เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษารัชกาลที่ ๙ รัฐบาลเขาจัดงานยิ่งใหญ่มากนะ เขาจัดงานยิ่งใหญ่เพราะอะไร เพราะท่านทำให้ประเทศชาติไว้ยิ่งใหญ่มาก เพราะท่านทำให้ประเทศชาติไว้ยิ่งใหญ่มากมันถึงเข้าไปถึงในหัวใจของประชาชนประชาชนถึงเคารพรักบูชาท่าน เคารพรักบูชาท่าน เห็นไหมวันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษาแล้ววันนี้เรามาทำบุญวันเฉลิมพระชนมพรรษานะ ระลึกถึงท่านท่านได้คุ้มครองดูแลพวกเราให้ร่มเย็นเป็นสุขไงถึงมันจะมีการกระทบกระเทือนกันบ้าง อันนี้มันเป็นเรื่องนานาจิตตังนานาจิตตังนั่นเรื่องของเขา แต่ของเราเอานี่ไง

วันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษาเรามาทำบุญถวายองค์ในหลวงของเราถ้าทำบุญถวายในหลวงของเราให้ระลึกถึงท่านระลึกถึงท่าน เห็นไหม “เราจะก้าวตามรอยเท้าพ่อ” นี่เวลาพูดกัน “เราจะก้าวเดินตามรอยเท้าพ่อ” ทำไมต้องก้าวเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยล่ะเพราะพ่อท่านทำความดีไว้ไงเพราะท่านทำความดีเป็นที่ประจักษ์ไง ถ้าเป็นที่ประจักษ์ เราจะทำคุณงามความดีอย่างนั้น คุณงามความดีอย่างนั้นเป็นทางเดินของใจไง เป็นทางเดินของคนดี คนดีมันต้องมีสติมีปัญญามีสติปัญญาเพื่อพาจิตใจของเราให้มันไปถึงที่สุด ที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าพาไปอย่างนั้นมันถึงเป็นความสุขไง เป็นความสุขที่ไหน

ถ้าคนทำคุณงามความดีทำแล้วสุจริต มันไม่หวาดระแวงคนทำทุจริตทำสิ่งใดแล้วเราหวาดระแวงไปทั้งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดแล้วกลัวความลับจะเปิดเผย ทำสิ่งใดแล้วมีแต่ความปกปิดไว้ นั่นน่ะทำแล้วมันเป็นความทุกข์ในหัวใจไงแต่สิ่งที่ได้มาๆด้วยปัญญาไงปัญญาที่คิดว่าเราได้ของเรามา เราทำแล้วเราได้ของเราๆ

คำว่า “ได้ของเรา” มันได้อย่างไร ดูสิ ที่เรามานี่เรามาได้ไหมเรามาเสียสละ การที่เสียสละคือได้ ได้อะไร ได้บุญกุศลไงบุญกุศลคืออะไร ผู้ให้ไง ให้แล้วผู้ที่รับแล้วเขาใช้ประโยชน์ของเขาใช้ประโยชน์ของเขา แต่ประโยชน์ของเราๆ คือเราได้มีโอกาสให้ไง ถ้าเรามีของมากมายมหาศาลเลย แล้วเราไม่มีโอกาสให้เพราะไม่มีผู้ที่จะรับ เราเก็บไว้มันก็เน่าอยู่นั่นน่ะเพราะเราใช้ประโยชน์ไม่ได้ไง

ถ้าเรามี ถ้าไม่มีผู้รับ เราก็ไม่มีโอกาสให้นะ ถ้าเราจะมีโอกาสให้เราให้ของเรา ให้ของเราเพื่อบุญกุศล เพื่อหัวใจของเรา เขาเรียกคนมีบารมีไง ถ้ามีบารมีในหัวใจ เราทำเพื่อใจเราๆ มันเป็นเรื่องหยาบเรื่องละเอียด ของหยาบๆ คนเข้าใจได้ คนรู้ได้ ของที่ละเอียดมันมองจนไม่ได้ มองจนไม่รู้ไง

คนมาถามประจำ ผีมีจริงหรือเปล่า นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า

