เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมเนาะ มันเป็นหน้าที่ คนเกิดมามีหน้าที่ หน้าที่ของคน หน้าที่ของคน คนเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐๆ สัตว์ประเสริฐเกิดมาแล้วถ้าใจเป็นบุญเป็นกุศล อยากจะทำบุญกุศลต้องขวนขวาย ขวนขวายนะ ดูสิ คนที่ทำบุญๆ เวลาทำบุญขึ้นมา ไม่มีศรัทธานะ มันก็พยายามคิดว่าเราคืออะไร คนถ้ามีศักยภาพมันคิดถึงหัวใจของเราไง คนเรามันมีกายกับใจๆ เวลามันสุขมันทุกข์ มันสุขทุกข์ที่หัวใจนี้ เวลาจะมีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา
มีคนมาบ่นให้ฟังมาก บอกเวลาทำบุญกุศลขึ้นมาแล้ว เวลาทำไปแล้วมันตะขิดตะขวงใจ มันตะขิดตะขวงใจว่ามันทำบุญไปแล้วเห็นพระบ้านเป็นอย่างนั้นไง
เราก็บอกว่า เราก็ตั้งสติปัญญาของเราสิ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ระลึกถึงพระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ให้ระลึกถึงพระอริยสงฆ์ๆ แล้วทำบุญไปๆ ไม่อย่างนั้นเวลาเราจะทำบุญกุศลเราก็ต้องแสวงหาไง แสวงหาจากพระภายนอกๆ พระภายนอกก็ขวนขวายๆ พระที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าไว้เนื้อเชื่อใจ ทำบุญกุศลขึ้นมาแล้วมันก็เต็มหัวใจ
แต่เวลาทำบุญกุศลขึ้นมาด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อของเรา ด้วยการขวนขวายของเรา เราอยากหาที่พึ่งนะ หาที่พึ่งของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา การเสียสละทานๆ คือสร้างวาสนาบารมี การเสียสละทานๆ เสียสละทานเพื่อหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ที่มันไม่ศรัทธา
เวลาชาวพุทธขึ้นมา เวลาพูดเรื่องศาสนา เขาหัวเราะเยาะ เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องของความครึความล้าสมัย แต่เรื่องความทุกข์ความยากในหัวใจเป็นเรื่องปัจจุบัน เรื่องศรัทธาความเชื่อบอกเป็นเรื่องครึเรื่องล้าสมัย เวลาล้าสมัยขึ้นมา ถ้าคนมันทุกข์มันยากขึ้นมา มันขวนขวายขึ้นมา มันแสวงหาเปรียบเทียบขึ้นมา ความสุขมันหาที่ไหน ความสุขมันหาที่ไหน คนมั่งมีศรีสุขเขาเที่ยวรอบโลก ไปเที่ยวอวกาศกลับมาก็ยังทุกข์เหมือนเดิมนั่นน่ะ เวลาความสุขๆ ที่จะหาได้ ความสุขหาได้ด้วยใจดวงนี้ไง
ถ้าใจดวงนี้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าเราจิตสงบระงับขึ้นมา จะอยู่ใต้บาดาลไหน จะอยู่โคนไม้ไหน จะอยู่ที่ทุกข์ยากขนาดไหนมันก็มีความสุขของมันไง มันสุขที่ไหน มันสุขที่หัวใจดวงนี้ไง ทีนี้ความสุขหาได้ที่ไหน ความสุขหาได้ที่ไหน มันก็ต้องหาด้วยดวงใจนี้ ถ้าหาด้วยดวงใจนี้ ดวงใจที่มันดื้อมันด้าน มันไม่ยอมฟังขึ้นมา มันจะหาเอาที่ไหนล่ะ เพราะมันดื้อมันด้าน มันไม่ยอมเชื่อสิ่งใดเลย
