เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมะเนาะ เราภูมิใจนะ เรามั่นใจว่าปู่ย่าตายายของเราเป็นผู้ที่ฉลาด เริ่มนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อตนเองไง พระพุทธศาสนาสอน สอนให้พ้นจากทุกข์ พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้อ้อนวอนใครทั้งสิ้น
เรามาขวนขวายกันนะ ขวนขวายมาเพื่อทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลที่ไหน ทำบุญกุศลให้หัวใจมันฉลาดขึ้นไง ถ้าหัวใจฉลาดขึ้น พอเราทำบุญกุศลแล้วมันมีสติมีปัญญาของมัน ความมีสติมีปัญญามันคัดเลือกได้ มันคัดเลือกได้ มันคัดแยกได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง มันสัมผัสได้นะ แต่นี้เวลามันสัมผัสได้ คนมันอ่อนแอไง เวลาคนอ่อนแอเข้าไป มันเป็นกระแสไป มันโดนครอบงำโดยกระแส แล้วตัวเองฟื้นตัวเองไม่ได้ ตัวเองทำไมไม่มีสติมีปัญญาล่ะ
ถ้ามีสติปัญญานะ เวลามีสติปัญญา โลกเราเจริญได้ เจริญได้ด้วยปัญญานะ ต้องมีการศึกษา เวลาเขาวัดกัน ความเจริญของโลกเขาวัดกันที่วุฒิการศึกษาเลย วัดการศึกษาแล้วประชาชนในประเทศนั้นมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ประชาชนประเทศนั้นมีสติปัญญารู้เท่าทันสังคม ไม่เป็นเหยื่อมากน้อยแค่ไหน นี่เขาวัดกันด้วยวุฒิการศึกษานะ แต่เวลาศึกษา ศึกษาแล้วเพื่อให้คนฉลาดหรือให้คนโง่ไง ถ้าคนมันฉลาด คนฉลาดมันก็ต้องมีสติปัญญาเพื่อแก้ไข แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ ถ้าคนโง่ เพราะคนโง่ต้องมีการศึกษาให้มันฉลาดขึ้นมา สิ่งที่ฉลาดขึ้นมา ฉลาดขึ้นมา เวลาฉลาดแล้วมันต้องวัดกันด้วยศีลธรรมแล้ว เวลาดีหรือชั่ว ถ้ามันฉลาดๆ ถ้ามันไปทางชั่ว ฉลาดๆ ถ้ามันคดโกงเขา ฉลาดเอาเปรียบเขาน่ะ มันฉลาดไปทำไม ถ้ามันฉลาดแล้ว ฉลาดแล้วมันเอาแต่ความทุกข์ความยากมา ฉลาดแล้วมาเอาปัญญาของเราเบียดเบียนคนอื่นเพื่อแผดเผาทำลายชีวิตครอบครัวของเขา มันฉลาดไปทำไม ฉลาดเพื่อเวรเพื่อกรรม ฉลาดเพื่อนรกอเวจี ฉลาดเพื่อความแตกแยก ฉลาดเพื่อความทุกข์ความยาก มันฉลาดไปทำไม
ความฉลาด มันฉลาดแล้วมันต้องมีประโยชน์สิ ความฉลาดแล้วมันต้องทำให้ครอบครัวเราอบอุ่นใช่ไหม ดูสิ พ่อแม่พี่น้องมีความเห็นน้ำใจต่อกัน เราปกป้องดูแลคุ้มครองกันนะ เวลาเด็กน้อย เด็กน้อยวุฒิภาวะมันไร้เดียงสา เราดูแลคุ้มครองนะ รถโรงเรียนๆ คนที่มีปัญญาเขาเป็นห่วงเป็นใย เด็กคนนี้อนาคตมันจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเปล่า ไม่ใช่ให้มันประสบอุบัติเหตุให้มันสิ้นชีวิตไปก่อน นี่อนาคตของเด็ก อนาคตของชาติมันจะต้องไปอีกข้างหน้านะ เราคุ้มครองดูแลเด็กน้อยของเรา คุ้มครองดูแลปัญญาชนของเรา ถ้าคุ้มครองขึ้นมาเพื่อให้เขาฉลาดด้วย แล้วมีศีลธรรมด้วยไง ถ้ามันมีศีลธรรม แยกถูกแยกชั่วแยกดีได้ ถ้าแยกถูกแยกผิดไม่ได้ มันฉลาดไปทำไม
มีการศึกษานะ ๙ ประโยคทั้งนั้น มีการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาๆ ศึกษามาแล้วทำไมไม่รู้อะไรเลยล่ะ ศึกษาแล้วทำไมมันแยกถูกแยกผิดไม่เป็นล่ะ ถ้าเป็นคุณงามความดีมันเป็นอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นศาสนา ศาสนาสอนอย่างนั้นหรือ