มันเป็นทิพย์ไง มันเป็นทิพย์คือมันพิสูจน์ไม่ได้ด้วยทางวิทยาศาสตร์ไง ถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าวิทยาศาสตร์ทางจิตพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ด้วยอะไร พิสูจน์ได้เวลาคนที่เขาภาวนา เวลาจิตเขาส่งออกไปรู้ไปเห็นต่างๆ ความรู้ความเห็นนั้นความรู้ความเห็นนั้นจริงไหม? จริงแต่ความเห็นนั้นจริงไหม? ไม่จริง

ไม่จริงเพราะอะไร เพราะจิตใจของเขายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเขา เขามีอุปาทานในใจของเขา เขามีความจินตนาการของเขา เขามีการคาดหมายของเขาเขาก็เห็นตามคาดหมาย ตามจินตนาการของเขา

แต่ครูบาอาจารย์ของเราครูบาอาจารย์ของเราถ้าท่านสิ้นกิเลสแล้ว นั่นน่ะเป็นความจริง ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ ความจริง ๑๐๐เปอร์เซ็นต์เพราะท่านไม่มีอุปาทานในหัวใจไง ไม่มีอุปาทาน ไม่มีการสร้างภาพในใจขึ้นมา ถ้ามันเห็นสิ่งใดมันเห็นตามความเป็นจริงอันนั้น

นี่ไง เวลามันเห็นแบบโลกๆเห็นโดยจินตนาการ เห็นโดยการคาดเดาเห็นแล้ว แล้วก็คิดว่าเป็นของตนๆแล้วมันก็ไม่เป็นอะไรของตนสักอย่างหนึ่ง แต่ครูบาอาจารย์ท่านเห็นของจริงๆ ท่านเห็นจริงนะ ท่านบอกว่าเห็นจริงก็เป็นผลของวัฏฏะเห็นจริงก็เป็นเรื่องของโลก เห็นจริงก็ไม่ใช่ของเรา

เห็นจริงๆท่านยังวางไว้เลยไอ้พวกเราเห็นไม่จริง แหม! ฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันใหญ่ นั่นน่ะอุปาทานไง ทีนี้คำว่า “อุปาทาน” อันนี้มันเป็นเรื่องของจริตนิสัยของคนถ้าจริตนิสัยของคนเราพยายามทำของเรา

ทำความดีถวายพ่อ ทำความดีถวายพ่อ เราจะเดินตามรอยเท้าพ่อ เดินตามรอยเท้าพ่อเพราะอะไรเวลาเศรษฐกิจพอเพียงมันก็สันโดษคนที่จะสันโดษคนที่จะถือสันโดษได้ ดูนักบวชเราอยู่ในป่าในเขาท่านทรงศีลของท่าน ท่านก็มีเครื่องอยู่ของท่านไอ้เราจะสันโดษๆสันโดษอย่างไรถ้าเราไม่มีจะกินมันก็เลยเศรษฐกิจพอเพียงไง

เศรษฐกิจคือว่าเราทำอยู่ทำกิน ทำอยู่ทำกินของเรา เรามีความสุขความสงบของเรา แล้วมันสันโดษๆ สันโดษได้เพราะอะไรสันโดษได้เพราะมันมีสติมีปัญญาไง

แต่ถ้าสันโดษไม่ได้มันมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ ไอ้น้อยเนื้อต่ำใจนี่สำคัญมากเลย พอน้อยเนื้อต่ำใจ จะเท่าเขาจะเทียบเคียงเขาถ้าเทียบเคียงเขาพยายามจะสร้างเบ่งขึ้นมาเป็นอึ่งอ่าง จะเท่ากับโคไง “เท่านี้เท่าหรือยังลูก” มันเบ่งใหญ่เลยนะ มันจะอวด มันจะให้เท่าโค อึ่งอ่างมันอวดลูกมันนะ “เท่านี้เท่าโคหรือยังลูกเท่านี้เท่าโคหรือยัง”

“ยังหรอกแม่”

