เทศน์พระ

จิตตกอับ

๑๒ ม.ค. ๒๕๖o

 

จิตตกอับ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ทำไมมันถึงเป็นธรรมะล่ะ มันเป็นธรรมะเพราะมันเป็นข้อเท็จจริง แต่ของเรามันไม่จริงไง ถ้าหัวใจเราไม่จริง หัวใจเรานี่เราปรารถนาความจริงนะ เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาในพุทธศาสนา เกิดในพุทธศาสนานะ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยในวัฏสงสารนะ

คนที่ไม่เห็นภัยในวัฏสงสารเห็นไหม เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อของเขา เขาพยายามแสวงหาความสุขของเขา เขาพยายามจะหาความสำเร็จทางโลกของเขา เขาว่าสิ่งนั้นมันเป็นที่พึ่ง เป็นความจริง เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในความเห็นของเขา แต่เขาไม่เชื่อนะ เขาไม่เชื่อเรื่องมรรคเรื่องผลไง ถ้าเขาไม่เชื่อเรื่องมรรคเรื่องผล เขาไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร เขาถึงไม่มาทรมานไง เขาหาว่ามาบวชพระนี่ต้องมาทรมานตน มาทุกข์มายากไง มันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะว่ามันไม่ตรงกับกิเลสไง มันไม่เป็นสิ่งที่กิเลสมันพอใจไง ถ้าสิ่งที่กิเลสมันพอใจ มันว่าเป็นความสุขของมัน

แต่นี่เรามาไง นี่ถือพรหมจรรย์ ถ้าถือพรหมจรรย์มันมาย่าง ย่างกิเลส ถ้ามันย่างกิเลสแล้ว เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ คำว่าย่างกิเลสมันขัดใจกิเลสทั้งนั้น ถ้ามันขัดใจกิเลส เพราะกิเลสมันกลัวธรรมๆ กลัวธรรมคือธรรมะขององค์สมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้า คือกลัวข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านวางไว้ ท่านวางไว้นะ เห็นไหม ถ้าเราไม่มีหลักเกณฑ์ของเรา เราต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าเป็นเครื่องอยู่มันต้องมีธรรมวินัยเป็นเครื่องอยู่ ถ้ามีเครื่องอยู่ เห็นไหม เราเกาะตรงนี้ไว้ๆ คำว่าเกาะตรงนี้ไว้มันต้องพยายามของมัน คนจะจมน้ำ ถ้าเขามีขอนไม้ของเขา เขาเกาะขอนไม้นั้นไว้เพื่อชีวิตของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม แต่หัวใจของเรายังไม่มีคุณธรรม ไม่มีคุณธรรมเราก็ต้องเกาะข้อวัตรปฏิบัตินั้นไว้ เห็นไหม เป็นเครื่องอยู่ๆ เป็นเครื่องอยู่เนี่ยมันเป็นการทรมานกิเลสไง กิเลสมันถึงไม่พอใจ ถ้ากิเลสไม่พอใจ เราฝืนทนของเราๆ เขาถึงบอก มันต้องเป็นความทุกข์อันหนึ่ง เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เป็นความทุกข์เพื่อพ้นจากทุกข์ไง เป็นความทุกข์ที่พยายามค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเราไง นี่มันมีความจริงอยู่ ความจริงคือจิตนี้มันไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย มันเป็นความจริงอันหนึ่งอยู่ แต่มันโดนกิเลสครอบงำมันไว้ไง เพราะโดนกิเลสครอบงำมันไว้ สิ่งที่จริตนิสัยความพอใจของตน ถ้าความพอใจของตน เห็นไหม มุมมองของตน ถ้ามุมมองของตนคือมุมมองของตนเป็นความถูกต้องดีงาม

นี่ถ้าฟังธรรมๆ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดแสดงธรรมก็แล้วแต่ มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ว่าผู้แสดงธรรมนั้นมันมีความจริงในใจหรือเปล่า ถ้ามันมีความจริงในใจหรือเปล่านี่ สิ่งที่พูดมาเนี่ยมันขัดมันแย้งกัน แต่ถ้ามันมีความจริงในหัวใจ มันจะขัดจะแย้งกันที่ไหน มันจะไม่ขัดไม่แย้งกันเพราะอะไร เพราะท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านทุกข์ท่านยากของท่านมาก่อน แล้วความทุกข์ความยากอันนั้นท่านพอใจจะทุกข์ไง ท่านพอใจจะทุกข์นะ มันทุกข์เพราะความชื่นบาน ทุกข์เพราะความศรัทธา ทุกข์เพราะความพอใจไง แล้วความพอใจอันนั้นมันมีการกระทำอย่างนั้น เพราะความพอใจอย่างนั้น มีการกระทำอย่างนั้น มันถึงทำด้วยความรื่นเริงอาจหาญไง

คำว่าอาจหาญ เพราะคนจะรื่นเริงอาจหาญขนาดไหน เวลาประพฤติปฏิบัติไปหิวกระหาย การหิวการกระหายเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แล้วเวลาอดนอนผ่อนอาหารมันไม่หิวกระหายตรงไหน มันหิวกระหายทั้งนั้น แต่การหิวกระหายนี้มันเป็นการตัดทอนกิเลสไง เป็นการลดทอนกำลังของมันๆ ถ้ามันสดชื่นของมัน แล้วเราสู้มันไม่ไหว มันสู้ไม่ไหว เราก็ต้องการความสงบ เราก็ต้องการจิตใจให้เราผ่องแผ้ว ถ้าจิตใจเราผ่องแผ้ว โดยที่การครอบงำของมัน เห็นไหม นี่การครอบงำของมัน เขาเรียกเวลามันตกอับไง เวลามันเฉา มันเศร้ามันหมองไง เวลาจิตมันเสื่อม เห็นไหม นี่มันตกอับ จิตมันตกอับ เวลามันตกอับขึ้นมา มันตกอับเพราะความที่มันเสื่อมสภาพของมันไป

ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิอยู่บ้าง จิตมีความสงบอยู่บ้าง แล้วมันเสื่อมไปๆ เห็นไหม นี่จิตเสื่อม แต่เวลามันตกอับๆ ตกอับด้วยความไม่พอใจ ด้วยความไม่รู้ไง ตกอับเพราะอะไร ตกอับเพราะมันไปหยิบไปฉวยเอาสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมไง ไปหยิบไปฉวยเอาอารมณ์ไง ไปหยิบไปฉวยเอาสิ่งนั้น คำว่าตกอับๆ เห็นไหม เวลาผู้ที่ตกยาก ผู้ที่ตกยากเพราะเขาตกยากของเขา เพราะว่ามีความผิดพลาดในทางการเงินของเขา มันเลยเป็นผู้ดีตกยาก แต่เขาก็ยังมีนิสัยผู้ดีของเขา