ศาสนาสอนให้เสียสละ ศาสนาสอนให้เมตตาต่อกัน ดูสิ น้ำใจๆ สำคัญมาก เวลาครูบาอาจารย์เราไปไหน ท่านบอกไปเอาหัวใจคน เอาหัวใจคน ถ้าคนมันมีน้ำใจกัน มันอบอุ่น มันไว้ใจกันได้ มันมีความสุขนะ ถึงเราจะขัดสน แต่ถ้าเราเข้าใจกันนะ ชีวิตมันยังมีค่ามากกว่าไง
สิ่งที่เรามีทุกอย่างสมบูรณ์เลย แล้วมีแต่หวาดระแวง มีแต่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันน่ะ ไม่มีความสุขหรอก ไม่มีความสุขหรอก ทีนี้ความสุขเขาวัดกันที่ไหน วัดกันด้วยสมบัติข้าวของใช่ไหม ความสุขมันก็วัดกันนี่ไง ดูสิ เวลาสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลามาวัดมาวา เราวัดกันที่ไหน คนมั่งมีศรีสุขขนาดไหน มาวัดมาวาแล้ว บวชพระแล้วบริขาร ๘ เท่ากัน ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เรามาวัดมาวาก็คนเหมือนกัน คนเหมือนกัน คนทุกข์คนยาก คนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากแผดเผาในหัวใจ มันมีความทุกข์ความยากมากน้อยแตกต่างกันทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันแตกต่างกัน เราเร่งความเพียรของเรา ถ้าเร่งความเพียรของเราให้เท่าทันมัน ให้ปล่อยวางมันให้ได้ ถ้าปล่อยวางให้ได้ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนหัวใจของคน
ถ้าหัวใจของคนนะ น้ำใจของคนยิ่งใหญ่นัก น้ำใจของคนยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่ ดูสิ หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปในสังคมมิจฉาทิฏฐิ เข้าไปในสังคมไหนสังคมนั้นเขาก็เหยียดหยามดูถูกดูหมิ่นทั้งนั้นน่ะ เขามิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิแล้วเหยียดหยามดูหมิ่นมันเป็นสิ่งใด เหยียดหยามดูหมิ่นด้วยกิเลสของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปสอน ไปเมตตา ไปชักจูงเพื่อให้เขาหูตาสว่างขึ้นมา ถ้าหูตาสว่างขึ้นมา สลดสังเวชมากนะ ดูสิ อย่างองคุลิมาล สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน
เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด
ไม่หยุดอะไร
ไม่หยุดทำความชั่วไง
พอมันสะกิดใจ วางดาบ ก้มลงกราบ ก้มลงกราบ ขออภัย ขออภัย
นี่ก็เหมือนกัน เวลามิจฉาทิฏฐิเวลามันปิดบังหัวใจ มันว่ามันเก่ง มันแน่ มันยอดทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลานักเลงมันถืออาวุธเที่ยวจะไประรานเขา มันว่ามันเก่งมันแน่ทั้งนั้นน่ะ ไประรานเขา ไปทำร้ายเขา มันมีประโยชน์อะไร เป็นเวรกรรมทั้งนั้น ไปทำความบาดหมางมันเวรกรรมทั้งนั้น แต่เขาอวดดีอวดเก่งเที่ยวถืออาวุธไประรานคนอื่น บอกว่าตัวเองมีความสามารถ ตัวเองมีความสามารถ กำลังจะสร้างเวรสร้างกรรมจะทำความชั่ว มันยังไม่รู้จักตัวมันน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมีมิจฉาทิฏฐิ จิตใจมีความเห็นผิด มันสำคัญตนว่ามันมีปัญญา มันเหยียบย่ำเขาไปทั่ว แล้วทำลายไปหมด มันมีประโยชน์อะไร
