ชาวพุทธ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “หลักปฏิบัติของชาวพุทธต่อพระสงฆ์”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ
กระผมเคยไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อครับ และพอรู้ธรรมเนียมบ้างครับ และผมประทับใจครับ หลวงพ่อตรงไปตรงมา และที่ผมจะส่งคำถามมาเพื่อขอความเมตตาจากหลวงพ่อนี้ ผมได้พิจารณาว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่ เพราะรู้สึกละอายใจที่ถามคำถามที่ไม่ใช่เกิดจากการปฏิบัติภาวนาของตนเอง เอาปัญหาโลกๆ มาถาม คล้ายกับว่าหลวงพ่อเทศนาสอนมามากมายเหมือนไม่เข้าหูเลยครับ ในการภาวนาถึงไม่ก้าวหน้า แต่กลับเอาปัญหาทางโลกมาถาม ดังนั้น ถ้าหลวงพ่อพิจารณาว่าปัญหานี้ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ กับสังคมชาวพุทธ หรือมีประโยชน์น้อย กระผมขอความเมตตาให้หลวงพ่อพิจารณาไม่ตอบได้ครับ
สิ่งที่กระผมจะขอนมัสการเรียนถาม คือ
๑. หลายๆ ครั้งที่มักจะมีข่าวเสียในวงการพระสงฆ์ หรือมีแต่ไม่เป็นข่าว แต่สังคมชาวพุทธเห็นรับรู้กันโดยทั่วไปจนระอา เช่น พระปฏิบัติหรือที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นด้านต่างๆ ทั้งอาบัติหนัก เบา และโลกติเตียน สอนให้กราบไหว้สิ่งที่ไม่ใช่พระ-รัตนตรัย รับแก้ชง ดูดวง ดูดวงดาว เคลื่อนย้ายราหูและอื่นๆ ทำให้กระผมคิดว่าเหตุใดท่านเป็นแบบนั้น ท่านยังเป็นพระสงฆ์อยู่หรือไม่
๑/๑ หรือเป็นเพราะตัวท่านเองยังไม่บรรลุธรรมในขั้นอริยภูมิ จึงทำให้กิเลสในใจท่านชนะตบะธรรมที่สร้างสมมา ข้อวัตรต่างๆ ที่ครูอาจารย์สั่งสอนไปหมด
๑/๒ หรือเพราะตัวญาติโยมเองชอบส่งเสริมในด้านที่ไม่เหมาะสม เช่น อยากได้บุญมากๆ อยากให้พระสบาย หรืออยากถวายเพราะจะได้สบาย เพราะถวายสิ่งที่เราชอบ เพราะทำทาน ง่ายกว่าการภาวนา เลยทำบุญไม่ถูกวิธี เช่น ถวายรถราคาแพงๆ สร้างเจดีย์วิหารสวย สร้างพระพุทธรูป ถวายมือถือ ส่งเสริมให้เล่นโซเชียล
๑/๓ หรือท่านใกล้ชิดสนิทญาติโยมจนเกินไป จนไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน เหมือนน้ำท่วมปากเพราะกลัวเสียศรัทธา
ถ้าเป็นดังเช่น ข้อ ๑ ๑/๑, ๑/๒, ๑/๓, ขอกราบอาราธนาหลวงพ่อเมตตาจรรโลง หรือแนะนำข้อปฏิบัติที่ฆราวาสควร และไม่ควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์อย่างไร ขอบเขตได้มากน้อยแค่ไหน ขอกราบนมัสการด้วยความเมตตาครับ
ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงเวลาคนที่เขาเข้าวัดเข้าวา พอเขารู้เขาเห็นของเขา เขารู้เขาเห็นของเขา แล้วเวลาศึกษา ตอนนี้ศึกษา เวลาทางโลกนะ ทางโลกเขาต้องมีการศึกษาใช่ไหม ถ้ามีการศึกษา ตอนนี้พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ไปทุกวัด ไปทุกวัด พยายามศึกษา พอเด็กน้อยทุกอย่างมันก็รู้เรื่องศีลเรื่องธรรมทั้งนั้นน่ะ เวลาเรื่องศีลเรื่องธรรมนะ ตอนนี้ยิ่งเด็กรุ่นใหม่เขาเริ่มให้ศึกษาเรื่องศาสนาใหม่ ถ้าเรื่องศาสนาใหม่มันท่องประวัติศาสตร์ มันท่องพุทธประวัติ มันท่องที่มาที่ไป
คำว่า “ท่อง” เห็นไหม ท่องให้มันรู้จักรากเหง้า รู้จักรากเหง้าของชาวพุทธไง ว่าพระพุทธศาสนามันมาจากที่ไหน มันมาจากที่ไหน ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ แต่ก่อนนั้นเวลาข้ามน้ำข้ามภูเขามาแต่ละสายๆ มันมาทุกข์มายาก มาทุกข์มายากนะ มันแสนยากแสนเข็ญกว่าจะเผยแผ่ศาสนาไป เผยแผ่ศาสนาไปเพราะเหตุใด เผยแผ่ศาสนาไปเพราะให้คนมันมีที่พึ่งอาศัยไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อนาค-ตังสญาณท่านพูดเอาไว้แล้ว ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญกึ่งพุทธกาล แล้วศาสนา ท่านบอกว่า ท่านมีอำนาจวาสนาน้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะท่านมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพราะอายุท่าน ๘๐ ปี เราอายุแค่ ๘๐ ปี ศาสนาพุทธจะยั่งยืนมาอีก ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี วางหลักธรรมวินัยนี้ไว้ ต่อไปอนาคตกาลศาสนาจะไปเจริญ จะไปเจริญอยู่นอกอินเดีย
แล้วตอนนี้พอกึ่งพุทธกาลแล้ว เพราะการศึกษามันเจริญมากขึ้น พอการศึกษาเจริญมากขึ้น ด้วยสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ด้วยความเป็นไปของมนุษย์นะ มนุษย์ให้มีสิทธิเสรีภาพ ฉะนั้น เวลาสิทธิเสรีภาพ เรื่องการศึกการสงคราม การแย่งชิงที่ทำกินกัน มันไม่เหมือนสมัยโบราณนะ สมัยโบราณ เป็นกลุ่มชนอะไรขึ้นมามีที่อยู่ที่กิน เดี๋ยวเขาก็มารุกมาราน เรื่องศึกเรื่องสงครามมันทำลายกันมาตลอด คนถึงได้เอือมระอาเรื่องศึกเรื่องสงคราม พยายามหลีกหนี หลีกหนีไป
แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ เห็นไหม มีองค์การสหประชาชาติไกล่เกลี่ยไม่ให้มีศึกสงคราม แล้วคนเรามีการศึกษาแล้ว พอมีการศึกษาแล้วต้องมีการเจรจาด้วยเหตุด้วยผลไง ทีนี้เจรจาด้วยเหตุด้วยผลมันจะมีหลักเกณฑ์สิ่งใดเหนือพระพุทธศาสนาไปล่ะ แม้แต่ยูเอ็นยังยอมรับเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ เป็นศาสนามีคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมนะ มันมีคุณธรรมมา
เพราะว่าถ้าวิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญเท่าไรนะ มันยิ่งพิสูจน์เรื่องศาสนานี่แหละ มันยิ่งพิสูจน์เรื่องศาสนาพุทธ ขนาดไอน์สไตน์ ยังยอมรับ ไอน์สไตน์บอกว่าถ้าเขาเลือกนับถือศาสนาได้ เขาจะนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายไม่ได้ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์เรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ แต่บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนกลับ จุตูปปาตญาณชัดเจน อาสวักขยญาณ กิเลสมันเกิดอย่างไร
เวลาคนเกิดมา อวิชชาไม่รู้จัก เพราะไม่รู้ถึงเกิด เพราะไม่รู้ถึงเกิด การเกิดนี้เพราะไม่รู้นะ ธาตุรู้ปฏิสนธิจิต ธาตุรู้มันชัดเจนของมัน แต่มันมีอวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้ เผลอ เผลอเกิด เวลาอาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชา ด้วยความเผลอ ความเผลอไม่มีในธรรมธาตุนั้น เพราะธรรมธาตุนั้นแจ่มแจ้งตลอดเวลา เพราะธรรมธาตุนั้นถึงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดไง
ถ้าธรรมธาตุไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด นั่นน่ะ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หรอก อย่างไรก็ไม่ได้ ถ้าวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ พิสูจน์ได้ก็อย่างสร้างปัญญาประดิษฐ์ มันสร้างปัญญาประดิษฐ์มันก็สร้างขึ้นไป สร้างด้วยมนุษย์ มนุษย์สร้างเพราะมันไม่มีจิตวิญญาณ มันไม่มีจิตวิญญาณ คือมันไม่มีเวรไม่มีกรรมไง แต่มนุษย์มันมีไง
นี่พูดถึงว่า เวลาถ้ามันเจริญขึ้นมา ถ้ามันยิ่งศึกษาขนาดไหน เวลาศึกษาแล้วมันจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้ว เข้าใจปั๊บ ถ้ามันไม่ได้ปฏิบัติมันก็ต้องอยู่ในรูปแบบ อยู่ในรูปแบบอย่างนั้น คิดนอกกรอบไม่เป็นอีก ถ้าคิดนอกกรอบนะ คิดนอกกรอบไม่ใช่เทวทัตที่มันทำลายศาสนา คิดนอกกรอบก็คือคิดด้วยสติด้วยปัญญาของตน ชำระล้างกิเลสของตน ไอ้กิเลสมันพลิกมันแพลง ไอ้กิเลสมันพยายามดีดดิ้น กิเลสมันพลิกแพลงของมัน มันบิดพลิ้วของมันเพื่อจะรอดพ้นจากสัจธรรม
พอรอดพ้นจากสัจธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาของใคร กิเลสของใครหนาขนาดไหน มันก็ต้องมีสติปัญญามากน้อยขนาดไหนเข้าไปเท่าทันกับกิเลสของตน ถ้าเข้าไปเท่าทันกับกิเลสของตน กิเลสของตนมันก็สงบเป็นสมาธิเท่านั้น แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะพิจารณาของมัน ถ้ามันเท่าทันเข้าไป ถ้ามันมีมรรค ถ้ามันมีมรรคอย่างนี้ปั๊บ คนที่ประพฤติปฏิบัติขนาดนี้นะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเป็นนะจะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ถ้าเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคารพในศีล นี่ไง เพราะอะไร เพราะธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา
เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมท่านพูดมันซึ้งใจมาก ท่านบอกว่า “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม” คำว่า “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป” ก็คือทำทุศีลไง ทุศีลนี่แหละคือเหยียบศาสดา ศาสดาคือธรรมวินัย ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา แล้วถ้ามันทุศีลมันก็ก้าวข้ามล่วง ข้ามล่วงไปแล้วแสดงธรรม หลวงตาท่านใช้คำนี้ไง ท่านใช้ “ปริศนาธรรม” ท่านใช้คำให้เราได้คิดไงว่า “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม”
แล้วเราลองคิดสิ ไอ้คนโป้ปดมดเท็จ โกหกตอแหล กะล่อนปลิ้นปล้อน แล้วแสดงธรรมพระพุทธเจ้า “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไว้แล้วแสดงธรรม” นี่คือปริศนาธรรมของหลวงตา แต่ถ้ามันจะเคารพธรรมวินัย เห็นไหม มันเคารพตั้งแต่ศีลสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ถ้าศีลสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมามันก็เข้ากับคำถามนี่ไง คำถามว่า ข้อที่ ๑ เห็นไหม
“ข้อที่ ๑ สิ่งที่พระทั้งหลาย หลายๆ ครั้งที่มีข่าวทำให้เสียหายในวงการพระสงฆ์ หรือมีแต่ไม่เป็นข่าว แต่สังคมพุทธรู้เห็นกันตลอด เช่น พระปฏิบัติที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะด้านต่างๆ เป็นอาบัติหนัก อาบัติเบา โลกติเตียน สอนให้กราบไหว้สิ่งที่ไม่ใช่รัตนตรัย”