มันเบ่งจนท้องแตกตายเลยนั่นถ้าจิตใจมันไม่สันโดษ เห็นไหม

ถ้ามันสันโดษของมันน่ะโธ่! โคมันเล็มหญ้ามันก็หากินของมันไป ร่างกายมันใหญ่โตขนาดไหนมันก็อิ่มท้องของมันไปตามชีวิตของเขา ถ้าเขามีความสุขก็ความสุขของโค ไอ้เราความสุขของอึ่งอ่างใช่ไหม อึ่งอ่างนะ มันหาอยู่หากินมันก็เต็มท้องของอึ่งอ่างใช่ไหม มันก็มีความสุขของอึ่งอ่าง อึ่งอ่างพ่อแม่ลูกมีความสุขมีความสงบมันก็ความสุขของอึ่งอ่าง อึ่งอ่างจะมีความสุขเหมือนโคมันเป็นไปได้อย่างไรล่ะ โคมันก็เป็นโค มันต้องกินหญ้า ดูสิ มันต้องแช่น้ำของมันน่ะ

ถ้ามันสันตุฏฐี มันมีความสันโดษในใจ ถ้าความสันโดษในใจ ถ้ามันไม่มีหนี้ไม่มีสิน ถ้ามันไม่มีภาระรับผิดชอบไม่มีภาระรับผิดชอบมันต้องมีคุณธรรมอย่างนี้มันถึงจะอยู่โดยสันโดษด้วยความสุข แต่ถ้ามันจะเป็นอึ่งอ่าง มันจะเบ่งให้เท่าเขาๆด้วยตัณหาความทะยานอยากด้วยไง

นี่ไง “ตามรอยเท้าพ่อๆ” ท่านให้เราสามัคคีกันนะ ท่านให้เรารักกันนะ ให้ชุมชนรักกัน ให้ชุมชนเอื้ออาทรต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม ถ้าตามรอยพ่อๆ ต้องตามรอยอย่างนี้ ตามรอยโดยการกระทำตามรอยด้วยมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้ “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

เราตามรอยเท้าพ่อ พ่อที่ท่านเกิดมาท่านเป็นกษัตริย์ ท่านปกครองดูแลเราเป็นบุคคล แล้วท่านก็ต้องสวรรคตไป แต่คุณงามความดีของท่าน เหตุและผลคือธรรม

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ก็มีแต่ตามรอยเท้าพ่อๆ ตามรอยเท้าพ่อก็กิริยาที่พ่อทำไว้ ความดีความชั่ว เหตุและผลเรารวมลงเป็นธรรม“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ถ้าเราจะมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราตามรอยแล้ว คุณงามความดีอันนั้น ถ้าเราระลึกถึงอย่างใดก็ให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกพุทโธๆ ขึ้นมาในหัวใจ จะระลึกถึงอย่างไรเราก็มีสติปัญญาของเราค้นคว้าหาใจของเราให้เจอไง ถ้าค้นคว้าหาใจของเราให้เจอ ถ้าค้นคว้าของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพยายามขวนขวายของเราๆ

ทางโลกเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาเสียทรัพย์ เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ คำว่า “เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ” ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตไงแต่ถ้าถึงที่สุดแล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติเวลาถ้ามีสิ่งใดที่มาขัดแย้งในหัวใจ ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ มันจะเป็นจะตายนะทำอย่างนู้นมันวิกฤติเกินไปนะ ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ท่านมีสติมีปัญญานะ เวลาถ้าอะไรจะตาย ขอดูหน้าซิอะไรจะตายก่อน นี่สละชีวิตเพื่อธรรมแม้แต่ชีวิตยังสละได้เลย พอจะสละขึ้นมา เวลาถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมานะ เวลาสละชีวิตเพื่อธรรม

หลวงตาท่านเทศน์ประจำเวลาท่านวิกฤติของท่านในการประพฤติปฏิบัติเวลามันหน้าสิ่วหน้าขวานนะ ท่านทุ่มเทหมดเลย เวลาทุ่มเทหมดเลย มันต้องเสียสละกันเต็มที่เลย พอเสียสละท่านบอกเลย กิเลสตาย เราไม่ตาย

ท่านไม่เคยตายสักที แต่ไอ้ความวิตกกังวลของเรา ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจ นู่นก็ตาย นี่ก็ตาย มันเอาตายมาหลอกทั้งนั้นน่ะแล้วพอว่าตาย เข่าอ่อนหมดเลย เห็นไหม นี่ท่านเสียสละชีวิตเพื่อธรรม

แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ กิเลสมันล่อมันหลอก เวลาครูบาอาจารย์ท่านคอยแนะนำพวกเรานะ เวลากิเลสมันหลอกเวลาที่เห็นนิมิตเห็นแสงต่างๆแล้วตามมันไปท่านบอกว่าอย่าตามไป ถ้ามันเดินตามไป ถ้ามันตกหน้าผามันตายได้นะ เวลามันตายได้ เวลามันหลอกให้ตาย เวลากิเลสมันหลอก มันหลอกให้ตายนะแต่หลอกให้ตายอย่างนั้นเพราะเราไม่มีสติปัญญาเทียบเท่าไง

แต่ถ้าเวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ถ้ามีสติมีปัญญาถ้ามรรคผลมันเกิดขึ้นมาในจิตของเรา มันแก้มันไขกัน เพราะอะไรเพราะเวลามันจะตายมันตายที่ภวาสวะ ตายที่ภพตายที่ใจนั้นไงเวลากิเลสถ้ามันตายไปแล้วมันก็ตายสิ้นไปจากหัวใจนั้น แต่ถ้ามันอยู่เหนือหัวใจนั้นมันจะครอบครองหัวใจนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องนิมิตเรื่องความเห็นจากภายนอก มันพาให้ชีวิตนี้ไปสิ้นไง

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดๆ” นั่นมันเป็นธรรมหรือเป็นกิเลสล่ะ ถ้ามันเป็นกิเลสเราไปพึ่งกิเลส เราไปพึ่งกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็หลอกไปไง ถ้าเราพึ่งธรรมๆ ก็พึ่งสติพึ่งปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญา เราจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดเราก็แยกแยะสิ มันจริงหรือไม่จริง มันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้เราก็วาง เราไม่ตามมันไป

ถ้าไม่ตามมันไป มันก็หันมาหลอกแล้ว “ของดีนะ ถ้าทำมาทางนี้จะสิ้นกิเลสนะ ถ้าอยู่ตรงนั้นมันไปไม่ได้” นี่มันหลอกทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีสติปัญญามันต้องพิสูจน์กันไง คำว่า“พิสูจน์” นะ คนอื่นหลอกเราไม่สำคัญกว่ากิเลสหลอกเรานะ ตัวตนของเรา ปัญญาของเรามันหลอกเรา ถ้าหลอกเรา มีสติปัญญาไล่ตามไปหมดนะ เวลาอย่างนี้มันเป็นเรื่องกิเลสหยาบๆ

เวลากิเลสมันละเอียดข้างในดูสิ เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านไปมีสติปัญญา โอ้โฮ! มันสว่างไสวไปหมดเลย มันผ่องใสไปหมดเลยนะ นี่คนที่ปฏิบัติเอง คนคือผู้ที่รู้เอง ผู้ที่เห็นเองแล้วประพฤติปฏิบัติมาโดนกิเลสหลอกมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาเวลาจิตเสื่อมทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ไปหาหลวงปู่มั่นหลวงปู่มั่นท่านสั่งท่านสอน เวลาท่านปฏิบัติผ่านไปแล้วนะ ท่านบอกเลยนะ สอนเหมือนเด็กๆ เลย

ก็เด็กๆ ก็เริ่มต้นมันก็เด็กๆเริ่มต้นเหมือนเด็กๆ คือว่าจิตใจมันยังไม่มีวุฒิภาวะมันก็เหมือนเด็กๆ มันจะไม่เป็นผู้ใหญ่หรอก แต่มันเป็นขึ้นมาๆ มันปฏิบัติขึ้นมา มันโดนหลอกมา มันพิจารณามา มีครูบาอาจารย์คอยชักนำมา มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผ่านมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมามันมีประสบการณ์มาทั้งนั้นน่ะ

คำว่า “มีประสบการณ์” จิตมันมีประสบการณ์มามันถึงละเอียดเข้าไป จิตมันมีประสบการณ์มามันถึงผ่านกิเลสเป็นชั้นๆ เข้าไปบุคคล ๔ คู่ พอไปถึงที่สุดแล้วมันยังไปติดมัน เห็นไหมจิตเรานี้มหัศจรรย์มาก มันทะลุปรุโปร่งไปหมดน่ะภูเขาเลากา โอ้โฮ! มันมองผ่านได้หมดเลย ไม่มีสิ่งใดบังสายตานี้ได้เลย ทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้