เวลาจิตมันตกอับๆ เนี่ยเพราะมันความไม่รู้ มันความไม่รู้ไง มันก็ไปคิดว่าเพราะอารมณ์เราเป็นความจริงไง ไปยอมรับอารมณ์ของตนไง นี่สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เห็นไหม เราไปเชื่อมันไง ไปเชื่อมัน ไปพอกพูนกับมันไง พอพอกพูนสิ่งที่ไม่ดีงาม พอกพูนแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันจะไปไหน มันตกอับเพราะความไม่รู้ ตกอับเพราะความไม่เข้าใจ ตกอับเพราะไปหยิบฉวยเอา ไปหยิบฉวยเอาความรู้สึกนึกคิดของตน นี่พอไปหยิบฉวยสิ่งนั้นมา เห็นไหม หยิบฉวยมาจนเป็นจริตนิสัยของตน เวลามันตกอับ ตกอับเพราะมารยาทของมัน ตกอับเพราะการกระทำของมัน ตกอับเพราะจิตนี้มันตกอับ เพราะกิเลสมันครอบงำไง นี่ไง จิตมันตกอับ

ตกอับเพราะความไม่รู้ แต่คิดว่าเป็นความจริงๆ เห็นไหม เวลามันตกอับตกอับอย่างนั้น ถ้าจิตมันเสื่อมมันเสื่อมเพราะอะไร มันเสื่อมเพราะว่าขาดสติ มันเสื่อมเพราะขาดการบำรุงรักษา ถ้ามาบำรุงรักษา พยายามฝึกฝนของมัน มันก็กลับมาเจริญงอกงามอย่างเดิม นี่ถ้าจิตมันเสื่อม

แต่ถ้ามันตกอับล่ะ ถ้ามันตกอับขึ้นมา มันไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดีไง สิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดีมันเป็นสิ่งนั้น นี่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันเป็นต้นเหตุ มันเป็นเหตุแห่งการตกอับ มันเป็นเหตุให้จิตมันเศร้าหมอง มันเศร้าหมองเพราะอะไร เพราะที่เราเห็นภัยในวัฏสงสาร คนที่เห็นภัยในวัฏสงสารเขาต้องคัดแยกได้ใช่ไหมว่าสิ่งใดเท็จสิ่งใดจริง เอาแต่ความจริงๆ สิ่งเป็นเท็จไม่เอา แต่ถ้ามันไปหยิบฉวยมาโดยความไม่เข้าใจของมัน มันก็เป็นความเท็จทั้งนั้น มันได้แต่สิ่งที่เป็นความเป็นเท็จมา ถ้าได้แต่สิ่งที่เป็นความเท็จมา มันจะให้จิตใจนี้ดีได้ยังไง

ถ้าจิตใจมันจะดี มันก็ต้องเป็นสัจจะเป็นความจริงสิ เห็นไหม ดูศีลสมาธิปัญญาๆ ถ้ามันทุศีล ถ้ามันทำของมันไป แล้วผลของมันล่ะ นี่ไง เพราะจิตมันตกอับ ตกอับเพราะว่ามันไปหยิบฉวยเอาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่หยิบฉวยเอาสิ่งที่ตรงข้ามมา ตรงข้ามคือศีลสมาธิปัญญา ถ้าศีลสมาธิปัญญา ถ้ามันหยิบฉวยอย่างนั้น มีสิ่งนั้นเป็นที่พึ่งอาศัยเห็นไหม นี่ไง ที่ว่าต้องฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพราะให้มันกระเทือนใจ

ใจของเรานะ ใจของเราเห็นไหมธรรมชาติรู้ มันรู้ไปหมด แล้วมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เป็นยางเหนียว พอยางเหนียวมันแปะไปหมด ถ้าแปะไปหมด เราต้องมีสติปัญญาสมควรว่ามันควรจะแปะอะไร มันควรจะยึดมั่นสิ่งใด ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าไว้วางใจ เราก็ยึดมั่นศีลสมาธิปัญญา ถ้าเรายังประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เราก็มีครูบาอาจารย์ใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำของท่านมา ท่านตรากตรำกันมาขนาดไหน ท่านขวนขวายของท่านมาขนาดไหน

ดูสิ ท่านทำของท่านมา แล้วท่านทำของท่านมา ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตาไว้ เห็นไหม “ผู้ที่มีพรรษามากไม่ต้องขึ้นมา ให้ผู้น้อยมันขึ้นมามันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป” นี่ท่านวางข้อวัตรของท่านไว้ เพราะว่าผู้ที่มีพรรษามากแล้วไม่ต้องขึ้นมา เพราะว่ามันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน คนที่มีหลักมีเกณฑ์แล้วก็มีที่พึ่งอาศัย ก็มีสิ่งใดที่ยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้ามันยังไม่มีสิ่งใดเลยเห็นไหม ให้มันขึ้นมามันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป ถ้าติดหัวใจมันไป สิ่งนั้นเป็นที่พึ่งอาศัย นี่ ถ้าเป็นที่พึ่งอาศัย มันประคองหัวใจของมันไว้ อย่าให้มันตกอับ ถ้าจิตใจมันไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เห็นไหม มันวางใจ แล้วปล่อยใจไปตามแต่ตัณหาความทะยานอยากของตน

นี่ปล่อยจิตใจของตนไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน แล้วก็บอกว่าเป็นคนดีๆ จะเป็นคุณความดี แล้วมันจะดีได้ยังไง นี่ไง ถ้าจิตมันตกอับมันตกอับอย่างนี้ ตกอับเพราะมันไม่มีสติปัญญา ตกอับเพราะมันคัดเลือกไม่เป็น ตกอับเพราะมันไม่รู้จักสิ่งใดว่ามันเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมมันก็ต้องเป็นธรรมสิ เพราะสิ่งที่ไม่เป็นธรรมๆ พอมันไปมั่วสุมกับอารมณ์ตัณหาความทะยานอยากอย่างนั้น แล้วมันจะเจริญรุ่งเรืองได้ยังไง มันก็ตกอับของมันไง ถ้ามันตกอับของมัน มันก็ทุกข์มันก็ยากของมัน แล้วเวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นข้อเท็จจริง

เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากในหัวใจนะ มันเผาลนใจดวงนั้น ใจดวงใดก็แล้วแต่ถ้ามันมีที่พึ่งที่อาศัยขึ้นมา เห็นไหม มันอยู่ที่ไหนมันก็รื่นเริงเป็นที่อาจหาญของมัน แต่ถ้าจิตที่มันตกอับนะ มันอยู่ที่ไหนมันก็ตกอับของมัน มันมีแต่ความเศร้าหมอง มีแต่ความแผดเผา แล้วมันจะมีความสุขที่ไหน มันไม่มีความสุขหรอก ถ้าไม่มีความสุข เห็นไหม เพราะอะไร มันไพล่ไปเอาสิ่งที่มันพอใจไง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญา เห็นไหม เราสาวกสาวกะ ได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติสิ นี่ เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อๆ เขายังไม่ให้เชื่อเลย กาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนท่านแสดงธรรม ฟังธรรมๆ นี่แหละ เวลาฟังธรรมขึ้นมา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อฟังแล้วเอาไปใคร่ครวญ เอาไปพิจารณาว่ามันจริงหรือไม่จริง แล้วประพฤติตามความเป็นจริง นี่พิสูจน์กัน หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านให้ลูกศิษย์พิสูจน์ทั้งนั้น พิสูจน์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นความจริงขึ้นมา มันต้องพิสูจน์สิ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฐิโก มันเป็นความจริงของเรา เราฟังมาๆ เราก็ปฏิบัติมา

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนลูกศิษย์ของท่าน นี่ดูสิ หลวงปู่อ่อน ท่านบอกว่าท่านให้บริกรรมยาวๆ เวลาองค์อื่นท่านให้พุทโธๆ นี่ไง เพราะมันเป็นจริตเป็นนิสัยของเขา ถ้าเป็นจริตเป็นนิสัยของเขา เวลาประพฤติปฏิบัติแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาไหม ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม จิตมันมีกำลังขึ้นมา เวลาจิตถ้ามันสงบมีกำลังขึ้นมา กิเลสหน้าไหนมันจะโผล่มาวะ นี่กิเลสหน้าไหน กิเลสไอ้สัญญาอารมณ์ที่มันหลอกลวงอยู่นี่มันจะโผล่มาได้ยังไง ถ้าเรามีสติปัญญาพอ

แต่นี่มันขาดสติไง เวลามันอ่อนแอไง ไม่ต้องโผล่มาหรอก อ้อนวอนให้มันมาเลย ไปยอมจำนนกับมันเลย นี่ชอบๆๆ แล้วไปชอบอารมณ์อยู่อย่างนั้น มันเป็นประโยชน์อะไร มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ใครๆ ก็มี ของมันมีอยู่แล้วเยอะแยะไปหมด แต่ว่าเวลาธรรมและวินัยมันมาจากไหน นี่มันเป็นครั้งเป็นคราวนะ

เวลาผู้ที่เกิดร่วมสมัยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเรียกสหชาติ นี่มีบุญญาธิการมาก แล้วเวลาสาวกสาวกะในสมัยพุทธกาล เห็นไหม ในพุทธศาสนาใครๆ ก็อยากจะเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็อยากเห็น ใครๆ ก็อยากร่วม นี่เวลาสหชาติผู้เกิดร่วมมันมีบุญกุศลมาก แต่ไอ้ของเรานี่ เห็นไหม กึ่งพุทธกาลๆ เราเกิดมากึ่งพุทธกาลแต่ยังมีร่องมีรอยของพุทธศาสนาอยู่ นี่มีร่องมีรอยนะ ถ้าไม่มีร่องมีรอยมันก็เป็นวัฒนธรรมประเพณีเท่านั้น นี่สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่เขาอยู่กัน ไอ้ของเรานี่เราเกิดมาแล้วเราก็อยู่ในวัฒนธรรมนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในพุทธศาสนา แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อนะ เวลาคนจะบวชนะ เวลาคนจะบวชโดยที่แล้วแต่ผลของวัฏฏะ บางคนบวชแสนทุกข์แสนยาก บางคนบวชแล้วนะ กว่าจะได้บวชนะ บางคนมีโอกาสนะ พ่อแม่ส่งเสริมก็ได้บวชตั้งแต่ต้น

นี่แม้เกิดมาในพุทธศาสนา เกิดมาแล้วเห็นภัยในวัฏสงสาร เวลามาบวชมาเรียน บวชเรียนเสร็จแล้วนะ นี่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม แต่ละองค์ๆ ท่านแสวงหาของท่านนะ นี่แสวงหาครูบาอาจารย์องค์ที่ท่านไว้ใจได้ องค์ที่จิตใจมันยอมรับ นี่แสวงหาอย่างนั้น แล้วแสวงหาอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ที่เราลงใจที่ยอมรับใช่ไหม ทุกคนก็ลงใจทุกคนก็ยอมรับเหมือนกัน ถ้าทุกคนก็ลงใจทุกคนยอมรับเหมือนกัน สถานที่ที่อยู่ที่อาศัยมันก็คับแคบ มันก็มีการกระทบกระเทือนกัน นี่แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านคุ้มครองดูแลไง ดูแลเพื่ออะไร ดูแลเพื่อ..ดูสิ ขนาดที่ว่าเรารักษาใจของเรา ใจของเรามันยังดิ้นรนขนาดนี้ แล้วมีสิ่งใดที่ไปกระทบกระเทือนล่ะ แล้วมันจะภาวนากันยังไง ใช่ไหม

เวลาเราอยู่กับหลวงตาท่านบอกเลยนะ นี่หมู่คณะอย่าจับผิดกันนะ ถ้าพูดถึงจะมีที่เป็นตัวอย่าง ก็ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง คือให้ดูตัวท่าน ให้ดูองค์หลวงตาท่านเป็นตัวอย่างไง เพราะอะไร เพราะพวกเราดูกันไม่ได้ คนมีกิเลส คนมีกิเลสมันดูกันไม่ได้ มันไว้ใจกันไม่ได้ พอไว้ใจไม่ได้ สิ่งใดแล้วมันก็จะกระทบกระเทือนกัน ถ้ามันกระทบกระเทือนกัน เห็นไหม ท่านบอกว่า มีอะไรให้ดูเราเป็นตัวอย่าง มีอะไรคือให้ดูองค์หลวงตาเป็นตัวอย่าง สมัยที่ท่านประพฤติปฏิบัติอยู่ สมัยที่ท่านภาวนาอยู่ มันไม่เป็นอย่างที่เราเห็นตอนโครงการช่วยชาติหรอก มันรอบคอบไปหมด แล้วเข้มงวดไปหมด ท่านบอกกิเลสไม่ได้ มันอันตราย ท่านไม่ไว้ใจเลยนะ นี่กิเลสๆ แค่มีกิริยาท่าทางท่านเอาก่อนเลย ท่านไม่ปล่อยให้กระทบกระเทือนคนอื่นนะ