สอนให้กราบไหว้สิ่งที่ไม่ใช่รัตนตรัยมันก็ผิดพลาดนะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะทำความจริงใช่ไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง อานาปานสติ ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งใดก็ได้เพื่อให้จิตสงบเข้ามา แล้วถ้าเป็นความถูกต้องมันก็เป็นสัมมาสมาธิ
ถ้าด้วยความผิดพลาด ด้วยความพลั้งเผลอ ด้วยความไม่แน่ใจ ด้วยความไม่เป็นจริง มันก็เป็นมิจฉา เป็นมิจฉาสมาธิเพราะอะไร เพราะจิตนี้มหัศจรรย์นัก ดูสิ ไอ้พวกโจรผู้ร้ายเวลามันคิดวางแผนซับซ้อนขนาดไหน เวลาคนที่คิดพัฒนาประเทศชาติเขาคิดทางบวก เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตนี้มันเป็นได้หลากหลายนัก ถ้ามันทุศีลมันทำสมาธิขึ้นมามันเป็นมิจฉาไง มิจฉามันเป็นมนต์ดำไง มันก็มีกำลังของมันเหมือนกัน แต่กำลังในทางทำลายไง ถ้าทำลายขึ้นไป ไอ้คนไม่รู้ การทำลาย เห็นว่าการทำลายนั้นมันเป็นความดีงามไง
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ การทำคุณงามความดีมันมีการต่อยอด มีการทำความดี ความดีมันทำได้แสนยาก ทำดีมันเห็นผลได้ช้า แต่ความดีก็เป็นความดีใช่ไหม ดูสิ ก่อร่างสร้างตึกกว่าจะเสร็จ โอ๋ย! หลายปีเลย เวลาทำลายมันระเบิดตูม! เกลี้ยง แผ่นดินไหวล้มไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน พอเราไปเห็นอย่างนั้น โอ๋ย!มันทึ่งนะ เห็นเขาสร้างตึกกันทั่วไป เห็นทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา แต่วันไหนถ้าตึกมันถล่ม โอ้โฮ! เป็นข่าวหน้าหนึ่งเลย คนนี่ตื่นเต้น
นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านทำคุณงามความดีของท่าน ท่านสะสมของท่านมาเล็กมาน้อยของท่าน มันเรื่องปกติ มองไม่เห็น แต่ถ้าใครมันทุศีล ใครมันทำอะไรเป็นมหัศจรรย์ อู๋ย! ตื่นเต้น นี่ไง พอตื่นเต้นขึ้นแล้วก็ไปเชื่อกัน เราจะบอกว่าวุฒิภาวะของสังคมก็อ่อนแอ
ถ้าวุฒิภาวะสังคมที่เข้มแข็งนะ เราเคยธุดงค์ไป เราเที่ยวธุดงค์ไป มีพวกผู้เฒ่าผู้แก่ตามชนบทเขาดูพระออกนะ พระที่มีชื่อเสียงดังๆ ท่านบอกอย่างนี้ไม่ใช่หรอก องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ เราได้ยินกับหูเลยนะ พวกพ่อออกจารย์ๆ เขามีการศึกษามา พอมีการศึกษามาแล้วเขาเห็นไง เห็นพระใหม่ๆ อู้ฮู! ไปไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลังนะ แล้วเราธุดงค์ไป เราอยู่แถวนั้นไง เขาเข้ามาคุยกับเราไง “ครูบา มันไม่ใช่อย่างนี้หรอก มันไม่ใช่”
แหม! เราคิดในใจนะ อืม! ผู้เฒ่านี้มีตาเนาะ ผู้เฒ่านี้เข้าใจ แต่เขาพูดได้คนเดียวนะ เพราะชาวบ้านทั้งหมดฮือฮาไปกับไอ้พระจัดม็อบนั่น ไอ้พระที่มันมีคนไปล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ของเขา เขานั่งเฉยๆ เขามองแล้วเขาก็ไม่ร่วมมือด้วย แล้วเขามาคุยกับเราไง “ครูบา อย่างนี้ไม่ใช่หรอก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มักน้อยสันโดษ คนที่ยิ่งมีชื่อเสียงมากขนาดไหนยิ่งทำตัวน้อมต่ำ”
หลวงปู่มั่นชื่อเสียงคับโลกนะ ท่านอยู่ในป่า จะเข้าไปหาท่านได้แสนยาก ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นจริงๆ นะ อ่อนน้อมถ่อมตน เก็บเนื้อเก็บตัว ไอ้ที่ว่ามาออกแอ็กชั่นๆ เตรียมสมุดบันทึกไว้เลย เตรียมจดไว้ได้ เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นความจริงๆ มันเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ความจริง ดูสิ เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” คือมันคุยกับเราไม่รู้เรื่องหรอก เขาจะเข้าใจความหมายอย่างนั้นไม่ได้
เราเคยประพฤติปฏิบัติ เราเคยคุยกับพระบ่อย ตอนที่เราปฏิบัติใหม่ๆ หลวงตาท่านเริ่มพิมพ์หนังสือ ได้ชุดธรรมเตรียมพร้อมมาไง อ่านแล้วกลัวมันจะหมด นี่ไง พระอรหันต์ท่านพูดอย่างนี้ เราจะสามารถรู้ความหมายของท่านไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พยายามไตร่ตรองจะยกระดับของตน จะยกความคิดของตน ให้เข้าใจในสิ่งที่หลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์สอน พยายามนะ แต่เราไม่รู้หรอก ปฏิบัติตอนนั้นยังไม่รู้เรื่อง พยายามจะปฏิบัติแล้วยกมาตรฐานของตนขึ้นๆ เข้าใจไหม อ่าน มันอ่านภาษาได้ แต่ความหมายไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจ
ฉะนั้น เวลาเทศนาว่าการ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านบอกท่านเทศนาว่าการกับประชาชนมันเหมือนพูดกันคนละภาษา ทั้งๆ ที่เป็นภาษาเดียวกันนี่แหละ รู้นี่แหละ เหมือนเราเรียนภาษาอื่นไง เราได้ศัพท์ แต่เราไม่ได้ความหมาย นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาษานี้อ่านออก แต่ความหมายไม่รู้หรอก แต่ถ้าคนไปทำๆ มันจะรู้จริงของมันขึ้นมา ถ้ารู้จริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเริ่มต้นถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา ถึงบอกว่า จะไม่มีพระที่จะพาประชาชนกราบไหว้สิ่งนอกรัตนตรัย ไม่มีทาง
ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมในใจ ไม่วิจิกิจฉา ไม่สีลัพพตปรามาส ทำอย่างนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าอะไร เพราะถ้ามีคุณธรรมในหัวใจแล้วไม่นับถือวิธีการนอกพระพุทธศาสนา แล้วสิ่งที่ว่านอกรัตนตรัย อย่างเช่น แก้ชง ดูดวง ดูดวงดาว ดูราหู ไอ้นี่มันเป็นเรื่องดูดวง เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่า “ถ้าดูดวง โอ้! คนดวงดีทุกวัน เพราะทุกเวลามีคนเกิดและคนตาย ดวงดีตลอด”
ทีนี้เราไปถือกันอย่างนั้นไง กรรมฐานเขาไม่ถือ กรรมฐานไม่มีหรอก แต่ที่กรรมฐานไปดูอย่างนั้น ไอ้นั่นมันกรรมฐานนักธุรกิจแล้ว กรรมฐานมันไม่เกี่ยว ถ้ากรรมฐาน กรรมฐานจะเชื่อในศีลในธรรมไง คือเคารพพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าเคารพพระพุทธเจ้าจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือนอกรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ถือนอกจากนั้น
เราเจอนะ เจอพวกฆราวาสที่เข้มข้น บ้านเขามีศาลพระภูมิ เขารื้อออกหมด เขาไม่กราบไม่ไหว้เลยนะ เขาถือรัตนตรัยเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพียวๆ เลย มีพวกฆราวาส ขนาดฆราวาสญาติโยมเขายังทำได้เลย แล้วนี่พูดถึงถ้าเขาทำของเขานะ เขาไม่เอาเลย เขาถือรัตนตรัยอย่างเดียว
ทีนี้อย่างของเรา เห็นไหม อย่างของเรา ของเราเลย เรายังอนุโลมนะ เรื่องของโยม เราถือวุฒิภาวะจิตใจของคนที่ยังไม่เข้มแข็งพอ มันต้องมีที่พึ่งอาศัย ถ้าจิตใจคนที่ไม่เข้มแข็งพอนะ เราพยายามจะดึงมานะ เดี๋ยวมันจะล้มทับกันไปหมดไง ถ้าจิตใจคนยังไม่เข้มแข็งพอเราอนุโลม ใครจะกราบจะไหว้อะไรที่ว่าเป็นประเพณี อ้าว! ตามสบาย แต่เราก็พยายามมีสติ มีสมาธิของเรานะ เราทำคุณงามความดีของเรา
แต่ถ้าคนที่เขาชัดเจนของเขา เขาไม่เอาเลย ฉะนั้น พอไม่เอาเลย อย่างแก้ชงๆ เขาบอกปีนี้ปีชงนะ แล้วเราปีเถาะด้วย ชงรุนแรงเลย เรายังไม่ได้แก้อะไรเลย ชงเชิงเราเนี่ย เราเกิดปีเถาะ ไม่สน ไร้สาระ ไร้สาระมาก ทีนี้เพียงแต่ว่าทางโลกเขาทำกัน เห็นเขาสงสารนะ โอ๋ย! แก้กันร้อยแปดนั้น เราถือว่าเราทำความดีก็คือความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รัตนตรัย เห็นไหม
เขาบอกว่า “เรื่องแก้ชง รับดูดวง รับดูการเคลื่อนย้ายราหู” ไอ้กรณีนี้มันเกิดมานานแล้ว พอเกิดมานานแล้ว พูดถึงว่า มีคนเขาพูดไงว่า เมืองไทยกฎหมายเยอะแยะไปหมดเลย แต่ไอ้คนที่บังคับใช้กฎหมายมันไม่ได้บังคับใช้กฎหมาย แล้วยิ่งจะออกกฎหมายใหม่เขียนใหม่ แล้วพอเขียนออกมาใหม่ว่าจะบังคับใช้ มันก็ไปซื้อเจ้าพนักงานตลอด ไอ้ผู้บังคับใช้กฎหมายรวย ไม่รวยก็ถ้าคนตรงก็อยู่ไม่ได้แล้วกันล่ะ อยู่ไม่ได้หรอก มันมีอิทธิพลไง ทีนี้กรณีอย่างนี้ถึงบอกว่าธรรมและวินัยมันมีอยู่แล้ว เวลา พ.ร.บ. สงฆ์สมบูรณ์นะ ถ้าบังคับใช้ทำกันจริงๆ ก็จบ นี่มันทำกันไม่ได้ไง พอทำกันไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมีปัญหาของมัน นี่พูดถึงปัญหาทางโลกนะ
ถ้าปัญหาทางธรรมมันก็เรื่องหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เราไม่ใช่มดแดงเฝ้าพวงมะม่วง เราเป็นคน ดูสิ เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าห้ามพระแสดงฤทธิ์แสดงเดช ไอ้พวกเดียรถีย์มันก็ท้าลอง ลองเลย พอลองเลย องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราจะแสดงฤทธิ์กับพวกเดียรถีย์ที่ใต้ต้นมะม่วง” มันโค่นมะม่วงทิ้งหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เวลาเช้าขึ้นมา ก็ถวายมะม่วง ท่านฉันเสร็จมะม่วงเม็ดนั้นปลูกขึ้นมา โอ้โฮ! เป็นขึ้นมาเลย
เวลาท่านแสดงของท่าน แล้วเวลาจะแสดงพวกลูกศิษย์ลูกหา “ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วว่าการอวดอุตตริมนุสสธรรมจะเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์” แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “แล้วใครเป็นคนบัญญัติล่ะ” “ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติเอง” “ถ้าเราบัญญัติเอง เราเป็นเจ้าของธรรมวินัย มันเหมือนกับเราเป็นเจ้าของสวน เจ้าของสวนสามารถเก็บผลไม้กินได้ไหม” “ได้” “แต่คนอื่นล่ะ” “คนอื่นเก็บกินไม่ได้ เจ้าของสวนเก็บได้”
นี่ก็เหมือนกัน เราบัญญัติไว้เอง ฉะนั้น เวลาท่านแสดงธรรมแสดงฤทธิ์ แสดงเดชของท่านเพื่อประโยชน์ไง เวลาท่านทำของท่านเพื่อศาสนา แต่ท่านไม่ให้คนอื่นทำนะ ทีนี้สวนมะม่วง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของสวนมะม่วง เจ้าของธรรมและวินัยนี้ ไอ้เราก็เป็นมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง ไอ้เราไม่ทำใจของเราให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเลย ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม
นี่พูดถึงว่าถ้ามันนอกรัตนตรัย ถ้าคนจะประพฤติปฏิบัติ คนที่เข้มแข็ง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีจะได้อย่างน้อยพระอนาคามี มันก็ต้องเคารพธรรมวินัย เคารพพระรัตนตรัย เคารพสิ่งนี้ขึ้นมามันจะไม่ทำสิ่งนั้น ถ้าทำสิ่งนั้นแล้ว ภาษาเราเลยว่ามันอยู่นอกศาสนาเลย มันอยู่นอกรัตนตรัย
เพราะว่าเวลาจะบวชเณร เวลาบวชเณรต้องถึงไตร-สรณาคมน์ๆ ถ้าขาดจากไตรสรณาคมน์ก็ขาดจากเณร แล้วถ้าเป็นภิกษุเป็นสงฆ์แล้วมันขาดไตรสรณาคมน์มันจะเป็นพระได้อย่างไรล่ะ มันก็ขาดไปแล้ว ความขาดในความเห็นของเรา แต่ของเขา เขาก็ยังห่มผ้าเหลืองอยู่อย่างเดิมนั่น แล้วกำลังมั่งมีศรีสุข กำลังมีคนเชิดหน้าชูตา ไอ้นี่มันเรื่องมันเป็นปัญหาสังคมไง ปัญหาสังคม
“ข้อ ๑/๑ หรือเพราะตัวท่านยังไม่บรรลุธรรมขั้นอริยภูมิ จึงทำให้กิเลสในใจของท่านชนะตบะธรรมที่สร้างสมมา ข้อวัตรต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาไปหมด”
มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อยู่แล้ว มันเป็นจริงเพราะมันไม่เคารพธรรมวินัย มันไม่เคารพ ไม่เคารพธรรมวินัย ไม่มีสติสามารถยับยั้งได้ มันก็ภาวนาไม่เป็น ถ้าภาวนาเป็นมีสติยับยั้งได้ ไอ้เรื่องนี้มันเรื่องเล็กน้อยมากๆ อย่างครูบาอาจารย์เรา เวลาอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านไปอยู่ป่าอยู่เขาเพราะมันดัดนิสัย เขาจะเอาป่าเอาเขามาดัดนิสัยตน ไม่ใช่ว่าไปอยู่ป่าอยู่เขาแล้วแบ่งประเภทไง ประเภทนี้อยู่บ้าน ประเภทนี้อยู่ป่า แบ่งประเภทเลย ไม่ใช่! มันเป็นพระเหมือนกัน ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชพระเหมือนกัน
แต่ในพระไตรปิฎก วินัยธรกับธรรมกถึก วินัยธรก็เรียนทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกธรรมกถึก พวกธรรมกถึกพวกบวชมาแล้วอยากจะมีคุณธรรมจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะให้กรรมฐาน ให้กรรมฐานว่าเข้าป่าไปให้ประพฤติปฏิบัติ ให้กำหนดอย่างไรก็แล้วแต่ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้านะ ท่านบางปีบางพรรษาท่านจะหลีกปลีกวิเวก ท่านจะไม่ให้ใครเข้าพบ ถ้าใครเข้าจะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ เว้นไว้แต่พวกธรรมกถึกนี่
เราอ่านพระไตรปิฎกมา เราก็เข้าใจเหมือนกับครูบา-อาจารย์เรา เวลาใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีปัญหาเฉพาะหน้า ใครจะเป็นคนแก้ ใครจะเป็นคนแก้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาใครมีปัญหาขึ้นมาจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกัจจายนะอยู่ชนบทประเทศ แล้วเวลาจะบวช บวชได้แสนยากนัก เวลาบวชต้องรอให้พระครบสงฆ์ คือ ๑๐ รูป ถึงจะบวชเป็นภิกษุได้ รอจนกว่าจะครบสงฆ์ ๕ ปี พอ ๕ ปีก็บวชพระโสณะ พอบวชพระโสณะเสร็จแล้ว พระโสณะอยากเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโสณะมาเฝ้าองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พักอยู่ในวิหารเดียวกัน นี่ไง เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าให้พระโสณะลองสาธยายธรรมให้ฟัง ก็ถาม-ตอบปัญหานี่แหละ พอถาม-ตอบปัญหาขึ้นมา พระโสณะตอบได้หมด เห็นไหม พระโสณะเป็นพระอรหันต์
พระกัจจายนะศึกษากันมา นี่ไง เราบอกวินัยธร ธรรมกถึก เราไม่ค่อยอยากพูด เพราะพูดไปแล้ว มันประสาเราพูดแล้ว มันก็จะเหมือนกับยกย่องกรรมฐานว่าอย่างนั้นเถอะ แต่เวลาตอนนี้เขาจะเหยียบย่ำกรรมฐาน เขากำลังจะทำลายกรรมฐาน ว่ากรรมฐานโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีการศึกษาไง ไม่มีการศึกษาคือไม่มีเปรียญธรรมไง ไม่มีใบประกาศไง แต่มันมีการกระทำในหัวใจไง ถ้ามีการกระทำในหัวใจ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจ ไอ้นี่มันเป็นความจริง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “ไม่เคารพธรรมวินัย ไม่ชนะตบะธรรม” ก็มันอ่อนแอของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร เพราะมันอ่อนแอของมันอยู่อย่างนั้น
“ข้อ ๑/๒ หรือว่าเพราะตัวญาติโยมเอง ชอบส่งเสริมในด้านสิ่งที่ไม่เหมาะสม อยากทำบุญมากๆ อยากจะให้พระสะดวกสบาย อยากถอยรถราคาแพงๆ อยากสร้างเจดีย์สวยๆ วิหารงามๆ พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก”
ไอ้นี่มันไปแข่งโลก โลกของเขามันมีอยู่แล้ว องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ถ้าพระกรรมฐานนะ ถ้าหัวใจถ้าเป็นธรรม ถ้าธรรมมันงอกงามนะ ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ธรรมมันงอกงาม มันเจริญงอกงาม ไอ้นั่นน่ะมันเป็นความสุข ไอ้นั่นมันเป็นความจริง วิหารธรรม เจดีย์ธรรมมันอยู่ในหัวใจ คนที่เขาจะเคารพบูชา เขาเคารพบูชากันที่นี่