แต่เวลาเราขวนขวายขึ้นมาเพื่อศรัทธาเพื่อความเชื่อของเรา ถ้าเพื่อศรัทธาความเชื่อของเรา เวลาเชื่อแล้วจะทำบุญกุศลขึ้นมาก็ต้องหาพระ ถ้าหาพระที่ไว้ใจไม่ได้ ศรัทธาความเชื่อนี้กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมามันก็แสนยาก เวลาไปเจอพระข้างนอก ไปเจอพระที่เราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ มันก็สะเทือนกับศรัทธาของเรา ไปสะเทือนกับความตั้งใจของเรา ถ้าสะเทือนความตั้งใจของเรา เราต้องขวนขวายๆ หาพระภายนอกไง
พระภายนอก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เป็นพระที่ให้เราทำบุญกุศล เราจะไปทำที่ไหน ทำที่ไหนก็ทำได้แต่แค่ทานไง ทำได้ ดูสิ การเสียสละๆ จากภายนอก เวลาทำบุญๆ ทำบุญกับพระแล้วทำไม่ลง นี่พระภายนอก พระภายนอกเราหาแล้วเรายังไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ไง
วันนี้วันพระ วันพระ เราจะหาพระภายในของเรา ถ้าหาพระภายในของเรา อย่างน้อยขึ้นมา เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าพระอรหันต์ของเรา พระอรหันต์ของเราจะงอแง พระอรหันต์ของเราจะเข้มงวดกับเรา พระอรหันต์ของเราคอยเฆี่ยนตีเรา ก็พระอรหันต์ของเรา อย่างน้อยก็พระอรหันต์ของเรา นี่พระอรหันต์ของเรา พระอรหันต์ของเรา แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ของ ๓ โลกธาตุ
พระอรหันต์ของ ๓ โลกธาตุ เห็นไหม เราดูแลพ่อดูแลแม่ของเรา เราอุปัฏฐากพ่อแม่ของเรา เป็นการสร้างอำนาจวาสนาบารมี เราไปทำบุญกุศล ทำบุญกุศลก็เพื่อเจริญศรัทธาของเรา ถ้าศรัทธาของเรา เราเจริญศรัทธาของเราด้วยความซาบซึ้งดูดดื่ม มันเกิดบารมี เกิดบารมี ดูสิ ดูพระสารีบุตรเห็นพระอัสสชิบิณฑบาต ท่านเคลื่อนท่านไหวไปด้วยสงบเสงี่ยม ท่านเคลื่อนท่านไหวด้วยความสุขจากภายใน ความสุขจากภายใน การเคลื่อนไหวนั้นมันดูออก ท่านตามไปๆ ฟังธรรมอันนั้นไง
นี่ก็เหมือนกัน เราใส่บาตรของเรา เราทำบุญกุศลของเราก็เพื่อเจริญศรัทธาอันนี้ไง ถ้าศรัทธาอันนี้มันมีกำลังมากขึ้น มันมีอำนาจวาสนาบารมีมากขึ้น ทำบุญกุศลๆ เสียสละทานๆ เสียสละทานก็หัวใจดวงนี้ไง ถ้าเสียสละหัวใจดวงนี้เพื่ออะไร เพื่ออำนาจวาสนาบารมี ถ้าอำนาจวาสนาบารมี พออำนาจวาสนาบารมีแล้วทำบุญกุศลแล้วทำมากน้อยขนาดไหน ทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่า นี่เป็นอามิส เวลาเราตายไป กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
การทำบุญกุศลของเราคือการทำกรรม กรรมดีไง เราเสียสละ กรรมอันนั้นมันจำแนกสัตว์ให้หัวใจมันพัฒนาขึ้นไป พอพัฒนาขึ้นไป ถ้าทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน เวลาตายไปมันก็ไปตามอำนาจวาสนานั้น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ใครทำสิ่งใดไว้มันจะได้สิ่งนั้นไง ใครทำบุญกุศลไว้ บุญกุศลนั้นมันก็ฝังลงที่หัวใจดวงนั้นไง ถ้าฝังลงที่หัวใจนั้น ฝังลงที่ไหน ความลับไม่มีในโลก ใครทำ คนนั้นเป็นคนรู้ไง ถ้าใครทำ คนนั้นเป็นคนรู้ นี่ทิพย์สมบัติๆ ทิพย์สมบัติมันเกิดที่ใจนี้ไง นี่ทิพย์สมบัติ วันนี้วันพระๆ เราจะหาพระภายในของเราไง
