เทศน์พระ

ถ้าค้นพบ

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๙

 

ถ้าค้นพบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อปลุกหัวใจ อย่าให้มันเฉา อย่าให้มันเหงาหงอยไง หัวใจของเรานะมันต้องชื่นบาน ถ้าหัวใจชื่นบาน เห็นไหม อุตส่าห์ขวนขวาย ขวนขวายมามันเป็นความจำเจนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา คนเกิดมาในชีวิตหนึ่ง เห็นไหม อายุขัยของเขานี่ เขาก็บอกเขาจำเจกับชีวิต คนแก่คนเฒ่านะเขาเบื่อหน่ายชีวิต เบื่อหน่ายชีวิต เมื่อไหร่เขาจะตายเสียที

แต่เวลาบางคนโดยทั่วไป เห็นไหม เขากลัวความตายว่าคนเวลาพูดถึงเรื่องความตายมันสยดสยองทั้งนั้นนะ พยายามจะพูดเรื่องอื่นขึ้นมาเพื่อจะให้มันกลบเกลื่อนกับพูดถึงเรื่องของความตาย แต่คนที่เขาจำเจๆ เห็นไหม คนแก่หลายๆ คนมาก บอกเบื่อหน่ายชีวิต อยากให้มันตายไวๆ เขาตายไปแต่เขาจะสิ้นชีวิตไป เขาจะตายไปโดยเวรโดยกรรมของเขา เขาจะตายโดยหมดอายุขัยของเขา เขาก็ต้องดำเนินชีวิต จิตต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่อไปในอนาคต

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจำเจๆ เห็นไหม มันน่าเบื่อหน่ายๆ คำว่าน่าเบื่อหน่ายๆ เพราะอะไรล่ะ น่าเบื่อหน่ายเพราะเราหาตัวเราไม่เจอไง ถ้ามันหาตัวเราเจอนะ นี่จิตนี้ผ่องแผ้ว จิตนี้มีความสงบมีความสุขของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นมีความสุข มีความสงบ เห็นไหมนั่นนะ จิตถ้าทำสัมมาสมาธิได้ จิตถ้ามีความสงบระงับของมันได้ มันจะฝึกหัดใช้ปัญญาไป มันจะขวนขวายไปไง เหมือนปลามันจะไปวางไข่ๆ มันมีความมุ่งหวังของมัน เห็นไหม มันพยายามว่ายทวนน้ำของมันขึ้นไป ว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อจะไปวางไข่ เพื่อมันจะรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน ถ้ามันจะรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน มันจะมีการขวนขวาย มันจะมีความตั้งใจของมัน มันจะมีความหวัง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตของเรา เห็นไหม คำว่าจำเจๆ จำเจเพราะอะไร จำเจเพราะว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดในชาติปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ๆ เกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราเกิดมาร่วมสมัยกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำขึ้นมาจนสังคมหันมาสนใจในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าสนใจในการประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาร่วมสมัย เห็นไหม เกิดมาร่วมสมัยเกิดมาเป็นมนุษย์ๆ ต้องขวนขวายหาอยู่หากินในทางโลกเขา ถ้าขวนขวายหาอยู่หากินในทางโลกเขา เห็นไหม เราเห็นภัยในวัฏสงสารไง มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารๆ เราถึงได้มาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระๆ เพื่ออะไร บวชเป็นพระเพื่อจะบรรลุธรรม

นี่บอกตรงๆ เลย ถ้าบวชเป็นพระก็บวชเพื่อจะบรรลุธรรม เพื่อที่จะมีคุณธรรมในหัวใจของตน ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจของตน คุณธรรมจะเกิดขึ้นมาได้ เกิดขึ้นมาได้จากการค้นคว้า ค้นหาในใจของตน ถ้าค้นคว้าค้นหาในใจของตนขึ้นมาได้ แล้วประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ต้องปฏิบัติสมควรแก่ธรรม นี่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม มันจะเป็นคุณธรรมขึ้นมา ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรมไง สมควรแก่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก สมควรแต่ความมุ่งหวังของตน สมควรแก่กิเลสที่มันยุมันแหย่ ถ้าสมควรอย่างนั้นนะ ค้นคว้าหาใจของตนไม่เจอ ค้นคว้าหาหัวใจของตนไม่เจอ คนที่ค้นคว้าหาหัวใจของตนไม่เจอ จะเห็นสิ่งต่างๆ นี้มีคุณค่า จะเห็นทรัพย์สมบัติทางโลกมีคุณค่า

โลกธรรม ๘ เห็นมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณเป็นคุณค่า แล้วอยากมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณนะ นั้นนะมันยาพิษ มันไม่ใช่ธรรม มันยาพิษ สิ่งที่ยาพิษนะ เห็นไหม ยาพิษเขาเอาไว้ไปปราบศัตรูพืช นี่เวลาเขาปลูกพืชของเขา เขามีสารฆ่าหญ้าต่างๆ เพื่อจะให้พืชพรรณธัญญาหารของเขา เพื่อประโยชน์ของเขา แต่เวลาฉีดไปแล้วนี่พืชพรรณธัญญาหารของเขามันก็ปนเปื้อนไปด้วย เวลาคนไปใช้สอยเป็นประโยชน์ขึ้นมา ไม่เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันค้นคว้าหาหัวใจของตนไม่เจอ มันไปตื่นเต้นกับโลกภายนอก มันไปตื่นเต้นกับเรื่องกระแสสังคมนั้น แต่ถ้ามันค้นคว้าหาหัวใจของตนเจอนะ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ สิ่งที่โลกนี้ที่มีอยู่โลกธรรม ๘ ก็มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้นนะ ถ้ามนุษย์สร้างขึ้นมันมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งนั้นนะ แล้วมันมาจากกการกระทำของมนุษย์ แล้วเราไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งที่มนุษย์เขาทำขึ้นมา เพราะเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม เราถึงได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเป็นนักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน ไม่ต้องไปมีกองทัพ ไม่ต้องไปสะสมอาวุธที่ไหน

นี่สะสมศีล สมาธิ ปัญญาในใจของตน ค้นคว้าๆ ถ้าใครเจอสติ เจอสมาธิ เจอปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันจะมีอาวุธ อาวุธเอาไปฟาดฟันกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน เราเป็นนักรบๆ เราต้องขวนขวาย เห็นไหม ดูสิ ทางการรบของโลกเขา นี่เขาต้องวางแผนนะ ก่อนที่จะรบนี่เขาต้องส่งสายลับเข้าไปสืบสภาพในฝ่ายข้าศึก แล้วต้องเตรียมเสบียงกรังของเขา ต้องเตรียมอาวุธของเขา เขาต้องมีสรรพาวุธของเขา เขาสร้างสรรค์ของเขาขึ้นมาเพื่อที่จะเปิดสงคราม แล้วเขาสร้างสรรค์แล้วก็ต้องสร้างสรรค์โดยในทางลับด้วยนะ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจได้ว่าตัวเองจะเตรียมเปิดศึกสงครามกับเขา นั่นสงครามทางโลก

