เทศน์เช้า วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ โยมขวนขวายมาทำบุญกุศลนะ บุญกุศลเป็นอามิส สิ่งใดที่เสียสละไปแล้วเป็นบุญกุศลของเรา ถ้าเป็นบุญกุศลของเรา สิ่งที่เราเสียสละไปนั้นเป็นวัตถุ แต่สิ่งที่เป็นภาพ ภาพจำ ภาพจำอันนั้นเป็นทิพย์ สิ่งนี้มันซับลงที่ใจ ซับลงที่ใจ ใครเสียสละมากน้อยแค่ไหนมันซับลงที่ใจ ที่เป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติไง ทิพย์สมบัตินี้แย่งกันไม่ได้นะ แต่วัตถุแย่งกันได้ วัตถุนี้ทำให้ตกหล่นไปได้ แต่บุญกุศลแย่งชิงกันไม่ได้ ใครทำใครได้ไง
สิ่งที่บุญกุศลมันซับลงที่ใจๆ เราเสียสละของเรา ให้มันเป็นเจตนาเป็นความจริงของเรานะ ไม่ใช่โดนบังคับ ไม่ใช่โดนบังคับโดนขู่เข็ญ เว้นไว้แต่เด็กๆ เด็กๆ พ่อแม่ต้องชวนมาก่อน เราปลูกฝังเขาไว้ๆ ปลูกฝังนี้คือบันไดหนีไฟนะ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลามันทุกข์มันยากมันกดดันหัวใจ เวลากดดันหัวใจมันจะออกทางไหน เขาสร้างตึกๆ เขาต้องมีบันไดหนีไฟไว้ เวลามันเกิดอุบัติเหตุ เขาให้ไปทางหนีไฟ
นี่ก็เหมือนกัน เราฝึกหัดเขาไว้ๆ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว อริยสัจ สัจจะเป็นความจริง ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ และทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นความจริงแล้วเราบริหารจัดการมัน ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลงที่หัวใจของคนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยก็เพื่อหัวใจของคน
เวลาหลวงตาท่านไปไหน ท่านไปไหนท่านไม่ได้ไปเอาสิ่งใดเลย ท่านไปเอาหัวใจคน เอาหัวใจคนตรงไหน เอาหัวใจคนตรงใช้ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างไง ชีวิตของท่านน่ะ ความเป็นอยู่ของท่าน บวชมาตั้งแต่เด็กน้อย อยู่กับศาสนามาตั้งแต่เล็กจนโต แล้วฝึกหัดหัวใจมาจนหัวใจมันมีคุณธรรมในหัวใจ คำว่า คุณธรรมในหัวใจ คุณธรรมในหัวใจ สิ่งที่มีคุณธรรมในหัวใจ สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมีค่า ถ้ามีค่าขึ้นมา เราก็สิ่งมีชีวิต พระพุทธศาสนาสอนถึงการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าสิ้นสุดของมันเลย แต่ในเมื่อเราไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้น ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้น ให้รู้จักเสียสละ
คำว่า เสียสละ มันไม่ต้องเสียสละเฉพาะวัตถุหรอก คำว่า เสียสละวัตถุ มันเป็นอุบาย อุบายให้คนรู้จักเสียสละขึ้นมา เวลามันทุกข์มันยากในหัวใจ ไอ้นี่เราไม่อยากได้ ถ้ามันเอาออกไปจากใจไม่ได้ล่ะ ไอ้สิ่งที่อยากได้มันไม่ได้ ไอ้สิ่งที่ไม่อยากได้ มันจะคิดตลอดเวลา ไอ้สิ่งที่อยากได้น่ะมันไม่ได้ สิ่งที่อยากได้มันไม่ได้ อยากได้มีความสุข อยากได้สมความปรารถนา อยากได้ทุกอย่าง มันอยู่ที่เวรอยู่ที่กรรม ใครทำสิ่งนั้นมาไง ถ้าใครทำสิ่งนั้นมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