ถ้าเราเชื่อใจสิ่งใดๆ ไม่ได้ ครูบาอาจารย์ของเราท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ ดูสิ หลวงตาท่านเรียนมา เรียนจบเป็นมหา เวลาท่านจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านก็เชื่อ เวลาเชื่อ แต่กิเลสของเรามันรุนแรงกว่าไง มันจะมีจริงหรือเปล่า จะมีจริงหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ศึกษามามันก็เชื่อ ใครไม่เชื่อ มันก็เชื่อทั้งนั้นน่ะ แต่เชื่อขนาดไหนมันก็โลเล มันก็สงสัย จริงหรือเปล่า จริงหรือเปล่า ในใจคิดอย่างนั้นน่ะ ต้องหาครูบาอาจารย์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ท่านถึงตั้งเป้าได้ว่าต้องไปหาหลวงปู่มั่นๆ
เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็รู้ความรู้สึกอันนั้นไง เพราะกิเลสอันนี้ ใครๆ ที่ผ่านมาแล้วเขากลัวกิเลสของคนคนนั้นไง กิเลสของเราๆ เราศึกษามามากน้อยขนาดไหน เรามีสติปัญญามากน้อยขนาดไหน ไอ้ความต่อต้านในใจอันนั้นน่ะ ไอ้อวิชชาน่ะ มันไม่รู้แล้วมันอวดเก่ง แล้วมันศึกษาธรรมะมันก็ว่ามันรู้ๆ เวลาจะศึกษา เวลาจะค้นคว้า มันว่ามันรู้นะ มันแซงหน้าไปแล้ว นิพพานเป็นอย่างนั้น นิพพานมันรู้แจ้ง มันแซงหน้าไปเลย นี่เวลามันรู้ ไอ้ตัวไม่รู้น่ะ มันว่ามันรู้ แต่เวลาจะเอาจริงๆ ขึ้นมามันไม่รู้ พอไม่รู้ขึ้นมา แสวงหาครูบาอาจารย์
เวลาท่านไปหา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านไปเห็นสิ่งใดในโลกนี้เป็นโรคเป็นภัยเท่ากับกิเลสของคน ในวัฏฏะนี้ไม่มีอะไรเป็นภัยเท่ากับทิฏฐิมานะ ไอ้ความไม่รู้ในใจของคนนั่นน่ะ ร้ายนัก คนที่มีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาบารมีมากน้อยขนาดไหน ไอ้อวิชชาความไม่รู้ของเขา ไอ้ความไม่รู้ของเขามันอยู่ใต้ก้นบึ้งของเขา ทั้งๆ ที่ถ้าเขาเป็นธรรมๆ เขาจะทำประโยชน์กับเขาได้มหาศาล เขาทำประโยชน์กับตัวเขาก็ได้มหาศาล แต่ไอ้ตัวไม่รู้ ไอ้อวิชชาตัณหาความทะยานอยาก ของกูๆ มันพยายามบีบคั้นตัวเองไว้นั่นน่ะ กักขังตัวเองไว้น่ะ ไม่ยอมให้ออกไปสู่สัจจะความจริง ไอ้อวิชชาตัวนั้นน่ะตัวร้าย ไอ้ตัวร้าย จะมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ควรจะเป็นประโยชน์กับเขามันก็กลับมาเป็นโทษ เป็นโทษเพราะอะไร เป็นโทษเพราะมันรู้มาก มันรู้มากมันก็เห็นแก่ตัวมาก พอเห็นแก่ตัวมากมันก็อยากใหญ่มาก
แต่ไอ้ของเราคนทุกข์คนจน คนเข็ญใจ จะมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน เราพยายามของเราไง เราพยายามสร้างพระภายในของเราไง เราหาพระจากภายนอก เราก็แสวงหาของเรา ต้องมีพระจากภายนอก เพราะคนเกิดมา สัตว์เวลาเกิดมา บางชนิดพ่อแม่ไม่ต้องเลี้ยง มันโตเลย มันเลี้ยงตัวเองมันได้ มนุษย์ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงตายหมด เด็ก ๓ ขวบ ๔ ขวบมันยังเอาตัวไม่รอดเลย แต่เวลามันโตขึ้นมาแล้ว มนุษย์ สัตว์ป่าทั้งป่ามันกลัวคน คนทำร้ายได้ทั้งนั้น คนทำลายกันมหาศาล แล้วก็คนเหมือนกัน ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด
ในบรรดาสัตว์สองเท้า แล้วเรา เราก็เป็นสัตว์สองเท้า ถ้าเราเป็นสัตว์สองเท้า เราเกิดมาร่วมอุดมการณ์ ร่วมศาสนากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่ไหนล่ะ มันประเสริฐในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม
ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมีอำนาจวาสนาปกครองจะเป็นจักรพรรดิไง เวลาอำลาสิ่งนั้นมา พอมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ มันเกิดขึ้นนะ เป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอนทั้งเทวดา อินทร์ พรหม
เทวดา อินทร์ พรหม ทำไมต้องไปสอนเขา เทวดา อินทร์ พรหมสูงส่งขนาดไหน แต่เทวดา อินทร์ พรหมก็มีอวิชาเหมือนเรา มีความไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เขาทำคุณงามความดีของเขา โอกาสของเขา เขาก็ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมของเขา เขาก็มีอายุขัยของเขา เขามีอายุขัย ถึงเวลาเขาก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนเรา ถึงเขาจะมีความสุขทิพย์สมบัติๆ จะมีความสุขมากน้อยขนาดไหน ความสุขๆ ความสุขก็เหมือนเศรษฐีไง เศรษฐีมีเงินมีทอง อู้ฮู! ทุกอย่างพร้อมเพรียงมากเลย แต่หัวใจเศร้าหมอง หัวใจทุกข์ยาก
เทวดา อินทร์ พรหมก็เหมือนกัน มีแสงสว่าง มีทิพย์สมบัติสิ่งต่างๆ จิตใจมันก็ทุกข์เหมือนกัน หมดอายุขัยมันก็เวียนมาเหมือนกันนั่นน่ะ นี่ไง เวลาเทวดา อินทร์ พรหม สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอนเทวดา สอนพรหม สอนมนุษย์ แล้วนรกอเวจีสอนมันไม่ได้ ความทุกข์มันบีบคั้น เหมือนเรามีแต่ความทุกข์บีบคั้น มันไม่ฟังใคร ความทุกข์บีบคั้นน่ะ ใครจะถ่ายเทความทุกข์นี้ให้ได้ที ใครจะถ่ายเทความทุกข์ให้ได้ที ความทุกข์มันบีบคั้นจนไม่มีโอกาสจะได้ฟังใครทั้งสิ้น ขออย่างเดียว ขอให้พ้นจากอันนี้ไปให้ได้ ขอให้พ้นจากอันนี้ นี่นรกอเวจี เวลามันลงนรกอเวจีไป ความทุกข์ความยากอันนั้นมันบีบคั้นๆ ไง เทวดา อินทร์ พรหมก็เพลิดเพลินไปของเขา
นี่พูดถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัตว์ประเสริฐที่สุด ประเสริฐอย่างนี้ไง ประเสริฐในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วเรามาวัดมาวากัน เรามีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัย แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัย เราก็แสวงหากัน แสวงหามา ศรัทธาความเชื่อย้อนกลับมา นี่ไง ทวนกระแสๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับเข้าสู่ใจ การจะทวนกระแสกลับเข้าสู่ใจมันต้องมีสติปัญญา
