความเห็นจากภายในไง ถ้าความเห็นจากภายใน นี่ความเห็นจากภายใน ความเห็นจากภายนอก ถ้ามีความเห็นจากภายใน ในความเห็นที่ผิดมันก็หมุนไปตามอำนาจของการกระทำ

การกระทำกรรมคือ กรรม กรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีและกรรมชั่วก็ว่ากรรมเหมือนกัน เวลาลัทธิต่างๆ บอกศีลก็เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ธรรมวินัย ธรรมวินัย ธรรมเหมือนกัน แต่ธรรม...พุทธธรรมต่างหาก เราเชื่อในพุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาลนะ ถ้าไม่ได้สร้างบุญญาธิการมา สิ่งที่จะรื้อค้นนี้ รื้อค้นธรรมะมาเผยแผ่ให้เรา ดูสิ เรามีแรงจูงใจอะไร เราถึงอยากออกประพฤติปฏิบัติ เราออกแสวงหาธรรม แสวงหามา เวลาเขาแสวงหากันทางโลก แสวงปัจจัยเครื่องอาศัยสำหรับชีวิต เราก็แสวงหา เราก็มีกับเขา สิ่งที่เป็นปัจจัยดำรงชีวิตนี้ ชีวิตนี้มันอาศัยไปเฉพาะเครื่องอาศัยเท่านั้น เครื่องอาศัยการดำรงชีวิตอยู่

แต่ถ้าธรรมล่ะ ที่เราแสวงหาธรรมเพราะเราจี้เข้าไปในศาสนา ในศาสนาเราเข้าไปถึงความลึกซึ้งของศาสนาเพราะ ลึกซึ้งศาสนาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นอาหารของใจไง ธรรมอันละเอียด ธรรมอย่างหยาบๆ ดูสิ ดูอย่างเกิดการแย่งชิงทางโลกเขา เกิดสงคราม ในการทำสงครามของโลกนะทำสงครามเพื่อขยาย ผู้ที่เป็นหัวหน้าในสมัยโบราณก็ต้องรวบรวม อาณาจักร

ซุนวู เขียนไว้ในตำรารบของเขา “การทำศึกสงคราม สิ่งที่รบชนะเร็วสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ ถ้ารบชนะช้า สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ ถ้าชนะโดยไม่ต้องรบ ไม่ต้องรบเลยประเสริฐที่สุด” สิ่งที่ไม่ต้องรบ แล้วเกิดสงครามเกิดการแย่งชิงกันต่างๆ นั้นมันเกิดจากอะไรล่ะ มันเกิดสงครามต้องมีเล่ห์เหลี่ยม สิ่งที่เล่ห์เหลี่ยมของเขาเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน

แล้วเกิดถ้าสงครามภายในละ สงครามของเรานะสงครามโดยไม่ได้รบ ใครที่ไม่ต้องรบบ้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไม่ต้องรบ นี่ชนะโดยไม่ต้องรบ ชนะตลอด ถ้าเราชำระกิเลสออกไปจากใจแล้วจะชนะตลอดไป

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ โดนเขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่โต้ตอบ ไม่โต้ตอบเลย กรรมสภาวะกรรมการสร้างมา สิ่งที่สร้างมาเขาจงใจของเขา บาปอกุศลของเขาเกิดขึ้น ถ้าเราเกิดมา เราเกิดมาในวัฏฏะเวียนไปตามกระแสของกรรม ถ้าเราไปเจอ เจอสิ่งต่างๆ เป็นแง่มุมต่างๆ นะ มันให้ผลทั้งนั้น ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วเป็นศาสดานะ เป็นพระอรหันต์นะ ใครที่จาบจ้วงสิ่งนี้มันเป็นบาปอกุศล บาปมหาศาลเลย แล้วเขาทำของเขาเพราะอะไร เพราะกรรมของเขา กรรมนี้มันบวกมหาศาล บวกเพราะอะไร เพราะถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นก็มีกรรมมา อย่างเทวทัต เป็นชูชก เป็นต่างๆ ขณะที่ยังไม่บรรลุธรรม สิ่งนี้กระทบกันมันก็ให้ผลค่าเท่าแต่กรรมการกระทำ

แต่ขณะที่สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเพราะอะไร เพราะชนะโดยที่ไม่ต้องรบ เพราะหัวใจไม่มีกิเลส ไม่มีการตอบสนอง ไม่มีการต่อต้านต่างๆ แล้วไปจาบจวงไปทำลาย มันให้ผลมหาศาลเลย มันให้ผลกับกรรมอันนั้นมหาศาลนะ สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากไหน? เกิดขึ้นมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราที่เราไม่เข้าใจเรื่องของเราไง เรื่องของเรานะ เพราะถ้ากิเลสให้ผลแบบนั้น มันเหยียบย่ำหัวใจนะ

นี่ศึก ข้าศึกภายใน ถ้ามีเกิดข้าศึกภายใน สิ่งนี้ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก่อน จะไม่มีใครเข้าใจหรอก ถ้าเราพยายามทำของเรา ขณะที่ว่าเราศึกษาธรรม ศึกษาธรรม แม้แต่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว มันยังคาดหมาย ยังคาดหมายเอาตำรายุทธต่างๆ ตำราพิชัยสงคราม เขาต้องออกรบกัน เขาทำเป็นสมบัติ เป็นวิธีการเป็นการศึกของเขา นี่ฝ่ายเสธ. เขาเรียนต้องวางแผน ต้องวางแผน ต้องเตรียมการ สิ่งนี้เพื่อเป็นศึก เพื่อสงคราม เพื่อเอาชนะคะคานกัน นี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ

เราก็ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ว่าสิ่งนี้เป็นตำราพิชัยสงครามที่จะคอยทำสงครามกับกิเลส แล้วกิเลสมันไพล่กลับนะ มันไปเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกเรา มันบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่รบโดยไม่ได้รบ ก็หินทับหญ้าไว้ ก็ทำความสงบของใจไว้ สิ่งนี้มันไม่ได้รบเลย ไม่ได้รบด้วย ไม่ได้ชำระกิเลสด้วย แต่ว่าเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นการรบ รบกับกิเลส ต้องมีการรบก่อน

ดูอย่างพระสารีบุตร ขณะที่เวลาออกไปศึกษากับสัญชัย “สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่” พยายามรบแล้วนะ แต่สิ่งที่เป็นตำราพิชัยสงครามอันนั้นมันไม่ใช่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมก็ไม่ได้ชำระกิเลสเลย สิ่งนี้ไม่ได้ชำระกิเลส ขนาดสู้ขนาดไหน รบแล้วแพ้ตลอด แพ้ตลอด แพ้กิเลสตัวเองตลอด นี่ไม่ได้ชำระกิเลส

ขณะไปสัญญากับพระโมคคัลลานะ "ถ้าเราเจอครูอาจารย์ที่ไหนให้บอกกัน ให้บอกกัน" ถ้ามีอำนาจวาสนา สิ่งนี้มันจะบอกกับในหัวใจนะ ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมหรือไม่ใช่ธรรม ถ้าไม่ใช่ธรรม สิ่งนั้นเพราะยังไม่ได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะเขายังไม่ได้เข้ามาในหลักเกณฑ์ของธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เราชาวพุทธในปัจจุบันนี้ ถ้าเรา...การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่ยึดตำรา ต้องยึดตามตำราพิชัยสงคราม ถ้ายึดตามตำราแล้ว สิ่งนี้รบจะชนะยังไง แต่ตำราเล่มเดียวกัน เวลาทำศึกสงคราม ดูสิเราก็ศึกษา การศึกสงครามครั้งใดก็แล้วแต่ ทางวิชาการเขาต้องเอาสิ่งนั้นมาวิจัย เพื่อสิ่งนี้เป็นพิชัยยุทธต่อไปข้างหน้า มันก็ศึกษาเหมือนกัน ศึกษาด้วยกันทั้งนั้นละ สิ่งที่ศึกษาด้วยกัน เพียงแต่ว่าใครจะมีไหวพริบ ใครจะมีชั้นเชิง ใครจะได้เคลื่อนขบวนก่อน ได้ดักหน้าก่อน สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับสิ่งที่ว่าเขาเอาสิ่งนั้นมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์

เราก็เหมือนกัน เราเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วมันเป็นประโยชน์กับเราไหมล่ะ กิเลสมันจะบอก บอกให้เราไขว้เขวออกนอกทาง ชนะโดยกิเลส กิเลสจะเหยียบย่ำเรานะ ชนะโดยกิเลสไง เราอยากชนะ เราอยากชนะข้าศึก เราอยากจะชนะตัวเราเอง เราอยากจะบรรลุธรรมเพราะอะไร เพราะเวลาพระอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขณะได้ยินคำว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว” นอนไม่ได้เลย เพราะคนเขามาใฝ่ดี สิ่งที่ใฝ่ดี

คำว่า”ธรรม ธรรม” เราก็เข้าใจว่าธรรม ธรรมของใคร ธรรมของใคร ธรรมของโจรนะ ถ้าโจรมันเป็นธรรม การปล้นสะดมของมัน การวางแผนของโจรมันก็เป็นธรรมของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เป็นศาสดาทั้งนั้นเลย เป็นผู้สอนๆ แล้วสอนอะไรล่ะ ถ้าสอนเป็นธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องได้แนวทางมาแล้วสิ ไม่มีเลย เพราะศึกษาไปขนาดไหน มันก็เป็นหินทับหญ้าไว้ สิ่งนั้นไม่เป็นธรรม สิ่งนั้นไม่เป็นธรรม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบเพราะสร้างสมบุญญาธิการมา เราถึงว่า เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธ เวลาเราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะๆ พุทธะข้างนอกคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย พุทธะข้างในเพราะสิ่งนี้มีอยู่ด้วยทุกคน

เวลาชาวพุทธเรา ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำไมมีสิทธิละ ทุกคนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น ปรารถนาได้ทั้งนั้นแล้วก็สร้างสมบุญญาธิการไป ถึงไม่ถึงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง พุทธะมันอยู่กับเรา พระพุทธเจ้าจากภายนอกพระพุทธเจ้าจากภายใน พระพุทธเจ้าจากภายในสาวก-สาวกะ ถ้าเข้ามาถึงพุทธะของเรา

พุทธะของเรา คือ ผู้รู้ ผู้รู้ คือ หัวใจของเรา สงครามจะเกิดที่นี่ไง แต่เราไม่สนใจสงครามภายใน แล้วว่าจะรบ จะรบกับใคร จะรบกิเลสให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายอยู่ ไม่รู้รบกับใครเลยนะ กิเลสมันเหยียบอยู่นะ นักรบทั้งนั้นล่ะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี่ ว่าเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องอาจมีความชื่นใจ มีความว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

คนที่เขาเป็นชาวพุทธ เขาเป็นชาวพุทธระดับทาน ระดับทาน ระดับศีล ไอ้เราเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติด้วยอะไร? ปฏิบัติด้วยกิเลส ให้กิเลสมันครอบงำ ถ้ากิเลสมันครอบงำ ต้องศึกษา