ถ้ามันปล่อยกระทบกระเทือนคนอื่น เห็นไหม ดูสิ ใจของเราคนเดียวเราก็รักษายากอยู่แล้ว ใจของเราคนเดียว ใจของเราคนเดียว เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กว่ามันจะสงบระงับ กว่ามันจะฝึกหัดใช้ปัญญาได้ มันยากง่ายแค่ไหน ใจของเราคนเดียวมันก็ทุกข์ยากอยู่ขนาดนี้แล้ว แล้วทำไมต้องมากระทบกระเทือนกับข้างนอกอีก นี่สิ่งที่ข้างนอกกระทบกระเทือนกัน เราคนเดียวเราก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้วนะ หัวใจของเรามันก็รักษายากอยู่แล้วนะ แล้วยังจะให้คนอื่นมากระทบกระเทือนอีกเหรอ

นี่แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม องค์ที่เราไว้ใจ คนอื่นเขาไว้ใจเหมือนกัน พอไว้ใจเหมือนกัน เข้าไปแล้วมันก็เป็นหมู่เป็นคณะ มันก็มีการกระทบกระเทือนกันเป็นธรรมดา นี่เราต้องสงวนรักษาสิ ต่างคนต่างต้องดูแลกัน ต่างคนต่างก็อย่าให้กระทบกระเทือนกัน ฉะนั้น กติกาของวัดป่าบ้านตาด จะเดินเข้าไปในที่อยู่ของพระไม่ได้ จะเดินไปศาลา ต่างคนต่างตรงไปสู่ศาลา จะไม่มีทางแวะปลีกเข้าไปในที่ของใคร ไม่ให้เดินผ่านกัน ถ้ามันจะมีความจำเป็นต้องขออนุญาต

เวลาอยู่กับท่านๆ ทำอย่างนั้นนะ ท่านทำให้เหมือนกับเราอยู่คนเดียว ท่านทำให้เราอยู่ในที่สงบสงัด ทำว่าเหมือนไม่มีใครเข้ามาให้มีความกระทบกระเทือนกัน แต่! แต่มันก็กระทบ เพราะมันเป็นธรรมดาของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไง พอสัตว์สังคมแล้วมันก็มีสังคมของมัน แล้วสังคมของกลุ่มนั้น สังคมของกลุ่มนี้ เพราะมันเข้ากันด้วยความชอบ พอเข้ากันด้วยความชอบมันก็มีการกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา แต่โดยความเป็นธรรมของท่าน ท่านก็พยายามจะให้เป็นธรรม พยายามให้เสมอภาค พยายามอย่าให้กระทบกระเทือนกัน พยายามอย่าให้ไปทำให้การปฏิบัติมันสะดุด

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่เราลงใจ คนอื่นก็ลงใจ เวลาลงใจไปแล้วมันก็มีเป็นกลุ่มเป็นก้อน มันนี่ เห็นไหม นี่ไง ไปทำอย่างนี้ เห็นไหม ถ้ามันจะตกอับมันก็ตกอับอย่างนี้ ธรรมดาการภาวนาการแสวงหาสัจจะความจริงก็แสนยากอยู่แล้ว คนภาวนามันจะรู้ แล้วคนภาวนานี่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่ละเอียดอ่อนในความรู้สึกของคนมันละเอียดอ่อนมากนะ นี่อะไรที่มันเกิดขึ้นมา นี่มันหูยาว ติฉินนินทาโลกธรรมแปด มันไปกว้านมาก่อน เขาไม่ได้ว่ามันก็ไปเอามาอยู่แล้ว แล้วเรามาอยู่ด้วยกันยังมากระทบกระเทือนกัน มันไม่ควร มันไม่ควรมี ไม่ควรเป็น มันมีไม่ได้ ถ้ามีไม่ได้นะ แล้วเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานล่ะ นี่ธรรมวินัยไง

ธรรมวินัยนะ เห็นไหม ดูสิ ข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านวางไว้ แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็สืบต่อกันมา ใครพยายามจะยึดได้มากได้น้อยแค่ไหน มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนา มันเป็นความชอบอีกล่ะ ถ้าความชอบในกรรมฐาน ความชอบในการประพฤติปฏิบัติ ความชอบในสัจธรรม ถ้าความชอบในสัจธรรม ถ้าคนที่มีความชอบในสัจธรรมนั้น มันจะแสดงออก การแสดงออกนั้นมันจะแสดงออกว่า ใจของคนมันมีหลักมีเกณฑ์หรือไม่ ถ้าใจคนที่มีหลักมีเกณฑ์มันชอบความสงบสงัด ชอบความมีน้ำใจต่อกัน นั่นแสดงว่าในหัวใจของเขา เขาชอบกรรมฐาน ในหัวใจของเขาเขาใฝ่ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าในหัวใจของเขามันไม่ใฝ่ในการประพฤติปฏิบัติ มันก็จะไปกวนกัน

นี่พอจิตมันตกอับ มันตกอับแล้วมันทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมดเลย ถ้าจิตมันตกอับ เห็นไหม ตกอับเพราะขาดสติปัญญา ตกอับเพราะเห็นคุณเป็นโทษ นี่เห็นคุณเป็นโทษ เห็นโทษเป็นคุณ นี่เพราะมันตกอับมันมีมุมมองที่แตกต่าง มีมุมมองที่ผิดไปจากธรรมชาติ

แต่ถ้าคนเรามันประพฤติปฏิบัติโดยสัจจะความจริง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เวลาจิตของท่าน ท่านเป็นสมาธิได้ ทำความสงบได้ ถ้าความสงบได้มันเป็นความมหัศจรรย์ พอความมหัศจรรย์อันนั้น คนที่อยากจะก้าวเดินต่อไปเขาจะรักษาจิตของเขา ถ้ารักษาจิตของเขา นี่ในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาจะคอยควบคุม การควบคุมของเขา เขาจะมีสติปัญญาของเขา ฉะนั้น ในวงกรรมฐานมันก็มีการพูดเล่นพูดหัวกันเป็นเรื่องธรรมดา นี่ เวลาคนที่เคร่งนักเขาก็แหย่เล่น ไอ้คำว่าแหย่เล่น เห็นไหม เขาแหย่เล่นนี่มันเป็นการในกลุ่มของพระกรรมฐาน คำว่าเล่นมันไม่ใช่ความจริง เขาแหย่เล่นกัน เขามีจิตใจ เขาเอาจิตใจ เห็นไหม โห เคร่ง โห เกร็งเกินไป ให้ได้ผ่อนคลาย

แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่จริงจังขึ้นมามันก็กระเทือนใจ ถ้ามันกระเทือนใจ เขาก็หลบหลีกของเขา นี่คำว่าแหย่เล่น ในทุกสังคมมันก็มีการหยอกการล้อเล่นกัน นี่การล้อเล่นของใคร แต่นี่เราล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น แต่เราเอาจริงเราก็เอาจริงของเรา เราต้องรักษาหัวใจของเรา ถ้ารักษาหัวใจของเรา ถ้าจิตมันสงบได้ นี่สิ่งที่มันสงบสงบเพราะอะไร สงบเพราะว่า หนึ่ง ความเป็นอยู่ของเราไง ศีลของเรา เราต้องมีศีลเป็นพื้นฐานก่อน มีศีลของเราแล้วมันก็มีปัจจัยสี่นี่ เราฉันด้วยอะไร เราดูแลปากของเรา ดูความต้องการของร่างกาย ฉันแล้วมันสงบระงับไหม ฉันแล้วมันนั่งสมาธิได้ไหม ฉันแล้วมันยังโงกง่วงอยู่ พรุ่งนี้เช้าเราก็ลดทอนลง ลดทอนแต่เรื่องไขมันลงมา ฉันแต่ข้าวแต่ของเบาๆ ถ้ามันยังง่วงเหงาหาวนอนอยู่นี่ ลดลงไป เห็นไหม ฉันแต่น้อยลง ผ่อนอาหารๆ นี่ ถึงเวลาเราผ่อน อดอาหารบ้างอะไรบ้าง

นี่ทำเพราะอะไร ทำเพราะว่า หนึ่ง เรามีเป้าหมาย เราต้องการสัจธรรม เราต้องการสัมมาสมาธิ เราต้องการจิตสงบ เราต้องการคุณธรรม เราไม่ต้องการปัจจัยสี่ แต่มันธรรมชาติ คนเกิดมาต้องมีปัจจัยสี่ แม้แต่พระเราก็มีปัจจัยสี่ บริขารแปดนี่ก็คือปัจจัยสี่ แล้วปัจจัยสี่นี่มีขึ้นมาเพื่อการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติไง แล้วถ้าจิตมันสงบได้ เริ่มต้นตั้งแต่การทบทวนของตน ถ้าตนมันทบทวนอย่างนั้น แล้วทบทวนถ้าจิตมันละเอียดเข้ามา มันก็จะดูจิตของเราไม่ให้เสวยอารมณ์ ไม่ให้หยิบไม่ให้จับสิ่งใด ถ้าไม่ให้หยิบไม่ให้จับสิ่งใดด้วยสติด้วยปัญญา เห็นไหม มันก็วางของมันเข้ามา เห็นไหม ถ้าจิตมันมีสติปัญญาขึ้นมามันจะรักษาของมัน ควบคุมหัวใจของตน

แล้วถ้ามันวิปัสสนาเป็นนะ มันพิจารณาของมันนะ โอ้โฮ เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเลย นี่ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป พิจารณาไปแล้วเห็นสติปัฏฐานสี่ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐานสี่ตามความเป็นจริง การปฏิบัติต่อเนื่อง ถ้าการปฏิบัติต่อเนื่องพิจารณาของมันไป มันวางของมันนะ วางแล้ววางเล่า พอวางแล้ววางเล่าเป็นการตทังคปหาน เวลาพิจารณาไปแล้วมันขาดๆๆ พอมันขาดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะไปตกอับตรงไหน

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว จิตที่มันเป็นความจริงขึ้นมามันตกอับไม่ได้ มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นสัจธรรม พอเป็นสัจธรรมมันลงไปกินอย่างนั้นไม่ได้ สัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันเลือกของมันนะ ทั้งอาหารทั้งน้ำ สัตว์อาชาไนย ถ้าสัตว์อาชาไนย เห็นไหม จิตที่เป็นอาชาไนย จิตมันถึงจะมีสัจจะมีความจริง ถ้าจิตที่มันมีสัจจะมีความจริง มันจะไปตกอับที่ไหน จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ถ้ามันผ่องมันใสของมันมันจะไปตกอับตรงไหน มันไม่ตกอับเพราะมันการบำรุงรักษา มันไม่ตกอับเพราะมันรู้จักคุณค่า การรู้จักคุณค่าอย่างนั้น การแสดงออกมันถึงจะแสดงออกอย่างนั้นไง

นี่การตกอับ ตกอับเพราะมันขาดสติ การตกอับเพราะว่ามันไพล่ไปเห็นคุณเป็นโทษ นี่มันเห็นคุณเป็นโทษ นี่เพราะสิ่งที่เป็นคุณมันก็ว่าเป็นโทษซะ สิ่งที่เป็นโทษมันก็ว่าเป็นคุณซะ มันเห็นว่าเป็นคุณไง เป็นคุณกับการมักใหญ่ใฝ่สูง เป็นคุณกับการกระทำอย่างนั้น มันเห็นว่าเป็นคุณ มันถึงได้ตกอับไง มันจะตกอับต่อเมื่อมันเห็นผิดเป็นโทษ เพราะมันเห็นผิดเป็นโทษ มันไปทำแต่ความผิดอย่างนั้น มันจะเป็นคุณขึ้นมาได้ยังไง นี่มันเห็นผิดเป็นโทษ เห็นผิดเป็นถูก มันไปทำอย่างนั้น มันจะดีขึ้นมาได้ยังไง

เพราะเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุนะ ถ้าเหตุมันสมบูรณ์ เหตุมันจริงจังขึ้นมา มันต้องให้ผลเป็นความจริงทั้งนั้น ถ้าเห็นผิดเป็นโทษ เห็นผิดเป็นถูก มันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ยังไง แล้วถ้าเห็นผิดเป็นถูกแล้วก็ยังถือว่าความผิดอันนั้นเป็นคุณของตนอีก นี่ไง ถ้าอย่างนั้นมันก็ตกอับ พอมันตกอับ มันตกอับ มันเผาลนในใจ มันเผาลนในใจอยู่แล้ว ถ้ามันเผาลนในใจอยู่แล้ว สิ่งนี้มันจะเป็นคุณ เป็นคุณมาจากไหน ถ้าสิ่งที่เป็นคุณมันไม่เป็นคุณขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นคุณขึ้นมา ผู้ที่ใฝ่ใจ ผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อความเป็นธรรม มันต้องมีศีล ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา ต้องรู้จักคัดแยก อะไรที่ไม่ดีมันต้องไม่ทำ อะไรที่ไม่ดีต้องคัดออก