แม้แต่สมบัติข้างนอก คนจะแสวงหามา คนแสวงหามา คนที่ประหยัดมัธยัสถ์เขาแสวงหา เขาจะดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของเขาได้ คนที่เขาแสวงหา เขาไม่รอบคอบของเขา ทรัพย์สมบัตินั้นเขาก็รักษาไว้ไม่ได้ ไอ้นี่ทรัพย์สมบัติทางโลกเขายังต้องมีสติปัญญารักษาขนาดนั้น แล้วคิดดูสิ หัวใจของเราๆ ที่มันเร่ร่อน หัวใจของเราที่มันเรรวน หัวใจของเราที่มันเชื่อคนง่าย เวลาตัวเองมีธรรมะมันก็ไม่เชื่อ เวลากิเลสยุแหย่มันเชื่อ มันยังไม่ทันยุแหย่มันวิ่งไปหาเขาก่อนแล้วน่ะ เราจะมีสติปัญญาดูแลใจเราอย่างไร
ทรัพย์สมบัตินั้น สิ่งใดในโลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะมีเราเป็นเจ้าของ เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันก็เก้อๆ เขินๆ อยู่ตามธรรมชาติของมัน เราไม่รู้จักมัน แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่ไม่ได้นะ เห็นเมื่อไหร่ไม่ได้ อยากได้ทันทีเลย อย่าให้เห็นเพชรนะ เห็นเพชรมันรีบเลยนะ ทำมาหากินหาเงินจะไปซื้อมันน่ะ ถ้าไม่เห็นก็ไม่เป็นไร อย่าให้เห็นนะ
นี่ไง ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นมันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าเราไปรู้ไปเห็น ไปอยากได้อยากดีอยากเด่น มันทุกข์มันยาก มันเกิดมาจากไหนน่ะ มันเกิดมาจากจิตของเราทั้งนั้นน่ะ เกิดมาจากความคิดของเราทั้งนั้นน่ะ แต่มันมีอวิชชาความไม่รู้ครอบงำมันไง เพราะความไม่รู้เท่าตัวเอง ความไม่รู้ของเรา เราถึงได้คิด เราถึงไปคว้าเอาทุกข์เอายากนั้นมาไง ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเราขึ้นมา แล้วเราตั้งสติขึ้นมา มันถึงจะค้นหาสิ่งนี้ได้
นี่ไง ที่เวลาละเอียดๆ ทรัพย์สมบัติที่เป็นเงินเป็นทองเขาฉ้อโกงกัน เขาแย่งชิงกัน มันเป็นกระดาษ มันเป็นวัตถุที่เขาหยิบเป็นวัตถุอย่างนั้นได้ไง แต่บาปบุญคุณโทษในหัวใจของเรา ใครจะเอาให้เราได้ สิ่งที่มันจะหาได้มันต้องมีสติปัญญาของเราไง มันถึงจะต้องมีสติ ถ้ามีสติขึ้นมา มันดูแลรักษาเข้ามาในใจของเรานี่ไง ถ้าดูแลรักษาในใจของเรา
ดูสิ พระเรา หน้าที่ของพระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา งานของพระๆ งานของโยมอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัยไง งานของพระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหงื่อไหลไคลย้อยๆ เดินจงกรมเสร็จ ๘ ชั่วโมงได้อะไรมา ไม่รู้ ไม่เห็นมีอะไร ก็เฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตน ไม่มีอะไรสิ่งใดให้เห็นเลยว่ามันเป็นสมบัติให้ประโยชน์กับชาวโลกเขาได้ แต่ถ้ามีสติมีปัญญา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา มันรักษาหัวใจของมัน มันมีสติมีปัญญาของมัน มันภูมิใจ
คนที่ภาวนาเป็นนะ เวลาเดินจงกรมเหมือนลอยไปก็ลอยมา มันมีความสุข ไอ้เราทำงานเกือบเป็นเกือบตาย ทุกข์น่าดูเลย แต่เขาเดินจงกรมไป มันลอยไปก็ลอยมา มันทั้งเบามันทั้งสบาย มันทั้งมีความสุขในการเดินจงกรมนะ เอ๊ะ! ไอ้นี่มันคืออะไร ไอ้นี่มันคืออะไร นี่ไง สุขที่มันหาได้ๆ สุขที่หาได้ หาได้ในดวงใจนี้ สิ่งที่จะหาได้ๆ เพราะมีสติไง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