ดูสิ เด็กกตัญญูมันเกิดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มันดูแลปู่ย่าตายายของมันนะ มันเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวของมัน เด็กน้อยมันมีหัวใจที่มันทำได้ เวลามันทำได้ขึ้นมา หัวใจของเขามันฝึกฝนเขามา แต่ในทางโลกเราเห็นว่ามันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นบาปเป็นกรรมเพราะอะไร เพราะเด็กน้อยมันควรได้การทะนุถนอมดูแล ทำไมเด็กน้อยต้องมารับภาระอย่างนั้นล่ะ แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ยิ่งใหญ่มันมีกตัญญูกตเวที มันมีความเข้มแข็งของมัน อย่างเราเจอสิ่งใดขึ้นมา เราก็ล้มเหลวแล้ว แต่ทำไมเด็กน้อยมันมีความมุมานะ มันมีกตัญญู มันเห็นบุญเห็นคุณขึ้นมาล่ะ นั่นล่ะคือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่การกระทำมานี่ไง
ฝึกฝนๆ ภาพความจำในหัวใจ ภาพความจำในหัวใจที่มันสร้างมาดีๆ นี่ไง ถ้าภาพความจำสิ่งที่ดีๆ มา สิ่งที่มีชีวิตๆ ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนาทำให้ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราก็ทำของเราเพื่อบุญกุศลของเรา แต่ถ้าใครทำบุญกุศลของเรา สิ่งที่มีค่าๆ คือหัวใจของเรา แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในจิต ในจิตของเรา ปฏิสนธิจิตมันมีแรงขับ เห็นไหม เหรียญมีสองด้าน มีขั้วบวกและขั้วลบ มันถึงหมุนของมันไป ถ้าไม่มีขั้วบวกขั้วลบ เราก็ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะมันมีขั้วบวกขั้วลบมันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลาขั้วบวกขั้วลบ ถ้าขั้วบวกที่ดีมันก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ไง ถ้าขั้วที่นั่นล่ะ นี่ไง เวลาสิ่งที่มีชีวิตมันมีคุณค่าอย่างนี้ แต่มันมีขั้วบวกขั้วลบของมัน เห็นไหม มีขั้วบวกขั้วลบ เวลามันเป็นขั้วลบ มันคิดแต่ทำลายตัวเอง ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องนะ แต่มันคิดของมันๆ นี่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของคน
สิ่งที่มีค่าๆ สิ่งมีชีวิตมีค่ามาก เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปไหน ท่านไปเอาหัวใจของคน ถ้าคนคนนั้นมีสติมีปัญญารู้จักคิดได้ หัวใจของเขาจะมีคุณค่ามาก แต่ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกดถ่วงขึ้นมา มันมองคุณค่า มองข้ามคุณค่าหัวใจนี้ไป ถ้ามองข้ามคุณค่าหัวใจนี้ไป มันก็ไปเอาหัวโขนแล้ว มนุษย์ใส่หัวโขน แล้วคนมีหมวกหลายใบ เราเกิดมามีหน้าที่การงานเยอะแยะ มีหมวกหลายใบ มันก็เป็นติดที่นั่น มันส่งออกไปอยู่ที่นั่นไง มันทิ้ง ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าไปนะ เอายศถาบรรดาศักดิ์สิ่งนั้นมันชั่วคราว สมบัติผลัดกันชม
สิ่งนี้สมบัติผลัดกันชม แล้วเราได้สมบัตินั้นมา ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราได้สมบัตินั้นมา เราควรทำประโยชน์ ทำคุณประโยชน์ไง เวลาเขาทำสิ่งใด แล้วเราจะได้อะไร เราก็ได้บุญได้บาปอันนั้นไง สิ่งที่เราได้ แต่ถ้าเราทำเพื่อประโยชน์ๆ ประโยชน์กับชุมชน ประโยชน์กับสาธารณะ ถ้าเราได้สิ่งนั้นมา เราทำเพื่อประโยชน์ อันนี้เป็นบุญกุศล แล้วบุญกุศลอันนี้มันอยู่ที่ไหน
