เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ก.พ. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังสัจธรรม สัจธรรมที่มีคุณค่า สัจธรรมนี้มีคุณค่ามาก มีคุณค่าตรงไหน เราจะเห็นคุณค่ามากตอนหลวงตาออกมาโครงการช่วยชาติ เวลาศาสนาช่วยโลกๆ จะมีคุณค่ามากเลย เพราะอะไร เพราะโลกจนตรอก โลกมีความทุกข์ความยากไง ไม่มีทางออก คนเราอยากทำร้ายตัวเองทั้งนั้นน่ะ เวลาหลวงตาออกมาช่วยๆ เราต้องกลับมาฟื้นฟูได้ เราต้องกลับมาได้ พอเรากลับมาได้นี่คนมีกำลังใจ พอมีกำลังใจขึ้นมาทำสิ่งใดมันก็มีหลักมีเกณฑ์ไง ไม่ปล่อยเราไหลไปตามอารมณ์ไง คนหมดทางไปนะ คนหมดทางออกมันจะทำร้ายตัวมันเองทั้งนั้นน่ะ เวลาศาสนาออกมาช่วยโลกๆ ช่วยโลกอย่างนั้นไง

ถ้าศาสนามีคุณค่า มีคุณค่าที่ไหน มีคุณค่าเวลาหลวงตาจะออกมาช่วยโลก หลวงตามาจากไหน หลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านอยู่ในป่าในเขา ศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญากล่อมเกลี้ยง ศีล สมาธิ ปัญญาหล่อหลอม หล่อหลอมหัวใจของคนคนหนึ่ง จากคนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เห็นแก่ตัว จนหล่อหลอม จนสิ้นกิเลสไป พอสิ้นกิเลสไปแล้ว จิตใจที่เป็นธรรมๆ จะเจือจานสังคม จะเจือจานโลก หัวใจที่หล่อหลอมมา หล่อหลอมมาจากศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญาสอน ศาสนามีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ไง ถ้ามีคุณค่าอย่างนี้เพราะจิตใจของคนที่มีคุณธรรม เรายังแสวงหากัน เราพยายามมาวัดมาวากัน มาวัดมาวากันเพื่อทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลนี้เป็นอามิส เป็นสิ่งที่เสียสละ เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย พระเราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย คนมีชีวิตต้องมีปัจจัย ๔ พระเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งๆ สิ่งใดที่เราขวนขวายมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรามา เวลาเรามาเสียสละ เสียสละเพื่อผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลได้ดำรงชีพต่อไป สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลนะ บุญกุศลคือการเสียสละ ถ้ามีบุญกุศลขึ้นมาแล้ว ทาน มีศีล มีศีลคือความปกติของใจ แล้วต้องมีภาวนาขึ้นมาให้เป็นหัวใจ

คนที่มีศรัทธามีความเชื่อ ที่มาวัดมาวากัน มาวัดมาวากันเพื่อบุญกุศลของตน เพื่อฟังธรรม เพื่อฟังธรรม เพื่อตอกย้ำสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วมันขนลุกขนพองไง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกวันๆ ก็ตอกย้ำๆ มันไง สิ่งที่ลังเลสงสัย สิ่งที่ไม่แน่ใจ สิ่งนี้เอามาแยกแยะในหัวใจของตนไง นี่ไง สิ่งที่จิตใจคนที่เป็นธรรมๆ เขาไปวัดไปวา ไปวัดกันเพื่อเหตุนี้นะ

แต่คนที่เกิดมาเขาไม่เห็นคุณค่าของศาสนาไง เขาว่าศาสนาเป็นลูกตุ้มสังคม ศาสนานี้เห็นแก่ตัว ศาสนานี้เอาเปรียบไง คนที่บวชแล้ว คนที่สิ้นไร้ไม้ตอก คนที่ไม่มีทางออกแล้วถึงจะมาบวชพระ มาบวชพระๆ ก็มาพึ่งพาอาศัยสังคมๆ ไง