เวลาศึกษา พระไตรปิฎก ธรรมและวินัย มันก็เหมือนตำรา เราต้องรบตามตำรา เอาตำรามากางกัน แล้วรบกันตามตำรานะ กิเลสมันหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะเลย เพราะอะไร เพราะสงครามสภาวะในสนามจริงของเขา เขาเปิดตำราไม่ทันหรอก ขนาดว่าเขามี เขาเรียนมาแล้วตามตำราของเขา เวลาเขารบกัน เล่ห์เหลี่ยม กลศึกของเขา จะมีมหาศาลเลย แล้วเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส กิเลสมันจะยอมให้เราเอาเปรียบมันไหม

ขนาดเราจะเริ่ม สงครามเขาจะเริ่มทำสงครามกันนี่นะ เขาต้องมียุทธปัจจัยของเขา เขาต้องสะสมของเขา เขาต้องแปลนเตรียมพร้อมของเขานะ แล้วถ้าตัดสินใจผิด สมัยโบราณกษัตริย์ที่ออกรบนะ ถ้าตัดสินใจผิดเอาประเทศเข้าสงครามถึงกับทำให้บัลลังก์ล่มสลายได้นะ เพราะอะไร เพราะมันยุทธปัจจัย มันต้องแสวงหา มันต้องสะสม แล้วถ้าสะสมไปแล้ว ทำสงครามไปแล้วแพ้ แพ้สงครามนั้นกลับมา แล้วประชาชนอยู่กันอย่างไรล่ะ มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่ถ้าชนะนะ ชนะเรากวาดต้อนมา สมบัติของเขากวาดต้อนมา กวาดต้อนมาเพื่อชัยชนะของเรา ชื่นใจ ดีใจกัน สร้างเวรสร้างกรรม สร้างเวรสร้างกรรมไปจากภายนอกนะ

เวลาพระเจ้าอโศกมหาราช สมัยก่อนที่จะมาเผยแผ่โดยธรรม ก็จะออกรบนี่ ออกรบเพราะอะไร เพราะโดยธรรมชาติของคน ธรรมชาติของผู้มีอำนาจ ถ้ามีอำนาจแล้วก็ต้องการปกครอง ต้องการสร้างอาณาจักรของตัว นี่รบแล้วชนะมาตลอด จนสลดสังเวชนะ นี้เป็นอำนาจวาสนาของผู้สร้าง ผู้สร้างคือตัวหัวใจนั้นน่ะ ผู้สร้างไม่ใช่อ้อนวอนจากใคร ผู้สร้างคือ อำนาจวาสนาไง

ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาขณะที่รบแล้วชนะ ยึดแผ่นดินไปตลอด มันต้องมีความอหังการ ว่าเรานี่เป็นผู้ที่มีอำนาจ เราเป็นผู้ที่ชนะทุกๆ สนามรบ แต่นี้มันมีความสลดใจนะ ชนะมา กำลังรบของเราเสียไปขนาดไหน ยุทโธปกรณ์ของเรานี่เสียไปมหาศาลเลย ทำมาเพื่ออะไร มันสลดสังเวชนะ สลดสังเวชจนกลับมา กลับมาเผยแผ่โดยธรรม ชนะด้วยธรรม สุดท้ายแล้วชนะด้วยธรรม

เวลาธรรม กำลังรบของธรรม ให้ประชาชนติดประกาศ พระเจ้าอโศกมหาราช อยู่ในธรรมบท ประกาศธรรมตลอดเวลานะ ให้ผู้ที่อยู่ในแว่นแคว้นของตัว ให้ถึงวันพระวันเจ้า ให้ระดม ให้เขามาทำบุญกุศล เผยแผ่โดยธรรม ชนะโดยธรรมร่มเย็นเป็นสุขนะ ร่มเย็นเป็นสุขแล้วมันเกิดออกมาจากความรู้สึกจากภายใน มันเคารพบูชาไง ว่าผู้นำของเรานี่เป็นธรรม

ผู้นำของเรานะ ให้โอกาสเรา ให้ได้ประพฤติปฏิบัติ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขในชาติปัจจุบันนี้ แล้วได้สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมบุญนะ สะสมบุญนี้ ถ้าเกิดก็เกิดดีขึ้นไปเรื่อยๆไง ให้เข้าใจถึงสัจจะความจริงของตัว ให้รบกับตัวเอง รบกับตัวเองเอาชนะตัวเองให้ได้ ความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ถ้าเราร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนก็ต้องการปรารถนาความร่มเย็นเป็นสุข มีใครบ้างไม่ต้องการความสุข

แม้แต่สัตว์ มันก็ต้องการความร่มเย็นเป็นสุข เราให้อาหารมัน เราดูแลรักษามัน มันจะ ขอบอกขอบใจนะ บางอย่างมันทำของมันไม่ได้ มันหากินของมันโดยธรรมชาติของมัน แล้วมันก็เวรกรรมของสัตว์นะ ดูสิสัตว์บางตัวก็มีอำนาจวาสนา สัตว์บางตัวก็ทุกข์จนเข็ญใจเหมือนกัน แล้วถ้าเราให้ เราให้ด้วยหัวใจนะ เพราะสัตว์มันมีความรู้สึก มันมีร่างกายและมีหัวใจเหมือนกัน แต่ด้วยสภาวะกรรมมันก็อดอยากของมัน ตาม...ของมัน ถ้าเรามีเราให้เขา มันยังมีความรู้คุณเลย สัตว์มันยังรู้คุณ มันยังรู้จักคนใดรักมัน คนใดปรารถนาดีกับมัน แล้วเราให้กับสังคม สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนี้ถ้าในชาติปัจจุบันมันมี...เป็นชนะโดยธรรม ถ้าธรรมเผยแผ่ไปนั้นร่มเย็นเป็นสุข แต่ขณะที่ในลัทธิต่างๆ เขาก็ต้องแผ่ขยายอาณาเขตของเขา

ศาสนา ศาสนวัตถุเวลาเรารื้อค้นในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นซาก ซากวัดโบราณของเรา สิ่งต่างๆ มันยืนยันไว้ว่าศาสนาพุทธเคยเจริญๆ เคยเจริญ สิ่งนี้เป็นสภาวะกรรมนะ

ดูสิ ดูขณะที่ว่านี่ในปัจจุบันนี้ เกิดวาตภัยเกิดต่างๆ มันก็ทำให้เคลื่อนย้าย ความเป็นไปความเคลื่อนย้ายของสังคม สังคมก็เคลื่อนย้ายกันไป แต่ในปัจจุบันโลกแคบ โลกแคบเพราะมนุษย์ประชากรเกิดมาก มนุษย์เกิดมาก สิ่งที่เกิดมาก นี่สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกเพราะเราเกิดในยุคปัจจุบัน มันจะไม่มีการกดขี่กันโดยการโจ่งครึ่ม การกดขี่กันโดยควบคุม

แต่ในปัจจุบันนี้มันมีการกดขี่กันจากภายในไง การกดขี่จากทางวัฒนธรรม การกดขี่เพื่ออะไร ใครฉลาด ใครโง่ นี่กระแสสังคม กระแสโลก ถ้าเรามีสติ เรามีสัมปชัญญะ เราชนะโดยธรรม ชนะโดยธรรมคือความร่มเย็นเป็นสุข

ความร่มเย็นเป็นสุขฟังสิ ชนะโดยธรรม ชนะเราก่อนไง ถ้าเราชนะก่อนสิ่งนั้นเคลื่อนไปตามกระแสโลก เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัยนี่มันอาศัย

เรา ดูสิ ดูในปัจจุบันนี้ ดูการเป็นไปของโลก ทำไมเราต้องไปเอาสิ่งที่ว่าในเมืองหนาวมาใช้ในเมืองร้อน มันเป็นไปไม่ได้หรอก เสียพลังงานไปทั้งนั้นเลย แต่ก็ทำกัน ทำกันเพราะอะไร เพราะให้เอาไว้เชิดหน้าชูตา สังคมโลกต้องเหมือนกัน คำว่า”เหมือนกัน” เสรีภาพเหมือนกัน แต่เสรีภาพของใจเขาไม่เห็นนะ เสรีภาพของใจ มันต้องเปิดกว้าง เปิดกว้างให้ ต้องยอมรับสิว่าของใคร เสรีภาพของใคร ธรรมและวินัยของใคร จะให้ผลได้มากน้อยขนาดไหน สิ่งนี้ให้ผลได้มาน้อยขนาดไหน

ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่ว่า สิ่งที่วัดถึงสังคม ว่าวัดถึงความสุข ความสุขนี่ มันเกิดมาจากศาสนาพุทธนะ เพราะศาสนาพุทธเน้นตรงนี้ไง เน้นถึงเรื่องของหัวใจ ถ้าเรื่องหัวใจ ชนะโดยธรรม เพราะหัวใจไม่เบียดเบียนเราก่อน ไม่เบียดเบียนเรานะ เพราะไม่เบียดเบียนเราหมายถึงว่า ทรัพยากรมีใช้ ความเป็นไป มักน้อยสันโดษ นี่ใช้แต่น้อย แล้วเจือจานกัน สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขไหม นี่ชนะโดยธรรม พระเจ้าอโศกมหาราช เผยแผ่มาอย่างนี้ศาสนาพุทธถึงกว้างขวางออกไปไง กว้างขวางมาจนถึงชมพูทวีป กว้างขวางออกมา ถึงไปถึงสุวรรณภูมิ นี่มันแผ่กว้างออกไป นั้นมันเป็นยุคหนึ่ง

แต่ยุคปัจจุบันนี้ ยุคปัจจุบันนี้ยุคของเรา นี่ชนะโดยธรรม ถ้าชนะโดยธรรม รบชนะโดยไม่ต้องรบ ถ้าชนะโดยไม่ต้องรบ ผู้นำก็ไม่เบียดเบียนกัน สัตว์สังคมต่างๆ ก็ไม่เบียดเบียนกัน สิ่งนี้ไม่เบียดเบียนกัน ให้โอกาส

แต่ถ้ามันเป็นกิเลสล่ะ ถ้าเป็นกิเลสนะโอกาสไม่มี โอกาส ต่างคนต่างแย่งชิงโอกาส เพราะอะไร เพราะต้องการสะสม สิ่งที่สะสมเป็นเรื่องของโลกเขานะ โลกเขาสะสมกันมาเพื่อใครๆ เพื่อจะให้กิเลสมันอิ่ม เพื่อความพอใจของตัว เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ตัณหานี่ล้นฝัง” ตัณหาความทะยานอยากจะให้มันพอ เป็นไปไม่ได้ แต่โลกเขาคิดกันอย่างนั้นไง เขาคิดกันว่า เขาคิดของเขา เขาพยายามทำของเขา เขาเชื่อของเขา นั้นเพราะอะไร เพราะกิเลสมันมีอำนาจไง

แต่ถ้าเรามีวาสนา กิเลสมีอำนาจของเขา เขาจึงเห็นผู้ประพฤติปฏิบัติ เห็นผู้ที่นิ่งอยู่ เห็นผู้ที่ไม่ไปตามกระแสนี้ว่า เหมือนกับคนไม่มีปัญญาไง เห็นคนไม่มีปัญญา เขาไม่เข้าใจถึงน้ำใจ เขาไม่เข้าใจถึงความรู้สึก เขาเข้าใจแต่ว่าสิ่งที่ว่าเป็นเครื่องประดับ เรื่องโลกธรรม มีลาภ เสื่อมลาภ เขาเข้าใจตรงนั้น เขาเอาสิ่งนั้นมาแข่งขันกัน ด้วยสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่โลกเขาเชิดชูกัน นี่มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ

แต่ขณะที่ในเรื่องของหัวใจนะ ถ้ามันมีหลักฐานของใจนะ ใจนี้จะไม่ตื่นเต้นไปกับสภาวะนั้นเลย จะจน ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจมันมีคุณงามความดีของเขานะ ถ้าหัวใจมีคุณงามความดี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ชนะโดยไม่ต้องรบเลย ชนะใจมาตลอด” ครูบาอาจารย์ของเรานี่ ชนะโดยธรรมตลอด ถ้าชนะโดยธรรมในหัวใจ สิ่งนี้มันจะมีคุณงามความดี จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขจริงๆ นะ เพราะอะไร เพราะมันเห็นสิ่งต่างๆ นี้มันเป็นสมมุติ มันเหมือนเด็กๆ เล่นขายของกันเลย เด็กๆ นี้เล่นขายของนะ นี่สมมุติอะไรนี่เล่นกัน แล้วเล่นกัน ผิดใจกัน ก็ทะเลาะเบาะแวงกัน สังคมก็เป็นแบบนั้น สังคมนี่เป็นอย่างนั้น จริงโดยสมมุติไง

ดูสิ ดูเวลาการทำธุรกิจต่างๆ มันจะมีการแก่งแย่งกัน มีการชิงดีชิงเด่นกัน การชิงดีชิงเด่นทางโลก สิ่งนั้นมันเป็นการชิงดีชิงเด่นนี้เป็นหน้าที่การงาน แต่ถ้าเราอยู่ในโลก เราอยู่ในโลกมันก็เป็นหน้าที่การงานเหมือนกัน ถ้ามีอำนาจวาสนา สิ่งนี้ที่พลัดพรากจากเราไปมันเป็นสภาวะกรรมทั้งนั้นแหละ ถ้าเราทำของเรามานะ ทำดีต้องได้ดี

ผู้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดเลย จะได้ผลตอบแทนมหาศาลเลย ผู้ที่ต้องการได้มากผู้ที่ต้องการต่างๆ ถ้าเป็นอำนาจวาสนา มันจะได้ตามจังหวะตามโอกาสของตัว แต่ถ้ามันไม่ใช่วาสนา มันทำไปขนาดไหนมันก็ไม่ได้ โอกาสและจังหวะ นี่คืออำนาจวาสนา นี่อำนาจวาสนาทางโลก

ถ้าอำนาจวาสนาทางธรรมล่ะ ชนะโดยธรรม ถ้าเกิดชนะตัวเราเองซะก่อน ถ้าเราชนะตัวเราเองซะก่อน เราทำตามหน้าที่ “ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้” นี้เรื่องของโลกนะ

ถ้าเรื่องของธรรมนี่ นี่ได้หรือไม่ได้ มันเปรียบเทียบจากภายในไง จะไม่มีใครรู้เห็นกับเรา เว้นไว้แต่เทวดา อินทร์ พรหมนั่นน่ะ เวลาจิต ความรู้สึกของเรา เทวดาจะรับรู้ เวลาอะไรต่างๆ เทวดาจะรับรู้ความรู้สึกของเราตลอดไป รับรู้หมายถึงว่า ความคิดไง มันเหมือนกับว่า เราเขียนหนังสือเลย เราเขียนหนังสือ เราเขียนเป็นตัวอักษรมา คนเขาอ่านออกหมดละ เพราะอะไร นี้เป็นเพราะเราเขียนเป็นตัวอักษร เราเขียนไปบนกระดาษ เขียนไปบนอะไรแล้วแต่ มันจะมีตัวอักษร ให้อ่าน ผสมแล้วอ่านเป็นคำได้

ความคิดก็เหมือนกัน เวลาเราคิดขึ้นมา นี่ความคิด นี่คิด สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง เวลาเกิดมาจากใจ มันก็เหมือนกับเขียนในกระดาษนะ เหมือนกับเขียนในกระดาษเลย แล้วก็ออกมาจากจิต ความคิดไม่ใช่จิต ออกมาจากจิต นี่อาการแสดงออกของจิต เทวดานี่รู้ตรงนี่ รู้ถึงความคิด รู้ต่างๆ ถ้าเราทำ ประพฤติปฏิบัติ เราทำคุณงามความดี คนดีผีคุ้มคนดีผีคุ้ม

เวลาครูบาอาจารย์ของเราอยู่ที่ไหน สิ่งนี้พวกเทพพวกต่างๆ เขาจะดูแลจะรักษาของเขา รักมากนะ ในพระไตรปิฎก พระอรหันต์อยู่ในป่า เทวดารักมาก เพราะอะไร เพราะมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่านะ สวดมนต์ เวลาเทวดาได้ยินเสียงสวดมนต์ เสียงทำวัตร สวดมนต์นี้คือการสรรเสริญพุทธคุณ เพราะมนต์ที่เราสวดนี้ คือธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สาธยายไว้ เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราสวดมนต์ระลึกถึง ธรรมจักร เทวฺเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาเวลาสวดมนต์ เพื่ออะไร? สวดมนต์มันรื่นเริงในธรรมไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ให้พระสวดสัมโพชฌงค์ วิจัยในธรรม วิจัย นี่ธรรมวิจยฯ วิจัยในธรรม นี่สภาวะที่เจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่เราไปมองเวลาว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราอยากจะหาย เราไม่ต้องการสภาวะแบบนั้น แต่เวลาธรรมมันเกิด เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อยากวิปัสสนา อยากจะเข้าใจธรรม แต่เวลาธรรมเตือนมา คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ชราภาพนี่ ร่างกายเรามาเตือนเราตลอดเวลาเลย สงครามธาตุ สงครามขันธ์นี่ เกิดตลอดเวลา เราไปมองข้างนอกนะ เราไปมองความรู้สึก เราไปมองสิ่งสมบัติของเรา เรามองว่าชีวิตเรายังอีกยาวไกล เราจะสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้คนนั้น ให้คนนี้ คนนี้จะได้สมบัติจากเราขนาดนั้น นี่มันไปคิดออกหมดเลย

แต่เวลาเซลล์เวลาร่างกายมันเสื่อมโทรมไปนี่ มันชราภาพไป ธรรมแสดงตัวตลอดเลย นี่สงครามมันเกิดแล้วนะ แต่เราไม่เข้าใจเลย เราไม่เคยเห็นสงคราม แล้วเราจะไปชนะมันได้ยังไงล่ะ เราไม่เคยชนะ เราไม่เคยสนใจ เราไม่เคยสนใจความชราคร่ำคร่าของเรานะ จิตร่างกายชราคร่ำคร่า เวลามันชราคร่ำคร่าไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ให้พระเทศน์ ให้พระสวดมนต์ให้ฟัง สัมโพชฌงค์ ฟังแล้วรื่นเริง ฟังแล้วอาจหาญ เพราะอะไร เพราะมันเป็นอินทรีย์ ตั้งแต่ปัญญินทรีย์ จากต่างๆ มีกำลังขึ้นมา สภาวะ นี่วิจัย วิจัยในธรรม ธรรมเกิดจากไหน? ธรรมเกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย นี่มันก็เป็นธรรม เพราะอะไร เพราะสิ่งนี่มันเป็นอนิจจัง สภาวะมันแปรสภาพ มันแปรเปลี่ยนไป

นี่ฟังแล้วรื่นเริงนะ ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว วางธรรมและวินัยไว้ให้เราก้าวเดิน เป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้ที่บัญญัติธรรม บัญญัติที่สัมโพชฌงค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคนเทศนาว่าการเอง เวลาพระสวดขึ้นมา กลับรื่นเริงกลับอาจหาญ เพราะมันเป็นสภาวะจริงไง เหมือนกับเราเป็นนายช่างใหญ่ เราสามารถ เราเข้าใจเรื่องของเทคโนโลยีทั้งหมดเลย แล้วเวลามีปัญหาขึ้นมา ลูกศิษย์มาอธิบายให้ฟัง เป็นอย่างนั้นๆๆ นี่มันรื่นเริง มันอาจหาญนะ เป็นสงครามไหม มันเป็นสงครามไหม

มันเป็นสิ่งที่ว่าเราทำประสบความสำเร็จ ไม่ต้องรบ ชนะตลอด เพราะอะไร เพราะเป็นผู้ที่วางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วธรรมวินัย ย้อนกลับมา ถ้าขณะสวดเป็นสัมโพชฌงค์ยังมีความรื่นเริงอาจหาญ แล้วเราเวลาเราพิจารณาของเรา ถ้าเห็นสภาวธรรมแบบนี้ มันจะรื่นเริงอาจหาญไหม มันจะมีความสุขมากนะ เหมือนกับเราประกอบธุรกิจกัน ผู้ที่ประกอบธุรกิจ แล้วสิ่งต่างๆ สมประโยชน์ของเรา สมประกอบธุรกิจแล้ว ได้กำไร ได้เงินทองสะสมมา มันมีความสุขนะ

สิ่งนั้นมันเป็นความสุข เพราะอะไร เพราะสิ่งนี่เราคิดว่าเราทำแล้วของเราได้ มันเป็นสมบัติของเรา สมบัติของเราไง ทั้งๆ ที่เป็นสมบัติเป็นสมมุติ เพราะอะไร เพราะเงินถ้าเขาเปลี่ยนค่านะ เงินลดค่าอะไรต่างๆ สิ่งนี้มันจะลดค่าของมันลงไปทันทีเลย แต่ถ้าเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่สภาวธรรม สภาวะความเป็นไป สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา นี่โลกเป็นสภาวะแบบนี้ เราเกิดในโลก มนุษย์ โลกนอก-โลกใน โลกนอกก็อาศัยโลกเขาอยู่ โลกก็เป็นสภาวะแวดล้อมแบบนั้นนะ โลกใน

โลกในของผู้ที่เริ่มประพฤติปฏิบัติ ก็คือตัวเรา ร่างกายก็ชราภาพคร่ำคร่าไป เจ็บไข้ได้ป่วย มันจะมีเหตุมีผลของเขา ถ้าเราวิปัสสนาของเราไป ธรรมโอสถ ถ้าจิตสงบเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา สถานที่เป็นชัยภูมิ ชัยภูมิเห็นไหม กายกับใจเป็นสถานที่รบ ถ้าเราจะรบกับกิเลส รบกับการเกิดและการตาย

สิ่งที่...เพราะเราเกิดเราตายขึ้นมา เราถึงพบพระพุทธศาสนา ถ้าเราพบพระพุทธศาสนา เวลา เทวดา อินทร์ พรหม เขาภพของเขา เขาอยู่ของเขา ภพของเขา รอเวลาเป็นไป เราเกิดมานี่มันโดนบีบคั้น มันเป็นปัจจุบันไง ปัจจุบัน เวลากลางวันแดดออกก็ร้อน เวลาหน้าหนาวก็หนาว ในปัจจุบันมันเป็นสภาวะอากาศที่มันเปลี่ยนแปลงเป็นฤดูกาล นี้ชีวิตก็เหมือนกัน เป็นฤดูกาลนะ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน

ในกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญอีกหนหนึ่ง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติสำนักปฏิบัติเดี๋ยวนี่ ปฏิบัติเป็นที่เชิดหน้าชูตา เป็นชาวพุทธต้องมีปัญญา ปัญญาแก้ไขกิเลส สิ่งที่แก้ไขกิเลสนี่ ต้องให้มันเป็นสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงมันจะเป็นคุณค่า คุณค่าของหัวใจ ถ้าคุณค่าของหัวใจนะ มันเกิดมาจากไหน? มันเกิดจากใจของเรา เกิดจากใจของเรา เพราะเราสร้างขึ้นมา เราจะดื่มน้ำ เราจะต้องหาน้ำเข้ามาเราถึงจะดื่มน้ำได้ เราคิดว่าจะดื่มน้ำแต่เราหาน้ำไม่เจอ เราจะเอาน้ำที่ไหนมาดื่ม เราก็หิวกระหายตลอดไป

จิตเวลามันทุกข์มันร้อนนะ ถ้ามันสงบเข้ามา มันได้ดื่มสัมมาสมาธินะ มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขของมันนะ จิตของเราเวลามันทุกข์มันยาก ธรรม ธรรมและวินัย ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาน้ำหาที่ไหนล่ะ ความร่มเย็นเป็นสุขไงละ สัมมาสมาธิอยู่ที่ไหน ถ้าจิตสงบเข้ามา สิ่งนี้มันเกิดมาจากใจ ถ้าใจแสวงหา ใจค้นคว้า เราก็จะได้ของเรา ถ้าได้ของเราขึ้นมา ได้ของเรานี่ เป็นของใคร เป็นของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ขนาดที่ว่าบุญกุศลยังเป็นสมบัติประจำตัวนะ เวลาเราทำบุญกุศลกัน เราอุทิศส่วนกุศล ขอให้สัตว์สรรพสัตว์ สพฺเพ สตฺตา ขอให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เราแผ่กลับไป นี่ธรรม ธรรมเผยแผ่ออกไปต่างคนต่างมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่มันก็เป็นโลกียปัญญา มันก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องตายในวัฏฏะ

ในขณะที่เราเกิดเราตายในวัฏฏะอยู่แล้ว เราจะชำระกิเลส เราจะชำระ ตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพญามาร พญามารนี่มันปกครองสัตว์โลก คนจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนนะ ไม่พ้นจากพญามัจจุราช จะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน จะมีเงินทองสูงส่ง จะมีทุกข์ จะมีตำแหน่งหน้าที่การงาน สูงส่งขนาดไหนก็แล้วแต่ จักรพรรดินี่ตายแล้วตายเล่า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ได้เคยเป็นจักรพรรดิ เกิดเป็นกษัตริย์ เกิดแล้วเกิดเล่า เพราะการเกิดการตายอย่างนี้ต้องสะสมบุญญาธิการมา ถ้าเกิดมาจักรพรรดิ เป็นผู้ที่สร้างบุญกุศลในโลก จิตมันเวียนไปอย่างนี้ มันเหมือนกับดอกไม้ ดูสิเขาทำดอกไม้ส่งออก เขาต้องเพราะพันธุ์ ดอกไม้ออก นี่เป็นลานตาไปหมดเลย นี้เหมือนกันนะ ถึงเวลามันก็เหี่ยวเฉา มันก็เป็นครั้งเป็นคราว นี้ก็เหมือนกัน ขณะที่จิตเกิดจิตเกิดๆ เหมือนเห็นเหมือนดอกไม้ที่มันเกิดตาย เกิดตายนะ

แต่เราว่าชีวิตเราเป็นสภาวะแบบนี้ เราว่าเกิดมาแล้ว ต้องอายุร้อยปีพันปี มันจะอายุยืนยาวไง แต่ถ้าย้อนกลับมานะ ย้อนกลับมา ดูสิ ชีวิตของเรา ชราคร่ำคร่า เผลอแป๊บเดียวหกสิบ ร้อยปีแล้ว หกสิบปี ร้อยปีเผลอหน่อยเดียวนะ แต่เวลาอยู่ทางโลก เพราะอะไร เพราะมันความทุกข์ไง ความทุกข์อยู่กับทุกข์ เวลานี่ยาวนานมาก ถ้าเราอยู่กับสุขนะ อยู่กับความพอใจของเรานะ เวลามันวิ่งเร็วมาก

นี้ก็เหมือนกันถ้าจิตเราปล่อยวางทั้งหมด ชนะกิเลส ทำลายกิเลส ทำลายต่างๆ รบ ไม่ต้องรบกับกิเลสเลย มันชนะทั้งหมดนะ นี่มันเห็นความเป็นไปนะ นี่ความเปลี่ยนแปลง กาลเวลามันเคลื่อนที่ไป เห็นแล้วมันย้อนกลับมา มันถึงสลดสังเวชไง ชีวิตเป็นแบบนี้นะ ธรรมอย่างนี้มันสะเทือนที่หัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วเรานี่ เราศึกษาธรรม เราอยากประพฤติปฏิบัติ

ถ้ากางตำรา กางตำรับตำราออกรบ กิเลสมันหัวเราะเยาะถึงต้องวางตรงนั้นไว้นะ แล้วพยายามกำหนดพุทโธไง กำหนดพุทโธ ทำสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้นมาก่อน ดื่มน้ำนะ ถ้าน้ำของเรา ขุดบ่อ บ่อใครลึกบ่อใครตื้น ถ้าบ่อลึก กระแสน้ำ ตาน้ำอยู่ลึก เราก็ต้องขุด ถ้าขุดลงไปนี่เจอแน่นอน เพราะแผ่นดินนี่ตั้งอยู่บนน้ำ ถ้าขุดลงไปต้องเจอ แต่ลึกตื้นต่างกันนะ ดูสิ ดูอย่างบ่อน้ำมัน บางบ่อลึกมาก บางบ่อขุดไม่ต้องลึกก็ได้น้ำมันของเขา นี้อยู่ที่สายของแร่ธาตุอันนั้น

นี้ก็เหมือนกัน สายบุญสายกรรมของเราไง เราถึงทำสิ่งใดแล้วอย่าท้อถอย สิ่งนี้เกิดจากการกระทำของเรา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ในขณะปัจจุบันนี้ กรรมก็จำแนกให้เรามาเกิดสภาวะแบบนี้ แล้วเราสนใจในพระพุทธศาสนา เราสนใจคือ ศรัทธาความเชื่อ แล้วความสนใจอันนี้ มันถึงย้อนกลับมา ย้อนกลับนะ ย้อนกลับมาหาเรา นี่ “โอปนยิโก” เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูธรรม มาดูความรู้สึก ถ้าเราศึกษาออก เราออกไปหาความรู้สึก เราออกไปหากรอบ หาทางวิชาการ เราออกไป เราออกไปนี่เป็นสุตมยปัญญา ออกไปนี้เพื่อจะศึกษาธรรม แล้วไปยึดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้นี้ เพื่อจะให้จรรโลงมาถึงเราไง ถ้าสิ่งนี้สิ่งที่ผู้รับสาร ดูสิ ดูพระสงฆ์ สมมุติสงฆ์ บวชแล้วนี่บุญมาก บุญมากตรงไหน พ่อแม่นะถ้ามีลูกบวช นี่ได้ ๑๖ กัป ๑๖ กัปเพราะอะไร เพราะมันรักษาวิชาการอันนี้ไว้ สืบต่อวิชาการ สืบต่อธรรมและวินัยนี้ตลอดมา

เหมือนกับมดแดงเฝ้ามะม่วงนะ รักษามะม่วงไว้เดินวนต้นมะม่วง ผลมะม่วง เดินวนไปวนมารักษามะม่วงไว้นะ แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติ เราสามารถเด็ดผลมะม่วงนั้นมา มดแดงไม่ได้กินนะ มดแดงเฝ้ามะม่วงแต่ไม่รู้จักรสของมะม่วง เพราะอะไร ศึกษาเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ เพื่อศึกษาธรรมวินัย เฝ้ามะม่วงไว้ แล้วนี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใครจะเด็ดผลมะม่วงนั้นมาปอก ถ้าใครไม่เข้าใจเด็ดผลมะม่วงมา ธรรมและวินัย ผู้ที่ประพฤติธรรม ธรรมะจะมีความสุขมาก ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่กินทั้งผลนะ ขมนะเปลือกนะขม เปลือกมะม่วงนะขม ต้องปอกมะม่วงปอกเปลือกก่อน เนื้อของมะม่วงนะหวาน แต่เม็ดของมะม่วงก็เฝื่อนนะ

นี่รสชาติของธรรมไง ถ้าเราไม่เข้าใจ เราไม่ตั้งสติขึ้นมา เราเห็นว่ามะม่วงนี่เป็นธรรม เราจะกินทั้งลูกเลย กินเข้าไปแล้วก็เข้าผิด นี่ผู้ที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล สิ่งที่ไม่ได้ผลเพราะเราทำโดยความประมาทเลินเล่อ เราไม่ทำสัจจะความจริงนี้ เราไม่เริ่มต้น ตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีทานนะ เราสละทานกันอยู่นี่ ที่เราสละทานเป็นอามิสๆ นี่เพื่ออะไร เพื่อเตรียมดิน เตรียมเจตนา

ถ้ามีศรัทธามีเจตนา ความเจตนาสละออก สละออกมาจากไหน สิ่งที่เราสละทาน วัตถุมันไปเองไม่ได้หรอก ดูสิ ดูแม้แต่ผักหญ้า มันอยู่บนต้น อยู่ริมรั้วนี่ เราไปเก็บ เรามาทำอาหารใส่บาตรพระ ของที่เราเก็บได้ทำได้ เราเก็บมาเป็นประโยชน์ แล้วเราถวายทานไป เราสละทานไป มันจะเป็นประโยชน์กับใจเรา ไม่ต้องไปหาสิ่งที่ดีเลอเลิศมาจากไหนหรอก เพียงว่าให้มีเจตนา เจตนาตัวนี่ การสละอย่างนี่ มันก็ย้อนกลับมา

เพราะเจตนามาจากไหน เจตนามาเองเหรอ เจตนามันต้องมาจากใจ ถ้าใจมีเจตนา นี่มันก็ย้อนมาที่ใจ เพราะใจตัวนั้นมันก็ไปปรับใจตัวนั้นนะ ปรับใจตัวนั้นให้ควรแก่การงาน ถ้าควรแก่การงานนะ ถ้ามีการเสียสละ มันฝึกฝนใจของมัน นี่วุฒิภาวะของใจ มันปรับตัวใจตั้งแต่ตอนนั้น นี่สงครามเกิดแล้ว สงครามระหว่างกิเลสกับธรรมเกิดไง เพราะกิเลสมันตระหนี่ มันตระหนี่ถี่เหนียว มันต้องสะสม มันจะทำบุญ แม้แต่ทำบุญมันยังอยากใหญ่นะ ทำบุญต้องเหนือเขา ต้องดีกว่าเขา ต้องสูงกว่าเขา เห็นไหมนี่กิเลสมันเหยียบไปตลอดเลย แม้แต่การกระทำก็ต้องเหยียบไป เหยียบคนอื่นเขาไปไง สิ่งนี้เป็นกิเลส แต่ถ้ามันเป็นเจตนา ทำบุญคือบุญ บุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทิ้งเหว มีเท่าไร คือสละทานออกไป โดยไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย

นี่มันก็ย้อนมาที่ใจ ใจก็ควรแก่การงาน ถ้าใจนะมันสลัดมันออกไป โดยธรรมชาติ โดยธรรม นี่ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ นี่ดินมันได้การเตรียมที่ดี ถ้ามันมาปั้นเป็นภาชนะมันก็จะดี แต่ถ้ามันสละทาน แล้วมันมีทิฐิ มันมีมานะ "ฉันนี้ทำบุญมาก ฉันนี้เป็นผู้ที่มีคุณกับศาสนา" มันไปขี่คอธรรมมะแล้วมันจะเป็นธรรมะได้อย่างไรล่ะ กิเลสมันขี่ไปหมด นี่จะรบแล้วชนะเขาไง รบกับกิเลส แล้วก็ชนะกิเลสให้กิเลสมันหลอก นี่เหมือนกับรบกับข้าศึกเลย เขาเปิดค่ายกลไว้ เขาทำค่ายกลไว้ ทำเป็นแพ้ถอยหนี เราก็รบถลำเขาเข้าไปในค่ายนั้น เขาล้อมกลับมานะ ตายหมดเลย

นี้ก็เหมือนกันการจะประพฤติปฏิบัติ มะม่วงต้องปอกเปลือกนะ มะม่วงอย่ากินทั้งลูก มะม่วงเขาไม่กินเปลือกกันหรอก เปลือกมะม่วงนี่มันรักษาผลมะม่วงไว้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของเขา เขาต้องเติบโตมาอย่างนั้น ตั้งแต่ผลอ่อนผลแก่ เวลาออกมาแล้ว เราจะกินเราต้องปอกเปลือกก่อน การประพฤติปฏิบัติ ในการสละทานก็ต้องเป็นสภาวะแบบนั้น เราทำทานให้เป็นทาน เพื่อให้ใจควรแก่การงาน ถ้าใจควรแก่การงาน การประพฤติปฏิบัติมันก็สมดุล

สมดุลคือ มัชฌิมาปฎิปทาไง เทวฺเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค ยึดเลย ฉันแน่ ฉันยอด ฉันเหยียบหัวคน กามสุขัลลิกานุโยคนี่จะมีความสุขจะเป็นไปกับโลก ไม่ใช่ทั้งนั้นเลย ปล่อยมันเป็นตามธรรมสิ มันอยู่ที่กิเลสนะ มันอยู่ที่ความพอใจนะ สิ่งนี้เราปล่อยให้หมด สิ่งนี้ ทิ้งเหวไปๆๆ นี่พอทิ้งเหวไปมันก็ควรของมันเป็นไป ตั้งสติไว้ ย้อนกลับมา

นี่เราขุดน้ำไง ขุดบ่อ บ่อลึกบ่อตื้น เราจะเอาน้ำ ถ้าแหล่งน้ำนะ ถ้ามีแหล่งน้ำก็มีชีวิต ที่ไหนมีน้ำที่นั้นก็มีชีวิต ถ้าการประพฤติปฏิบัติ จิตเคยมีความสงบ ความสงบเป็นที่พึ่งของใจ ถ้าใจไม่เคยสงบเลย เครื่องยนต์นะ ตั้งแต่เกิดนี่ ติดเครื่องยนต์มา ดับไม่เป็น นอนหลับก็ฝัน นอนหลับไปนะ ตื่นขึ้นมาไม่สมกับการทำความสงบของใจหรอก ถ้าจิตทำความสงบของใจ จิตมีความสงบขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุข ย้อนกลับไป ย้อนกลับไปจะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนา

นี่รบ รบชนะ รบเร็วชนะเร็วเป็นประโยชน์ที่สุด รบแล้วชนะยืดเยื้อ การรบด้วยความยืดเยื้อ ต้องต่อสู้ อันนี้ขิปปาภิญญา รบเร็วชนะเร็ว ถ้ารบแล้วยืดเยื้อ ก็ต้องยืดเยื้อ อยู่ที่กิเลสของใครมันจะเข้มแข็ง กิเลสในหัวใจของเรานะ มันต่อต้าน การประพฤติปฏิบัติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กราบธรรม แล้วธรรมอันนี่ ธรรมและวินัย ที่ว่าสุดยอดๆ ธรรมที่มีอยู่แล้วนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปสัมผัส เข้าไปตรัสรู้ธรรม แล้ววางไว้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ

ถ้าเรา สิ่งที่มีอยู่ ถ้ามันยืดเยื้อ ยืดเยื้อกับสิ่งที่กิเลสมาต่อต้าน ธรรมไม่เคยทำให้ใครๆ เดือดร้อนหรอก สภาวธรรม ฝนตกมีแต่ความชุ่มเย็น แต่ถ้าน้ำหลาก ฝนตกมาก อันนั้นมันก็เป็นสภาวะที่เกิดจากวาตภัย นี่ฝนก็คือน้ำ คือความร่มเย็นเป็นสุขของใจ มันจะให้ใจชุ่มชื่น ถ้าใจชุ่มชื่น สิ่งนี้มันถึงย้อนกลับมาที่ความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกของเรา ถึงย้อนกลับไปวิปัสสนาได้ ถ้าวิปัสสนาได้ นี่การต่อสู้ การต่อสู้กับกิเลส เพราะกิเลส สิ่งที่ขณะว่ามีน้ำ น้ำยังเหือดแห้งไป มีน้ำ เราไม่รู้จักทำประโยชน์ของเราขึ้นมานะ เราใช้สอยสิ้นเปลือง น้ำกับแหล่งน้ำ เขาต้องสงวน ต้องรักษา เขาต้องลอก ลอกสระน้ำ ลอกสิ่งนั้นเพื่อจะให้น้ำเก็บกักได้นาน เพื่อใช้ชีวิตได้นาน

สมาธิถ้าเราทำความสงบของใจ ถ้าเราประมาทเลินเล่อ มันเสื่อมนะ จิตเสื่อมๆ ทำให้เราทุกข์มาก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติไม่ได้ผล ก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง นี่กิเลสมันขี่คอละ นี่กิเลสทั้งนั้นที่ทำให้ประพฤติปฏิบัตินี้ยาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม ธรรมนี่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับคน น้ำนี้ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต น้ำนี่ให้เราดื่มเข้าไป น้ำบริสุทธิ์ทำให้ขับถ่าย แม้แต่เดี๋ยวนี้นะ การดื่มน้ำก็เป็นการชำระสารพิษในร่างกายแล้ว แต่เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดกัน เราใช้ประโยชน์อย่างนี้โดยธรรมชาติ เราก็คิดว่าสิ่งนี้เราใช้ประโยชน์ เรากินน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย นี่การดื่มน้ำ น้ำเดี๋ยวนี้เขาดื่มเป็นยาก็มีนะ

แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามา สิ่งที่มันเป็นความชุ่มชื่นของใจนะ สิ่งนี้ถ้ามันรักษาไม่เป็นนะ มันก็เสื่อม จิตเสื่อมๆ ไง จิตเวลาประพฤติปฏิบัติก็แสนทุกข์แสนยาก แล้วจิตเสื่อมนี่ เหมือนกับเราเคยมี เราเคยมีหน้ามีตาในสังคมนะ แล้วเราหมด สิ่งที่หลุดพลัดพรากออกไป ให้สังคมเขาติฉินนินทา เราจะไปสู้หน้าเขาได้อย่างไร นี่มันเกิดจากอะไรล่ะ ก็เกิดจากเราไม้รู้จักรักษา

เรามีหน้ามีตาในสังคม เราเป็นคนดี เราเป็นคนเสียสละ เราเป็นคนทำบุญกุศลให้เขา สังคมเขาจะติฉินนินทาเราได้อย่างไงล่ะ แต่เพราะเราสุรุ่ยสุร่าย เราไม่รู้จักตั้งสติของเรา เราไม่เป็นประโยชน์กับเราเอง เราทำประมาทเลินเล่อ สิ่งต่างๆ ก็ให้เราทุกข์จนเข็ญใจ แล้วเราก็ต้องพยายามพัฒนาขึ้นมา เพราะอะไร เพราะคนล้มอย่าข้าม สิ่งต่างๆ โลกมันเป็นสภาวะแบบนี้ แล้วแต่บุญแต่กรรมขึ้นมา

ดูสิ บางคน ตั้งแต่เราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา เราก็ยืนมั่นคงของเราตลอดไป คนที่มันตั้งตัวขึ้นมา บางทีเขามีความผิดพลาดเขาไป นี่เวรกรรมของใคร ของเขานะ นี่กิเลสมันให้ผลกับจิตทุกๆ ดวงใจ เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดแตกต่างๆ กัน เราถึงควรแต่ทำคุณงามความดี ควรคุณงามความดีเลย

“สิ่งใดทำแล้วเสียใจ สิ่งนั้นไม่ดีเลย” สิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจที่หลัง เพราะอะไร เพราะเราไม่ทันกับความรู้สึกนะ ไม่ทันกับกิเลสที่มันเหยียบเรานะ กิเลสมันเหยียบเรานะ กิเลสนะให้ผลกับเรา อย่าไปโทษสิ่งใด ธรรมไม่เคยให้ผลเสียกับใครเลย

ธรรม สภาวธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นประโยชน์ทุกๆ คน เพียงแต่คนจะเอาสิ่งใดมาใช้ เพียงแต่กิเลสเอาไปอ้างอิงไง เอาแง่มุมของกิเลสนี่ ไปอ้างอิงธรรม ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ก็ธรรมของโจร ก็โจรมันเป็นโจรนะ มันจะเป็นธรรม ธรรมของมันก็คือปล้น ธรรมของมันก็คือการทำลายเขา

กิเลสก็เหมือนกัน มันก็ทำลายหัวใจเรา ทำลายโอกาสของเรา ทำลายสมาธิให้เสื่อมไป ทำลายทั้งหมดเลย แล้วว่าเป็นธรรม ยังอ้างว่าเป็นธรรมอยู่นะ ทั้งๆ กิเลสมันทำให้เสียหายขนาดนี้ยังอ้างว่าเป็นธรรมอยู่เลย ถ้าเป็นธรรมนี่ ถ้าเป็นธรรมนะ เข้ากับสิ่งไหน สิ่งนั้นจะเป็นร่มเย็นเป็นสุขไปหมด ที่ไหนก็ว่าคนนั้นเป็นคนดี กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของความเป็นสุขมัน... เรามีความร่มเย็นเป็นสุข

ดูสิ เราอยู่กับสัตว์โลก เรามีแต่เสียสละ ดูสิว่า เขาจะติฉินนินทาเราได้อย่างไร เขาติฉินนินทาเราไม่ได้หรอก มีแต่เราไปเอาเปรียบเขา เราไปเอารัดเอาเปรียบเขาไปทั้งหมด แล้วก็บอกเราเป็นธรรมๆๆ ธรรมของโจรไง! รบเท่าไรก็แพ้เมื่อนั้นนะ เพราะอะไร เพราะสิ่งยุทธปัจจัยของเรา มันใช้ไม่ได้ ยุทธปัจจัยของเรานะ ปืนของเรานะลูกด้านหมดเลย แล้วออกสงคราม ออกสงคราม เข้าไปตายหมดนะ

นี่รบยืดเยื้อ รบยืดเยื้อมันต้องต่อสู้ ต้องต่อสู้ ต้องยุทธปัจจัยของเราต้องซ่อมแซมของเรา ต้องดูแลของเรา ถึงบอกกิเลสเท่านั้นนะที่ทำให้การประพฤติปฏิบัติเราล้มลุกคลุกคลาน กิเลสเท่านั้นจริงๆ เลย

