พวกฉวยโอกาส
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่”
ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ หากมีจริง ทำไมจำนวนมนุษย์จึงมากขึ้นเรื่อยๆ เวียนว่ายมาจากไหนกัน
ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามนี้พูดถึงว่า คำถามมันบอกถึงว่าภูมิ ภูมิคนถามไง คนถามว่า ถ้าคนถามมีภูมิขนาดไหน การสนใจในศาสนา ว่าอย่างนั้นเลย ถ้าการสนใจในศาสนา
เพราะว่านักการศาสนานะ ในทางวิชาการน่ะ มนุษย์ศาสตร์เขาก็เรียนนะ แล้วตอนนี้เราเห็นข่าวอยู่ จุฬาฯ เขาเปิดเรียนการตาย มรณานุสติ การตายแบบการุณยฆาต การตายแบบมีความสุข ว่าอย่างนั้นเถอะ อู๋ย! มีคนจะไปเรียนกันเยอะเลยนะ
เราบอก โอ้โฮ! สงสัยวัดทั้งหมดคงจะยกเลิกหมด เขาต้องไปเรียนที่จุฬาฯ หมดเลย ก็เรื่องนี้มันเรื่องพื้นเพของศาสนาไง แต่เวลาพื้นเพศาสนาแต่พระไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจ พอพระไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจ พระก็คุยกัน พระนี่ก็รู้ได้แค่ว่ามีบุญมีบาปๆ แล้วถ้าบุญก็ของพระ บาปก็ของโยม พระก็ศึกษากันแค่นี้ไง ฉะนั้น จุฬาฯ เลยเปิดเลย การุณยฆาต การตายแบบมีความสุข ก็มรณานุสติ แล้วพอการตายอย่างนั้นเขาก็ศึกษามาจากบาลี จากคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา
นี่พูดถึงว่าภูมิของคนถาม เพราะคนถามมันมีความคิดอย่างไรถึงเขียนมาอย่างนี้ไง ถ้าเขียนมาอย่างนี้ บอกว่า ถ้าคนเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทำไมคนเยอะมาก
ไอ้นี่มันเป็นคำถามพื้นๆ นะ คำถามพื้นๆ อย่างเรา เราก็เคยคิด เมื่อก่อนเมืองไทยสมัยเราเป็นนักเรียนนะ เมืองไทยมี ๑๖ ล้านคน ท่องจำแม่นเลย แล้วมันมาจากไหน ๖๐ กว่าล้าน มันมาจากไหน เพราะจิตหนึ่งๆ เมื่อก่อน ๑๐ กว่าล้าน เดี๋ยวนี้ ๖๐ กว่าล้าน นั่นมาจากไหนๆ
นี่มันเป็นความคิดของผู้ที่สงสัย แล้วถ้าความคิดของผู้ที่สงสัย มันก็วัดภูมิ วัดภูมิว่า เรามีความสงสัยอย่างนี้ เราก็ถามมาอย่างนี้ไง ถ้าถามมาอย่างนี้ปั๊บ มันอยู่ที่เบื้องหลัง เบื้องหลังคือว่าจริตนิสัยความชอบ แล้วมีภูมิแค่ไหนก็ถามมา มันก็เลยกลายเป็นคำถามที่ซ้ำๆ ซากๆ คำถามแบบข้อสงสัยของมนุษย์ทั้งหมด ว่าอย่างนั้นเลย ทุกคนก็มีความสงสัยอย่างนี้ แม้แต่เป็นชาวพุทธเองนับถือศาสนาแล้วก็ยังสงสัย เพราะว่าความสงสัย ถ้ามีความสงสัยอยู่ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไป ถ้ายังมีความสงสัยอยู่ ท่านบอกไม่ใช่ มันต้องรู้แจ้ง ถ้าความรู้แจ้งแล้วไอ้ประเด็นอย่างนี้จบหมดเลย
ทีนี้จบหมดเลย เพียงแต่ว่าเขาถามมาอย่างนี้เพราะอะไร เพราะคนเข้ามาใหม่ไง คนเข้ามาใหม่ คนเกิดใหม่ คนมีความรู้ใหม่ คนมีการศึกษาใหม่ ยิ่งถ้าไปศึกษามาแล้ว ถ้ามีทางทฤษฎีมาแล้ว โอ้โฮ! ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งสงสัยเรื่องนี้มาก ถ้าสงสัยมากมันก็จะเริ่มเคลียร์ประเด็นไปเรื่อยๆ เริ่มต้นตั้งแต่คำถาม “การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่”
ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ ต้องแบ่งเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งคือการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง การเวียนว่ายตายเกิดนี่เป็นข้อเท็จจริงนะ เป็นข้อเท็จจริง เรื่องศาสนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องศาสนา การเวียนว่ายตายเกิดมันมีข้อเท็จจริงคือมันมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็ยังมีอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปอนาคตมันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ นี่การเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง แต่ศาสนาล่ะ ศาสนาทุกศาสนาสอนอย่างไร ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่
ฉะนั้น เราบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริงก่อน แล้วการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง ดูสิ เจ้าชายสิทธัตถะเวลาไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย การเวียนว่ายตายเกิดมันมีอยู่ก่อนที่จะมีศาสนาอีก แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถึงถามมหาดเล็ก “เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ เราต้องเป็นอย่างนี้หรือเปล่า” มหาดเล็กบอก “ใช่ ต้องเป็นอย่างนี้” ถ้าเป็นอย่างนี้มันสะเทือนใจ คำว่า “สะเทือนใจ” นี่คือบุญ
บุญคือสร้างสมบุญญาธิการมาก มันสะเทือนใจว่าเราก็ต้องเป็นแบบนี้ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะยังวัยรุ่นอยู่ก็มีความคิดว่า โอ้โฮ! โลกนี้โลกสวยมาก มันจะประสบความสำเร็จไปทุกๆ อย่างเลย แต่พอไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี่ไง นี่ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงมันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่เพราะคนมีบุญ เรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องอริยสัจ ศาสนามันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย เพราะศาสนาจะเป็นฝ่ายแก้ เป็นฝ่ายแก้ให้จิตนี้พ้นออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นข้อเท็จจริง
พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนตรงนั้น พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมการกระทำต่างหาก การกระทำให้พ้นจากวงจรอย่างนั้น วงจรอย่างนั้นคือวัฏฏะ ถ้าเรามีการกระทำ ศาสนาสอนถึงการกระทำ วิวัฏฏะ หักออกจากวงจรนั้น วงจรนั้นมันมีของมันอยู่แล้ว เห็นไหม
“การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่”
นี่เราจะบอกถึงการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นข้อเท็จจริงไว้ก่อน ศาสนาสอนถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ได้สอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ พ้นไปเลย
แล้วมันมีจริงหรือไม่
คำว่า “มีจริงหรือไม่” ของข้อเท็จจริงที่มันมีอยู่นี่ใครๆ ก็ไปหักล้างไม่ได้ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ นรกสวรรค์เรายังไม่เชื่อกันเลย นรกสวรรค์ เรื่องมรรคเรื่องผล เราไม่เชื่อกันเลย
ไม่เชื่อส่วนไม่เชื่อ มันเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ พระพุทธศาสนาไม่บังคับใคร แต่ถ้าใครมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้ว พอมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้วจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา มันก็ต้องมีข้อเท็จจริงใช่ไหม มันก็ต้องมีวิธีการ วิธีการบังคับ บังคับให้เราทำ ถ้าบังคับ อันนั้นไม่ใช่ศาสนาบังคับ เราต่างหากมีศรัทธามีความเชื่อแล้วเราจะบังคับตัวเราเองปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์