ปัญญาอย่างนี้แยกผิดแยกถูกให้ได้ ถ้าแยกผิดแยกถูกได้นะ สิ่งใดที่มันเบียดเบียนกันทำลายกัน ไม่ทำ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่างหาก หลวงปู่มั่นท่านสอน ดีที่ไม่มีโทษเป็นดีเลิศที่สุด ดีที่ไม่มีโทษ
แล้วนี่มันมีโทษไหม ก็บอกว่า ฉันทำความดี เวลาแอบอ้างกัน ดูสิ เอามวลชนมาวัดกัน แล้วบ้านที่แตกสาแหรกขาด บ้านที่แตกสาแหรกขาดที่เขาทำลายกันทำไมไม่มาพูดถึงบ้างล่ะ นี่ไง เพราะมันมีโทษไง
ถ้าดีที่ไม่มีโทษ ถึงจะดีบริสุทธิ์ ถึงจะดีแท้ ดีแท้คือดีที่ไม่มีโทษ ดีที่ไม่มีความผิดพลาด เป็นความดีล้วนๆ ดีอย่างนั้นดีประเสริฐ นี่หลวงปู่มั่นสอน หลวงปู่มั่นเรานี่ หลวงปู่มั่นอยู่ในป่านี่ หลวงปู่มั่นท่านฝึกฝนในใจของท่านนี่ ดีที่ไม่มีโทษไง ถ้าดีใดที่มีโทษ ดีนั้นยังไม่ดีสมบูรณ์
นี่ไง เราก็มาวัดมาวา มาบวชกัน บวชเป็นพระเป็นเจ้า มาประพฤติปฏิบัติ เป็นความดีไหม ดี แต่มีทุกข์ไหม มี มันยังมีโทษอยู่ไง ว่าเป็นความดีไหม ดี ดียังมีโทษอยู่ ดียังไม่ดีเลิศ ถ้าดีที่ดีเลิศ ความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีที่เรายังต้องขวนขวายยังมีอยู่ ให้ดีสะอาดบริสุทธิ์ ให้ดีไม่มีโทษ ไม่มีสิ่งใดทิ่มแทงหัวใจ ไม่มีสิ่งใดเข้ามาหลอกลวง
นี่ไง ถ้ามันบอกว่า จะมีปัญญามากน้อยขนาดไหนมันก็ต้องมีศีลมีธรรมนะ มันต้องแยกผิดแยกถูกให้ได้นะ ถ้าแยกผิดแยกถูก แล้วการศึกษา ศึกษาจนแยกผิดแยกถูกไม่ได้ไง ศึกษาเอาแต่วุฒิ แจกวุฒิกัน แล้วก็เอามาอวดกันว่าฉันมีปัญญาๆ ปัญญาอย่างนั้นปัญญาขี้โกง ขี้โกง ขี้โกงแม้แต่ตัวเองนั่นน่ะ ขี้โกงเพราะทำให้ตัวเองมีทิฏฐิมานะมหาศาล ว่าตัวเองมีความรู้มากๆ ความรู้มากทำไมไม่เอาความสุขใส่หัวใจของตนล่ะ ความรู้มากทำไมไม่ทำให้ครอบครัวเราร่มเย็นเป็นสุขล่ะ ความรู้มากทำไมไม่ทำให้ทุกคนมีความสุข ความรู้มากน่ะ เพราะมันยังทุกข์อยู่ไง มีความรู้มากแต่มีความทุกข์อยู่นี่ นี่ไง ปัญญาอย่างนั้นเอามาเสริมทิฏฐิมานะของตน
แล้วถ้าเสริมทิฏฐิมานะของตน เพราะอย่างนั้นน่ะสิ เพราะปัญญามาก กลัวโดนหลอก ไม่กล้าภาวนา ไม่กล้าค้นหาหัวใจของตน บอกมันเรื่องของจิตวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์
ไม่รู้เลยนี่วิทยาศาสตร์ นี่ไง มันเป็นพุทธศาสน์ ศาสตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่กล้าทำอะไรเลย ห่วงไปหมด แหม! ฉันมีปัญญา ไม่กล้าประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติไปแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งใดก็ไม่กล้าอีก เพราะอะไร เพราะจริตนิสัย ใครทำเวรทำกรรมมาอย่างใด สิ่งที่ทำมามันจะผุดออกมาทั้งนั้นน่ะ ความลับไม่มีในโลก ไม่มีในโลกเพราะเราทำมาไง เราทำสิ่งใดมา ทำสิ่งใดมา แม้แต่ระลึกได้หรือไม่ระลึกได้ ถึงเวลาแล้วเวรกรรมมันจะผุดของมันขึ้นมา ถ้าผุดขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญา เราวาง สิ่งที่ทำมา ทุกคนทำแล้ว สิ่งที่ไม่ดีทุกคนเสียใจทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เสียใจแล้วก็บอกว่าจะไม่ทำอีกแล้วไง เราให้อภัยต่อกัน เราให้อภัยต่อกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าไม่จองเวร แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เราจะแก้ไขหัวใจเราได้อย่างไร