ใครบอก โอ้โฮ! พุทโธนี้มันของต่ำๆ พุทโธนี้เด็กๆ ก็ทำได้ หายใจ เด็กก็ทำได้ เด็กไม่หายใจก็ตาย คนเราต้องมีลมหายใจทั้งนั้นน่ะ แต่มันมองข้ามคุณค่าของความเป็นมนุษย์นี้ไปไง มันมองข้ามหัวใจของเราไปไง มันมองข้ามความเป็นจริงของสัจจธรรมไปไง ความเป็นจริงของสัจจธรรมมันต้องหัวใจนี้เท่านั้นเป็นผู้ที่สัมผัสไง หัวใจนี้เป็นผู้ที่สัมผัส แล้วหัวใจมันมีสติสัมปชัญญะ เพราะได้ทำบุญกุศลมา ได้มีสติปัญญามา มันถึงตั้งสติกำหนดลมหายใจไง ถ้ามันกำหนดลมหายใจก็เป็นอานาปานสติไง ถ้ากำหนดพุทโธๆ ก็เป็นพุทธานุสติไง นี่ไง เราแสวงหาพระๆ เราจะหาพระในหัวใจของเราไง
ถ้าพุทโธๆ จนละเอียดเข้ามาจนพุทโธไม่ได้ จนตัวมันเป็นพุทโธเสียเอง พุทธะอยู่กลางหัวใจ ไม่ต้องไปอินเดีย ไม่ต้องไปไหนทั้งสิ้น อยู่ที่ไหนก็ได้ แล้วเจอพุทธะเป็นๆ ด้วย พุทธะที่มีความสว่างไสว พุทธะที่มีความสุข ความสงบ ความระงับ พุทธะอันนี้ เห็นไหม เราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา ไม่ใช่ไปด้วยตั๋วเครื่องบิน เราไปด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจดวงนี้
ถ้าเราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานอะไรให้ล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้มรรคให้ผลเรา ถ้าให้มรรคให้ผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้ ประทานที่ไหน ประทานให้ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ต้องขวนขวาย จิตสงบแล้วฝึกหัดวิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาการรู้แจ้ง การรู้แจ้งในจิตของตน การรู้แจ้งในจิตของตน ไม่ให้มันโง่ไง ไม่ให้มันโง่ อวิชชาคือความไม่รู้ไง ไอ้ความไม่รู้ๆ มันจะเข้าไปรู้ได้ด้วยอะไร ก็ด้วยสติด้วยปัญญาของมันไง ด้วยสติปัญญาของเรา ถ้าด้วยสติปัญญาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประทานให้ แล้วประทานให้ เราก็ฝึกหัดของเราๆ เราจะค้นคว้าหาพระในใจดวงนี้
ตะครุบเงามาตลอด หามาตลอด หาอย่างไรก็ไม่เจอ หาอย่างไรก็ไม่เจอ แล้วไปฟังครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้ออก ฟังนั้นคือการรับรู้ รับรู้คือการส่งออก ส่งออกมาจากไหน ส่งออกมาจากภวาสวะ เวลาชี้นำๆ ก็ชี้นำส่งออกทั้งนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านถึงบอกเลย ให้นั่งกำหนดไว้เฉยๆ เสียงนั้นมันจะมากระทบเอง แล้วเราจะรับรู้เอง ไม่ต้องไปอยากรู้ อยากรู้ส่งออกไปมันทิ้งบ้านทิ้งเรือนมันไปหมดแล้ว บ้านเรือนมันทิ้งไป ขโมยมันลักนะ มันลักอะไร ลักหัวใจไง นั่งสัปหงกโงกง่วง ฟังไปก็นั่งสัปหงกนะ โอ้โฮ! เป็นปลาไหลเลยนะ พอพระเทศน์จบ สาธุ! ได้บุญเยอะ มันโดนลัก มันโดนลักไปหมดแล้ว แต่ถ้ามันมีสติปัญญาของมัน รักษาบ้านมันให้ดี ใครเข้าใครออกรู้หมด เสียงที่มันมากระทบหัวใจเรา เราก็รับรู้ นี่ไง การฟังธรรมๆ ทวนกระแสกลับๆ