ฉะนั้น “การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่”
ยกตัวอย่างนะ ยกตัวอย่างเหมือนกับจักรวาล โลกมีหรือไม่ ดวงจันทร์มีหรือไม่ ดาวพฤหัสมีหรือไม่ มี มันมีของมันอยู่แล้ว นี่วัฏฏะไง มันมีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ ภพชาติมันมีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ การเวียนว่ายตายเกิดมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ดูสิ ดูนักขัตฤกษ์ ดูข้างขึ้นข้างแรม ข้างขึ้นข้างแรม เวลาซูเปอร์มูน ๓๖ ปี ๓๙ ปี ๗๐ ปี มันมารอบหนึ่ง ทำไมดาราศาสตร์เขาคำนวณได้ล่ะ ทำไมเขาคำนวณได้ แล้วการเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดนี่เขารู้ได้ไหม ได้ แต่การรู้ได้ รู้ทำไม
ดาราศาสตร์เขาก็รู้ของเขา แล้วมันก็วงจร วงจรวิทยาศาสตร์ วงจรดวงดาวมันก็หมุนไปตามวงโคจรของมัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เขารู้ไง แต่วงโคจรของดาวมันก็โคจรของมันไง นี่การเวียนว่ายตายเกิดก็มีของมันไง แล้วเอ็งรู้แล้วเอ็งได้อะไรไง
นี่ไง ที่บอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดมันมีของมันอยู่อย่างนี้นะ แล้วมีของมันอยู่อย่างนี้แล้ว ศาสนาเริ่มแรกของเราคือศาสนาถือผี ชาวมายาเขาไม่มีที่พึ่ง เขาต้องบูชายัญ บูชายัญเรื่องภูตผีปีศาจ ถือผีมากี่พันปี เป็นหมื่นๆ ปี ถือผี นี่ก็เวียนว่ายตายเกิดไง แต่ไม่มีที่พึ่งไง
การเวียนว่ายตายเกิดมันแปลกประหลาดตรงไหน ไม่เห็นมหัศจรรย์อะไรเลย ไม่เห็นมันมหัศจรรย์อะไรทั้งสิ้น แล้วเอ็งยังว่าไม่มี อ้าว! มีหรือไม่มีเอ็งก็ว่าตามประสาของเอ็งไง ตามประสาของผู้ถามไง ฉะนั้น เอ็งถามว่ามีหรือไม่มีล่ะ
เราถึงบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนั้น ภพชาติก็มีอยู่อย่างนั้น เพียงแต่คนจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น ถ้าคนไม่รู้ ไม่รู้ก็แล้วแต่อวิชชาความไม่รู้นั้นมันปิดบังไปมันก็มืดบอด ไอ้พวกมืดบอดก็อย่างหนึ่ง ไอ้พวกฉวยโอกาส ไอ้พวกดัดจริตก็อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้พวกดัดจริตเอาการเวียนว่ายตายเกิดไปแก้กรรมๆ...กรรมอะไร กรรมอะไรของมึง มึงรู้อะไร
นี่ไง เรื่องศาสนาเป็นเรื่องหนึ่งนะ ทีนี้พอเรื่องศาสนา ไอ้การเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง แล้วเอาข้อเท็จจริงนี้มาหลอกลวงกัน เอาข้อเท็จจริงมาแบล็กเมลกัน มาหาเงินกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
นี่ไง ข้อเท็จจริงเป็นข้อเท็จจริง จะบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มี ภพชาติ เวรกรรมไม่มี มันก็ไม่ใช่ มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ว่ามีอยู่อย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากได้สร้างบุญกุศลมาเป็นพระโพธิสัตว์ พอสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วมันสะเทือนหัวใจ เห็นไหม ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ”
พระเจ้าสุทโธทนะ อู้ฮู! บำรุงบำเรออย่างดีเลย เพราะต้องการให้เป็นจักรพรรดิ มีแต่เครื่องอำนวยความสะดวกดีงามไปทั้งหมด ไม่เคยเห็นสิ่งของไม่สวยไม่ดีเลย แล้วพอไปเห็นเข้าน่ะ “เราต้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ” ถามด้วยซื่อๆ นะ ถามด้วยคนที่ว่าพ่อพยายามจะบำรุงบำเรอไว้อย่างนั้น แต่ด้วยบุญ คำว่า“บุญ” พระโพธิสัตว์ได้สร้างมาอย่างนั้น มหาดเล็กก็บอกว่า “ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้น”
ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ จะอยู่สุขอยู่สบายขนาดไหนก็ต้องตายไง พอต้องตายก็ต้องคิด พอคิดก็ไปแสวงหา การไปแสวงหาก็ไปหาเจ้าลัทธิต่างๆ ร้อยแปดพันเก้า สุดท้ายแล้วมันแก้ไม่ได้ แก้อำนาจวาสนาของตนไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอำนาจวาสนามาก ถึงเวลาสุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแก้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง แล้วแก้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เข้าเรื่องศาสนาแล้ว ไอ้เรื่องข้อเท็จจริงนี้ยกไว้ก่อนนะ แขวนไว้ก่อนนะ อย่าเอามายุ่ง เพราะอะไร
เพราะว่าเวลาคนอ้างก็อ้าง อ้างกรรมเก่ากรรมใหม่ โอ๋ย! ถ้าคนมั่งมีศรีสุขมานะ โอ๋ย! อดีตชาติเราเคยเป็นญาติกันมา แต่ถ้าขอทานน่ะไม่ใช่...มันอ้าง อ้างแล้วจะหาแต่ผลประโยชน์ ไอ้พวกดัดจริต พวกฉวยโอกาส ไม่มีอะไรเป็นพื้นฐานเลย นี่มันเป็นอย่างนั้น
เขาบอกว่า “การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่”
เราบอกว่าเป็นข้อเท็จจริง จะเถียงอะไรก็เถียงไปเถอะ เอ็งจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ความเชื่อ ใครเชื่ออย่างไรยกไว้ แต่ไม่ใช่ศาสนาด้วย
แต่ศาสนาดีกว่านั้น แก้ได้ด้วย แก้ถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วย แล้วเสวยวิมุตติสุขอีกด้วย ดีกว่านั้นอีก ดีกว่าการเวียนว่ายตายเกิดอีก เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ แต่ทำให้พ้นออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเสวยวิมุตติสุขอีกต่างหาก นี่ศาสนาพุทธยอดเยี่ยม
ฉะนั้น เขาบอกว่า “ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ หากมีจริง ทำไมจำนวนมนุษย์จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วมาจากไหน”
ทุกศาสนานะ คำว่า “ทุกศาสนา” ก็สอนเรื่องคนนั่นแหละ แต่สอนเรื่องคนแล้ว แล้วแต่ว่าผู้นำ ผู้นำของเขามันไม่ถึงที่สุด อย่างการที่เวียนว่ายตายเกิด อย่างพราหมณ์ พราหมณ์ อาตมัน เพื่อไปอยู่กับพระเจ้า ทำอ้อนวอน อ้อนวอนขอ
อย่างพวกพราหมณ์เขามีพระเจ้าเขาหลายองค์ใช่ไหม มันก็มีการนับถือในเทววิทยาใช่ไหม มีลัทธิพระเจ้าหลายองค์กับพระเจ้าองค์เดียว พระเจ้าองค์เดียวก็มีพระเจ้าองค์เดียว พระเจ้าองค์เดียวก็พวกคริสตศาสนา ศาสนาอิสลามนี่พระเจ้าองค์เดียว แล้วอย่างพวกพราหมณ์มีพระเจ้าหลายองค์ เขามีพระเจ้าหลายองค์กับมีพระเจ้าองค์เดียวนะ ทีนี้เขามีพระเจ้าหลายองค์หรือมีพระเจ้าองค์เดียวก็แล้วแต่ แล้วสอนอะไรล่ะ ก็สอนให้เสียสละ ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ก็คน ก็สอนให้คนเป็นคนดี คนมันไม่มีที่พึ่ง ศาสนาขัดเกลา ก็เรื่องของศาสนาไง
แต่นี่หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าใครที่มีอำนาจวาสนาถึงได้นับถือศาสนาพุทธ ถ้าใครไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เพราะพระพุทธศาสนาปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธทุกๆ อย่าง แล้วจะไปพึ่งใครล่ะ เออ!