ในปัจจุบันนี้สงครามทางโลก เห็นไหม โลกเจริญขึ้นมา ต่างคนต่างมีปัญญา ต่างคนต่างเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งนั้น ก็ตั้งสหประชาชาติขึ้นมา นี่ไม่มีการรบราฆ่าฟันต่อกัน แต่มันก็ไปรบกันในทางเศรษฐกิจ มันไปรบกันในทางการเมือง นี่เพื่อจะยึดครองกัน มันเรื่องของโลกๆ ทั้งนั้นนะ มนุษย์สร้างขึ้นนะ สิ่งนี้มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้นนะ

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชใช่ไหม พอบวชขึ้นมานี่เป็นนักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานของตน ถ้าใครมีสติมีปัญญาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน นี่ถ้าใครค้นคว้าสติเจอเห็นไหมจะมีคุณค่า ถ้าใครมีสติมีสัมปชัญญะนี่การกระทำสิ่งใดมันมีสติมีปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ นะ ปัญญาแบบโลกๆ คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในการควบคุมอารมณ์ของตน ปัญญาเพื่อจะให้เราอยู่กับสังคมได้

เราเป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม นี่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อยู่คนเดียวไม่ได้ เราบวชเป็นพระๆ ขึ้นมา เห็นไหม ถึงมีสังฆะ เช่นวันปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้จะมาลงอุโบสถสังฆกรรม เราก็สังฆะ สังฆะต้อง ๔ องค์ขึ้นไป นี่เกิดมาเป็นมนุษย์ มันต้องอยู่ในสังคม เห็นไหม สังคมมันก็ต้องมีสติมีปัญญา สติปัญญาที่รักษาอารมณ์ของตน สติปัญญาที่เราจะอยู่กับสังคมโดยที่ไม่กระทบกระเทือนกัน ถ้าอยู่กับสังคมโดยไม่กระทบกระเทือนกันมันต้องมีอะไร ต้องมีสติใช่ไหม

ถ้ามีสติ เห็นไหม นี่สัตว์โลก มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์ สิ่งที่เราไม่พอใจ เขาก็ไม่พอใจ สิ่งที่เราไม่ต้องการเขาก็ไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการเขาก็ต้องการ สิ่งที่เราชอบ เขาก็ชอบ ถ้าเขาก็ชอบนี่เราก็เจือจานกัน เราก็มีน้ำใจต่อกัน คนที่มีสติมีปัญญานะ เขาจะยื่นให้ต่อกัน เห็นไหม นี่สมณะๆ ได้เห็นสมณะนี่เป็นมงคลชีวิต เห็นไหม ถ้าสมณะมีความสงบระงับขึ้นมา เขามีน้ำใจต่อกัน คนมีน้ำใจต่อกัน คนที่เอื้ออาทรต่อกันมันมีความดี มันระลึกถึงกันตลอดเวลา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม

ถ้ามีสติมีปัญญานี่ แค่นี้ ถ้าเรามีสติมีปัญญาแค่นี้ เห็นไหม มีน้ำใจต่อกันๆ สังฆะก็จะมีความสงบร่มเย็นไง ถ้าค้นคว้าจนเจอสติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะนี่มันยับยั้งตรงนี้ได้ มันไม่มีอะไรดีหรอก แล้วสิ่งที่มันดีๆ มันดีเพราะเราคุ้นเคยกับมันไง เราคุ้นชินกับมันว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี สิ่งที่เราทำอยู่ดีทั้งนั้นล่ะ ถ้าดีทำไมกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันไม่หอมหวนไปล่ะ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมหวนไปนะ

ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านมีเมตตาของท่าน ทุกคนจะพึ่งพาอาศัยเคารพรักบูชาหลวงปู่เสาร์ แต่หลวงปู่มั่นทุกคนก็เคารพรัก แต่กลัวนะ เพราะกิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน กิตติศัพท์กิตติคุณของท่านเพราะท่านฟาดฟันกับกิเลส เห็นไหม เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะสัทธิวิหาริกของท่านท่านเปรียบเหมือนดิน ถ้าดินนะท่านจะปั้นภาชนะต่างๆ ดินก็ต้องนวดให้ดีทั้งนั้นนะ ท่านไม่เคยจะยั้งไว้นะ นี่หลวงปู่มั่นๆ

หลวงปู่มั่นท่านปรารถนานะ ท่านปรารถนาศาสนทายาทนะ นี่เวลาอยู่กับหมู่คณะ เห็นไหม ท่านต้องการสร้างศาสนทายาทเพื่อดำเนินสืบต่อไป เพราะสิ่งที่ค้นคว้าขึ้นมานี่เอาชีวิตแลกมา มันทุกข์มันยากขนาดไหน กว่าที่มันจะเป็นจริงขึ้นมา แล้วถ้าเป็นจริงมานี่ ในชีวิตท่าน ท่านก็พยายามส่งต่อ เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง พยายามเทศนาว่าการอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมาเพื่อเป็นศาสนทายาท ท่านก็พยายามจะส่งต่อเพื่อให้สืบต่อไป เพื่อเป็นศาสนทายาท

ฉะนั้นสิ่งที่เป็นความปรารถนาของท่าน ท่านก็ต้องการสร้างศาสนทายาท ท่านต้องการตามความเป็นจริงอันนั้น แต่เวลาส่งต่อๆ มันต้องเป็นความจริงไง ถ้าส่งต่อแล้วเป็นความจริงอันนั้น เห็นไหม ท่านถึงไม่ถนอมสิ่งใดไว้เลย ท่านทำของท่านด้วยคุณสมบัติ ด้วยความเป็นจริงในมรรคในใจของท่าน ท่านทำเพื่อประโยชน์ เพราะมรรคอันนั้นมันฆ่ากิเลสของท่าน การรบกับกิเลสของตนมันต้องมีการกระทำอันนั้น ท่านมีอันนั้นสิ่งนั้นแล้วนี่ ท่านเห็นภัยของมัน เห็นการยอกย้อนของกิเลส ท่านควบคุม ท่านดูแล ท่านวิเคราะห์วิจัยต่อสู้ นักรบรบกับกิเลสของท่านจนท่านประสบความสำเร็จของท่านในใจของท่าน ท่านถึงจะมาสั่งสอนเรา