สังคมเขาทุกข์เขาร้อนนะ คนที่จิตใจเป็นธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแยะแยะมนุษย์ มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสสเทโว มนุษย์เปรต มนุษย์เทวดา มนุษย์เดรัจฉาน นี่ไง มันเป็นที่ไหนๆ มันเป็นที่ความคิด มันเป็นที่หัวใจนี่ไง

ถ้าหัวใจมันดี มนุสสเทโว จิตใจเหมือนเทวดา เทวดามีชีวิต เห็นไหม เราเดินไปเดินมา จิตใจที่เป็นธรรมเหมือนเราเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่ไหนล่ะ มันเป็นเทวดาในหัวใจของเรา เรามองไปสิ คนทุกข์คนยาก คนมีความลำบากลำบน เห็นแล้วเศร้าใจ เห็นแล้วมันเศร้า มันอยากจะช่วยเหลือเจือจานเขา มันอยากจะช่วยสังคมๆ มันอยากทำๆ นี่หัวใจ แต่เรามีอำนาจวาสนาบารมีแค่ไหน

เวลาคนมีอำนาจวาสนาบารมี ผู้ที่เขาเป็นธรรมๆ นะ คนที่เขาเคยให้ทานๆ เวลาเขาให้ทานเขาแอบให้นะ เขาไม่กล้าให้ตรงๆ หรอก ถ้าให้ตรงๆ ปั๊บนะ มีปัญหาเลย บ้านเขาจะเดือดร้อนไปหมดล่ะ คนที่เขาเป็นๆ เวลาเขาให้ เขาให้ใต้ดิน เวลาเขาให้ เขาไม่ให้ใครเห็น นี่สิ่งที่เป็นธรรมๆ มนุสสเทโวเขาทำกันอย่างนั้น มีเยอะมาก คนที่มีฐานะเวลาเขาทำบุญของเขานะ เขาทำอะไรเขาแอบทำของเขา เขาทำไม่ให้ใครรู้ เขาปิดทองหลังพระ เขาทำของเขาอย่างนั้น

ไอ้คนทำข้างหน้ามันต้องการ ไฮโซไฮซ้อที่เขาทำของเขาไป ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของโลกๆ เป็นเรื่องของโลกๆ จิตใจของคนมันสูงมันต่ำ มันสูงต่ำอย่างนั้นไง แต่ถ้าคนที่เป็นธรรมๆ ถ้าจิตใจ เราเห็นแล้วเราสังเวช เราอยากจะจุนเจือเขา ถ้าเราปิดทองหลังพระ เราทำได้ เราก็ทำของเรา

แล้วทำไม่ได้นะ ทำไม่ได้ นี่ธรรมของผู้ปกครอง ถึงที่สุดแล้วเราขวนขวายเต็มที่แล้วอุเบกขา ความที่อุเบกขาธรรมๆ เพราะมันเป็นอย่างนั้น ไส้เดือนมันก็ต้องอยู่ดินนั้นน่ะ เราต้องการช่วยเหลือไส้เดือนเอาไว้บนโต๊ะ เอาไส้เดือนขึ้นมาไว้บนดิน ไส้เดือนมันก็ดิ้นรนลงไปอยู่ในดิน ไส้เดือนมันอยู่ที่ดินนั้นมันมีความสุขของมัน ไส้เดือนมาอยู่บนโต๊ะ มาอยู่บนภาชนะมันอยู่ไม่ได้ มันไม่ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของไส้เดือนมันก็อยู่ที่ดิน มันมุดดิน มันกินดิน มันมีความสุขของมัน เห็นไหม นั่นคือไส้เดือน แต่คนที่เป็นคน เขาอยู่ของเขาโดยสถานะของเขา นี่ก็เหมือนกัน หัวใจมันเป็นอย่างนั้นๆ ดูสิ หัวใจเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างไร