นี่ถ้าเป็นธรรม ธรรมมันต้องสะสมไง ธรรมมันต้องสะสม เช่น น้ำ น้ำหยดลงหินนะ ทุกวันหินมันยังกร่อนนะ น้ำแต่ละหยดแต่ละหยาดนี่มันทำให้เต็มแก้วได้ สติเราตั้งขึ้นมา แล้วเราพยายามตั้งสติ หน้าที่ของเราตั้งสติ เราจะเรียกร้องเอาจากใครก็ไม่ได้หรอก นี่น้ำจะเรียกร้องเอาจากใครไม่ได้ สติก็เรียกร้องเอาจากใครไม่ได้ จะเรียกร้องจากใครไม่ได้เลย

แต่ก็นี่ อ้างอิงตลอด เราสร้างอย่างนั้น ทางลัดเป็นอย่างนี้ ถ้าเราตั้งสติแล้ว สิ่งนี้จะเต็มแก้ว ถ้าสมาธิ สมาธิไม่ได้แก้กิเลส สมาธิถึงแก้กิเลสไม่ได้ เราก็จะรีบทำให้มีความสงบของใจ มันเป็นการเคลิบเคลิ้มนะ มันเป็นสิ่งที่ว่าเราสร้างภาพ เราสร้างภาพ เราจินตนาการว่าจิตสงบ สงบของใคร สงบของกิเลสเหรอ เวลานอนหลับสงบไหม นอนหลับไม่มีสตินี่ หลับจนกรนนี่สงบไหม นี่มันเป็นสมาธิของความฝันว่าสมาธิไง มันไม่เป็นสมาธิหรอก

ถ้ามันเป็นสมาธินะ จิตจะมีกำลังของมัน จิตจะมีกำลังนะ จะสงบขนาดไหน อัปปนาสมาธินะ สักแต่ว่ารู้ ขาดหมด อายตนะนี้ดับหมดเลย "จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองด้วยอุปกิเลส" ผ่องใสของใคร จิตผ่องใสขนาดไหน นี่ผ่องใสด้วยสมาธิก็ได้ ผ่องใสขณะที่วิปัสสนาไป เวลากายกับจิตแยกออกจากกัน ผ่องใสอย่างนั้นก็ได้ เวลาพิจารณาไปถึงที่สุด จิตเดิมแท้นี่ผ่องใสๆ ผ่องใสด้วยอุปกิเลส

นี่ผ่องใสของใคร ผ่องใสของสมาธิก็มี ผ่องใสของธรรมก็มี สิ่งที่มันมี นี่รบเข้าไปเถอะยืดเยื้อขนาดไหน มันจะเห็น เห็นตั้งแต่รบเข้าไป ตั้งแต่เราทำลายกองทัพ กองทัพของกิเลส ความต่อต้านของกิเลสที่เราทำลายเข้าไป ตั้งแต่ทัพหน้า ทัพปีกซ้าย ปีกขวาเข้าไปถึงทัพหลวงนะ มันจะเห็นไปหมดล่ะ เราจะตีทัพนี้แตก ตีทัพนี้แตก เข้าไปถึง นี่สงครามจะยืดเยื้อหรือสงครามจะรบเร็วชนะเร็วนี่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนา ไม่ต้องท้อถอย ไม่ต้องทุกข์จนเข็ญใจ เพราะสงครามที่เขาทำกันกับภายนอกนะ เขาต้องสมัครเป็นทหาร เขาต้องเจริญในวิชาชีพของเขา จนกว่าเขาจะเป็นแม่ทัพ เขาเป็นนายทัพ ยังอีกยาวไกลนั้นเป็นเรื่องของโลก เรื่องของการปกครองประเทศ นั้นเป็นเรื่องของสงครามโลก

แต่สงครามธาตุ สงครามขันธ์ในหัวใจของเรานี่ ไม่ต้องไปหาใครเลย เจ้ายุทธจักรก็อยู่กลางหัวใจ ศัตรูของเรานี่ อวิชชามารนะ มันเป็นอวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารานี่ มันอยู่ในภวาสวะ อยู่ในภพนี้ อาสวะ ๓ นี้ กลางหัวใจนี่ แล้วเรานี่รบแล้วแพ้แล้วแพ้อีก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องรบเลย ชนะตลอด ครูบาอาจารย์ของเราที่วิปัสสนามาถึงที่สุดแล้ว ไม่ต้องรบเลย กระทบขนาดไหน ก็ไม่มีข้าศึก ไม่มีการรบ ชนะตลอด ไม่ต้องรบชนะตลอดเลย

แต่เราจะรบกับกิเลสของเรานี่ แล้วเราก็เอากิเลสมาออกนอกหน้า ออกก้าวหน้าไปก่อน ปฏิบัติจะต้องเป็นอย่างนั้น สภาวะเป็นอย่างนั้น ถึงได้บอกมันไม่เป็นสัจจะความจริงเลยสักอันหนึ่ง ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงสักอันหนึ่ง สักอันหนึ่ง มันจะมีความสงบออกมา แล้วเวลาสื่อออกมานี่ เป็นความจริง ความจริงที่สื่อออกมาต้องเหมือนกัน

ดูสิ ดูในปัจจุบันนี้ ดูอย่างเช่นการสื่อสารเขา ถ้าเราสื่อสารในคลื่น ในกระบวนการที่ถูกต้องของเขานี่ เราจะสื่อสารไปได้รอบโลกเลย เราจะจับคลื่นต่างๆ ได้ทั้งหมดเลย แต่ถ้าเครื่องส่งของเรา มันคนละระบบของเขานี่ มันจะไปเข้าเขาได้อย่าง เครื่องของเรา ความรู้สึกของเรา กิเลสของเราทั้งตัวเลย แล้วบอกนี้เป็นธรรมๆ แล้วมันเข้ากับธรรมได้อย่างไรล่ะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อริยสัจอันเดียวกัน

สิ่งที่เป็นอริยสัจ พูดถึงอริยสัจ ความสงบของใจขึ้นมาจะเป็นสภาวะ ทุกข์ควรกำหนด กำหนดอย่างไร สมุทัยควรละ ละอย่างไร แล้วละด้วยอะไร? ละด้วยมรรค มรรคญาณ มรรคญาณเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วนิโรธะมันมาดับ ดับอย่างไร นิโรธะ นิโรธมันดับ มันดับโดยไม่รู้เรื่องเลยหรอ ไม่รู้เรื่องมันก็คนนอนหลับนะสิ แต่นิโรธะมันดับ ดับมันต้องมีความรู้สึกของมันสิ มันดับมันปล่อยวางอย่างไร สิ่งมันปล่อยวาง นี่สงครามมันเกิด เกิดอย่างนี้

ถ้าสงครามเกิดขึ้นมา ตำราพิชัยสงครามเล่มเดียวกัน ใครศึกษาก็รู้ ตำราก็คือตำรา แล้วคนไม่เคยออกรบเลย ทหารที่ศึกษามาแล้วไม่เคยออกรบสักทีหนึ่ง ปืนยิงอยู่ทุกวัน ยิงแต่ลูกซ้อม ลูกจริงไม่เคยยิงสักทีหนึ่ง แล้วยิงข้าศึกก็ไม่เห็น ยิงไปยิงมา ปืนจะลั่นใส่ตัวเองอีกต่างหาก การปฏิบัติมันจะได้ผลอย่างไรล่ะ เพราะเราสักแต่ว่า เราทำไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากจูงจมูกไปตลอดเลย กิเลสทั้งนั้น เวลาภาวนาไป กิเลสนำหน้า กิเลสดึงเราไป แล้วเราว่านี้การต่อสู้กับกิเลสนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าสังเวชนะ น่าสังเวชน่าสลดมาก เอากิเลสเป็นใหญ่ เอากิเลสเป็นใหญ่ในการประพฤติปฏิบัติ เอากิเลสเป็นใหญ่ในหัวใจ แล้วก็เหยียบย่ำตัวเอง ไม่เห็นนะ ไม่เห็นว่าเหยียบย่ำตัวเอง แต่จะไปทำลายคนอื่นนะ

นี่ชนะโดยกิเลสมันทำลายกันอย่างนี่ ทำลายตัวเองก่อนเลย แล้วไม่เห็นด้วยว่ามันทำลายอย่างไร ไม่รู้จักว่ามันทำลายอย่างไร เหมือนสารพิษในตัวนะ ถ้าเราไม่ใช่หมอ เราไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นพิษไม่เป็นพิษ เวลามันเกิดโรคแล้วถึงรู้ว่านี้เป็นโรคนะ

ดูสิ เวลาทางแพทย์เขา เขาพยายามจะบอกว่าการกินอาหาร อะไรต่างๆ ควรจะป้องกันไว้อย่าให้เกิดโรค นี่เขารู้ของเขานะ แล้วเราไม่รู้ นี่เห็นไหม ชนะโดยไม่ต้องรบ เขารู้ตั้งแต่ทีแรกเลยว่า อันนี้นี่สะสมไปจะเกิดสารอย่างนั้น จะเกิดปฏิกิริยากับร่างกายอย่างนี้

แล้วเราก็กิเลสทั้งล้วนๆ เลย ปฏิบัติไปด้วยกิเลสตลอดเลย นี่สารพิษทั้งนั้น สารพิษทั้งนั้นเลย เอาสิ่งที่เป็นพิษ เอาสิ่งที่กิเลสนี่สะสมเข้ามาที่ใจ แล้วก็ยังเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมนะ รบโดยข้าศึก ไม่ต้องรบด้วยนะ เหมือนกองทัพมันอ่อนแอ กองทัพยุทธปัจจัย มันใช้ไม่ได้ ก้าวออกรบเมื่อไรก็แพ้เมื่อนั้น แพ้เลยไม่ต้องไปรบ รบเร็วชนะเร็ว ไม่ต้องรบก็แพ้ แพ้โดยไม่ต้องรบเลย เพราะกิเลสมันเต็มหัวใจอยู่แล้ว

แต่ถ้าเรามี มีบุญนะ มีอำนาจวาสนา มันจะสามารถปรับความรู้สึก ปรับเปลี่ยนนะ สิ่งนี้เราประพฤติปฏิบัติมา แล้วมันไม่เคยประสบความสำเร็จ มันไม่เคยเข้ากระแสของธรรมเลย แม้แต่ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลาสงบเข้ามานี่ สงบขนาดไหน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คำว่า”ขณิกะ อุปจาระ” มันเป็นระดับ ระดับของจิตที่เวลามันสงบขนาดไหน มันเป็นสมมุติ เป็นสมมุติบัญญัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

เหมือนกับเข็มไมล์รถนะ รถมันวิ่งระดับไหน ระดับไหน จะได้รู้กัน แล้วเข็มไมล์รถ มันจะอยู่ระดับนั้นตลอดไปไหม รถมันต้องวิ่งใช้ไหม เข็มไมล์มันถึงจะขึ้นมาใช่ไหม ถ้ารถมันไม่วิ่งเข็มไมล์จะขึ้นมาได้อย่างไร นี้ก็เหมือนกัน ขณิกะ อุปจาระ อัปปนานี่ มันเกิดๆ ดับๆ มันเป็นอนิจจัง มันไม่อยู่กับเราหรอก มันอยู่ที่ว่า เรานี่ รถมันวิ่งอยู่ขนาดนี้ ขณิกะเป็นอย่างนี้ อุปจาระเป็นอย่างนี้ แล้วรถมันวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นไปได้ไหม มันต้องหยุดใช่ไหม

นี้ก็เหมือนกันสมาธิมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปได้ไหม มันเป็นขณิกะ เวลาปฏิบัติกันนะ เวลาจิตสงบนี้เป็นขณิกะ แล้วคิดว่าพอรถจอดแล้ว เข็มไมล์มันไม่ลงไง ก็คิดว่าได้ขณิกะ แล้วเคยได้ตลอดไปไง เวลาเสื่อมมันถึงไม่เป็นนะ เวลาจิตมันเสื่อม มันถึงไม่รู้ว่าจิตมันเสื่อม ถ้ามันจิตมันเสื่อม ล้อรถมันต้องหมุนอยู่ล้อรถหมุนอยู่ เข็มไมล์มันถึงจะเป็นอย่างนั้น ขณิกสมาธิถ้าเป็นบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันถึงจะมีฐานของมัน แล้วถ้าเจริญต่อไป มันก็เป็นอุปจารสมาธิ ถ้าอุปจารสมาธิ ถ้าพูดถึงผู้ที่มีอำนาจวาสนามันก็จะออก อุปจาระคือวงรอบของจิต ถ้าจิตระดับนี่มันจะออกรู้ ออกรู้นี่ มันสามารถเห็นกาย ที่เราเวลาจิตมันสงบเข้าไป เห็นอวัยวะ เห็นกระดูก เห็นต่างๆ เห็นสภาวะแบบนี่ จิตระดับนี้ มันจะเห็นอย่างนี้ เห็นไหมเวลาออกรบมันเป็นอย่างนี้ไง

ถ้าเราออกรบ ระยะยิงของปืนมันยิงถึง ถ้ายิงออกไปจะโดนข้าศึก ข้าศึกคนนั้นจะตายเพราะลูกปืนของเรา ถ้าเราไม่เคยออกรบเลยเราจะรบกับใคร ยิงปืนไป ระยะของปืน เวลาหวังผลไปทางไหนก็ไม่รู้ สิ่งใดๆ ก็ไม่รู้เลย เจอจิตมันออก มันสงบเข้าไปถึงอุปจารสมาธิ พอมันออกรับรู้ ถ้ารับรู้ถ้ามีอำนาจวาสนารับรู้ ถ้าอุปจารสมาธิ จิตมีอำนาจวาสนามันสงบของมัน สงบมาเป็นครั้งคราว แล้วเราก็พยายามกำหนดใช้ตั้งสติขึ้นไป มันก็จะสงบบ่อยครั้งเข้าๆ นี่เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ตั้งมั่นอย่างนี้ไง

เข็มไมล์ที่มันขึ้นมาแล้ว มันอยู่ของมัน เราเคยวิ่งจากระดับนี้ จิตสภาวะแบบนี้ เราชำนาญของเรา เรารักษาของเรา มันต้องทำอย่างนี้ ต้องรู้จักรักษา เราจะคิดว่าเรานี่วิปัสสนา เรานี้เป็นนักปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติไป เหมือนกับไปช็อปปิ้งนะ ซื้ออะไรแล้วก็เก็บใส่เซฟ ว่าเป็นของเราไง นั้นมันเป็นวัตถุนะ หัวใจไม่เป็นอย่างนั้นหรอก หัวใจนี่มันอยู่ที่การรักษา มันอยู่ที่สติ สติรักษามันดีมันก็จะเป็นดีของมัน ถ้าสติไม่รักษานะเสื่อมหมดเลย นี่เสื่อมหมดเลย ถ้าเสื่อมแล้วก็ทุกข์ยากของมันไป

อัปปนาสมาธินี่ลึกขนาดไหน สิ่งที่ว่าเป็นขณิกะเป็นการสื่อ สื่อว่าขณะระดับนี้เป็นการสื่อ แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่”สันทิฏฐิโก”ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูธรรมว่าจิตมันสัมผัสอย่างนี้ มันเคยเจริญ แล้วมันก็เคยเสื่อมอย่างนี้ ถ้าเคยเจริญแล้วเสื่อมอย่างนี้ มันก็เจริญแล้วเสื่อมอย่างนี้ตลอดไป นี้เป็นกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่เกิดจากใจ

ทฤษฎีคือ กรอบพระไตรปิฎกมันเป็นชื่อ ชื่อของธรรม ชื่อของสมาธิ ชื่อของปัญญา ความเพียรชอบ งานชอบ ชอบยังไง ชอบตามตัวหนังสือนี่ อ่านแล้วเฉยๆ นี่ศึกษามาแล้วนะ ทฤษฎีคือกรอบนั้นนะ ศึกษามาแล้วนะ ไม่ได้ออกรบ เท่านั้นแหละ ทหารไม่เคยรบ แต่ถ้าพอออกรบ มันจะมีประสบการณ์ แล้วจะซึ้งใจมาก แล้วมีปัญญา มีประยุกต์การรบ ประยุกต์วิธีการ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วเห็นความเป็นไป มันประยุกต์ได้นะ มีหลักการไง เคยรบเคยออกข้าศึกเป็นอย่างนี้ เคยออก ผู้ก่อการร้ายมีความเห็นอย่างนี้ เราต้องใช้ระบบอย่างนั้น นี่สงครามในน้ำ สงครามในอะไร มันประยุกต์ใช้ได้

ถ้ามันประยุกต์ใช้ได้ ธรรมเราเกิดแล้ว ธรรมเราเกิดแล้วเพราะอะไร เพราะการประยุกต์ใช้อย่างนี่ มันจะทำให้กิเลสตามไม่ทันไง แต่ถ้าเราตามกรอบนะ ทฤษฎีเป็นอย่างนี้ กิเลสมันก็เรียนด้วยนะ กิเลสมันก็เรียนในตำราพิชัยสงครามเหมือนกัน ตำราพิชัยสงครามท้องตลาดเขามีขายนะ ใครก็ศึกษาได้ กิเลสมันก็ศึกษา ถ้าเราเข้าไปโดยทฤษฎี โดยข้อสรุป โดยเถรตรงเข้าไปนะ กิเลสมันพลิกแพลงนะ ให้เราล้มลุกคลุกคลานตลอดไป แต่ถ้าเราเคยรบ เราเคยออกผจญกับการทันต่อสู้กับกิเลส การประยุกต์ใช้นี่ มันเป็นอุบาย ถ้าเรามีอุบาย เรา...

ดูพระสิ เวลาพระออกธุดงค์นะ นี่ออกพรรษาแล้ว พระเขาจะออกธุดงค์ ในสมัยพุทธกาลนะ พระจำพรรษา ออกพรรษาไม่ธุดงค์นี่ คฤหัสถ์บริษัท ๔ เขาติเตียนนะ เหมือนกับพระไม่สนใจ ไม่สนใจกับการค้นคว้า ไม่สนใจกับการต่อสู้กับกิเลส ไม่สนใจกับการจรรโลงศาสนา ถ้าการจรรโลงศาสนา ต้องผู้ที่รู้จริงถึงจรรโลงศาสนา ถ้าออกพรรษาแล้วออกธุดงค์ ธุดงค์เพื่ออะไรล่ะ ธุดงค์ไป เพื่อจะย้อนกลับมาดูใจ ย้อนกลับมา

การอุบายวิธีการ การจำเจอยู่กับสถานที่ การจำเจอย่างนี้ กิเลสมันหัวเราะเยาะ มันชินชาไง ความชินชา ความนอนใจสิ่งนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แต่การตื่นตัว การระวังตัว การแสวงหา สิ่งนี้เป็นการสร้างสติ ถ้าการสร้างสติ นี่ออกธุดงค์เพื่ออะไร ก็เป็นอุบายทั้งนั้นนะ นี้ก็เหมือนกันเป็นอุบาย เป็นอุบาย เป็นการออกรบไง รบแพ้ รบชนะ รบมาก รบน้อย อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่ความมุมานะ แล้วแพ้หรือชนะนี่ มันชนะไหม ถ้ามันชนะขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะตั้งแต่โคนต้นโพธิ์ สมัยพุทธกาล ยาจกเข็ญใจ มีผ้าผืนหนึ่ง เอาไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละล้าละลังนะ จะสละๆ นะ จนถึงที่สุดสละออกไป เราชนะแล้ว ชนะอย่างนี่ มันชนะแบบโลกๆ ไง ชนะความตระหนี่ถี่เหนียวของใจเท่านั้นนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชนะมาร มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก ความชนะมารนี้นะ เพราะอะไร เพราะมันต้องมีเหตุมีผลของในหัวใจนะ

การชนะอารมณ์ การตระหนี่ถี่เหนียวนั้นมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นขันธ์ มันเป็นเปลือกมะม่วง สิ่งที่ชนะ เปลือกมะม่วง ดูสิ มดแดงมันไต่มะม่วง มันเฝ้าแล้วเฝ้าอีก ภิกษุบวชมา ศึกษาทฤษฎี ศึกษาสุตมยปัญญา มันก็ไต่ผลมะม่วงอย่างนั้นนะ มันไม่ได้ลิ้มรสหรอก นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าศึกษามา สิ่งที่ทำมา สิ่งที่เป็นผล เป็นเปลือกของมะม่วงต่างๆ อย่างนั้น เราศึกษามา เราก็พัฒนาของเรา ถ้ามันมีการพัฒนาการของมัน นี่หัวใจมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป

ถ้าหัวใจพัฒนาขึ้นมา การศึกการสงครามจะเป็นประโยชน์นะ การศึกการสงคราม สงครามภายนอก สงครามที่เขารบล้างกัน สงครามที่เขาทำลายกัน สิ่งนั้นนะสร้างเวรสร้างกรรมนะ เราเกิดมานี่ เราไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรม เพราะที่เกิดมานี้ เกิดมาจากกรรม กรรมคือ การกระทำ กรรมดี กรรมดีได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วมีกรรมดีอันหนึ่ง กรรมดีคือ มโนกรรม

มโนกรรม ดูสิเวลามรรคมัน ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญาเกิดนะ มันเกิดจากมโนกรรม มันเกิดจากปัญญาของใจ ไม่ใช่เกิดจากปัญญาของสมอง ปัญญาสมองเป็นปัญญาสถิตินะ ปัญญาการจำ ศึกษานี่ ปัญญาสัญญาอย่างนี้ จำๆๆ จำมาอย่างนี่ จำมา มันเป็นความจำไม่ใช้ความจริงเลยนะ อริยสัจเกิดจากใจนะ เวลาเกิดกับใจ พระอรหันต์ ลืมในอะไร ลืมในสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัตินี่ สวดมนต์ก็ลืม บัญญัตินี่ลืมได้ พระอรหันต์ไม่ลืมในอะไร พระอรหันต์ไม่ลืมในอริยสัจ