ของเขาพึ่งพระเจ้าของเขานะ แล้วแต่ความเมตตาของพระเจ้า พระเจ้าทดสอบเรา เขาว่านะ เวลาทุกข์เขาว่า “พระเจ้าทดสอบเรา”...พระเจ้าทำให้เอ็งทุกข์หรือ
“พระเจ้าทดสอบเรา พระเจ้าเมตตา พระเจ้ามีความเมตตา” ทำงานมาเกือบตาย “ขอบคุณพระเจ้าที่ให้อาหาร”...โอ๋ย! ก็กูไถนามา กูก็เพิ่งไถมาเมื่อกี้นี้ เพิ่งเกี่ยวมา “โอ๋ย! ขอบคุณ” นี่ไง เพราะไม่มีที่พึ่ง คนจนตรอก คนไม่มีที่พึ่งเขาก็ไม่มีที่พึ่ง จะบอกว่าคนว้าเหว่นะ
พูดนี้พูดในเชิงของความเป็นจริงนะ ถ้ามีสิ่งใดกระทบกระเทือน ขออภัย ขออภัยไว้ก่อนนะ ถ้ามีสิ่งใดกระทบกระเทือนกันบ้าง แต่นี่พูดตามข้อเท็จจริง
ฉะนั้นบอกว่า เวลาพระเจ้าหลายองค์ พระเจ้าต่างๆ ทำเสร็จแล้วก็ต้องขอบคุณพระเจ้า อะไรอยู่ที่พระเจ้าหมดเลย นี่พูดถึงมันจะหาที่ยึดที่เกาะ แล้วคนเรามันว้าเหว่ คนเราไม่มีที่พึ่ง ชาวมายาเขาอยากจะให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลเขาต้องบูชายัญฆ่ามนุษย์นะ ควักหัวใจบูชาเพื่อทุกอย่าง เพราะอะไร เพราะไม่มีที่พึ่ง นี่ศาสนาอย่างนั้น
“ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่”
มันมีเวียนว่ายตายเกิดแล้วเวียนว่ายตายเกิดอย่างไรล่ะ เวียนว่ายตายเกิดก็ต้องมีผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจเป็นคนที่คอยควบคุมดูแล คอยทำให้ประสบความสำเร็จ แต่พระพุทธศาสนาปฏิเสธหมดเลย นี่ไง พระพุทธศาสนา ใครไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ไม่มี
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนคนนั้นเป็นคนกระทำเสียเอง คนคนนั้นเป็นผู้ดูแลหัวใจของตนเสียเอง คนคนนั้นน่ะ พูดถึงอริยสัจสัจจะความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกศาสนา เขาบอกทุกศาสนามีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีหรือไม่
ทุกศาสนานะ เราถึงบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง เป็นข้อเท็จจริงนะ มันเป็นข้อเท็จจริง เพราะเจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวนก็เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ แล้วปัจจุบันนี้ก็มีอยู่ แล้วอนาคตก็จะมีต่อไป เพราะมันเป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่สวรรค์ พรหม นรกอเวจี มันมีของมันอยู่อย่างนั้น เหมือนจักรวาล จักรวาลมันมีของมันอยู่อย่างนั้น
แล้วถ้ามีอยู่อย่างนั้น เพียงแต่พระพุทธเจ้ามารู้ แต่รู้ มันมีของมันอยู่ไง เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ มันเข้าใจเรื่องนี้หมด มันไปเห็นหมดแล้ว เห็นหมดแล้วมันก็แก้สิ่งใดไม่ได้ไง สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณมาแก้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ผู้ที่จะไปเกิด ไปแก่ ไปเจ็บ ไปตาย ชำระล้างกิเลสหมดแล้วก็จบตรงนี้ไง นี่พูดถึงศาสนาพุทธนะ
เพราะศาสนาพุทธปฏิเสธพระเจ้า เพราะจิตดวงหนึ่งเวียนตายเวียนเกิด เพราะจิตนี้เป็นพระเจ้าเสียเอง คนทำบุญกุศลแล้วไปเกิดเป็นพระอินทร์ ไปเกิดเป็นพรหม ไปเกิด เขาก็เป็นพระเจ้าของเขา
แล้วเวลาคนที่ภาวนาทำสมาธินี่นะ เวลาจิตละเอียดแล้ว ถ้าระลึกรู้ว่าอดีตชาติของตนเป็นอย่างไรก็จะไปเห็นไง ไปเห็นว่าเราเคยเป็นอย่างนี้ๆ แล้วทีนี้คนที่จิตมันอ่อน จิตที่ไม่มีกำลังพอ พอไปถึงพรหม พรหมมันอยู่นานน่ะ มันก็สิ้นสุดแค่นี้ มันก็แค่นั้นแหละ แต่คนที่มีกำลัง คนที่มีดีกว่าเขาจะระลึกได้มากกว่า
ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลาท่านระลึกอดีตชาติ บางองค์ระลึกอดีตชาติ สองชาติ สามชาติ ห้าชาติ สิบชาติ แล้วแต่กำลังนะ แล้วแต่วาสนาของจิต ถ้าจิตมีกำลังมาก ไอ้นี่ไม่ใช่ศาสนานะ บอกไว้แล้วว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นข้อเท็จจริง การเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงนะ นี่ข้อเท็จจริงยังไม่ใช่ศาสนา
ทีนี้ข้อเท็จจริงแล้ว จิตมันสงบแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณที่พระพุทธเจ้าปฐมยาม ยังไม่ได้ตรัสรู้ นี่ไง เข้าตรงนี้ มันก็รู้ของมันอยู่อย่างนี้ นี่ข้อเท็จจริงๆ ข้อเท็จจริงของมัน ถ้าข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนี้ นี่ข้อเท็จจริงของมันอยู่อย่างนี้ แล้วทุกศาสนาเขาไม่มีกำลังของเขา เขาไม่มีมรรคไม่มีผลของเขา เห็นไหม ข้างในมันกลวง ข้างในมันไม่มีอะไร ก็ไปจำนนแค่นี้ไง พอจำนนแค่นี้ นี่ไง ก็ถึงว่าบูชาพระเจ้าแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไปอยู่กับอาตมันๆ ไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะคุ้มครองดูแล ก็ว่ากันไป ศาสนาพุทธปฏิเสธหมด
เขาบอกทุกศาสนา...ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่น ศาสนาพุทธเป็นพระพุทธศาสนา พุทธะเป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งการรู้แจ้ง
ถ้าศาสนาอื่นมีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่