คนที่มีบารมีๆ เวลาคนที่มีบารมี เวลาเขาเกษียณไป โอ้โฮ! ลูกน้องรักมากนะ น้ำหูน้ำตาไหล ไอ้คนที่ไม่ดีๆ มันอยากให้ไปเร็วๆ นี่ไง ความดีๆ อันนี้มันฝังใจ น้ำหูน้ำไหลนะ เขาคิดถึงนะ เวลาไปอยู่ที่ไหนเขาคร่ำครวญถึงคนคนนั้นน่ะ คนคนนั้นเคยคุ้มครองเรา คนนั้นเคยดูแลเรา คนนั้นเคยอำนวยความสะดวกกับเรา คนคนนั้น คนคนนั้น นี่ไง สิ่งที่ความดีๆ เราได้ตรงนี้ไง ถ้าได้ตรงนี้ กิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดกั้นหัวใจขึ้นมา มันมองคุณค่าของหัวใจ มันไพล่ไปเอาสิ่งที่เป็นวัตถุไง สิ่งที่เป็นวัตถุ คนที่มีน้ำใจของเขา เขาเสียสละของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา นี่เขาทำบุญกุศลของเขา นี่บุญกุศล
ถ้าบุญกุศล ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำๆ เพื่อตรงนี้ไง แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญามากขึ้น มันจะย้อนกลับมาในหัวใจของเราแล้ว ถ้าย้อนกลับมาในหัวใจของเรา ดูสิ เรามาวัดมาวากัน เรามาวัดหัวใจของเรา เรามาถือศีลภาวนาของเรา ทางโลกเขาบอกไอ้คนไปวัดเป็นคนที่มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนที่ไม่มีปัญหาคืออยู่กับสังคมโลกมีแต่ความสุขไง สังคมโลกมีความสุข มันมีความสุขแค่ไหน เวลาสุขเจือด้วยอามิส คำว่า สุขเจือด้วยอามิส เงินทองทั้งนั้นน่ะ เอาเงินทองซื้อมา ต้องเอาสิ่งใด ธุรกิจบริการ เราต้องไปแสวงหามา
เราไปวัดไปวาของเรา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา ตัวเบา เดินลอยไปหมดเลย มันมาจากไหน มันมาจากไหน ก็มันมาจากชีวิตของเรา มันมาจากหัวใจเรานี่ไง มันมาจากสิ่งที่มีสติปัญญานี่ไง สิ่งที่มีสติปัญญา หน้าที่การงานเราก็ทำ คนเกิดมาต้องทำหน้าที่การงานนะ เขาวัดกันที่คุณค่าของคนที่ความรับผิดชอบ
คุณค่าของคนที่รับผิดชอบ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ ต้องชอบธรรมนะ ถ้าไม่ชอบธรรมมันเป็นกิเลส ขั้วลบ ถ้าชอบธรรมเป็นขั้วบวก ขั้วบวกมันก็ติด เทฺวเม ภิกฺขเว ภิกษุทั้งหลาย ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค ด้วยความลำบากเปล่า สมบัติทางโลกแสวงหาไปเถอะ ค้นคว้าไปเถอะ พยายามดูแลรักษาไว้เถอะ นี่ไง มันจะอยู่ประจำโลกนี้ไง มันไม่ไปกับเราไง อัตตกิลมถานุโยค สิ่งที่ลำบากเปล่าที่จะไม่ได้เป็นสมบัติของเราโดยแท้จริงไง มันเป็นสมบัติของเราโดยที่เรามีชิวิตนี้แหละ แต่ถ้าชีวิตนี้มันพลัดพรากไปแล้ว สมบัตินี้มันเป็นของใคร กามสุขัลลิกานุโยค ความสุข ความสงบ สุขของเรา ปฏิบัติแล้วเป็นของเราๆ มันก็ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย นี่ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลๆ ความสมดุลมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความสมดุลมันเกิดขึ้นมา วัตรปฏิบัติของเรา ที่เรามาหาของเรา มาประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะมาค้นคว้าหาหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ ศาสนามันสัมผัสได้ที่ไหน ศาสนามันสัมผัสได้ด้วยหัวใจของคน คนที่มันสัมผัสได้ๆ ความสัมผัสได้ มาวัดมาวา เราอยากได้อะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