นี่หลวงปู่มั่นๆ ที่ลูกศิษย์ลูกหาพยายามจะแสวงหาเข้าไปหาท่าน เวลากิตติศัพท์กิตติคุณของท่านทุกคนหวาดกลัว ทุกคนต้องระวังตัวทั้งนั้นนะ แล้วจะไปอยู่กับท่านๆ แต่ท่านก็มอบให้ๆ สิ่งที่คุณงามความดีทั้งนั้น แต่คุณงามความดีทั้งนั้นนะมันเสียดแทงกิเลสเราทั้งนั้นนะ มันสะเทือนใจทั้งนั้น ทำสิ่งใดเราหวาดระแวงมีความหวาดกลัวทั้งหมด

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เห็นไหม การกลัวอย่างนี้กลัวไม่เป็นธรรม การกลัวที่เป็นธรรมการกลัวทำความผิดต่างหาก การกลัวกิเลสก่อนที่มันจะฟูออกมาต่างหาก เราไม่ใช่ไปกลัวจนไม่กล้าทำสิ่งใดเลย กลัวจนไม่บำรุงรักษาหัวใจของตน กลัวจนไม่รดน้ำต้นไม้ กลัวจะไม่พรวนดินขึ้นมา ต้นไม้มันตายหมด ถ้ามันจะมีความหวาดกลัวสิ่งใด ก็หวาดกลัวกิเลสของเราสิ ไอ้พวกแมลง ไอ้พวกที่มันกัดกร่อนต้นไม้มันจะทำให้ต้นไม้ตายนะ มันควรจะกลัวตรงนี้

แต่สิ่งที่ท่านบำรุงรักษานั้นมันจะไปกลัวอะไร สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นนะ แต่กิเลสมันไม่ชอบ มันจะเอาแต่ความพอใจของมัน สิ่งที่เป็นความหวาดความกลัว แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นไป เห็นไหม นี่กิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน การกระทำของท่านๆ ถึงได้สร้างศาสนทายาทขึ้นมา เพราะอะไร เพราะท่านค้นคว้ามาด้วยความทุกข์ความยากนะ

ธรรมะๆ ในทางวิชาการ เห็นไหม การจดจารึกกันมา การศึกษาการค้นคว้ามา สิ่งนั้นถ้ามันลืม ถ้ามันไม่มีความสงสัย มันไปรื้อค้นได้ แต่สิ่งที่เป็นจริงในใจๆ นี่กว่าที่เราจะหาใจเราเจอนี่ค้นคว้าๆ ค้นคว้าเพื่อหาใจของตนไง ถ้าค้นคว้าค้นเพื่อหาใจของตน เราที่แสวงหาครูบาอาจารย์กันก็ต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ท่านค้นคว้าพบแล้ว ที่ท่านค้นคว้า ที่ท่านพยายาม มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยมรรคด้วยผลของท่าน ด้วยเป็นประโยชน์ของท่าน ท่านคอยชี้นำ ชี้นำเรามา

นี่เราหาครูบาอาจารย์ เราหาครูบาอาจารย์กันอย่างนี้ ถ้าเราหาครูบาอาจารย์เป็นอย่างนี้เราเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ถึงว่ามันจะคุ้นเคย มันจะมาทุกปักษ์ๆ เห็นไหม มันทำให้คุ้นชิน เบื่อหน่ายๆ ความเบื่อหน่ายมันเบื่อหน่ายเพราะมันค้นคว้าหาใจของตนไม่เจอไง แต่ถ้ามันค้นคว้าหาใจของตนเจอมันไม่เบื่อหน่าย มันพอใจ มันพอใจ เห็นไหม

การใช้พลังงาน แบตเตอรี่ที่ใช้แล้วนี่ไฟมันต้องอ่อนลงไปธรรมดาๆ เขาก็ไปเพิ่มพลังงานของมัน ไปเพิ่มไปชาร์จไฟ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เรามีครูบาอาจารย์ท่านจะไปเคารพนบนอบ ใจถึงใจ เห็นไหม ท่านจะไปหาครูบาอาจารย์ของท่านเพื่อให้มันชุ่มชื่นเพื่อให้มันแจ่มใสในหัวใจ นั้นนะมันไปเท่าไรมันก็ไม่พอหรอก ถ้ามันเป็นความจริงไง นี่ไง ถ้ามันไม่เป็นความจริง เพราะเราค้นคว้าหาใจของเราไม่เจอ ค้นคว้า นี่ค้นไม่พบ ถ้าค้นไม่พบมันก็เป็นกิเลส กิเลสมันก็ย่ำยีหัวใจไปทั้งนั้นนะ

ถ้าค้นพบ ค้นพบสติ สติสัมปชัญญะมันก็ฟื้นมา ถ้าสติสัมปชัญญะมันฟื้นมานะ เห็นไหม จิตใจเรามันก็มีคุณค่านะ ถ้าวันไหนเรามีสติ แล้วมีสติปัญญาควบคุมใจของเรานี่ เราจะมีคุณค่ามาก เราเป็นสมณะ เราเป็นพระ สมณสารูป การเคลื่อนการไหวการเป็นอยู่ของพระมันมีความภูมิใจ แต่ถ้าวันไหนมันค้นหาสติของเราไม่เจอ ค้นไม่พบ มันมีแต่กิเลสท่วมท้น เรื่องชีวิตนี่มันมีแต่กิเลสเหยียบย่ำ ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ ทำไมมันทำสิ่งใดทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดมันมีแต่การโต้แย้งในใจของตน มันทุกข์ยากไปทั้งนั้น เวลามันทุกข์ยากมันทุกข์ยากเพราะมันหาใจของมันไม่เจอไง ไม่มีสติสัมปชัญญะไง

แต่ถ้าวันไหนมีสติสัมปชัญญะ มันพบมันเจอนะ เนี่ยพบสติ อยู่กับสติ สติสัมปชัญญะนี่ควบคุมความรู้สึกนึกคิด ทำสิ่งใดๆ มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นนะ สมณสารูป ถ้าพบสติๆ เห็นไหม มีสติมีสัมปชัญญะนี่แล้วเราเป็นสมณะ สมณสารูป เห็นไหม สมณสารูปนี่ความเป็นอยู่ของพระ เราเป็นพระขึ้นมานี่ พอเป็นพระขึ้นมาศีลก็สมบูรณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์หมด เนี่ยบิณฑบาต บิณฑบาตมาแล้วทำภัตกิจแล้ว เข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่ทางนั่งสมาธิภาวนา ฝึกฝนของตนๆ งานตรงนี้สำคัญที่สุด