นี่เวลาบอกว่ากิเลสหยาบๆ มันก็หลอกมาอย่างหนึ่ง เวลากิเลสละเอียดมันก็หลอกไปอย่างหนึ่ง เวลามันละเอียดเข้าไปในหัวใจมันก็ยังไปหลอกอยู่นั่นน่ะ ถ้าไปหลอกอยู่นั่นท่านบอกว่าเปรียบเหมือนเรือนว่าง แต่มีคนอยู่ แล้วเราก็ไปยืนขวางอยู่ “อู๋ย! มันมหัศจรรย์ๆ”...ไอ้เราไอ้ตัวสกปรกไปยืนขวางอยู่นั่นน่ะ

ธรรมะมาเตือนๆ เห็นไหมความสว่างไสวความผ่องใสความอลังการทั้งหมดเกิดจากจิต เกิดจากจิตเพราะเกิดจากจิตมันมีที่เกิดไง ถ้ามันมีที่เกิดมันก็มีที่ดับไง ถ้ามันยังมีที่มาที่ไปอยู่ มันต้องไล่ตามกันเข้าไปไง

พอไล่ตามเข้าไป ท่านได้สติปัญญาของท่านมา เวลาท่านมาพิจารณาของท่านใหม่ พิจารณาของท่านใหม่ มันเกิดจากจุดและต่อมจุด จุดคือจุดของภวาสวะ จุดของกิเลส ต่อม ต่อมที่มันเกิดพลังงานอันนี้ ไล่เข้าไปๆ พอไล่เข้าไปนะ ไล่เข้าไปด้วยสติด้วยปัญญา เห็นไหม เราจะบอกว่ากิเลสอย่างหยาบกิเลสอย่างละเอียด ละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไปนะ

ฉะนั้น เวลาเรามีสติปัญญา ผู้ที่มาวัดใหม่ๆเวลาภาวนาไปบอก “อู้ฮู! จิตมันเร็วมาก ความคิดมันเร็วมาก” เวลาภาวนาไปมันจะทันหมด ไอ้ที่ว่าความคิดมันเร็วมาก สิ่งใดมันเร็วมาก สติปัญญาจะเท่าทันมัน พุทโธๆก็ยับยั้งมัน พุทโธหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธไม่ให้มันคิดไปไกล ไม่ให้มันเตลิดเปิดเปิงไปให้มันอยู่กับพุทธานุสติไง เราอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องอยู่ไงหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธมันจะไปไหนไม่ไปกับมัน ผูกมันไว้ผูกมันไว้นะ ไอ้ที่ว่าเร็วๆ เดี๋ยวมันหยุดหมดน่ะ

ถ้ามันหยุดหมดนั่นคือสัมมาสมาธิ ถ้าหยุดหมดเป็นสัมมาสมาธิคือว่ามีสติสัมปชัญญะพร้อม มีสติสัมปชัญญะพร้อมคือรู้ตัวทั่วพร้อมของเรา แล้วรู้จริงๆ รู้ชัดๆ แล้วมหัศจรรย์มหัศจรรย์กว่าสิ่งที่ศึกษามา มหัศจรรย์กว่าสิ่งที่ค้นคว้ามาเห็นไหม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติด้วยความที่ว่าเราระลึกถึงไง

วันนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษาเราระลึกถึงในหลวงในหัวใจของเรา ท่านทำคุณงามความดีกับเราไว้มาก ท่านปกป้องคุ้มครองชีวิตเรามามากท่านให้ความสงบสุขเรามาก ระลึกถึงท่านๆ ทำบุญกุศลเพื่อระลึกถึงท่านไงแล้วระลึกถึงท่านท่านก็สวรรคตไปแล้ว แต่สวรรคตไปแล้ว สิ่งนี้มันก็จะฝังใจเราตลอดไป ถ้าเรายังมีโอกาสอยู่ เราระลึกได้ในใจของเรา ถ้าปีหน้าเขาไม่ทำ เราก็ทำได้แต่เราทำได้ทุกวันเราทำของเราได้ใครจะให้ทำไม่ให้ทำ เราก็จะทำของเรา