เขาไม่เคารพบูชากันที่วัตถุหรอก ทีนี้เพียงแต่พอไม่มีสัจจะความจริงในหัวใจใช่ไหม ไม่มีธรรมเจดีย์ในหัวใจๆ มันก็ไม่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ มันไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความชุ่มชื่นใช่ไหม พอไม่มีความชุ่มชื่น เวลาเขาไปหากันก็ไปสร้างเจดีย์ข้างนอกไง ต้องสั่งหินจากอิตาลี โอ้โฮ! พอเข้าไปถึง อึ้งเลยนะ พอเข้าไปเจอ ผงะเลย โอ้โฮ! สุดยอด จิตใจชุ่มชื่นเลย
แต่หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ไม่มี เวลาหลวงปู่ลีท่านไปสร้างผาแดง เห็นไหมธรรมเจดีย์ เห็นไหม เป็นวัดเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ เวลาที่ว่าหลวงตาท่านพูดถึงวัดธรรมเจดีย์ นั่นก็ชื่อของเจ้าคุณจูมฯ มันเป็นยศ เรื่องของตำแหน่ง แต่เป็นคนบุกเบิกวัดดอยธรรมเจดีย์ ไอ้นั่นมันเป็นชื่อยศชื่อตำแหน่ง แต่ถ้าเป็นธรรมเจดีย์ในหัวใจ ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ว่าการไปก่อไปสร้างต่างๆ การก่อการสร้าง หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ “แม้แต่นกมันยังมีรังของมันเลย มนุษย์มันก็ต้องมีที่อยู่อาศัยทั้งนั้นแหละ แต่มันก็สร้างพอสมควร สร้างพออยู่อาศัย มันไม่ต้องสร้างวิจิตรพิสดารเลิศหรูไปขนาดนั้น สร้างสิ่งใดก็สร้างพออาศัย เราก็แค่อาศัย แค่อาศัยเพื่อดำรงชีพไปเท่านั้นแหละ
แต่ทางจงกรม การประพฤติปฏิบัติที่จะสร้างคุณงามความดี สร้างธรรมเจดีย์ในหัวใจนี่สำคัญที่สุด พอสำคัญว่ามันสร้างขึ้นมาได้ ศาสนทายาทขึ้นมาแล้ว มันจะไม่เหลวไหล ไม่หลงใหล”
อย่างที่คำถาม ๑/๑, ๑/๒, ๑/๓ ไอ้นี่เพราะมันกรณีอย่างนี้ ประสาว่ามันไม่มีหลักใจ พอไม่มีหลักใจมันก็ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เป็นคุณธรรม มันไปเห็นคุณค่าของวัตถุไง ไปเห็นคุณค่าของยศถาบรรดาศักดิ์ไง โลกธรรม ๘ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เป็นโมฆบุรุษ โมฆบุรุษคือบุรุษว่างเปล่า ไม่มีแก่นสาร ตายเพราะชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ ที่อยากได้อยากดี พวกโมฆบุรุษตายเพราะลาภสักการะ
แต่ผู้ที่มีคุณธรรมขึ้นมาเขาอยู่ป่าอยู่เขา เขาอยู่กระต๊อบห้อมหอของเขา เขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขามีความสุข เขามีความสุขของเขานะ มีความสุขเพราะในใจของเขามีธรรม แล้วมีธรรมอย่างนั้น แล้วคนที่เข้าไปพึ่งพาอาศัยมันก็ได้ความชุ่มชื่นนั้นไป มันก็แสวงหาความจริงอย่างนั้นใช่ไหม มันก็เป็นความจริงอย่างนั้น มันก็ต้องเลือกเอา มันต้องเลือกต้องคัดต้องแยกเอา ต้องมีหูมีตา มีหูมีตาว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ถ้าไม่ควรแล้วมันก็ไม่ใช่ เราก็ไม่ไปสนใจ ไม่สนใจอย่างนั้น
ฉะนั้น “หรือว่า ๑/๓ หรือท่านใกล้ชิดสนิทสนมกับญาติโยมจนเกินไป จนไม่กล้ากล่าวตักเตือน เหมือนน้ำท่วมปากเพราะกลัวเสียศรัทธา”
เอ้อ! คำถามมันน่าฟังเนาะ แต่ไม่ใช่ “ไม่ใช่ว่า หรือว่าท่านสนิทกับญาติโยมเกินไป” ไม่ใช่! ท่านสร้างกระแสเรียกร้องญาติโยมเข้ามา ไม่ใช่ท่านสนิทกับญาติโยม ทำกิจกรรมทำต่างๆ ทำการตลาดอย่างนี้ โอ๋ย! ดึงโยมเข้ามา จะบอกว่าท่านหลอกโยมก็ได้ ชักนำกันเข้ามา โน้มน้าวกันเข้ามา ไม่ใช่ว่าท่านสนิทสนมกับญาติโยมจนเกินไป เรียกร้องเขาเข้ามา เรียกร้องเขาเข้ามา
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมๆ แล้วมีธรรมอะไรให้เขาดู มีอะไรให้เขาดู แต่ถ้าสนิทสนมเขาเกินไป สนิทสนมเกินไปก็กลัวเขาไง หลวงตาท่านพูดบ่อยเวลาจะเทศนาว่าการต้องขออนุญาตกิเลสก่อนไง ต้องขออนุญาตโยมก่อน หมายความว่าต้องพูดให้ถูกจริต พูดคำหวาน พูดภาษาน้ำผึ้ง พูดคำหวานให้เขารัก ให้เขาชอบ ให้เขาพอใจ
แต่เวลาท่านพูดหลวงตาท่านบอกว่า “ถ้าการแสดงธรรมที่ถูกต้องดีงาม กิเลสมันอยู่ที่ใจดำ กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึก ฉะนั้น เวลาเทศนาว่าการทิ่มเข้าไปที่หัวใจเลย ต้องทิ่มเข้าไปที่กิเลสเลย ต้องทำให้กิเลสมันสะดุ้งเลย นั่นถึงจะเป็นการเทศนาว่าการ” ครูบาอาจารย์เราท่านถึงว่าไม่ต้องขออนุญาตกิเลสก่อน ไม่ต้องขออนุญาตโยมเทศน์นะ ไปถึงก็ใส่เลย ใส่เลยเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งนั้นมันเป็นธรรม เป็นธรรมที่จะเข้าไปสะเทือนกิเลส ระหว่างกิเลสกับธรรมถ้ามันได้ปะทะกันเสียบ้าง ศาสนามันถึงมีคุณค่าไง
นี้ศาสนาไม่มีคุณค่าเลย ธรรมะเก็บใส่ตู้พระไตรปิฎกไว้ แล้วก็เอาไว้ประจำวัดเอาไว้กราบ พระไตรปิฎกเอาไว้กราบ แล้วกิจกรรมในวัดนั้นไม่รู้ว่ามันเป็นวัดหรือมันเป็นตลาด แล้วก็เอาอกเอาใจกันอยู่อย่างนั้น ไอ้นี่พูดประสาเขา พูดประสาเขา “หรือเขาสนิทกับญาติโยมจนเกินไป” ถ้าเขาสนิทกับญาติโยมจนเกินไป มันเกรงอกเกรงใจกันเกินไปไง