เพราะสิ่งที่ทำแล้ว นี่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในเมื่อมันมีเหตุแล้ว เหตุที่การกระทำแล้ว แล้วบอกว่าไม่มีผลได้ยังไง ในเมื่อมันทำลงไปมันก็เป็นบาปอกุศลอยู่แล้ว มันจะเป็นคุณได้ยังไง ถ้ามันเป็นคุณขึ้นมาไม่ได้แล้ว แล้วมันจะเข้าสู่สัจธรรมได้ยังไง มันก็เป็นมิจฉาไปสิ มันเป็นมิจฉามันก็ออกนอกทางทั้งนั้น มันไม่เข้าทางหรอก

ถ้ามันจะเข้าทาง เห็นไหม เข้าทางมันต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามีเข้าทางขึ้นมา นี่เห็นผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูก ถ้าถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ถ้าผิดแล้วมันไม่แตะ มันแตะไม่ได้ ถ้ามันแตะแล้วมันจะทำให้จิตดวงนี้เศร้าหมอง เศร้าหมองแล้วมันก็จะตกอับ ตกอับเป็นตกยาก ตกยากแล้วมันก็อยู่ในใจนั่น

ถ้ามันจะทำให้มันพ้นจากการตกอับ มันก็ต้องมีคุณธรรมขึ้นมา ต้องมีคุณธรรมขึ้นมา มันต้องมีศีล ถ้ามีศีลขึ้นมาแล้ว เห็นไหม มีศีลมันก็เป็นสัปปายะ ๔ นี่มีทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ถ้าทิฐิเสมอกันความเห็นเสมอกัน มันก็เข้ากันได้ เพราะอะไร เพราะเราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็แสวงหาครูบาอาจารย์ที่ลงใจ ถ้าแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ลงใจ เห็นไหม คนอื่นเขาก็แสวงหาเหมือนกัน ถ้าแสวงหาเหมือนกันมันก็เป็นสังคม มันก็เป็นสังฆะ ถ้าเป็นสังฆะขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน

ถ้าปฏิบัติไม่เหมือนกัน ทิฐิไม่เสมอกัน มันจะอยู่กันยังไง ทิฐิแตกต่างกันจะอยู่กันได้ยังไง เพราะความเห็นแตกต่าง เพราะทิฐิแตกต่าง มันถึงเป็นนานาสังวาส นานาสังวาสเพราะความเห็นที่แตกต่าง นี่ถือศีลต่างกัน ทุกๆ อย่างต่างกัน มันก็เป็นนานาสังวาส

ถ้าเป็นสังวาสเดียวกันมันก็ต้องเสมอกัน ถ้ามันเสมอกันมันก็เป็นทิฐิเหมือนกัน ทิฐิความเห็นที่เหมือนกัน ถ้าทิฐิความเห็นที่เหมือนกันมันก็จะเสมอกัน ถ้าเสมอกัน ถ้ามีสติปัญญา มันมีเหตุผลที่ดี เหตุผลที่ดีมันจะทำให้จิตใจนี้ตกอับไปไหนได้ นี่ไง ถ้าจิตใจมันไม่ตกอับขึ้นมา เห็นไหม มันก็จะเชิดหัวขึ้น มันก็จะพัฒนาขึ้น มันพัฒนาขึ้นมันก็ต้องทำจิตใจของเราให้มันดีงามขึ้นมา

ถ้าดีงามขึ้นมา เริ่มต้นปฏิบัติมันจะปฏิบัติตรงนี้ ปฏิบัติที่ทิฐิมานะ ปฏิบัติที่ความเห็นในหัวใจนั้น ถ้าปฏิบัติที่ความเห็นในหัวใจนั้น เห็นไหม เพราะเรามาประพฤติปฏิบัติ เราค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นหาเจอ ฉะนั้น เราค้นหาหัวใจเราไม่เจอไง แต่เรามีศรัทธามีความเชื่อ เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อเราถึงได้แสวงหา แต่ความเชื่อ ความเชื่อมันแก้กิเลสไม่ได้ แล้วถ้าแก้กิเลสไม่ได้ เห็นไหม แล้วถ้าจิตใจที่ตกอับด้วย ตกอับเนี่ยพอความความเชื่อ ความเชื่อที่มันตกอับ สุดท้ายแล้วมันจะลงเป็นเทวทัต พอเทวทัตขึ้นมา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะนางวิสาขามาคารวะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาคารวะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี่มาถึงก็ถามหาแต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ แสวงหาแต่พระอานนท์ ทำไมไม่เคยเห็นหัวเราเลย ไม่เคยเห็นหัวเราเลย ต้องการให้เขาเห็นหัว อยากจะให้เขายอมรับ

เท่านั้นเอง เกิดทิฐิมานะขึ้นมา เกิดการกระทำขึ้นมา เกิดการแตกแยกขึ้นมา นี่สำคัญตน ทำขึ้นมาจนเป็นเทวทัตขึ้นมาจนได้ ทำแหลกเหลวไปหมดเลย นี่ เพราะอะไร ก็เพราะทิฐิมานะอย่างเดียว อยากให้เขารู้จัก อยากให้เขาถามตัวเราว่า ฉันชื่อเทวทัตนะ ไม่รู้จักฉันเหรอ ฉันเทวทัตนะ ก็แค่นั้น แต่ แต่ด้วยจริตนิสัย ความพอใจ พอใจอย่างนั้น ถ้าพอใจอย่างนั้น ทำตัวอย่างนั้น พอทำตัวอย่างนั้นมันก็เสียหายไปอย่างนั้น ถ้าเสียหายไปอย่างนั้น เห็นไหม นี่ในวงศาสนา ถ้าวงศาสนาที่เขาสร้างอำนาจวาสนากันมา

แต่ถ้าเป็นสังคมของเรา อยู่ที่ผู้รับผิดชอบ ถ้ารับผิดชอบ ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างใด ต้องตัดสินให้มันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เพราะเวลาคนประพฤติปฏิบัติ ทุกคนก็เรียกร้องแต่ความเป็นธรรม เรียกร้องแต่ความเป็นธรรมนะ แล้วธรรมจากข้างนอก ธรรมจากข้างใน ธรรมจากข้างนอก เห็นไหม ธรรมจากข้างนอกก็สังคม ธรรมจากข้างในก็หัวใจของเรา ก็มันผิดอยู่โต้งๆ อย่างนี้ ก็มันทำอยู่อย่างนี้ ทำไมมันทำได้ แล้วคนอื่นยังทำไม่ได้ มันไม่ได้ก็ต้องไม่ได้เหมือนกันหมด ได้ก็ได้เหมือนกันหมด