ถ้ามันมีความผูกพัน มันมีสิ่งใด เราต้องใช้สติปัญญา สติปัญญาของเราใช้วิปัสสนา วิปัสสนาคือความรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในธรรมะขององค์เสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง รู้แจ้งในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมโอสถไง ธรรมโอสถประกอบด้วยมรรค ๘ ไง เวลามรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมไง สิ่งที่เป็นมา ถึงจะเป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา มันเป็นความผิด มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นผิด ความเพียรมันกระทำไปแล้วมันเกิดเวรเกิดกรรม เวรกรรม กรรมย่อมจำแนกให้มันเป็นไป มันเป็นไป เราก็พิจารณาของเราไง สิ่งที่พิจารณาของเรามันจะมีสติปัญญาแยกแยะของมันไป แยกแยะๆ ไป นี่สติปัญญาที่จะเกิดขึ้น ปัญญาอย่างนี้มันจะเป็นดีที่ไม่มีโทษ มันดีแท้ๆ ดีแท้ๆ เพราะมันเกิดธรรมจักร เกิดธรรม เกิดธรรมจักร ไม่ใช่เกิดกงจักร ไม่ใช่ปัญญาของกิเลส ไม่ใช่กิเลสสร้างปัญญาขึ้นมาเป็นกงจักรทำลายเขา เป็นธรรมๆ แต่มันเป็นจักรไง เป็นจักรที่มาเลาะมาถอดมาถอนไง มาถอดมาถอนเวรกรรมของตนที่ได้ทำไว้ในหัวใจนี้ไง
เวรกรรมที่ทำไว้ ถ้ามีสติปัญญา มีปัญญารู้เท่านะ มันมีปัญญามากขึ้น มันพิจารณา มันปล่อยออก คายออก มันทำได้ไง แต่คนถ้าขิปปาภิญญา คนที่ปฏิบัติง่าย รู้ง่าย เพราะเขาได้สร้างบุญกุศลของเขามากไง เขาสร้างแต่คุณงามความดี เขาสร้างแต่กรรมดี พอกรรมดีมันก็ตอบสนองกับการกระทำ กรรมดีตอบสนองกับการกระทำ เขาทำสิ่งใดกรรมดีเชิดชู เขาก็สะดวกสบายของเขา เขาปฏิบัติของเขา นั่นเขาทำของเขามา แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ ไม่ได้เพราะเราไม่ได้ทำ ของเขาทำมา ของเขาทำมา
กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ เวลาคุยธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เขาจะคุยว่าของเขาดีของเขาเลิศขนาดไหน เราก็ฟังด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลเป็นสมบัติของเขา ถ้าเป็นความเชื่อ ความเชื่อก็อยากจะให้เป็นอย่างเขา ถ้าเป็นความเชื่อ ถ้าเขาทำอย่างนั้นได้ ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงนะ ธรรมมะ อริยสัจมันรวมลงเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเขาปล่อยวางได้ เขาพิจารณาของเขาจนสมุจเฉทฯ ได้ มันก็เป็นสมบัติของเขา