อันนี้เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง แล้วมันมีมาอยู่ใช่ไหม เรื่องศาสนา เวลาศาสดาผู้นำที่เกิดมามีชีวิตขึ้นมา แล้วอย่างเรา อย่างพระเราพอมาบวชแล้วบอกพระพุทธเจ้าสอนผิด ฉันสอนถูก มันจะตั้งศาสนาใหม่มันก็ไม่กล้าตั้งนะ มันยังอ้างว่าเป็นพระพุทธศาสนาอยู่ มันยังอาศัยพระพุทธเจ้าหากินอยู่ มันก็ไม่กล้าตั้งไง ทีนี้บอกว่าเวลาสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง เวียนว่ายตายเกิดมันมีอยู่แล้ว แล้วเกิดมาเป็นผู้นำ เป็นผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาก็มาตั้งศาสนากันไป
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการเอาตัวเองให้พ้นไง ไม่มีสิ่งใดบังคับ มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง
เราจะบอกว่า ศาสนาก็เรื่องศาสนานี่แหละ แต่เราพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่อยากให้กระทบกระเทือนกัน ไม่อยากให้กระทบกระเทือนนะ ถ้ามีอะไรกระทบกระเทือน ขออภัย ขออภัยเลย เพราะไม่ได้พูดเพื่อเหตุนั้น แต่นี้คำถามวันนี้ ทีแรกจะไม่ตอบคำถามนี้ด้วย ไม่ตอบ เพราะว่าไอ้อย่างนี้ ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน มีปัญหามาทุกวัน ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน เกิดมีหรือไม่มี เรื่องปัญหาไก่กับไข่มันไม่จบหรอก แต่เรามาพิจารณาของเราแล้ว วันนี้เราจะตอบ
ถ้าจะตอบ นี่พูดถึงเรื่องศาสนาก่อน พระพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องพระเจ้า ปฏิเสธการพึ่งพาอาศัยอะไรทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาให้เชื่อในเรื่องอริยสัจ เชื่อเรื่องกรรม ผลของกรรม พระโพธิสัตว์ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมามหาศาลถึงได้เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยบุญกุศลอันนั้น ด้วยบารมีอันนั้น แล้วเวลามาตรัสรู้นี่ตรัสรู้เองโดยชอบ คำว่า “ตรัสรู้เองโดยชอบ” มันมีมรรคไง มีอาสวักขยญาณ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ คำว่า “จะมาตรัสรู้” ต้องมีการรื้อค้น ต้องมีการปฏิบัติไง
นี่มันต้องมีการปฏิบัติใช่ไหม อย่างเช่นของสิ่งหนึ่ง เวลามันมีของสิ่งนั้นจะแปรสภาพเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้อย่างไร คนเราเกิดมา เกิดมาคนเรามีอวิชชาใช่ไหม ถึงจะเป็นพระโพธิสัตว์เกิดมาก็เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วพระโพธิสัตว์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร พระโพธิสัตว์จะเปลี่ยนจากพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ต้องมีการกระทำไง ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสรู้เองโดยชอบไง คำว่า “ตรัสรู้เองโดยชอบ” นี่ไง แล้วต่อไปอนาคตวงศ์ พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้
คำว่า “ตรัสรู้” คือมรรค คำว่า “ตรัสรู้” คือการกระทำ คือการพิจารณาของท่าน การกระทำของท่าน ทีนี้การกระทำของท่าน ฉะนั้น ศาสนาทุกศาสนาเขาไม่มีการกระทำแบบนี้ เขาไม่มีการกระทำ เขาก็เชื่อ เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เชื่อเวลาจิตมันสงบ จิตสงบมันมีกำลังมันก็มองเห็นไป คำว่า “จิตส่งออกๆ” ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ศาสนาอื่น เวลาศาสนาอื่นเขาทำของเขา
ทุกศาสนาเขาก็ทำสมาธินะ ทุกศาสนาเขาทำสมาธิ แต่เขาไม่มีมรรค เขาไม่รู้จักใจของเขา ไม่ต้องว่าทุกศาสนาหรอก แม้แต่ศาสนาพุทธ พระในปัจจุบันนี้ก็โง่ๆ เซ่อๆ กันอยู่นี่ แล้วก็ดัดจริต ไอ้พวกดัดจริตไปเอาเรื่องข้างนอกมาหากินกันไง มันไม่ใช่เรื่องมรรค ไม่ได้สอนเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องจิตสงบ สมาธิก็เรื่องสมาธิ มันจะเกี่ยวอะไรกับมรรคผลล่ะ แล้วเดี๋ยวมันจะพูดให้ศาสนาสอนให้เชื่อกรรมอีกต่างหากนะ เราจะค่อยๆ เคลียร์ ค่อยๆ เคลียร์ นี่พูดถึงทุกศาสนาก่อน
“ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่”
ถ้ามีบอกมีปั๊บ มันจะเป็นอันเดียวกันมาหมดเลย ศาสนาก็คือศาสนา แล้วศาสนามีมรรคมีผล ศาสนาถ้ามีองค์คุณธรรม มีหรือไม่มีนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ศาสนาเป็นศาสนา
ทีนี้พระพุทธศาสนาถึงบอกว่าใครไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ถ้าไม่นับถือพระพุทธศาสนาก็อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ พระพุทธศาสนาปฏิเสธไม่ให้เชื่ออะไรทั้งสิ้น ให้เชื่อทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เราไม่มีพระเจ้านะ เราไม่มีอ้อนวอนใครนะ เราไม่ได้ถือใครเป็นคนที่มีอำนาจจะคุ้มครองดูแลจะรักษาเราตลอดภพชาติกี่ภพกี่ชาติไม่มีนะ มันอยู่ที่การกระทำ มันอยู่ที่กรรมของเรา เรามีสติมีปัญญา มีสมอง เราทำดีของเราไง เราทำดีของเรา เราเข้าถึงสัจธรรมไง นี่ศาสนาสอนอย่างนี้ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้