เห็นไหม ดูสิ เวลาของได้มา เราอยู่กับหลวงตาอีกล่ะ เราเป็นคนโดนเอง ได้สิ่งใดมาเพราะของมันเยอะมาก เราก็แจกเลย ท่านเรียกกลับไปเลย พระกี่องค์ เอ้าสิบแปด สิบแปดแล้วท่านแจกยังไง เอ้า ผมก็แจกเท่าที่แจกได้ ที่เหลือคนที่ท้ายก็ไม่ได้ โห ท่านบอกว่านี่จิตใจมันหยาบ มันต้องแบ่งครึ่งสิ นี่ต้องแบ่งครึ่งทั้งนั้น ต้องให้ได้เท่ากัน ต้องให้ได้เสมอกัน

นี่โดนเอง เราโดนมาเยอะมากเรื่องแจกอาหารที่วัดป่าบ้านตาดเนี่ย เราโดนมาเยอะมาก เพราะนิสัยอยากทำนี่แหละ มีอะไรก็เข้าไปทำหมด แล้วโดนกวักมือเรียกเข้ามาทันทีเลย ท่านทำยังไง กระผมทำอย่างนี้ครับ ท่านใส่หงายท้องๆ นี่ไง แม้แต่การอยู่การกินท่านยังให้เสมอภาคเลย นี่เวลามีปัญหาขึ้นมาให้แจกจากท้ายขึ้นมาก่อน ให้แจกเณรขึ้นมาก่อน นี่ถ้าของมันน้อย นี่ความเป็นอยู่ยังต้องเสมอภาค แล้วไอ้เรื่องทิฐิมานะนี่มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ มันเพราะเห็นผิดเป็นถูก มันถึงทำให้จิตตกอับ

แล้วตกอับไปแล้วเนี่ย มันตกอับเพราะการกระทำอันนั้น แต่ไม่ได้ดูว่ามันตกอับเพราะการกระทำอันนั้น มันไปตกอับเพราะทำไมมันเป็นอย่างนั้น เหมือนเทวทัต ทำไมนางวิสาขาถามหาแต่พระโมคคัลลานะ ทำไมนางวิสาขาถามหาแต่พระอานนท์ ทำไมไม่เคยถามเทวทัตเลย ทำไมไม่ถามเทวทัตเลย ถ้าลองทำคุณงามความดีสิ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม เขามาเขามาตั้งแต่บ้าน เขาตั้งใจมาตั้งแต่บ้านแล้วเขาจะมาหาใคร เพราะเขารับรู้มาตั้งแต่บ้านแล้ว ไอ้นี่เรามาถึงเราคิดเอาเองไง เพราะเขามาเราต้องเสมอกัน โอ๋ ต้องถามหาถึงเราๆ แล้วก็จะแสดงให้เขาเห็น พยายามทำให้เขาเห็น เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรนะ เราเห็นมาเยอะ

เราเห็นมาเยอะแล้วเนี่ย สิ่งที่เขาเป็นมันส่วนที่เขาเป็น เห็นมาเยอะ แล้วประสาสายตาของโลกเขามองกันอย่างนั้น มองแต่คนที่เด่น มองแต่คนที่เขาเข้าไป ประสาเรานะเข้าไปประจบสอพลอเขานั่นแหละ เขามองแต่คนที่ประจบ สอพลอ ฉอเลาะ เขาจะเห็นอย่างนั้น แล้วว่าพระองค์นั้นดี นี่คือความเห็นของโลก ความเห็นของโลก เขาไปวัดไปวา เขาอยากให้พระต้อนรับ เขาอยากให้พระต้อนรับ อยากให้พระดูแลเขา ไอ้พระก็ไปต้อนรับเขา ต้อนรับเขาเป็นหน้าที่เหรอ เป็นหน้าที่เหรอ เขามีหน้าที่ของคนอื่นอยู่แล้ว ไม่ใช่ให้ไปต้อนรับ นี่แล้วก็ชอบอย่างนั้น

นี่ไง มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วมันก็มีมาตั้งแต่เราออกเที่ยวมา เราเห็นอย่างนี้มาเยอะ เพียงแต่ไม่พูดหน้าไมค์เท่านั้น เห็นมาเยอะ เห็นมาเยอะแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีไม่น่าเป็น ไม่น่ามีไม่น่าเป็นเพราะอะไร เพราะเราประกาศตนกันว่าเราเป็นพระกรรมฐาน เรามาเพื่อชำระล้างกิเลส เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงได้มาบวชเป็นพระ แล้วเวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วก็หาครูบาอาจารย์องค์ที่เราลงใจ แล้วองค์ที่เราลงใจแล้ว แล้วเราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะพ้นจากทุกข์ อยากจะพ้นจากกิเลส การอยากจะพ้นจากกิเลสเราต้องปราบปรามกิเลส เราต้องต่อสู้กับมัน ถ้าเราไปยอมจำนนกับมัน เห็นผิดเป็นถูก มันก็ทำให้จิตใจตกอับ

จิตใจตกอับนะ จิตใจ เห็นไหม จิตใจ สิ่งที่เป็นพระ เป็นพระจิตใจมันต้องรื่นเริง มันต้องอาจหาญ มันต้องแจ่มแจ้ง จิตใจมันต้องใสสะอาด เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ เราต้องหาความผ่องใส หาความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจของเรา ถ้าเราทำอย่างนั้น เออ เราเป็นพระด้วยกัน เราเป็นพระด้วยกัน เราเป็นพระกรรมฐาน เราเป็นพระปฏิบัติด้วยกัน ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่เนี่ย เราพยายามแสวงหาเนี่ย แสวงหาจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ขอให้จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันหมองไปด้วยอุปกิเลส มันหมองไปด้วยกิเลสยังไง เราก็ต้องแก้ไข เราก็จะมากระทำกัน ให้มันผ่องใส ให้มันเป็นสัจจะ ให้มันเป็นความจริง

ไอ้มันไม่ได้สัจจะนี่ เวลามันไม่สัจจะนี่ มันไพล่ไปเห็นผิดเป็นถูก มันก็ตกอับ เศร้าหมอง ฉ้อฉล แล้วก็สอพลอ แล้วทางโลกก็..อุย ดีเนาะ ท่านมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ท่านต้อนรับดี ท่านดูแลเราดี ไอ้ดูแลนี่มันก็ดูแลกิเลส เอากิเลสมาจากบ้าน แม่ง ภูเขากิเลสมา แล้วภูเขากิเลสก็ต้อนรับกัน แล้วกิเลสก็ต้อนรับกิเลส นี่มนุษย์สัมพันธ์ดี มนุษย์สัมพันธ์ไม่ใช่ธรรมสัมพันธ์