งานอย่างอื่นทางโลกเขานี่มันมีผู้ที่สนับสนุนทั้งนั้น เราเป็นพระ งานอย่างอื่นมันมีคนคอยเกื้อกูลดูแลอยู่แล้ว แล้วมันพึ่งพาอาศัยกันได้ มันเป็นวิชาชีพๆ วิชาชีพทางใดก็แล้วแต่ การบริหารจัดการ วิชาชีพที่เขามีอาชีพของเขานี่ เขามีอาชีพอย่างนั้น เขาถนัดอยู่แล้ว เขามาจุนเจือได้ทั้งนั้นนะ แต่ที่เขามาวัดมาวากัน เขามาหาอะไร เขามาหาธรรมๆ แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมมันอยู่ที่พระไตรปิฎกนะ ไอ้โรงพิมพ์มหามกุฎฯ นะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พิมพ์พระไตรปิฎกมาไม่รู้เท่าไร นั่นมันเป็นการลงพิมพ์

แต่เขามาหาความจริง แล้วความจริงมันอยู่ไหน เราเป็นพระ เราเป็นพระแท้ๆ เราต้องค้นหาให้เจอสิ ค้นหาให้เจอ สิ่งที่ศึกษามาๆ เพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม สติ สติก็คือสติ แล้วเวลาพูดนี่ด้วยความคุ้นเคยนี่ พูดหยอกพูดล้อกันนี่ พูดเล่นนี่ หลวงตาท่านบอกว่า “ไอ้หมาบ้า” หมาบ้ามันกัดไม่เลี้ยงนะ ไอ้นี่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน แล้วเอามาพูดเล่นพูดหยอกกันไง มันไม่เคารพธรรมไง ถ้าด้วยความเคารพนะ เขาพูดแล้วนะมันพูดออกมาจากใจ มันซาบซึ้งในหัวใจ

ถ้ามันซาบซึ้งในหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่เรามาค้นคว้า ที่เขาไปวัดไปวากันเขาก็ไปฝึกของเขา เขาไปวัดใจของเขา แล้วผู้ที่อยู่วัดอยู่วามันก็ควรที่จะมีสติปัญญาค้นคว้าให้เจอของเรา ถ้าเราค้นของเราเจอ ถ้ามีสติการกระทำต่างๆ ขึ้นมามันจะย้อนกลับมาสู่ความถูกต้องดีงามทั้งนั้นนะ ถ้าขาดสติ ทำสักแต่ว่าทำ เคยทำอย่างนี้ วันนี้ก็ทำอย่างนี้ก็ทำสักแต่ว่าทำนะ ทำไปด้วยความเคยชิน แต่มันขาดสตินะ ความผิดพลาดมันจะเริ่มมีมาแล้ว

แต่ถ้าเราทำ งานประจำของเรานี่แหละนี่เขาเรียกข้อวัตร ข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอยู่คืออะไร เครื่องอยู่คือตอกย้ำใจของตน ฝึกหัดๆ ถึงจะทำคุ้นชินแต่ก็มีสติสัมปชัญญะของเราตลอดไป ถ้าฝึกหัดสติสัมปชัญญะตลอดไปมันไว้ใจได้ นี่ค้นพบสติ ถ้าค้นพบสติขึ้นมาแล้วนี่ เห็นไหม การกระทำนั้นมันเป็นกิริยา แต่จริงๆ แล้วการกระทำนั้นนะ เพราะจิตมันมีชีวิตอยู่มันมีจิต จิตมันมีการกระทำนั้นนะ มันฝึกหัดๆ ให้มันคงที่ของมัน

ถ้าคงที่ของมัน เห็นไหม นี่มีสติ พอมีสติขึ้นมานี่มันสติสัมปชัญญะกับจิตนี่ค้นพบสติของเรา ถ้าสติของเราสติมันก็เกิดฝึกหัดคำบริกรรม ถ้าคำบริกรรมแล้วมันจะเข้าไปสู่ใจของตนๆ ค้นหาสติ ค้นหาสมาธิ ค้นหาปัญญาของตน ถ้าค้นหาสติ ค้นหาสมาธิ ค้นหาปัญญาของตนนะ มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ใจ แล้วใจมันอยู่ไหน นี่ใจมันอยู่ไหน เราไปคุ้นเคยๆ กับกิเลสไง กิเลสมันปลิ้นปล้อน นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี นู่นก็ไม่ถูกใจ ทำอะไรไม่ถูกใจสักอย่าง ไปค้นพบกิเลสไง แล้วอยู่กับมัน ไม่ค้นพบหาธรรม ไม่ค้นหาสติ หาสมาธิ หาปัญญา

ถ้าศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นอาวุธ มันธรรมาวุธ เป็นอาวุธที่จะฟาดฟันกับกิเลส แต่เราไม่เคยเจอมันไง ให้กิเลสมันปลิ้นปล้อน ค้นไม่พบ หาไม่เจอ เจอก็เจอธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ใช่ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ใจของเราไม่เห็น ใจของเราไม่รู้ ถ้าใจของเราเห็น ใจของเรารู้นะ มันเปลี่ยนจากกิริยา เปลี่ยนจากความเคยชินของใจ เปลี่ยนจากความเคยชินกลายเป็นตื่นตัว

นี่จิตถ้าเป็นสติ เห็นไหม ความรู้สึกสมบูรณ์ในใจของตน นี่เวลาเราปฏิบัติกัน เวลามีสติสมบูรณ์ในใจของตนนะ มันชุ่มชื่นไหม มันโอ่อ่านะ มันมั่นคง ชีวิตนี้มันมั่นคง ชีวิตนี้ แหม เป็นพระนี่มันคงที่ มันไม่เหลวไหล แต่ถ้าวันไหนขาดสติขึ้นไปนี่ เหลวไหล คิดร้อยแปด อารมณ์วูบวาบ มีแต่ความเศร้าหมอง นี่ไงถ้าค้นไม่พบสติมันก็ไปพบไปคบกับกิเลส ให้กิเลสมันชักนำไป ถ้าพบ ถ้าค้นพบๆ เพราะสติเป็นเครื่องกางกั้น กางกั้นอารมณ์รุนแรงที่มันโถมเข้าใส่หัวใจของตนนั่นนะ