แล้วถ้าสมบัติของเขา เขาต้องตอบถูก ตอบถูกว่าเวลามันปล่อยวางมันมีผลอย่างไร สมุจเฉทฯ แล้วมันสำรอกอย่างไร มันคายอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านรู้นะ ดีที่ไม่มีโทษน่ะเขารู้ของเขาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าคนที่ ธมฺมสากจฺฉา ถ้ามันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นจริงเหมือนกันมันก็สาธุ แต่ถ้ามันเป็นสมบัติของเขา แต่ของเรา เราก็ต้องขวนขวายของเราไง ขวนขวายของเราเพราะเวรกรรมของเราไง เวรกรรมคืออะไร เวรกรรมคือทัศนคติ มุมมอง เชื่อไม่เชื่อ นี่เวรกรรม เพราะอะไร เพราะของของเรา ของจริงๆ ก็มองให้เป็นโทษเสีย ของที่เป็นดีๆ มันมองด้วยทัศนคติของเราไง ทัศนคติของเรามันเป็นลบหรือเป็นบวกล่ะ ถ้าทัศนคติของเราเป็นลบหรือเป็นบวก เราวิปัสสนาของเรา ปัญญามันจะเพิ่มพูนตรงนี้ ปรับปรุง ถ้ามันปล่อยวางได้ๆ มันก็เป็นมรรคอันหนึ่ง แต่มันยังไม่ถึงที่สุด เราก็ทำของเราต่อเนื่องไป ทำของเราต่อเนื่องไป เวลาถ้ามันสมุจเฉทฯ มันก็สมุจเฉทฯ เหมือนกัน แต่มันใช้กำลังของตนไง ใช้การกระทำของตนไง การกระทำของตน เห็นไหม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จากโคนต้นโพธิ์นั้น เวลาแสดงธัมมจักฯ ไป พระอัญญาโกณฑัญญะก็มีดวงตาเห็นธรรมในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ เวลาแสดงธรรมๆ ไป เวลาคนที่เขามีคุณธรรมของเขา เขาก็มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจของเขา เห็นไหม ในหัวใจของเขา ในหัวใจของเขา ดีที่ไม่มีโทษ ดีสะอาดบริสุทธิ์ ดีผุดผ่อง ดีแท้ๆ เลย ดีอย่างนี้ เรากระทำของเราขึ้นมา ฝึกหัดมีการกระทำ ฝึกหัดมีการกระทำ
ธมฺมสากจฺฉา เราฟัง ฟังแล้วมันเป็นสมบัติของแต่ละคนใช่ไหม แต่พอเราฟังแล้วบอกว่าเราต้องให้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นน่ะ มันจะบังคับให้เรามีทัศนคติเหมือนเขา บังคับให้เราชอบเหมือนเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะชอบสิ่งใดก็สาธุ แต่ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิแล้วเราฝึกหัดของเรา เราพยายามของเรา เราทำของเราขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม สมบัติของเรา
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการนะ สมบัติของพระ ดูสิ ญาติโยมเขามีสมบัติพัสถานของเขา เป็นสมบัติของเขา สมบัติของพระมีบริขาร ๘ แล้วถ้ามันจะมีจริงๆ ขึ้นมา สมบัติของพระก็ต้องมีศีลมีธรรมในหัวใจ
หลวงตาท่านเน้นย้ำนะ ถ้าพระเราไม่ทรงศีลทรงธรรม ใครจะทรง พระเราทำไม่ได้ ใครจะทำ มันต้องพระเราทำ แล้วถ้ามันทำ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ มันไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ทำโทษให้ใคร ไม่ทำโทษให้ใคร
เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เราแสวงหา เวลาถ้าไปหาท่าน ดูสิ หลวงตาท่านพูดเอง ถ้าเป็นเรื่องการช่วยชาติก็เป็นการทำให้บอบซ้ำ ความบอบช้ำ ทั้งๆ ที่เป็นบุญนะ ทั้งๆ ที่เราทำเพื่อศาสนประโยชน์ทั้งนั้น ทำเพื่อชาติ ทำเพื่อประโยชน์ ท่านยังบอกว่ามันยังบอบซ้ำ แต่บอบซ้ำ ท่านก็ทำ ทำเพราะอะไร ทำเพราะการกระทำนั้นน่ะ กรรมคือการกระทำ ก็ทำดีไง การกระทำดีมันยังบอบซ้ำเลย แล้วถ้ามันทำชั่วล่ะ ทำชั่วมันบาดหมาง มันทำลายกันทั้งนั้นนะ นี่คือการกระทำทั้งนั้นน่ะ แต่เราพยายามทำคุณงามความดีของเรา