แล้วพระพุทธศาสนาสอนแบบไม่มีที่พึ่งเลย แต่ไม่มีที่พึ่ง เราเปรียบเทียบไม่มีที่พึ่งแบบลัทธิศาสนาอื่น ลัทธิศาสนาอื่นเขาสอนให้พึ่งไง ให้รอพวกพระเจ้ามาตัดสินไง ให้รอพระเจ้ามาอุ้มชูไง แต่พระพุทธศาสนามีที่พึ่งที่ไหน
นี่ไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่คำว่า “พึ่ง” อย่างนี้มันพึ่งแบบการกระทำ พึ่งแบบปัญญาไง ไม่ได้พึ่งแบบว่าขอเอา ขอขั้นนั้น ขอขั้นนี้ มันไม่มี พระพุทธศาสนาให้อย่างนั้นไม่ได้ แต่พระเจ้าของเขา เขาให้ของเขา นั่นมันเรื่องของเขา
ฉะนั้น เวลานับถือพระพุทธศาสนา เราถึงบอกว่า เรามีอะไรเป็นที่พึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่ง ให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จิตใจเรามีที่พึ่งที่อาศัย แต่ของเขาพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาโลก คือเป็นผู้พิพากษาเราไง โอ๋ย! ตาย ทำมาเกือบตาย ให้พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ไอ้ของเรา เราทำจบแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านจบ
นี่คำว่า “ทุกศาสนา” เราปฏิเสธ เราจะบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นข้อเท็จจริง ศาสนาแต่ละศาสนาก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน พระพุทธศาสนานี้สุดยอดมาก ศีล ๕ ปาณาติปาตาฯ ห้ามทำลายชีวิตทุกชีวิต ห้ามทำลายสิ่งมีชีวิตเลย
แต่ของเขานะ ถ้าฆ่าเพื่ออาหารไม่เป็นบาป มันแตกต่างกันแล้ว ถ้าเป็นอาหารนี่ฆ่าได้ ไม่เป็นบาป อ้าว! มันมีฆ่าได้กับฆ่าไม่ได้นะ ถ้าเป็นพวกเราฆ่าไม่ได้ ถ้าเป็นพวกเขาฆ่าได้ๆ นี่ศาสนาเขาสอนกันอย่างนั้น แต่ของเราไม่ได้หมด
แม้แต่คนที่เป็นมหาโจร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเมตตา แม้แต่มหาโจรนะ เรายังต้องแก้ไขมหาโจรให้มาเป็นคนดีกัน เราไม่มีการทำลายกันทั้งสิ้น พระพุทธศาสนาไม่ทำลายใครทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าให้เขาทำลายทิฏฐิความเห็นผิดของเขา ให้เขาเปลี่ยนแปลงความเห็นของเขาให้เขากลับมาเป็นคนดี ศาสนาสอนอย่างนี้นะ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ แต่ถ้าศาสนาอื่นๆ ถ้าพวกเราทำอะไรไม่ได้นะ ถ้าพวกเขาได้ๆ ศาสนาอะไรมันสอนกันอย่างนั้นก็ไม่รู้
ฉะนั้นบอกว่า ทุกศาสนาปฏิเสธ แต่ถ้าพระพุทธศาสนาอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพระพุทธศาสนา
“ทุกศาสนามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่”
นี่พูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องศาสนานะ
“หากมีจริง ทำไมจำนวนมนุษย์มีมากขึ้นเรื่อยๆ”
จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ข้อนี้ก่อนบวชเราก็สงสัย อย่าว่าแต่ผู้ถามสงสัยเลย ก่อนที่เราบวชเราก็สงสัย
จิตหนึ่ง มหายานสอนเรื่องจิตหนึ่งเลย จิตหนึ่งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตหนึ่งนะ คนสิบหกล้านคนมันก็ต้องสิบหกล้านคนตลอดมาสิ แล้วนี่เมื่อก่อนเราเรียนอยู่ สิบหกล้านคน ท่องจำแม่นเลย สิบหกล้าน สิบหกล้าน ประเทศไทยมีประชากรสิบหกล้านคน ตอนนี้ล่อไปเกือบร้อยล้านแล้ว แล้วมันมาจากไหนล่ะ
คำว่า “มาจากไหน” นะ ฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะบอกว่า ผู้ถามถ้าถามว่าคนที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์ตลอดไป คนที่เกิดเป็นสัตว์ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ตลอดไป จิตถ้าเขาเกิดเป็นอะไรก็ต้องเป็นแบบนั้น
เราอ่านพระไตรปิฎกเราก็เจอ ในลัทธิ เราจำภาษาบาลีไม่ได้ ทิฏฐินี้เขาบอกว่าบางลัทธินะบอกว่าคนเราเกิดมาให้เสวยกามสุข สุขนี่เสวยกาม เสพให้เต็มที่เลยห้าร้อยชาติก็นิพพาน คือห้าร้อยชาติก็จะดับ คือไม่เกิดอีก คือว่าจิตนี้เกิดได้แค่ห้าร้อยชาติไง เขาบอกว่า เกิดแล้วก็เสวยสุขไปห้าร้อยชาติแล้วก็จะสิ้นกิเลสไป บางความเชื่อก็บอกว่า ถ้าใครเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์อย่างนี้ตลอดไป ถ้าใครเกิดเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ตลอดไป
พระพุทธเจ้าเรียกมาเคาะหัวทุกทีเลย พระพุทธเจ้าจะเรียกมาสอน โมฆบุรุษ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่มันอยู่ที่เวรที่กรรมไง กรรมมันส่งเสริม กรรมตัดทอนไง ถ้าทำกรรมชั่วมันก็เกิดชั่วเกิดต่ำต้อยไปเรื่อยๆ ไง ถ้าทำความดี ความดีมันจะเกิดต่อไปเรื่อยๆ ไง
อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ในพระไตรปิฎก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต โตเทยยพราหมณ์เขาเป็นพราหมณ์ เขาเป็นเศรษฐีมาก เขาหวงแหนมาก เขาตระหนี่มาก เขาไม่เคยใส่บาตรเลย แล้วพอไม่เคยใส่บาตรเลย พอเขาตายไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปบิณฑบาตไง ทีนี้ไปบิณฑบาตข้างบ้าน คนใช้มา พอไปบิณฑบาตข้างบ้าน หมาตัวนี้ โตเทยยพราหมณ์ไปเกิดเป็นหมาไปเกิดเป็นสุนัข ก็มาเห่าหวงใหญ่เลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมันจะเป็นบุญกุศลไง ก็พูดกับหมา “โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นพราหมณ์เธอก็ตระหนี่ถี่เหนียว เธอเป็นสุนัขเธอก็ตระหนี่ถี่เหนียว” พูดให้คนใช้ได้ยินนะ