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ มันไม่ต้องไปเกรงอกเกรงใจอะไรทั้งสิ้น ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด แล้วถ้าเขาผิดไปแล้ว ถ้าบอกเขา เขาก็ชื่นใจนะ เขาจะได้แก้ไข เพราะเขาคิดว่าเขาถูกตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าเขาผิด ถ้าวันไหนพอเขารู้ว่าเขาผิด เขาจะได้แก้ไขของเขา เขาไม่ต้องเสียเวลาไปของเขา ถ้าถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด แล้วมันมีมรรคหยาบมรรคละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริงอย่างนั้น
แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีหลักมีเกณฑ์อย่างนั้นนะ ท่านรักษาสัจจะของท่าน รักษาจุดยืนของท่านนะ นั่นน่ะ ท่านจะเป็นที่เคารพบูชาไปตลอด จนท่านเสียชีวิตไปแล้วคนก็ยังระลึกถึง ถ้าท่านเสียชีวิตไปแล้วนะ ชีวิต ชีวิตหนึ่ง มันก็เป็นการแสดงถึงสัจธรรมในพระพุทธศาสนาว่า มันมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน
แต่ถ้าไม่มีการแสดงสิ่งนั้นเลยเหมือนที่เขาสงสัย ในสมัยพุทธกาลนะ สมัยพุทธกาลเลยล่ะ มันมีพวกคหบดีเขาสงสัยว่า เออ! มรรคผลคงไม่มีแล้วนี่แหละ เห็นพระเยอะแยะไปหมดเลย แต่ใจเขาคิดอย่างนั้นน่ะ เขาคิด เขาปรึกษากัน อยากจะพิสูจน์ว่ายังมีพระที่ดีๆ อยู่หรือไม่ ก็เลยเอาไม้จันทน์สลักเป็นบาตร แล้วเอาไม้ไผ่ ๒ ลำผูกมัดขึ้นไป แล้วก็ประกาศ
“ถ้าเป็นพระที่จริงให้เหาะขึ้นไปเอา”
พระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์ของท่านเดินผ่านไปทุกวันเลย เดินผ่านไป พระโมคคัลลานะก็บอกลูกศิษย์ “เหาะขึ้นไปเอาสิ” ไอ้ลูกศิษย์ก็บอก “ท่านเหาะขึ้นไปสิ” บอกว่า “เหาะขึ้นไปทำไมล่ะ” บอกว่า “สงสารเศรษฐีนั้น เดี๋ยวเศรษฐีนั้นใจเขาจะเศร้าหมอง เพราะเขาคิดว่ามันไม่มีแล้วล่ะ พระดีๆ ไม่มีแล้วล่ะ” ก็เกี่ยงกันอยู่อย่างนั้น
มันมีพวกเดียรถีย์ เดียรถีย์ก็จัดลูกศิษย์ลูกหาเข้าไปหาเขาในบ้านเลย “ฮู้! ไอ้แค่บาตร ถ้าอย่างนั้นจะเหาะเมื่อไหร่ก็ได้” จะเหาะขึ้นไปเพื่อให้เศรษฐีเชื่อเขาไง คือจะไปหลอกเศรษฐีอีก นี่ไง สนิทกับญาติโยมหรือญาติโยมสนิทกับเขา จะไปหลอกเศรษฐีทำท่าว่าจะเหาะๆ นะ แต่นัดกันไว้นะ ให้ลูกศิษย์คอยดึงไว้ “โธ่! ท่านอาจารย์ มันก็แค่บาตรใบเดียว อย่าเหาะเลย ของแค่นี้” ยึกยักๆ ไม่เหาะหรอก ไปหลอกเศรษฐี แต่เศรษฐีใจแข็ง เศรษฐีไม่เอาลงมาให้หรอก เศรษฐีไม่เชื่อ
พระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งสงสารเขามากนะ สุดท้ายแล้วเป็นลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะเหาะขึ้นไป เหาะขึ้นไปก็ไปเอาบาตรไม้จันทน์ แล้วก็เหาะวนอยู่ ๓ รอบ โอ้โฮ! เศรษฐีออกมานะ กราบแล้วกราบอีก กราบด้วยความภูมิใจว่า เออ! มรรคผลก็ยังมี นี่สมัยพุทธกาลนะ โอ้ย! ทีนี้มันก็ร่ำลือไปสิ ก่อนจะใส่บาตรก็ต้องเหาะก่อน ไม่เหาะก็ไม่ใส่บาตร มันร่ำลือไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเรียกพระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์นี้ไป เรียกไปนะ ท่านเอ็ด เอ็ดมากเลย บอกว่า “ทำไมทำอย่างนี้ ก็แค่บิณฑบาต บิณฑบาตขึ้นมาทำไมต้องเหาะ ต้องแสดงสิ่งที่คุณธรรมในหัวใจ”
ถ้าแสดงคุณธรรมในหัวใจ แล้วพระที่ปฏิบัติใหม่ล่ะ พระที่ปฏิบัติใหม่ ถ้าอย่างนี้พระโมคคัลลานะลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ก็จบแล้วแหละ แต่ศาสนาที่จะยั่งยืนได้ ยั่งยืนได้ด้วยศาสนทายาท ศาสนทายาทต่อไปข้างหน้ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ คนบวชปั๊บเป็นพระอรหันต์มันไม่มีหรอก คนบวชแล้วมันก็ต้องมาฝึกหัด มาปฏิบัติกว่าจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ แล้วถ้าทำอย่างนี้แล้วศาสนามันจะยั่งยืนได้อย่างไรล่ะ เอ็ดพระโมคคัลลานะใหญ่เลย สุดท้ายแล้วบอกว่าให้เอาบาตรนั้นไปทุบเสีย ทุบทิ้งเสีย แล้วก็เลยบัญญัติแสดงอุตตริมนุสสธรรม
นี่พูดถึงสมัยพุทธกาลนะ มันก็มีความเชื่ออย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ฉะนั้น ในสมัยปัจจุบันนี้ที่พระทำตัวอย่างนั้นมันก็เป็นมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง บวชขึ้นมาแล้วควรจะได้คุณธรรม ควรจะได้ประพฤติปฏิบัติ มันก็มามะม่วงของกู มะม่วงของกู อวดไง อวดว่ามีฤทธิ์มีเดช อวดว่าเป็นพระปฏิบัติมีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นด้านต่างๆ มีอาบัติหนัก อาบัติเบา โลกเขาติเตียน เป็นโลกวัชชะร้อยแปด นั่นเขาแสวงหาอะไรล่ะ เขาแสวงหาบาปกรรมติดตัวเขาไปไง
แต่ถ้าคนเขามีสติปัญญาเขาไม่เอานะ อย่างเรานี่ เชื้อโรคใครไม่เอาเข้ามาในร่างกายหรอก จะกินอาหารก็กินอาหารที่สะอาดบริสุทธิ์ จะทำอะไรก็ต้องทำให้เพื่อร่างกายแข็งแรง ไม่มีใครอยากเอาโรคเข้ามาร่างกายเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติเขาไม่เอาอาบัติเข้ามาในตัวเราหรอก เขาจะเอาแต่คุณงามความดีทั้งนั้น แล้วคนที่เอาอาบัติเข้าตัว ทำแต่โลกเขาติเตียน ทำแต่เรื่องนอกรัตนตรัย มันจะเป็นพระอะไรล่ะ เราก็เห็นๆ เราก็รู้ๆ อยู่นั้น