ถ้ามีสติสัมปชัญญะอะไรมันจะโถมใส่เข้ามา เพราะสติมันยับยั้งได้ทั้งนั้น ถ้ามันยับยั้งขึ้นไป เห็นไหม เพราะอะไร เพราะโดยจิตใต้สำนึกของคนปรารถนาแต่ของดีทั้งนั้น เราก็ปรารถนาความดีของเรา เราก็ปรารถนาคุณธรรมของเรา เราก็ปรารถนาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุขๆ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับสุขแท้ในความสงบระงับของใจ เราก็อยากจะหาความสุขอย่างนี้

ความสุขทางโลกเขา เขาแสวงหาเขา เขาลงทุนลงแรงไปซื้อหานะ ไปซื้อหาคือว่าไปเสพการธุรกิจบริการของเขา เขาจะมีบริการอะไรก็ไปซื้อๆ เขาซื้อมาแล้วเขามีความสุขสมความปรารถนาหรือไม่ เพราะซื้อแล้วมันก็อยากจะไปต่อเนื่อง เห็นไหม แต่ของเรานี่ เรามาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมันโอ่อ่านะ โอ่อ่าว่าในการเกิดเป็นมนุษย์นี้เกิดมาจากพ่อจากแม่ มันต้องมีบุญจากพ่อจากแม่ด้วย พ่อแม่ก็ต้องมีบุญถึงได้คลอดพระดีๆ มาสักองค์หนึ่ง

นี่พ่อแม่คลอดคนดีมาคนหนึ่ง คนดีคนนั้นได้มาสร้างประโยชน์กับโลก คนดีคนนั้นได้มาบวชเป็นพระ คนดีคนนั้นได้ค้นคว้าหาใจของตน คนดีคนนั้นได้พยายามฝึกหัดในใจของตน เห็นไหม มันโอ่อ่าตั้งแต่พ่อแต่แม่นู่นแน่ะ ตั้งแต่ชาติตระกูลที่ได้กำเนิดเรามาๆ แล้วนี่เรามีสติสัมปชัญญะแล้วเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันงานของพระ มันงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางธรรมวินัยนี้ไว้ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ด้วยมรรค ๘ นี่ไง มันเป็นงานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่จะเผยแผ่ธรรมๆ ยสะ เห็นไหม ได้ปัญจวัคคีย์แล้ว ไปเดินจงกรมอยู่ ยสะนะ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนไปหมด” ทั้งๆ ที่เป็นลูกเศรษฐีเหมือนกัน “ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย” ก็มันเดือดร้อนในใจ มันทุกข์ยากมาตลอด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ ที่นี่ไม่เดือดร้อน เห็นไหม การเดินจงกรมก็ต้องเคลื่อนไหว ก็ต้องก้าวเดินอยู่เหมือนกัน แล้วทำไมมันไม่เดือดร้อน เพราะจิตใจมันวิมุตติสุข สุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ยสะเขามีปราสาท ๓ หลังนะ เขามีบริษัทบริวารมหาศาลที่ปรนเปรอให้มีความสุขได้เวลาที่มันคบกับกิเลสมันก็มีความสุขของมัน เห็นไหม มีความสุขเพราะอะไร มีความสุขเพราะอยู่ในอำนาจของมันไง อยู่ในวัฏฏะไง อยู่ด้วยอายตนะด้วยความกระทบ อยู่ด้วยสิ่งที่เขาคลุกเคล้ากันไง มันไม่ได้อยู่ด้วยการแยก เห็นไหม ด้วยความเป็นพรหมจรรย์ไง ไม่ได้อยู่ด้วยความเป็นหนึ่งไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ด้วยความเป็นหนึ่ง เห็นไหม อยู่ด้วยในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยสะมีแต่ความเร่าร้อนในใจ ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ ยสะมานี่ นี่เคลื่อนไหวเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ ยสะก็หนีออกมาจากบ้าน เดินออกมาเหมือนกัน แต่ใจหนึ่งเดือดร้อนมาก ใจหนึ่งมีแต่ความสุข เห็นไหม “ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย” เวลาเทศนาว่าการให้ยสะเป็นพระโสดาบัน มีหลักมีเกณฑ์

ถ้าค้นมันพบ ถ้าค้นพบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบก่อน เทศนาว่าการ ยสะก็ค้นพบเหมือนกัน ศาสนาถึงยืนยาวมาจนสองพันกว่าปีไง หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านก็ค้นพบของท่าน เห็นไหม เราค้นพบไหม ค้นสติ ค้นสมาธิ ค้นปัญญาที่เกิดจากจิต ไม่ใช่ชื่อของมัน ไม่ใช่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านค้นคว้าในใจของท่านมาๆ สาธุ ลูกศิษย์ลูกหาก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์นั่นแหละ

แต่ครูบาอาจารย์ของท่านก็ประสบการณ์ของท่านนั้นแหละ ประสบการณ์ของท่าน ท่านต่อสู้กับมัน ท่านประหัตประหารกับมัน ท่านก็เห็นโทษของมันว่ากิเลสนะมันร้ายนักๆ ครูบาอาจารย์นะ หลวงปู่มั่นท่านย้ำนักเลย “จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก” จิตนี่ตัวร้ายนัก แล้วมันร้ายเพราะอะไร นี่มันไม่ใช่ร้ายเพราะตัวมันเองไง

เพราะเวลาทำความสะอาดบริสุทธิ์ไปแล้วนี่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นธรรมธาตุไปแล้วนี่ มันจะมีอะไรล่ะ เพราะกิเลสมันตาย มันตายเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ถ้ากิเลสมันยังไม่ตายนะ เห็นไหม มันร้ายเพราะกิเลสไง มันร้ายเพราะว่าพญามารที่ครอบงำมันไว้นี่ไง แล้วพญามารมันครอบด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้ถึงได้เกิดมาเป็นเรานี่ไง

พอเกิดเป็นเราขึ้นมา ด้วยสติสัมปชัญญะ เห็นไหม เกิดมาแล้วนี่เห็นภัยในวัฏสงสาร อยู่กับโลกก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทำงานจนถึงที่สุดแล้วก็ต้องตายไป ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนที่ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเขาก็ต้องตายไป คนที่ทุกข์จนเข็ญใจเกิดมาอยู่ไม่มีบ้านมีเรือนเป็นคนไร้บ้านก็ต้องตายไป จะเกิดเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่ก็ตายไป มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง ถ้าเป็นสัจจะความจริงอันนั้น ชีวิตทุกชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งนั้นแล้วนี่ แล้วเราจะมานอนใจอยู่ได้อย่างไง