พ่อแม่ของเรา เราก็พึ่งได้ พึ่งได้ในภพปัจจุบันนี้ พ่อแม่ของเราไง เราเป็นลูก เราเป็นลูก เรามีพ่อมีแม่ใช่ไหม ถ้ามีครอบครัว เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็มีลูก เราก็มีพ่อมีแม่ เราก็มีลูกของเราเหมือนกัน สิ่งนี้มันพึ่งได้ในภพในชาตินี้ไง คำว่า ภพชาตินี้ เราเกิดมาด้วยชาติด้วยตระกูล อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมขึ้นมา นี่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
แต่ถ้ามันจะวัดใจของเราๆ วัดใจของเรามันเป็นเรื่องของเราแล้ว มันมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามากขึ้นมา สิ่งที่ทำมันทำด้วยความชุ่มชื่นนะ มันทำด้วยความพอใจ ถ้าทำด้วยความพอใจ แล้วทำสิ่งนี้แล้ว ทาน ศีล ภาวนา ถ้าจะมีศีล มีความปกติของใจแล้ว ถ้ามีความปกติของใจจะเห็นคุณค่าของใจของเราแล้ว สิ่งที่เราไพล่มองแต่ปัจจัยเครื่องอาศัยภายนอก มันเป็นเครื่องบอกกล่าวนะ มันเป็นเครื่องบอกเหตุ
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอตทัคคะใช่ไหม พระสีวะลีเป็นผู้ที่มีลาภมาก พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก พระอุบาลีเป็นผู้ที่ทรงเรื่องวินัย มันมีความถนัดๆ มาแตกต่างกัน ความถนัดคือการสร้างมาๆ ความสร้างมาคือความชอบ จริตนิสัย เวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็มีความถนัดแตกต่างกันไป
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติของเรามันก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ความพอใจ ความสมดุลความพอดีของใจของเรา ความพอดี ความสมดุลของใจของเรา เราก็ต้องค้นคว้าหาของเรา เราไม่ต้องไปเทียบเคียงใคร เวลาฟังธรรมะๆ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครแสดงธรรมก็แล้วแต่ ในสมัยพุทธกาลนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สาธุ เป็นคติธรรม เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ดี แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเอาวัตรแบบอย่างอย่างนั้นว่าเป็นของเราไม่ได้ มันต้องเป็นของเราเป็นปัจจุบัน มันต้องเป็นของเราจริงๆ ไง ถ้าเป็นศีลก็ต้องเป็นศีลของเรา เป็นสมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา ถ้าเป็นของเรา เราได้รับรสไง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของสติ สติมันมีระลึกได้ หูตาแจ่มแจ้ง ระลึกได้ โอ้! เมื่อกี้ลืมไป เห็นไหม สติชัดเจน สติของเรา มีสมาธิ อู้ฮู! มีความสุข ลอยไป ใครเดินจงกรมแล้วถ้ามันลงมันจะเป็นอย่างนั้น เดินจงกรมไปเหมือนลอยไปลอยมา คนเหมือนเหาะได้ แหม! มันมีความสุขนะ เบาไปหมดเลยนะ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ มันแยกมันแยะของมัน มันพิจารณาของมันนะ เราจะเข้าใจเลยว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาไง
การศึกษาปริยัตินะ สำคัญมาก เราก็เห็นประโยชน์ของมันเหมือนกัน การศึกษาในภาคปริยัติ การทรงจำธรรมวินัย แต่ถ้ามันปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันรู้แจ้ง ปัญญาที่มันสมดุล ปัญญาที่มันมัชฌิมาปฏิปทา ปัญญาที่มันพอดี ไม่อัตตกิลมถานุโยค ไม่กามสุขัลลิกานุโยค ปัญญาสมดุลของมันที่เป็นมรรค เวลามรรคมันเคลื่อน ปัญญามันเคลื่อน เวลามันเคลื่อนไป ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านบอก โอ้โฮ! ปัญญามันหมุนๆ มันหมุนด้วยญาณวิถี มันหมุนด้วยคุณสมบัติของมัน ในหัวใจมันหมุน
ถ้ามันไม่มีมรรคมันจะมีผลได้อย่างไร ถ้าไม่มีอาสวักขยญาณ ไม่มีสิ่งใดไปชำระกิเลส มันชำระได้อย่างไร ไม่มีสิ่งใดไปทำลายกิเลส กิเลสมันจะหลุดออกไปจากใจได้อย่างไร ไม่มีสิ่งใดขับเคลื่อน มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันมีของมันนะ เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น เกิดญาณวิถีรู้แจ้งในหัวใจ มันสำรอกมันคายของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป บุคคล ๔ คู่ นี่ไง บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล พอเสร็จไปแล้วสมณะ ๔ สมณที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ เราก็อยากเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องการเป็นอย่างนั้น การเป็นอย่างนั้น เราถึงมาขวนขวายกันไง เราขวนขวาย เรามีสติปัญญาขึ้นมา เรามาขวนขวาย
เราได้เสียสละมันก็เป็นทาน เป็นวัตถุ แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาใครปฏิบัตินะ เวลาทุกข์เวลายากขึ้นมา เวลากิเลสมันยุมันแหย่ขึ้นมา เราไม่เห็นได้สิ่งใดเลย ไม่เห็นได้สิ่งใดเลย เราอาบเหงื่อต่างน้ำกว่าจะได้ปัจจัยมาเพื่อจะแลกเป็นวัตถุนี้มาเสียสละ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราก็ทำงานเหมือนกัน เราทำงานเหมือนกัน เราทำงานบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราเอาร่างกายเอาจิตใจของเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะไม่เป็นบุญที่ไหน มันเป็นบุญอยู่แล้ว ทาน ศีล ภาวนา
การภาวนานี้สุดยอด การภาวนา เห็นไหม เราอยากฉลาด อยากจะมีความสุข อยากจะประสบความสำเร็จ แล้วประสบความสำเร็จ สิ่งที่เป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติผลัดกันชม กับสมบัติจริงๆ สมบัติของเรา มันเกิดขึ้นที่หัวใจ มันอยู่ที่หัวใจ มันไปกับหัวใจดวงนี้ ไม่ต้องมีใครมาอ้อนวอน มารับรอง มาทำสิ่งใดทั้งสิ้น มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกลางหัวใจดวงนี้ มันเป็นสมบัติของเราจริงๆ ไง
ถ้าเป็นสมบัติจริงๆ มันจะเข้าใจ เข้าใจว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดว่าเป็นญาณวิถีที่มันเข้าไปชำระล้าง มันที่เป็นจักร เป็นธรรมจักรที่เข้าไปชำระล้างกิเลส มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่หัวใจของเรานี่ไง มันเกิดขึ้นจากการเพียรพยายาม มีสติ มีปัญญา มีเจตนา มีการกระทำ แล้วมันมีอยู่จริง มันมีอยู่จริงที่ไหน มีอยู่จริงก็พิสูจน์ได้ ทุกข์ในหัวใจเราไง ย้อนกลับมา ทุกข์ไหม ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ครูบาอาจารย์ท่านสอนวิธีการดับทุกข์ วิธีการฆ่ากิเลส วิธีการชนะตนเอง เอวัง