นี่พูดถึงว่า “หรือว่าท่านใกล้ชิดสนิทกับญาติโยมจนเกินไป จนไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนเขา เหมือนน้ำท่วมปาก” ไอ้นี่เราคิดในแง่ดีไง แต่เราคิดในแง่ของพระด้วยกัน เขาไม่ได้สนิทสนมหรอก เขาจัดกิจกรรมให้เข้ามาต่างหาก เขาสร้างกระแส โอ๋ย! โยมเยอะๆ มันน่าตื่นเต้น พระองค์นี้ต้องมีความสำคัญมากเลย โอ้โฮ! โยมเข้ามาเยอะแยะเลย เขาพยายามสร้างกันอย่างนั้น ไร้สาระ
คุณธรรมมันเกิดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา คุณธรรมเกิดจากจิต คุณธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านเอง ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านปฏิบัติของท่าน ท่านบรรลุธรรมในใจของท่าน ไม่มีใครมาส่งเสริม คนเข้ามาใกล้ๆ มีแต่ทำให้เป็นภาระรุงรัง มีแต่ทำให้เวลาประพฤติปฏิบัติน้อยลง คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะหาขวนขวายของเขา เขาจะหาเวลาของเขา เขาไม่มีเสียเวลามาสนิทสนมกับญาติโยมของใครทั้งสิ้น เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงมันเป็นแบบนี้
ฉะนั้น “ถ้าเป็นข้อที่ ๑/๑, ๑/๒, ๑/๓ ขอกราบอาราธนาหลวงพ่อเมตตาจรรโลง หรือแนะนำการปฏิบัติแก่ฆราวาส และควรไม่ควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์อย่างไร”
ถ้าปฏิบัติต่อพระสงฆ์ ต่อพระสงฆ์ก็ดูวัฒนธรรมของชาวพุทธๆ ตั้งแต่สมัยโบราณ โบราณเขาก็ดูแลพระสงฆ์กันมาๆ เพราะว่าถ้าวัดมันเกิดมากขึ้น วัดในบ้านนอกๆ เมื่อก่อนเขาจ้างพระอยู่เลยล่ะ บางวัดต้องจ้างให้พระอยู่ ไอ้พระพอเขาจ้างให้อยู่ตอนนี้ก็อู้ฮู! สำคัญตนไปใหญ่โตเลย เพราะว่าพระน้อย แล้วพระเขาจะอยู่ในที่เจริญเพราะเขายังมีการศึกษาไง เขาต้องศึกษาเพราะว่าสิ่งนั้นมันเป็นทางออกทางเดียวไง
แต่เกิดกรณีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเผยแผ่ธรรมของท่านด้วยท่านไปปักกลดที่ไหน ที่นั่นเป็นวัดหมด ทีนี้พอพระป่าเขาปฏิบัติแล้วเขาได้มรรคได้ผล หลวงปู่มั่นท่านทำเป็นตัวอย่าง เดี๋ยวนี้ก็เลยมีพระป่าๆ พระป่าเขามีสถานที่ไว้ประพฤติปฏิบัติ มีสถานที่ไว้ดัดกิเลสตัว ไม่ใช่มีพระป่าๆ เพื่อจะสนิทกับโยมอีกนะ มีพระป่าๆ แล้วโอ้ฮูย! โยมมาเยอะแยะเลย ไม่ใช่! พระป่าๆ เขามีข้อวัตรปฏิบัติของเขา เขาให้สงบให้วิเวก เห็นไหม มีข้อวัตร ถึงเวลาให้ทำข้อวัตรพร้อมกัน แล้วเวลาสงบสงัด ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เพื่อกำจัดกิเลสของตนไง
นี่พูดถึง “ข้อ ๑/๒ ข้อ ๑/๓ ควรจะปฏิบัติต่อพระอย่างใด” ควรปฏิบัติต่อพระ เราก็อยากได้บุญกุศลของเรา เราก็ทำบุญกุศลของเรา แล้วถ้าเราปฏิบัติได้นั่น เราก็ปฏิบัติส่วนตัวของเรา ติดขัดปัญหาแล้วค่อยไปถามท่านๆ แล้วถ้าท่านตอบปัญหาเราไม่ได้แสดงว่าท่านภาวนาไม่เป็น แล้วส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ด้วย พอไปถามปัญหาปฏิบัตินะ ทำดุนะ เอ๊ะๆๆ จะฆ่าจะแกงเชียว คือมันไม่รู้ มันตอบไม่ได้ แต่ถ้าทำบุญเยอะๆ ดี ทำบุญ อู้ฮู! ส่งเสริมดี แต่ถ้าถามปัญหามานะ ทำเอะอะมะเทิ่งนะ อู้ฮู! ฉันนี่พระสำคัญนะ แต่ไม่ตอบปัญหา ไม่มี ไม่มีเมตตาธรรม
หมอไม่ให้ยาเป็นหมอได้อย่างไร หมอมันต้องให้ยาใช่ไหม คนเจ็บคนป่วยมาก็วัดสิ แม้แต่วัดปรอทยังวัดไม่เป็น มันเป็นหมอได้อย่างไร ก็บอกสิ วัดปรอทเขาไข้เท่าไร มันเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ มันฝึกปัญญาหรือไม่ฝึกปัญญา ทำเอะอะมะเทิ่งนะก็ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้มันจะออกลูกนั้น ออกลูกทำดุ ทำดุ นี่คือทางออกของพวกโมฆบุรุษ เวลาญาติโยมทำเสียงดังนะ ทำเอะอะมะเทิ่งเลยนะให้มันกลัวไว้ก่อนไง มันไม่กล้าถาม จริงๆ คืออะไร เดี๋ยวมันถามแล้วตอบไม่ได้ ร้อยแปด
ถ้าพูดถึง “เราควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์อย่างไร” ถ้ามีปัญหาเราเข้าไปถามท่าน แล้วถ้าถามไม่ได้ ตอนนี้มันง่ายๆ ไง ๑. ฟังวิทยุ ๑๐๓.๒๕ ของหลวงตาของครูบาอาจารย์ ท่านล่วงไปแล้ว เวลาท่านอยู่โอกาสจะเข้าพบท่านก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะเวลาท่านมีชื่อเสียงขึ้นมามันรับภาระเยอะ แต่เวลาตอนสมัยที่ท่านเข้มงวด ท่านจะฝึกพระ อยู่ด้วยกัน ๒๔ ชั่วโมง ถามได้ตลอดเวลา ไม่ถาม ท่านยังถามเราเองเลยล่ะ “จิตเป็นอย่างไร” ท่านเข้มงวดพยายามจะให้เราเปิด
เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะถามเรื่องภาวะจิตเรานะ ท่านถามเรื่องภาวะจิตตลอด ท่านไม่ถามเรื่องอื่น ไม่ถามเรื่องโยมมา โยมไม่มา มีเงินมา ไม่มีเงินมา ไม่เกี่ยว “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” เพราะจิตตัวนี้แหละมันจะพัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนทายาท จิตตัวนี้นี่แหละจิตที่มันจะทำให้มันรู้ธรรม จิตตัวนี้นี่แหละจิตที่มันจะให้บรรลุธรรม แล้วจิตตัวนี้นี่แหละมันจะเป็นหลักเกณฑ์ของศาสนา เอวัง