ถ้าเราไม่นอนใจ ที่เรามาบวชเป็นพระๆ นี่ เพราะเห็นภัยในวัฏสงสารถึงได้มาบวชเป็นพระไง ถ้าบวชเป็นพระแล้วนี่ เห็นไหม หน้าที่การงานของเราๆ เป็นสงฆ์ๆ เห็นไหม สังฆะธรรมและวินัย สิ่งใดที่อารามิกมันก็เป็นที่อยู่ของสงฆ์นั้นแหละ ที่อยู่ของสงฆ์แล้วการใช้สิ่งใดแล้วแต่มันก็มีธรรมวินัยบังคับไว้ ถ้ามีการบังคับไว้เราก็ทำตามนั้นๆ เป็นเครื่องอยู่ๆ อยู่เพราะอะไร อยู่เพื่อให้จิตมันสงบไง อยู่เพราะให้จิตมันไม่สะเทือนเกินไป อยู่ให้จิตนี้มันไม่ดีดดิ้นจนเกินไปไง เพราะเราแค่อาศัย เราไม่อาศัยมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเรามาอาศัยก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่ที่มันดิ้นรนอยู่นี้ก็เพราะกิเลสของเรานี่ไง

กิเลสมันดิ้นรนเพราะอะไร เพราะธรรมวินัยนี้เป็นขอบเขตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แล้วข้อวัตรปฏิบัติที่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านวางไว้นี่มันก็อยู่แบบวัดป่านี่วัดป่านี่คำว่าอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ ไม่ใช่ของจริง เพียงแต่ว่ามันต้องอาศัยที่ไม่ใช่ของจริง แต่มันต้องบำรุงรักษา ถ้าไม่บำรุงรักษานี่ปรับอาบัติๆ เดินขึ้นมาบนศาลา ล้างเท้าแล้วเช็ดไม่แห้ง มีรอยเท้าหนึ่งรอยอาบัติทุกกฎ นั่งบนศาลา เห็นไหม เขามีผ้าปูนั่งผ้าปูนอน เพราะไม่ต้องการให้ใครมาจับตัวเรานี้ไปเลอะสิ่งของที่เป็นของของสงฆ์ จะนอนก็ต้องมีผ้าปูนอน

นี่ไง ของของสงฆ์ ของของสงฆ์นั่นแหละ แต่การใช้การสอยมันก็ต้องมีวินัยบังคับไว้ มีกฎหมายบังคับไว้ ถ้าบังคับไว้นั่นนะ เราอยู่อย่างนั้น เราอยู่เป็นเครื่องอาศัย อาศัยอะไร อาศัยให้เรามีการฝึกหัด งานของพระๆ ก็นั่งสมาธิเดินจงกรมนี่ไง ถ้าไปที่อื่นนะ ถ้าวัดอื่นนะ ถ้ามีพระ ๓๐-๔๐ อย่างนี้เขาพากันก่อสร้างตายห่าเลย จะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ได้แรงงานฟรีอยู่นี่ กินข้าวเสร็จมาหิ้วปูนกัน แต่ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นไม่เคยพาอย่างนั้นเลยนะ นี่ทางจงกรม ทางนั่งสมาธิภาวนานี่ ครูบาอาจารย์ ดูสิท่านหลวงตามหาบัวท่านสงวนพระๆ ก็ไม่ให้มีงานๆ เลย แต่คำว่ามีงานๆ ผู้ที่มีทำหน้าที่รับผิดชอบ เวลาเข้าเวรหน้าที่รับผิดชอบประตูการเข้าการออกนี่มันต้องมีคนรับผิดชอบ ถ้าคนรับผิดชอบขึ้นมานี่ก็เพื่อรับภาระแทนสงฆ์ แล้วสงฆ์ขึ้นมาที่เหลือแล้วก็เข้าทางจงกรมสิ

งานจริงๆ งานของพระๆ นั่นงานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไอ้งานข้อวัตรนี่ก็แค่บำรุงรักษาให้อยู่ด้วยกันได้เท่านั้นแหละ สิ่งที่อยู่ด้วยกันได้แล้วงานของพระๆ งานของพระคืออะไรล่ะ งานของพระนี่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านพาทำๆ เห็นไหม นั่งสมาธิภาวนาแล้วท่านให้โอกาสมากๆ คือไม่เกณฑ์มาทำงานว่างั้นเถอะ ไปที่อื่นเขาเกณฑ์ทำงานหมดแล้ว เกณฑ์ทำงานเพื่ออะไร เพื่อเอาผลงาน เอาผลงานเพื่ออะไร เพื่อไปอวดโลก แต่ค้นหาตัวไม่เจอ

ถ้าค้นหาตัวให้เจอนะ ไอ้งานอย่างนั้น คนเป็นนะเขามองไปทางโลก นี่เทคโนโลยีในการก่อสร้างมันจะวิวัฒนาการของมันไปเรื่อย น็อกดาวน์นี่ตั้งได้เลย สร้างวัดเดี๋ยวนี้นะ เดือนเดียวสร้างได้จบนะ กูสั่งของมาตั้งๆ จบเลย ขอให้มีตังค์เถอะ แล้วไปแข่งขันอะไรกับใคร มันไม่มีอะไรไปน่าแข่งขันกับใครเลย แล้วไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจด้วย เพราะคนเขามาวัดมาวานะ เขาเห็นสภาพแล้วนี่เขาสังเวช อยู่กันได้อย่างไง ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเลย แล้วอำนวยความสะดวกให้กิเลสใช่ไหม

กิเลสเราจะค้นหามันอยู่นี่ แล้วยิ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกกับมัน มันยิ่งกลมกลืนไปกับมัน กลบเกลื่อนไปกับมัน แล้วจะไปหามันที่ไหน มันก็ไปออกนั่นสิ กิเลสไม่มี มีแต่เหล็ก มีแต่อิฐ หิน ทราย ปูน ว่าไปโทษกล่าวอิฐ หิน ทราย ปูนหมดเลย ทั้งๆ ที่อิฐ หิน ทราย ปูนมันก็กองอยู่นั่น ไปสั่งมันมา มันไม่มีชีวิตนะ ใจไปสั่งมันมา แล้วเวลาโทษก็ไปโทษที่นั่น ไม่ได้โทษกิเลสในใจของตนเลย ก็มันหาไม่เจอไง แต่ถ้ามันหาเจอนะ เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เห็นไหม ค้นหาให้พบ