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย” ธรรมคือสัจธรรม เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าประโยชน์กับเราคือเพื่อชีวิตของเรา เราทำคุณงามความดีๆ คุณงามความดีอันนั้นมันจะทำให้เรามีสติ มีสติสัมปชัญญะ มันระลึกได้

แต่ถ้าเราไม่ทำนะ มันแห้งผากในหัวใจ คนแห้งผากในหัวใจมันไม่มีสิ่งใดในใจ มันคิดส่งออกหมด มันตีโพยตีพายไปนะ “ทำไมชีวิตมันเป็นแบบนี้ๆ” แล้วไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจะค้นหาสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไง

ถ้าสิ่งที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์นะอะไรมันจะเคลื่อนไป อะไรมันจะทำลายไป อะไรมันจะเปลี่ยนแปลงไปเรายังอยู่นะ ใจนี้ยังมีความรู้สึก เรายังอยู่ ความรู้สึกอันนี้ความรู้สึกอันนี้รักษาความรู้สึกอันนี้ไว้ ถ้าความรู้สึกอันนี้ถ้ามันดีขึ้น ความรู้สึกอันนี้มีจุดยืนของเราความรู้สึกนี้จะมีความสุขของเราถ้าความสุขของเราแล้วมันจะเข้าใจตัวมันเองไง คำว่า“เข้าใจตัวเอง” ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะเข้าใจไปหมดไง ถ้ามันเข้าใจไปหมด

เราปฏิบัติใหม่ “จะทำอย่างไรถ้าผมเป็นพระอรหันต์ ให้ผมทำอย่างไร”

เอ็งทำเถอะ เดี๋ยวเอ็งเป็นเอ็งก็รู้ กลัวไง กลัวว่าเป็นพระอรหันต์จะทำตัวไม่ถูก

ทำไปเถอะพอทำไปเถอะ นี่ไงพอจิตมันสงบมันก็รู้ว่ามันสงบ มันมหัศจรรย์ในตัวมันเอง แล้วถ้ามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา มันมหัศจรรย์ๆ แล้วยิ่งสิ่งมหัศจรรย์นะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านสิ้นแล้วท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่ากราบแล้วกราบเล่า มันมหัศจรรย์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” ความคิดเราส่งออกหมดความคิดเราต้องมีสิ่งเปรียบเทียบทฤษฎีเปรียบเทียบอะไร ทฤษฎีจิตมันส่งออกไปทฤษฎี ส่งออกไปหมดล่ะ กิริยาอันนั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากิริยาชี้เข้ามาที่ใจหลวงตาพูดประจำมันซึ้งมาก ท่านบอกเลย พระไตรปิฎกทุกข้อชี้เข้าสู่หัวใจของผู้ปฏิบัติ

ส่วนใหญ่แล้วทฤษฎีมันชี้เข้ามาที่ความรู้สึกเรานี่แหละ มันชี้เข้ามาที่นี่ มันชี้เข้ามาที่นี่แล้วถ้าไม่ชี้เข้ามามันก็ไปรู้ทฤษฎีไม่ได้ ถ้ารู้ทฤษฎีก็ส่งออกหมด แต่ถ้ามันเข้ามาถึง มันปฏิบัติไปแล้วมันจะมหัศจรรย์ ยิ่งถ้าเกิดภาวนามยปัญญา เกิดมรรคญาณ

เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาปัญญามันหมุนติ้วๆ พวกเรางงนะอะไรของท่านนั่นน่ะไอ้ติ้วๆ มันคืออะไรไอ้ติ้วๆ ลูกข่างใช่ไหม ล้อรถหรือ...ไม่ใช่ เวลาปัญญามันหมุนเข้ามาในหัวใจ นั่นล่ะของจริงมันจะเกิดขึ้น

หัวใจดวงใดไม่มีมรรค หัวใจดวงนั้นไม่มีผล มีมรรคก็มีเกิดมรรคญาณ เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาเกิดญาณวิถี เกิดญาณทัสสนะ เกิดขึ้นกลางหัวใจดวงนั้น เอวัง