ครูบาอาจารย์ที่ท่านฟังธรรม ท่านแสดงธรรม ให้ธรรมเป็นทานๆ ขอให้เราเก็บจับฉวยให้เป็นสมบัติของเราได้บ้าง จับฉวยไง กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่คนพูด แล้วเวลาพูดไปแล้ว สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เก็บไปพิจารณา จริงหรือเปล่า คนพูดพูดเป็นน่ะ มันพูดแต่ปาก แล้วมันมีความจริงในใจของมันหรือไม่ ถ้ามันมีความจริงในใจ พูดออกมามันถึงมั่นคงไง ผู้รู้จริงพูดมันพูดความจริง ผู้รู้จำพูดมันก็พูดความจำ ผู้ไม่รู้อะไรพูดมันจะล้วงกระเป๋าคน
เรามีสติปัญญา เราก็รักษาของเรา กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อแม้แต่คนพูด อย่าเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนขนาดนั้นนะ ไม่มีศาสนาไหนสอนอย่างนี้ ศาสนาไหนถ้าไม่ฟังนะ ประหารชีวิตเลยล่ะ ถ้าไม่ทำตามเขา เขาฆ่าเลยนะ แต่พระพุทธศาสนานะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกว่า อย่าเชื่อเรา ให้ปฏิบัติให้เป็นขึ้นมา ฟังแล้วจัดเก็บได้เป็นสมบัติ แล้วเข้าทางจงกรม แล้วนั่งสมาธิ ตรึก ตรึกนี้ขึ้นมา สิ่งที่เราตรึกนี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้น นี่ปัญญาของเรา ถ้าเราตรึกขึ้นมา เรามีความคิด เรามีความคิดความเห็น นั่นของเรานะ นั่นน่ะ สมบัติอันนั้นน่ะสำคัญ มันเอาตัวรอดได้
คนเราไม่มีสติปัญญาเอาตัวรอดได้อย่างไร คนจะเอาตัวรอดได้มันต้องมีสติปัญญาสิ ฟังแล้วอย่าเชื่อ เอาไปคิด เอาไปพิจารณา การคิดการพิจารณานั้นคือสมบัติของเรา แยกแยะ แล้วถ้ามันเห็นจริง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ครูบาอาจารย์ท่านบอกประจำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกไว้ให้กับสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเราถ้าเราประพฤติปฏิบัติ
วันนี้วันพระนะ เราหาพระจากภายนอกเพื่อทำบุญกุศลของเรา คนที่มีอำนาจวาสนาก็ไปเจอพระครูบาอาจารย์ที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจ คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาแล้วมีเวรมีกรรมนะ ไปเจอแต่พระเห็นแก่ตัว ยิ่งใส่บาตรแล้วมันยิ่งตัดทอนความศรัทธา มีโยมมาบ่นให้ฟังเยอะมาก เวลายิ่งใส่บาตรแล้วมันยิ่งทอนศรัทธาตัวลงเรื่อยๆ มันหงุดหงิดๆ นั้นมันก็เป็นอำนาจวาสนา แล้วเราก็แสวงหาของเรา
จากพระภายนอกแล้วก็มาพระภายใน ทำบุญกุศลของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา แล้วเราแสวงหาพระภายในของเรา ให้เจอพุทธะ ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานมรรคประทานผลให้เรา ประทานมรรคประทานผลด้วยการวิริยอุตสาหะในการกระทำของเรา มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เอวัง