ถ้าค้นหาให้พบนี่ พยายามตั้งสติ กำหนดหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ สิ่งนี้มีคุณค่ามาก แม้แต่หลวงตามหาบัวเวลาท่านใช้ท่านพิจารณาอสุภะของท่าน เวลาน้ำป่าเวลามันใช้ปัญญาที่รุนแรง เห็นไหม ท่านยังต้องกลับมาที่พุทโธๆ เลย แม้แต่อนาคามรรคยังต้องกำหนดพุทโธว่างั้นเลย ฉะนั้นใครจะมาเหยียดหยามว่าพุทโธมันต่ำต้อย การภาวนาเริ่มต้นนะ มันเบสิก มันไม่เกิดปัญญาสักทีนะ ไอ้นั้นมันขี้ปากของคน

คนจะตักอาหารจะสูงส่งต่ำต้อยขนาดไหนเขาต้องมีช้อน เขาต้องมีภาชนะเพื่อจะใส่อาหารของเขา ถ้าเขาไม่มีช้อนไม่มีภาชนะจะใส่อาหารของเขา มันก็เหมือนลัทธิเซนไง ใส่มือไง ใส่มือนะไม่มีภาชนะ ถ้ามีภาชนะไง ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันจะต่ำต้อยไปขนาดไหน ถ้ามันมีพุทโธค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ ถ้าใครพบสติ ใครพบสมาธิ ใครพบปัญญา มันจะเกิดมรรคเกิดผล ถ้ามันเกิดมรรคเกิดผล มรรคผลมันมาจากไหน เห็นไหม ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

นี่ดูทางไฮเวย์สิ รถมันวิ่งทั้งวัน ในกรุงเทพฯ นะรถมันผ่าน เห็นไหม ไอ้ทางด่วนนะเป็นวันละแสนๆ คัน มันวิ่งอยู่อย่างนั้นมันได้อะไรล่ะ นั่นเขาดำเนินชีวิตของเขา เขาเดินทางกลับบ้านไปทำงานของเขา เขาแสวงหาเรื่องทางโลก เขาแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย เขาไม่ได้แสวงหาใจของตน เขาไม่ได้ทำทางของตน ทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนาของเรานะ เราเอาไว้ก้าวเดินโดยเอาเท้าก้าว ถ้าเท้ามันก้าวไปโดยที่ว่าสักแต่ว่าทำขาดสติ ไอ้นั้นไม่ใช่ความเพียร ไอ้นั้นมันเป็นเพียงแค่กิริยา

ดูหุ่นยนต์ในโรงงานอุตสาหกรรมสิ มันทำทั้งวันเลย มันทำดีกว่ามนุษย์ด้วย แต่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ของเราเพราะเรามีหัวใจๆ หัวใจนี่ หัวใจนี่ ถ้าหัวใจนี่มันมีสติมีปัญญา หัวใจมันกำหนด หัวใจมันคิดไง หัวใจมันเป็นไง เพราะเราจะฝึกใจ แต่การฝึกใจนะก็ฝึกใจจากทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี่ เราฝึกหัวใจของเรา แล้วถ้าฝึกหัวใจของเรานี่ คนเราที่ฝึกเขาเรียกเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ก็ใจดวงนั้นนะ ใจดวงนั้น เห็นไหม ถ้าใจดวงนั้นมันมีศรัทธามีความเชื่อ เห็นไหม แล้วพยายามขวนขวายค้นคว้าค้นหานี่

ถ้าค้นหาไม่พบมันก็ไพล่ไปสู่กิเลสไง แล้วไพล่ไปสู่กิเลสนะมันก็ยกตนนะ โทษเลย โทษแร่ธาตุ โทษไม้ โทษเทคโนโลยี โทษไปหมดเลย ไม่โทษไอ้คนริเริ่ม ไม่โทษไอ้คนที่ไปขวนขวายมันมา นั้นนะเวลาถ้ามันค้นพบตัวเองไม่เจอไง ถ้ามันค้นพบเจอนะ โอ้ เราผิดคนเดียว สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอยู่ของมันอยู่อย่างนั้นนะ เราเท่านั้นแหละผิด ความเห็นผิด ความคิดผิด การกระทำผิด มันถึงได้เอามาทับถมตัวเองนี่ไง ถ้ามันคิดถูกนะ มันจะไม่เอาเข้ามาใกล้ตัวเลย ของใกล้ตัวมันยังผลักออกไปนะ

นี่ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีมากน้อยแค่ไหนท่านสละไปทั้งหมดเลย ให้เป็นประโยชน์กับสังคม ให้เป็นประโยชน์กับโลกนะ ยิ่งสละออกไปเท่าไร ยิ่งสละออกมากเท่าไร ท่านทำของท่านอย่างนั้นนะ ท่านไม่ไปกว้านเอาเข้ามาหรอก ท่านไม่ไปกว้านเอาเข้ามา เว้นไว้แต่บารมีธรรม เห็นไหม ดูสิ พระสีวลีนี่ ยังไงๆ มันก็มาสู่พระสีวลีเพราะอะไร คำว่าบารมีธรรมท่านทำของท่านไว้

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน อันนั้นมันเกิดจากการกระทำ มันเกิดจากกรรมของท่าน กรรมดีของท่านมันถึงเวลาของมัน เห็นไหม ธรรมบันดาล ธรรมะบันดาล บันดาลเป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นอย่างนั้น แต่คนที่เขามีธรรมเขาก็ไม่ติดอยู่ดี มีมาขนาดไหนก็ไหลออกไป มีมาขนาดไหนก็เป็นประโยชน์ออกไป ไม่ใช่ของเรา เพราะอะไร

เพราะมันไม่มีเรา ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีอะไรแล้ว สิ่งนั้นมานะมันเป็นกระแสสิ่งที่ใครสร้างมานะ ทุคตะเข็ญใจไม่ได้ทำสิ่งใดมาก็ขาดแคลนมาอย่างนั้นนะ แต่ก็ไม่ใช่เรา เพราะเราได้ทำอย่างนี้มา ทำด้วยความขาดแคลนมามันก็ขาดแคลนของมันอยู่อย่างนี้ แต่หัวใจมันไม่เดือดร้อน หัวใจมันไม่เป็นไปนะ เพราะท่านค้นพบใจของท่าน ท่านค้นพบศีล ค้นพบสมาธิ ค้นพบปัญญาของท่าน แล้วค้นพบปัญญาของท่านมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนานะ ปัญญาที่เกิดจากการภาวนานะ ไม่ใช่ปัญญาจากการศึกษา ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากกการฟัง นี่การฟังๆ เป็นปริยัติ การฟังนี่การฟังเทศน์ๆ การประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์นะ พระทุกองค์แช่มชื่นแจ่มใสมาก เพราะว่าเราไปอ่านตำราหนังสือมันพิมพ์ไว้แล้ว ดูสิ พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม หน้าไหนๆ บรรทัดไหนเรื่องอะไรพูดได้หมดนะ