ที่เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันก็เป็นการกระทำ มันคือการกระทำของเรา การกระทำของเราเพื่อหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันประสบความสำเร็จ มันเป็นความจริง มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันถึงมีองค์ความรู้ มันถึงมีสัจจะ มันถึงมีความจริงไง มีความจริง สิ่งใดๆ ก็จะมาชักจูงสิ่งนี้ไปไม่ได้
ฟังธรรม ฟังธรรมเพราะเหตุนี้ พระพุทธศาสนาสอน สอนลงที่นี่ สอนลงในหัวใจของสัตว์โลก ในหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกมันมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ไอ้นั่นมันส่งออกแล้ว ไอ้นั่นมันสัญชาตญาณ พอสัญชาตญาณก็ไปคุยกันตรงนั้นน่ะ ไปคุยกันเรื่องสัญญา เรื่องสัญญาอารมณ์ เรื่องจินตนาการร้อยแปดพันเก้า แต่สิ่งนั้นถ้าเราใช้สติปัญญาอบรมสมาธิมันจะย้อนกลับเข้ามาๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าย้อนกลับเข้ามาในหัวใจของเรานะ มาพิจารณาที่นี่ ถ้าพิจารณาที่นี่ก็สมบัติของเราไง สมบัติของเราจริงๆ นะ
สมบัติ เห็นไหม สมบัติสาธารณะ ใครมีสติปัญญาสามารถหาสมบัตินั้นเป็นของเรา แต่เป็นสมบัติสาธารณะ ถ้าพูดถึงทำคุณงามความดีเป็นกุศล สมบัตินั้นมันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้ามันได้สิ่งนั้นมาด้วยการทุจริต มันก็เป็นอกุศล มันก็สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่จะได้มาๆ มันยังมีกุศลอกุศลเลย แล้วเวลาเป็นสมบัติสาธารณะด้วย แล้วถึงเวลาเราต้องพลัดพรากจากเขา หรือเขาพลัดพรากจากเราไป แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมา เป็นสมบัติของเรา เป็นเนื้อของใจ ใจมันเป็นเอง ธรรมธาตุๆ ธาตุรู้เป็นธาตุธรรม แล้วมันเป็นคุณธรรม แล้วมันไปกับเรา มันไปกับเรา นี่สมบัติของเรา สมบัติของเรา เราควรหา นี่สมบัติของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อันนี้เป็นสมบัติภายใน ต้องค้นคว้า ต้องมีการกระทำ มันจะเป็นความจริงขึ้นมา จริงขึ้นมาจากการกระทำ การกระทำทั้งนั้น
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านเป็นคนชี้ทางเท่านั้น เราต่างหากเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราต่างหากมีสติปัญญาสามารถที่จะกระทำไหม ถ้าไม่มีสติปัญญานะ มันก็บอกว่าเสียเวลาเปล่า ชีวิตนี้อยากจะหาแต่ความสุข ความสุขของโลก สำมะเลเทเมาว่าเป็นความสุขไง เวลามาอยู่วัดอยู่วาถือพรหมจรรย์ มันบอกว่านี่จืดชืด มีแต่ความทุกข์ความยาก แต่เวลาสำมะเลเทเมามันเป็นความสุขของมัน จะหาสมบัติอย่างนั้นหรือ
เราจะหาสมบัติของเราไง ถ้าหาสมบัติของเรา เราพยายามปฏิบัติของเราให้มันได้สัมผัสไง ถ้ามันได้สัมผัส ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจของตน ในใจของตน เราต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญารักษาในหัวใจของตนเพื่อสมบัติของตนนั้น เอวัง