อริยสัจเกิดที่ใจ อริยสัจเวลาทำลายกันทำลายที่ใจ ถ้าทำลายที่ใจ พระโสดาบันก็รู้ในระดับของพระโสดาบัน อกุปปธรรมเกิดเมื่อไหร่ ดับเมื่อไหร่จะรู้ตลอดไป ไม่มีการเผลอไผลเลย ขณะจิตจะดับ จะเข้ามาถึงตรงนี้ พระโสดาบันถึงปิดอบายภูมิ พระสกิทาคาก็รู้ได้พระสกิทาคา พระอนาคารู้สึกพระอนาคา พระอรหันต์รู้สึกพระอรหันต์ พระอริยะบุคคลจะไม่ลืม จะไม่ฝั่นเฝือนจากอริยสัจ สิ่งที่อริยสัจในหัวใจนี่ จะลืมไม่ได้เลย ถ้าจุดยืนขนาดไหน รู้ขนาดไหน นี่ ไม่ต้องรบ ชนะตลอด ชนะในระดับนั้น

แต่ถ้าพระอรหันต์นะ ชนะหมด ชนะหมดเลย เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นจิตที่มันพ้นออกไปจากกิเลสนี่ มันเป็นจิตล้วนๆ ไม่ใช่ขันธ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เห็นไหม ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระของพระอรหันต์ นี่เป็นภาระเลย ต้องพามันขับ มันถ่าย คำว่า”พา”ใครพา พลังงานไง ถ้าเรานอนหลับ เราไม่มีความรู้สึก ไม่มีความต้องการว่าจะลุกจะเดิน มันจะเป็นไปได้ไหม

นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าพระอรหันต์ยังขับถ่าย ยังเดินอยู่ ยังพูดยังจาอยู่นี่ มันมาจากไหนล่ะ ก็มาจากพลังงานตัวนี่ แต่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ไง พลังงานที่บริสุทธิ์ต้องการพาขับถ่าย คือพาดำรงชีวิตเท่านั้นเอง นี่ชนะตลอด ไม่ต้องรบเลย ชนะกิเลส ชนะทุกอย่าง ชนะตั้งแต่การทำลายกิเลสขาดออกมาจากใจ แล้วชนะตลอดเลย ไม่ต้องรบก็ชนะ แล้วก็มีเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น

การที่ไม่รบแล้วชนะนี่ ของโลกเขานะ อย่างของซุนวูนะ มันเป็นทฤษฎี มันจะมีต่อเมื่อ มันจะมีขณะที่.. ไม่รบแล้วชนะขนาดไหนแล้วแต่ มันก็มีเวรมีกรรมอยู่อย่างนั้นนะ เพราะอะไร เพราะเขาหลอกลวง เขาล่อเข้าไปให้ติดกับเขา แต่การชนะโดยธรรมนี่ ธรรมนี่ชนะหมด ชนะเจ้าวัฏจักร ชนะมารนะ เวลามารนี่..

เวลาลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลนะ เวลาสิ้นกิเลสแต่ละองค์ไปนี่ มันสะเทือนเลือนลั่น นี่เวลาพลิกฟ้าคว่ำดินนี่ โลกธาตุ ธาตุ โลกนอก-โลกใน ถ้าโลกในได้ทำลาย เรียกว่า ทำลายวัฏจักรนะ นี่มันสะเทือนเลือนลั่นนะ มารตื่นตลอดเวลา พยายามค้นคว้าหานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มารเอย เธออย่ารื้อค้นไปเลย เธอจะไม่เห็นร่องรอยของลูกศิษย์ของเราหรอก เธอจะไม่เห็นร่องรอยอันนี้เลย”

นี่มารเองยังหาไม่เจอ หาสิ่งที่ว่า สภาวะจิตอย่างนี้ไม่เจอ มันชนะขนาดนั้น เพราะมันชนะมารมาแล้ว เพราะมารในหัวใจของดวงๆ นั้น โดนทำลายลง แล้วพญามาร เทพฝ่ายมาร เทพที่ว่า เป็นมิจฉาทิฐิ สิ่งที่ว่าเหมือนกับมรรคของโจรนะ โจร มรรคของมัน คือ การปล้น มรรคของมัน คือ การทำลาย เพราะความเห็นของมันเป็นโจรตลอดไป

แต่มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทำลายใคร ทำลายมาร ทำลายกิเลสของตัว ทำลายอวิชชาในหัวใจ ทำลายเราแล้ว ชนะโดยธรรม ถ้าชนะโดยธรรม ธรรมสภาวะเป็นแบบนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนะ ชนะธรรมอันนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วเราไม่มีหรอ เราก็มี เพราะเรามีภวาสวะ เรามีภพ เรามีพุทธะ เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ภายใน แต่พระพุทธเจ้าของเรานี่ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี้ มันเป็นอวิชชา แต่พุทธะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอวิชชา เพราะอะไร เพราะท่านได้ทำลายอวิชชาตัวนี้ออกไปแล้ว พุทธะอันนี้มันถึงสะอาดไง

พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ ถ้ายังเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นภวาสวะ เป็นตัวภพ ถ้าทำลายแล้ว พุทธะของเรา คือเราค้นคว้าหาพุทธะของเรา นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส นี้ตัวพญามาร คือ ตัวอวิชชา คือ ตัวพุทธะ ถ้าทำลายตัวนี้หมดแล้วนะ ไม่มีพุทธะ

พุทธะของเราคือการก้าวเดิน พุทธะของเราคือมรรคญาณ พุทธะของเราคือฝ่ายการรบ รบโดยธรรม รบกับกิเลส ถ้าเราชนะโดยธรรม ชนะโดยธรรมกิเลสมันต้องมอดม้วยไป กิเลสมันต้องทำลายไป นี่สันทิฏฐิโกเป็นแบบนี้ ความเห็นจากภายใน มันจะเป็นความเห็นจากภายใน สิ่งที่เป็นภายใน เกิดมาจากการกระทำ เกิดขึ้นมาจากเราเป็นชาวพุทธ แล้วเราเป็นพุทธธรรม ไม่ใช่ธรรมของลัทธิต่างๆ ธรรมเหมือนกันนะ

ในลัทธิ ในศาสนาเขาว่าเป็นธรรม ธรรมของเขา ธรรมของเขาไปจำนนกับพุทโธ ธรรมของเขาไปจำนนกับพระเจ้า ธรรมของเขาไปจำนนกับสิ่งที่การตัดสิน แต่ธรรมของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่มี ไม่นับถือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่นับถือสิ่งต่างๆ นับถือแต่มรรคญาณ” มรรคญาณ ธรรม สภาวธรรมไง อาสวักขยญาณประเสริฐที่สุด

สิ่งที่เป็นจริตนิสัย พระอนุรุทธะจะรู้เรื่องวาระจิต เป็นเอตทัคคะ พระอานนท์จะเป็นพหูสูต สิ่งนี้เป็นจริตนิสัย เอตทัคคะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ แต่สิ่งที่เป็น ตั้งให้จะตั้งผู้ใดล่ะ ตั้งผู้ที่สิ้นกิเลส สิ้นกิเลสอาสวักขยญาณสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอาสวักขยญาณ เอตทัคคะตั้งไปทางไหน สิ่งนั้นมันก็เป็นผลพลอยได้ เป็นผลพลอยได้ของจริตนิสัยนะ แต่ธรรมล่ะ ถ้าธรรมไม่มีธรรมอันนี้ เรายังแพ้อยู่กับกิเลสนะ ถ้าอาสวักขยญาณไม่ทำลาย ไม่รบชนะนะ จะต้องเวียนตายเวียนเกิด

ถ้าเรารบชนะในชาติปัจจุบันของเรา เรามีเวลารบตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดจนตายนะ ถ้าแผ่นดินกลบหน้า ขณะที่จิตออกจากร่างไปแล้วนี่ ไม่ใช่ความรู้สึกอันนี้หรอก เพราะเวลาเกิด ตายแล้วนี่ มันจะได้สถานะใหม่ จิตดวงนี้ แต่ได้สถานะใหม่ สถานะใหม่นี่สิ่งแวดล้อมใหม่ ทุกอย่างใหม่ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา ยังใฝ่ใจในศาสนา ก็ยังเป็นการสืบต่อ แต่ถ้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็เป็นสิ่งแวดล้อมใหม่ อาหารใหม่

นี่อาหาร ๔ ของวัฏฏะ ผัสสาหาร วิญญาณาหาร กวฬิงการาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหาร ๔ เกิดในภพใด เกิดในชาติใด เกิดในสถานะใด มีอาหารอย่างนี้ๆ สภาวะแบบนั้น มันจะทำให้เราชัดเจนเข้ามาในศาสนา หรือจางไปในศาสนา นี่สิ่งนี้เป็นอนาคต

แต่ในปัจจุบันนี่ ในปัจจุบันของเรา เราต้องมีสติ เราจะไม่เชื่อกิเลส เราจะต้องต่อสู้ งานของเรางานจากภายใน งานต่อสู้กิเลสนะ งาน หน้าที่การงานของเรา พระต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ นี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง พระก็มีงาน เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ปลีแข้งเลี้ยงชีพ ชีพคือ ร่างกายนี้ เพื่อให้หัวใจมีโอกาส แล้วก็เลี้ยงสัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะเป็นมรรคแล้วนะ สัมมาอาชีวะในอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคเป็นความดี นี่เลี้ยงชีพชอบ

ถ้าเป็นอกุศลละ สิ่งนี้เลี้ยงชีพไม่ชอบ มันก็เป็นมิจฉามรรค มิจฉามรรค เป็นพระโดยอาชีพ อาชีพพระ แล้วแต่ใครจะเลือกนะ อาชีพต่างๆ เราบวชมาเป็นอาชีพหรอ เราไม่ได้บวชมาเป็นอาชีพหรอก เราเลี้ยงชีพ เลี้ยงปลีแข้ง เราเลี้ยงชีวิตของเรา เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสต่างหากล่ะ

ถ้าจะต่อสู้กับกิเลส สิ่งใดๆ ที่ มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เป็นของเล็กน้อยมาก ขณะที่เราออกสงคราม กำลังต่อสู้กับข้าศึกนะ สิ่งที่การจะได้แพ้ชนะนี่ มันอยู่ที่ไหวพริบ อยู่ที่ปัญญาของเรา นี่การส่งบำรุงกำลัง ถ้ามันมาทัน เราจะแบกรับภาระไปได้มากขนาดไหนล่ะ แบกรับ กระสุนปืนใหญ่เราแบกไหวไหม นี้ก็เหมือนกัน เราจะไปหวังอะไรกับปัจจัยเครื่องอาศัย จะไปมากมายขนาดไหน เราแค่เลี้ยงชีพเท่านั้นแหละ เลี้ยงชีพ สิ่งนั้นมันไม่เป็นประโยชน์อะไรหรอก

ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ ไม่ตื่นเต้นไปอย่างนี้ เราดำรงชีวิตได้สบายมาก จะรบที่ไหนก็ได้ จะรบกองโจร จะรบบนอากาศ จะรบอะไรเราก็รบได้ตลอดเลย แล้วถ้าเราเป็นนักรบ ถ้าเรารบ รบตลอด มันก็มีการต่อสู้ไปตลอด ถึงที่สุด รบแล้ว รบเล่า รบแล้ว จนถ้าชนะแล้ว ไม่ต้องรบ ไม่รบแล้วชนะตลอดไป เดินตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระอรหันต์เท่านั้น ไม่ต้องรบก็ชนะ ชนะโดยไม่ต้องรบ แต่ถ้าเรายังเป็นสาวก-สาวกะ เป็นผู้ก้าวเดิน เราต้องเดินตามธรรมวินัย เพื่อจะรบกับกิเลสของเรา เพื่อให้เราได้ลิ้มรสของธรรม เอวัง