แต่เวลาเทศน์นะ เวลาฟังธรรมๆ มันออกมาเป็นปัจจุบัน ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ระดับของศีล เห็นไหม ศีล อธิศีล ศีลของใครนี่เวลาเกิดปัญญา ปัญญาขั้นไหน ปัญญาโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค ปัญญาขั้นไหน แล้วปัญญาแต่ละขั้นมันเหมือนกันไหม เพราะกิเลสของคนมันไม่เท่ากัน กิเลสของคนหยาบละเอียดต่างกัน อยู่ในขั้นเดียวกันแต่มันก็ใช้เหตุผลแตกต่างกัน พอใช้เหตุผลแตกต่างกันใช้เหตุผลที่สมาธิที่สติมันมีกำลังมากกว่า สติสมาธิที่ละเอียดลออกว่า

เวลาไปเป็นน้ำป่าๆ ขึ้นมานี่ดูอสุภะๆ ที่มันถาโถมมานี่ มันจะมีอะไรไปกางกั้นมัน มันมีอะไรที่จะไปจำแนกมัน มันมีอะไรที่จะไปพิจารณาแยกแยะมัน แยกแยะให้เป็นอะไร แยกแยะให้เป็นไตรลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วมันเกิดถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่เห็น ไม่เกิดขึ้นก็ไม่เห็น เกิดขึ้นจับไม่เป็นก็ไม่เห็น เกิดขึ้นแล้วต้องจับเป็นมันถึงจะเห็น เห็นแล้ววิปัสสนาอย่างไง ใช้ปัญญาแยกแยะอย่างใด นี่เกิดขึ้นถ้าไม่มีสติปัญญา ค้นไม่พบหาไม่เจอไม่เห็น พอไม่เห็นก็บอกว่ามันไม่มีๆ มันไม่มีหรอก มันเวิ้งว้างไปหมด ก็ไม่เห็น ไม่รู้จักมัน ทั้งๆ ที่มันก็ไปอยู่ในตัวนั้นแหละ ของมีอยู่มันก็มีอยู่กับตัวนั้นหละ

ถ้าอยู่กับตัวขึ้นมา ถ้าจับได้ๆ เห็นไหม จับได้นี่ว่าแนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ไม่รู้ไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ อะไร สติปัฏฐาน ๔ นั้นนะมันเป็นชื่อ มันจดจำกันมาทั้งนั้น นี่จดจำกันมามันเป็นชื่อๆ ไม่เคยเห็นตัวจริง ถ้าเห็นตัวจริงไม่กล้าพูดอย่างนั้น ไม่กล้าพูดอย่างนั้น ถ้าทางการแพทย์ เขาเป็นแพทย์ เขาศึกษามาเฉพาะทาง เขารักษาคนได้หมดเลย แต่เวลาตัวเขาเป็นนะ เขาตกใจนะ แพทย์เฉพาะทางนี่ เวลาเขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่เขาเป็น เพราะเขารู้ เขาศึกษามาว่ามันให้โทษแค่ไหน เวลาตัวเขาเป็นนะง่อยเปลี้ยเสียขาเลย เข่าอ่อนเลย แต่เวลารักษาผู้อื่นเก่งนะ

นี่ก็เหมือนกันนะ ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็น มันไม่เห็นใจของมัน มันจับต้องของมันไม่ได้นะมันจะรู้อะไร มันก็เหมือนหมอที่มันเรียนมานะ แต่ตัวเองยังไม่ได้เป็น ถ้าตัวเองเป็นโรคเป็นภัยแล้วมันหายจากโรคภัยนั้นแล้วมันถึงเป็นการรักษา ถ้ามันไม่ได้เป็นโรคนั้นๆ เอ้า ก็เราไม่ได้เป็นโรคนั้นๆ ก็ไม่รู้ไม่เห็นมันไง แต่ศึกษามาจดจำจารึกกันมา นี่ไงถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันต้องเป็นของมัน เห็นไหม นี่ถ้าค้นพบมันกระจ่างแจ้งกลางหัวใจนะ ถ้าค้นพบ พบสติ พบสมาธิ พบปัญญา พบมรรค เวลามรรคมันเป็นไป เห็นไหม บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล หัวใจนี้เป็น หัวใจของสัตว์โลกเป็นความมหัศจรรย์ มันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนนะ คำว่าพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ขึ้นมาบุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทั้งๆ ที่ว่าท่านตรัสรู้เองโดยชอบ

แต่เวลาท่านวางธรรมและวินัยนี้ไว้ เห็นไหม บุคคล ๔ คู่ จิตใจของคนที่วิวัฒนาการพัฒนาการขึ้นไป แล้ว ๔ คู่นี่มันเป็นอย่างใด มันเป็นโสดาบันอย่างไง มันเป็นสกิทาคาอย่างไง เป็นอนาคาอย่างไง แล้วเป็นพระอรหันต์อย่างไง แล้วพระอรหันต์ที่เป็นแล้วนี่เป็นอย่างใด เป็นแล้วมันมีผลประโยชน์อย่างใด เป็นแล้วนี่ นี่ไง ศาสนทายาทของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำเพื่อประโยชน์อันนี้ไง นี่ไงถ้าเราไม่คุ้นชินมัน เห็นไหม เวลาเราคุ้นชินมันนะ เวลาจะมาลงอุโบสถ ต้องทุก ๑๕ ค่ำๆ มันเป็นเรื่องการทดสอบ มันเป็นเรื่องการทัศนะ ทัศนียภาพ เป็นการวัดใจ เป็นการพิจารณาของเรา เห็นไหม นั้นเป็นการฟังธรรม

แต่อุโบสถๆ นี่เราต้องลงทุกอุโบสถ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเป็นอุโบสถๆ นะ แม้แต่ในธรรมวินัย เห็นไหม พระถ้า ๔ องค์ขึ้นไปถ้าสวดไม่ได้ต้องส่งให้ไปศึกษา ถ้าไม่ศึกษาปรับอาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดเลย ปรับทั้งหมด นี่อุโบสถเป็นความสำคัญ สำคัญเพราะมันตรวจสอบพระให้พระอยู่ในศีลในธรรม แล้วเวลาฟังธรรมๆ นี่ฟังธรรมอย่างนี้ก็เพื่อวัดใจของตน ถ้าวัดใจของตน พิจารณาใจของตน ค้นหาให้เจอนะ ใจของแต่ละคนนะค้นหาให้ได้ ค้นหาให้เจอ เพื่อประโยชน์กับภิกษุองค์นั้น เอวัง