ธรรมสัมพันธ์นะ ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม มีโยมไปวัด ไปถึงวัดนี้เงียบสงัดหมดเลย หาพระไม่เจอสักองค์ พอดีไปเจอผู้อุปัฏฐากวัด เขาบอกว่าจะมาทำไม มาหาพระ มาหาพระให้เคาะระฆังสิ พอเคาะระฆัง พระต่างองค์ต่างออกมาจากที่ที่อยู่ของตน ที่ที่อยู่ของตนที่สงบสงัดไง โยมที่ไปเห็นเข้าตกใจ โอ๋ พระที่นี่ไม่ถูกกันแล้วเนาะ โห พระที่นี่ทะเลาะกัน โอ้ เรามานี่ เรามาเพื่อธรรม นี่ก็เก็บภาพนั้นแล้วไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกไปที่วัดนั้นมา พระเขาไม่ถูกกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์เลย นั่นล่ะพระแท้ พระที่เขามาเพื่อประพฤติปฏิบัติของเขาๆ จะปฏิบัติอย่างนั้น เขาไม่มาสอพลอโยมหรอก เขาไม่มาสอพลอ เขาไม่มามนุษย์สัมพันธ์ ไอ้นั่นมันการตลาด ไอ้นั่นมันพระตลาด

นี่ไง ในสมัยพุทธกาลมันก็มี มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มันไม่ใช่มีสมัยนี้ ถ้ามันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเห็นไหม แล้วนี่เราธุดงค์มาเราเจอเรื่องนี้มา แปลก เจอเรื่องอะไรมาที่มันฝังใจๆ มานี่ พยายามจะไม่ให้มันเกิดขึ้น พยายามจะป้องกัน แล้วถ้ามันมีขึ้น แหม มันแทงใจมาก มันแทงใจมากนะ ฉะนั้น ถ้ามันจะตกอับมันก็ตกอับเพราะเห็นผิดเป็นถูก

ถ้าเห็นถูกเป็นถูกใช่ไหม เห็นนี่ซื่อตรงกับสัจธรรมนี่ เราจะทุกข์จะยากมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ ท่านบอกเราบารมีขี้ทุกข์ว่ะ เราบารมีขี้ทุกข์ขี้ยากเนาะ นี่เราก็หาอยู่หากินประสาเรา คือว่าอยู่ในศีลในธรรม แล้วท่านก็อยู่ของท่านด้วยศีลด้วยธรรมนะ นี่เราบารมีขี้ทุกข์ ท่านพูดของท่าน แต่ แต่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เราบารมีขี้ทุกข์ว่ะ ไม่เห็นมี ก็บิณฑบาตได้ตามมีตามได้ เราบารมีขี้ทุกข์

แต่ไอ้พวกที่มีบารมี เห็นไหม เนี่ย อู๋ย เทศนาว่าการเพ้อเจ้อ พยายามเอาอกเอาใจญาติโยม เสร็จแล้วก็เนี่ยไปถึงสุดท้ายก็ไปเสียทั้งนั้น สุดท้ายแล้วก็ไปเสีย ทำให้ศาสนามัวหมองด้วย สุดท้ายแล้วเพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ มันไม่ใช่เรื่องอะไรดีงามเลย แต่ชอบ ช๊อบชอบ ชอบมากๆ เนี่ยเสร็จแล้วมันไม่เป็นจริงเลย สุดท้ายก็ทำให้เสียหายไง

เราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มา บารมีขี้ทุกข์เนาะ เรามันบารมีขี้ทุกข์ เราขี้ทุกข์ขี้ยาก แต่ขี้ทุกข์ขี้ยากมันรื่นเริงอาจหาญ ขี้ทุกข์ขี้ยากนี่มันไม่มีต้นทุน เราศากยบุตร เราเป็นพระ เราซื่อตรงกับธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริษัท ๔ เขาก็เป็นศากยบุตรเหมือนกัน เนี่ยเขาเป็นบริษัท ๔ เขาทำบุญตามหน้าที่ของเขา เขาทำของเขาด้วยสะอาดบริสุทธิ์นะ ไอ้เราก็สะอาดบริสุทธิ์เพราะเราเป็นศากยบุตรเหมือนกัน เนี่ยบริษัท ๔ เราเป็นภิกษุ บิณฑบาตเป็นวัตร เราขี้ทุกข์ขี้ยากก็ขี้ทุกข์ขี้ยากด้วยอำนาจวาสนาของตน แล้วมันทำสิ่งใดมันก็ถูกต้องดีงามไปทั้งหมด เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วถ้าจิตใจผ่องแผ้ว จิตเดิมแท้นี้สว่างไสว จิตเดิมแท้ๆ นี่สว่างไสวของมัน แล้วเราไม่ไพล่ไปหยิบไปจับ ไปเอาสิ่งที่เห็นผิดเป็นถูก เห็นกระแสโลกแล้วไปกับเขา ไร้สาระ ไร้สาระมากๆ

นี่ให้มันเป็นจริงเป็นจังเราขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับเรานะ ไม่ให้จิตมันตกอับ จิตมันตกอับเพราะมันไปหยิบไปฉวย จะไปจับสิ่งที่ผิดๆ มันก็จะตกอับ มันก็จะเศร้าหมอง ไปหยิบไปฉวยเอาสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ดีกว่า นี่สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริง สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริง เห็นไหม นี่บารมีขี้ทุกข์ แต่อาชาไนย รื่นเริง อาจหาญ อยู่ด้วยคุณธรรม อยู่ด้วยความภูมิใจ อยู่ด้วยความสุข นี่เป็นพระแท้ๆ เป็นพระแท้ๆ เพราะเป็นพระแท้ๆ บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ประโยชน์กับเรานะ

นี่ฟังธรรม ทำไมต้องฟังธรรม ฟังธรรมเพราะจิตมันลอกแลก จิตมันจะคิดของมัน เห็นถูกเป็นผิด เห็นคุณเป็นโทษ แล้วมันจะเอาแต่ภาษาใจของมันไง เราทำของเรา ฟังธรรมๆ เตือนหัวใจไว้ ถ้าเตือนหัวใจไว้ คำใดคำหนึ่ง คำเดียวพอ ที่มันแทงใจๆ สิ่งนั้นมันแทงใจเรา นี่แทงใจเราแล้วเราถูก เราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง นี่กาลามสูตรไม่ให้เชื่อ นี่ๆ หลวงพ่อเพ้อเจ้อคนเดียว พูดไปอยู่คนเดียว เราไม่มีใครเป็นเลย ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์หมด ทุกคนเป็นคนดีหมดเลย เห็นไหม นั่นก็กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้ลงใจ แล้วฟังธรรมเพื่อเตือนหัวใจ ฟังธรรมเพื่อธรรม เอวัง