คนใช้โกรธมาก คนใช้ก็ไปบอกลูกโตเทยยพราหมณ์ เขาเป็นพราหมณ์ เป็นเศรษฐี อู๋ย! ลูกเศรษฐีเขาโกรธมากว่าพระพุทธเจ้าดูถูกเขานะ เขาตามไป เพราะเขาเป็นพราหมณ์ พราหมณ์กับพุทธมันแข่งกันอยู่ เขาก็ตามไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัด จำไม่ได้ชื่ออะไร ไปถึงบอกพระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงหรือ
จริง จริง ทำไม ถ้าพูดอย่างนั้นจริงแล้วอยากพิสูจน์ไหม พระพุทธเจ้าถามเลย อยากพิสูจน์ เพราะพระพุทธเจ้าจะเมตตาเขา เมตตาสุนัขตัวนี้ เมตตาโตเทยยพราหมณ์ มีเงินกุศลมหาศาลไม่ทำบุญกุศล ตระหนี่ถี่เหนียวไง เก็บไว้ๆ แล้วสุดท้ายแล้วตายไปก็เป็นสุนัข ด้วยความผูกพัน คนเราสมัยนั้นมันไม่มีธนาคาร เขาเอาทองคำใส่ไหไปฝังๆ ไว้ไง แล้วพอเขาตายไปเขาก็ห่วงทองคำนั้น เขาก็มาเกิดเป็นสุนัขเฝ้าที่ไหทองคำนั้น อยู่ข้างๆ บ้านนั่นแหละ
สุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าก็บอกกับลูกพราหมณ์ ลูกชายเขาให้กลับไปหาหมาตัวนั้น แล้วก็ไปปลอบประโลมหมาตัวนั้น เรียกพ่อๆๆ เลย แล้วก็เอาอาหารบำรุงบำเรออย่างดีเลย อาหารไปเลี้ยงอย่างดี เลี้ยงสุนัขตัวนั้นนะ นี่อยู่ในพระไตรปิฎกเป็นบาลีแล้วเขาแปลมาอยู่ในธรรมบท ก็พ่อๆ อย่างนู้น พ่ออย่างดีเลย เรียกพ่อ ป้อนอย่างดีอิ่มหนำสำราญ พ่อ พระพุทธเจ้าสั่งไว้ให้เลี้ยงให้ดีเลย แล้วก็ขอ สุดท้ายแล้วให้ขอว่าขอสมบัติ
ทีนี้มันเป็นสุนัขมันมาเฝ้าไง พอสุนัขมาเฝ้า พอบอกพ่อๆ แล้วขอสมบัติ กระดิกหางดิ๊กๆๆ วิ่งไปเลยนะ ไปตะกุย ตะกุยที่ฝังไว้น่ะ ลูกชายโตเทยยพราหมณ์ให้เขาขุดเลย พอขุดไป โอ้โฮ! ไหทองคำทั้งนั้นเลย ขุดลงไปเจอทองคำทั้งนั้นเลย
จากมนุษย์ไปเกิดเป็นสุนัข อยู่ในธรรมบท อยู่ในคัมภีร์ นี่พูดถึงว่าถ้ามนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ตลอดไป ทำไมพราหมณ์ไปเกิดเป็นสุนัข ถ้าเรื่องการกระทำ การกระทำอย่างนี้ไง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องตระหนี่ถี่เหนียวนี่ไง เห็นโทษของสมบัติของเราแท้ๆ เลย ควรจะเป็นสมบัติของเรา ฝังไว้เอง ทำไว้เอง แล้วก็มาเกิดมาเฝ้าเองเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ของของตัวแท้ๆ แต่ถ้ามันสละไปเป็นบุญกุศลนะ มันได้ไปสวรรค์ไปนั่นเลย แล้วนี่มนุษย์มาเกิดเป็นหมานะ มนุษย์มาเกิดเป็นสัตว์
แล้วสัตว์มาเกิดเป็นเทวดา สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดานะ พระปัจเจกพุทธเจ้าออกบิณฑบาต พอบิณฑบาตขึ้นไป บ้านหนึ่งเขานิมนต์มาฉันทุกวันไง เขาเลี้ยงหมาไว้ เขาก็นัดไว้นะว่าทำอาหารนิมนต์มาฉันทั้งพรรษา แล้วต่อไปนี้จะไปนิมนต์ทุกวันมันมีระยะทาง แล้วมีหน้าที่การงานมันมาก ต่อไปนี้ทำอาหารเสร็จแล้วก็จะให้สุนัขนี้มานิมนต์ สุนัขมันแสนรู้
สุนัขมันก็ไปนิมนต์ทุกวันนะ พออาหารจะเสร็จเขาบอกไป หมาไปนิมนต์ ไปถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็วิ่งไปเลย ดีใจ ไปนิมนต์ โฮ่งๆๆ ตามทางมานะ พระปัจเจกพุทธเจ้าเก่งมาก ท่านพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านแกล้งเดินหลงทาง หมาไปทางนี้นะ ท่านก็เดินไปทางนู้นนะ มันไม่ยอมนะ มันวิ่งกลับไปดึงคาบจีวร ไม่ใช่ๆ ทางนี้ๆ ดึงกลับมา ท่านทำ ความผูกพัน ความผูกพันกัน รักมาก
ทีนี้ประเพณี พระสมัยพุทธกาลออกพรรษาแล้วธุดงค์นะ เขาไม่อยู่ประจำสถานที่ ฉะนั้น พอออกพรรษาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องออกธุดงค์ไป พอธุดงค์ก็ลาหมาตัวนั้นน่ะ มันรักมาก มันหอนนะ มันหอนจนขาดใจตาย พอขาดใจตายเลย พอตายจากนั้นไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นเทวดาที่เสียงไพเราะสุดๆ เลย ชื่อของท่านคือท้าวโฆสกะ เพราะเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดในหมู่ของเทวดาทั้งสิ้น เพราะได้ทำบุญกุศลอันนี้ไว้ไง
ฉะนั้น เวลาพวกโยมไปเป็นพิธีกรเขาเรียกว่าโฆษกๆ นั่นคือหมา ไอ้พวกพิธีกรนี่มาจากหมา เพราะว่าเราทับศัพท์มาจากคัมภีร์ คัมภีร์ว่าท้าวโฆสกะเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดเลย แล้วถ้าเอ็งเป็นพิธีกรเอ็งก็เป็นหมา เอ็งมาจากหมา
หมาได้เกิดเป็นเทวดา นี่ถ้าหมาไปเกิดเป็นเทวดา สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเปลี่ยนแปลงกันอยู่อย่างนี้ ถ้ามันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เมื่อก่อนสิบหกล้านคน ทำไมเป็นหกสิบล้านคนล่ะ
มันไม่ใช่ว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นไง สัตว์ แล้วพูดถึงถ้าสัตว์มันมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ มนุษย์เกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์มันเกิดเป็นเทวดาได้ สัตว์เปลี่ยนไปได้ด้วยเวรด้วยกรรม ถ้าด้วยเวรด้วยกรรม เห็นไหม
แมลง ดูพระนะ พระในสมัยพุทธกาลเป็นพระแล้วไปบิณฑบาตมากับญาติพี่น้องของตน เขาก็ถวายฝ้ายมา พอถวายฝ้ายมา มาถึงก็แกะออกหมดมาทอใหม่ ทอให้มันละเอียดไง แล้วตัด โอ้โฮ! วันนั้นพระก็ช่วยกัน เพราะสมัยก่อนมันไม่มีเทคโนโลยี มันต้องใช้มือหมด พอช่วยกันเสร็จแล้ว ตัดเสร็จแล้วย้อมเสร็จ โอ้โฮ! สวยงามมาก ปลื้มใจมากๆ เลย พรุ่งนี้เช้าจะได้ห่มผ้าสวยๆ ผ้าใหม่ คืนนั้นท่านท้องร่วงเสียชีวิต พระนะ ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้นน่ะ
แล้วพอสุดท้ายแล้ว วินัยสงฆ์ ถ้าพูดถึงบริขาร ๘ มันหายาก สมัยโบราณมันหายากมาก แล้วถึงเวลาแล้วถ้าพระเสียชีวิต เขาต้องให้ผู้ที่อุปัฏฐาก ผู้ที่อุปัฏฐากพระจะได้สิทธิเรื่องบริขาร ถ้าพระองค์นั้นไม่มีผู้อุปัฏฐาก ผ้านั้นจะตกเป็นของของสงฆ์ แล้วสงฆ์จะแจกใคร ให้สงฆ์แจกใคร นี่ตามวินัย
พระพุทธเจ้าเสด็จมาเอง ผ้านี้ห้ามแจกนะ ผ้านี้ห้ามแบ่งกัน ให้ตากไว้อย่างนั้น ให้ตากไว้อย่างนั้นให้ครบเจ็ดวัน
เล็นหรือไรมันมีชีวิตแค่เจ็ดวัน มันไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น มีความสุขมาก ของฉันๆ มีความสุขสุดๆ เลย เพราะของฉันน่ะเจ็ดวันมันก็ตาย พอตายไปเกิดบนสวรรค์นะ
แต่ถ้าพระพุทธเจ้า ไม่ได้ด้วยความรู้ของพระพุทธเจ้า พวกเราเป็นพระเราก็จะแจกกันตามสิทธิ์ ถ้าเราแจกกันตามสิทธิ์ ไอ้เล็นนั้นมันของฉัน แล้วพระมาแย่งมันไป มันจะโกรธไหม แล้วถ้ามันโกรธขึ้นมานี่ด้วยโทสะ เวลามันตายแล้วมันไปไหน
นี่พระพุทธเจ้าท่านเมตตาขนาดนั้นนะ ไม่ต้องการให้เล็นตัวนี้ตกนรก ต้องการให้เล็นตัวนี้ไปสวรรค์ แขวนไว้อย่างนั้นเจ็ดวัน พอเล็นมันตายแล้วพระพุทธเจ้าบอกแจกได้ เศษผ้า ทำไมมาติดมัน นี่กิเลสมันเป็นอย่างนี้ ความติดพันทิฏฐิมันเป็นอย่างนี้ พอแจกแล้วก็จบไง เพราะเล็นตัวนี้ก็เกิดแล้ว
พระไปเกิดเป็นเล็น แล้วทีนี้พอพระไปเกิดเป็นเล็น แล้วสัตว์โลกมันมีเท่าไร แล้วสิบหกล้านคนกับหกสิบล้านมันได้ไหม
ฉะนั้น เขาบอกว่า “ถ้าหากมันมีจริง จำนวนมนุษย์ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เวียนว่ายตายเกิดมาจากไหน”
เออ! มาจากไหนล่ะ เราจะพูดอย่างนี้นะ พูดว่า มนุษย์สมบัตินะ การเกิดเป็นมนุษย์ต้องมีบุญมากนะ พวกเราพวกที่นั่งอยู่นี่ ความเป็นมนุษย์นี้มันมีค่านะ ชีวิตเรานี้มีค่ามากๆ ให้เห็นกับค่าของความมีชีวิตนี้ แล้วมีชีวิตนี้จะทุกข์จะยากนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือชีวิตของเรา
ครูบาอาจารย์ท่านบอก สิ่งที่สัมผัสธรรมได้ก็คือความรู้สึก คือหัวใจของเรา แล้วหัวใจของเราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี มันเป็นหน้าเดียว มันเป็นภพชาติเดียวอย่างนั้น มันก็ไปตามบุญกุศลตามบาปอกุศล
เกิดเป็นมนุษย์มันมีกายกับใจไง ร่างกายนี้ต้องการอาหาร ร่างกายนี้ต้องการความอบอุ่น พอร่างกายต้องการความอบอุ่น เราต้องแสวงหาสิ่งนั้นมาเพื่อร่างกายนี้ ถ้าแสวงหาเพื่อร่างกายนี้ ร่างกายมันเบียดเบียนเราไง คือเราต้องรับภาระสองอย่าง อย่างหนึ่งคือร่างกายนี้กับจิตใจนี้ไง ถ้าร่างกายกับจิตใจมันบีบคั้นกันๆ มันทำให้เราศึกษาศาสนาได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น มันเห็นคุณค่าของศาสนาไง ทีนี้เกิดเป็นมนุษย์มีค่ามาก ถ้ามีค่ามาก ถ้าเรามีสติมีปัญญามันจะย้อนกลับมาที่นี่ไง
ฉะนั้นที่ว่า สิ่งนี้มนุษย์ที่มันมีมากขึ้นๆ มันมาจากไหน
ก็มาจากเวรจากกรรมไง ก็มาจากกรรม จากการกระทำไง พระพุทธศาสนาสอน สอนที่นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ สอนเรื่องทานคือสร้างอำนาจวาสนาบารมี สอนเรื่องศีล เรื่องศีลคือความปกติของใจ สอนเรื่องภาวนา นี่ถ้าพระพุทธศาสนานะ
ถ้าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องอริยสัจ ถ้าเรื่องอริยสัจ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ แล้วมันก็จะไปแก้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงนี้มันมีของมันเป็นข้อเท็จจริง เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์เลย เป็นข้อเท็จจริงเลย แต่ศาสนานี้มหาศาล ศาสนานี้มีคุณค่ามากกว่า ศาสนานี้สอนถึงวิวัฏฏะ คือหักออก หักจิตนี้ออกจากวัฏฏะ หักออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
ถ้าพูดถึง ที่เราพูดๆ อยู่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ก็ข้อเท็จจริงเป็นธรรมชาติ แต่ที่เราบอกว่าธรรมะมันเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเพราะมันวิวัฏฏะ มันหักออกจากวัฏฏะ ถ้าธรรมชาติก็การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ถ้าธรรมชาติ
ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่นะ เราทำแล้วเราปฏิเสธสิ่งที่เราทำไม่ได้ ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ ทำด้วยขาดสติหรือมีสติ ทำนะ บุญกุศลบาปอกุศลนั้นน่ะ นั่นแหละจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ไปเกิดในสถานะใด นี่ในสถานะใด นี่วัฏฏะ นี่ธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติมันก็แปรปรวนไปธรรมชาติไง แต่ด้วยการกระทำ ปฏิบัตินี่ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ถ้าธรรมชาติ เพราะเราเกิดจากธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติ แต่เราปฏิบัติไปพอมันเป็นคุณธรรมแท้ๆ มันเหนือธรรมชาติ เพราะมันหักออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด มันหักออกจากวัฏฏะ มันเหนือวัฏฏะ เพราะธรรมชาติมันหมุนเวียนไป แต่นี่มันทิ้งธรรมชาติ มันรู้เท่าธรรมชาติแล้ววางธรรมชาติไว้ มันเหนือธรรมชาติเพราะมันไม่ไปกับธรรมชาติอีกแล้ว
เพราะธรรมชาติคือสสาร ธรรมชาติคือสิ่งที่มีอยู่ใช่ไหม มันต้องแปรปรวนใช่ไหม แล้วถ้าเป็นนิพพานมันแปรปรวนไหม นิพพานมันเปลี่ยนแปลงไหม นี่ไง มันเหนือธรรมชาติที่ว่าไม่มีสิ่งใดเข้าไปมีส่วนกับเขาได้ เขาเหนือหมดไง นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติมันเหนือทุกๆ อย่างไง ถ้าเหนือทุกอย่าง นี่คืออะไร ก็เรื่องกรรม ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อกรรมนะ
นี่พูดถึง เราถึงบอกว่า ไอ้พวกที่ฉวยโอกาส เราสงสารนะ สงสารพระที่เขาซื่อสัตย์ซื่อตรง แล้วเห็นพระที่ฉวยโอกาส แล้วเอาเรื่องภพเรื่องชาติมารีดนาทาเร้นมาหลอกลวงกันน่ะ ไม่อยากเอ่ยชื่อนะ อย่างเช่นพุทธทาส อย่างเช่นพระที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนรกสวรรค์ เพราะอะไร
เพราะไอ้พวกดัดจริต ไอ้พวกฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้มาหาผลประโยชน์กับความเชื่อ กับความเชื่อนรกสวรรค์ไง แล้วก็บอกว่านรกสวรรค์เอามาขายเอามาอะไรกัน แล้วพวกนี้เขาก็เลยต่อต้าน แต่ความจริงมันเป็นข้อเท็จจริง แต่ที่มันจะเป็นจริงได้มันก็อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่การกระทำ ผลของมันไง ผลของกรรม กรรมดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันอยู่ที่การกระทำอันนั้น ถ้าการกระทำอันนั้นเราทำดี ทำดีมันจะไปกลัวอะไรนรก ทำดี
ทีนี้คนของเรา เรื่องของกิเลสมันไว้ใจไม่ได้ ใจคนมันเรรวนตลอดไง มันถึงต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาคอยดูแลรักษาไง แล้วถ้าทำเป็นจริงๆ ไอ้เรื่องข้อเท็จจริงนี้เป็นเรื่องหนึ่งนะ ฉะนั้น เรื่องศาสนา เรื่องอริยสัจ พระพุทธศาสนา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระพุทธศาสนาสอนที่นี่
ทีนี้จำนวนมากนี้มาจากไหน จำนวนมากนี้มาจากไหน
ก็มาจากกรรมดีๆ ไง กรรมดีคือการทำดี มนุษย์สมบัติ คนจะเกิดเป็นมนุษย์ได้มันต้องมีสถานะความเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติก็คือศีล ๕ คนที่เขาอายุยืนเพราะเขารักษาศีลมา รักษาศีล เขาไม่ทำลายชีวิตสัตว์ตกล่วง เขาดูแล พวกนี้อายุยืน ไอ้พวกอายุสั้นๆ คือฆ่าเขาเยอะ ฆ่าเขาเยอะ ทำลายเยอะ เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีบุญกุศลเหมือนกัน แต่เกิดมาตายในท้อง ห้าขวบสิบขวบตาย แต่ถ้าคนอายุร้อยกว่าสองร้อย นี่ไง มนุษย์สมบัติแล้วมันก็อยู่ที่คุณค่าของเขา อยู่ที่การกระทำของเขา กรรมดี กรรมชั่ว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมนี่จำแนกสัตว์ แล้วทำกรรมดีๆ มันเป็นกรรมดีของเราไง
ฉะนั้นจะบอกว่า ไอ้เรื่องคำถามนี้ทีแรกจะไม่ตอบนะ แต่เมื่อจะตอบ จะเคลียร์ไง จะเคลียร์แล้วมันเห็นคนเขาเอามาหากินกันเยอะ ไอ้การเวียนว่ายตายเกิดนี่ แล้วยิ่งระลึกชาติได้นี่ โอ้โฮ!
ระลึกชาติได้นะ ความระลึกชาติได้มันเป็นเรื่องอภิญญา มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรื่องมรรคเรื่องผล ศาสนาสอนตรงนี้ แต่ไอ้เรื่องข้อเท็จจริงมันมีของมันอยู่ใช่ไหม นี่การระลึกได้มันก็ข้อเท็จจริง
คำว่า “ข้อเท็จจริง” ทีนี้ข้อเท็จจริง คนที่เป็นจริง อย่างหลวงปู่มั่นท่านรู้ได้จริง ท่านกำหนดดูหลวงตานั้นน่ะแต่งงานกับครอบครัวเก่า ท่านจะเตือนแล้วมันมีผลกระทบ ตอนหลังท่านไม่พูดเลย ท่านพูดอ้อมๆ พูดกระทบไง หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังทั้งนั้นน่ะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง คนที่เขารู้จริงเขาเก็บของเขาไว้ เขาไม่เอามากระทบกระเทือน ไอ้พวกที่โพล่งๆ น่ะหลอกแดกทั้งนั้น ไอ้พวกดัดจริต ไอ้พวกหาแดก แต่ถ้าเรื่องศาสนาแล้วนะ เรื่องข้อเท็จจริงนั้นยกไว้ แต่เรื่องอริยสัจ เรื่องความเป็นจริงนี่เป็นความเป็นจริง
ฉะนั้น ไอ้พวกฉวยโอกาส จริงๆ นะ บวชในพระพุทธศาสนาแล้วก็ทำลายศาสนาโดยการกระทำของมัน แล้วก็ว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่งนะ ทั้งๆ ที่ตัวเองทำลายๆๆ ทำลายตัวเองนั่นแหละ กรรมอันนั้นน่ะ สอนเขาๆ แล้วก็แสวงหาผลประโยชน์นั่นแหละ แล้วเดี๋ยวเอ็งตายไปมันจะรู้เลยว่ามันจะเกิดจริงหรือไม่จริง มันจะเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ แล้วมันจะรู้เลยว่ามันไปอยู่ที่ไหน เพราะการกระทำของมัน เอวัง