สังเกตได้ไหม เวลาลูกหลานเราที่ดี เรารักพ่อรักแม่ไง ถ้าลูกหลานประชดประชันว่าพ่อแม่ไม่รักๆ นี่ไง นี่มันคืออะไรล่ะ มันความคิดเขาทั้งนั้นน่ะ เพราะพ่อแม่มีลูกหลายคน พ่อแม่ก็ต้องใช้สติปัญญา คนไหนที่เขาเอาตัวรอดได้ คนไหนที่เขามีกำลังของเขา เราก็สั่งสอนเท่านั้น คนไหนที่เป็นห่วง ไอ้ที่จ้ำจี้จ้ำไชเพราะเขารัก ไอ้ที่จ้ำจี้จ้ำไชนั่นน่ะ จ้ำจี้จ้ำไชเพราะมันห่วงไงว่าคนคนนี้ๆ จ้ำจี้จ้ำไชกับคนคนนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะพ่อแม่รู้ แต่เด็กมันมีปัญหาแล้ว มันมีปัญหาที่มันบอกทำไมว่าแต่ฉันๆ

นี่ไง เราจะบอกว่า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ คนเรามีเวรมีกรรมมาทั้งนั้น ถ้ามีเวรมีกรรมมาทั้งนั้น ทางจิตวิทยา เราจะดูแลเด็กเราต้องไม่ให้เด็กมันรู้ เราจะดูแลเด็กต้องเอาเด็กเป็นที่ตั้ง

นี่เหมือนกัน เรื่องหัวใจของคนๆ หัวใจของเขา เขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น เขามีความเห็นอย่างนั้น ถ้ามีความเห็นอย่างนั้น ถ้ามันพัฒนาขึ้นมา พัฒนาที่ไหนล่ะ มันมีตัวอย่างไง เวลาตัวอย่างที่ดีที่สุดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสถานะทางโลกเป็นถึงกษัตริย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยมีภรรยาคือนางพิมพามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสามเณรราหุล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชสมบูรณ์

ถ้าบอกว่า เออ! ท่านคนทุกข์คนจน ท่านไม่มีฐานะ ท่านก็เป็นกษัตริย์ ท่านไม่มีครอบครัว ท่านคงเสียใจจากผู้หญิง ท่านก็มีนางพิมพา ท่านคงไม่มีลูกมีเต้า ท่านก็มีสามเณรราหุล ท่านมีครบหมดเลย มีสมบูรณ์พร้อมหมดเลย นี่ไง ท่านถึงเสียสละออกมาบวช ออกมาแสวงหาสัจจะความจริงไง เพราะสิ่งที่มีพร้อมแล้วไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนี้ใช่ไหม เราก็ต้องเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนี้เหมือนกัน สถานะมันก็มีพร้อมอยู่แล้ว กษัตริย์จะได้เป็นอยู่แล้ว มเหสีนี่สุดยอด งดงามมาก ลูกผู้ชาย ลูกชาย ลูกที่มีปัญญามาก มีอะไรที่ขาดแคลนบ้าง

ถ้าเราจะระลึกถึงว่า ถ้าระลึกเป็นตัวอย่างๆ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง ท่านสมบูรณ์เพียบพร้อมไปทั้งหมด ท่านไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิจะบอกเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโดนปฏิวัติมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโดนขับออกมาจากราชวัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญหามา นี่ทางวิชาการเขาวิจัยกัน นี่ไง เขาไม่เข้าใจถึงเรื่องบุญกุศล พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คนที่สร้างสมบุญญาธิการมาเกิดเป็นราชกุมารที่ลุมพินีวัน “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ประกาศเลย “เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” นั่นน่ะคืออำนาจวาสนา คือบารมี ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วเวลาเติบโตขึ้นมา พระเจ้าสุทโธทนะส่งศึกษา มีการศึกษา จบ ๑๘ วิชาการ คือมีปริญญา ๑๘ ใบ เรามีกี่ใบ มีพร้อมทุกๆ อย่าง เวลาทางวิชาการเขาบอกว่าโดนอย่างนั้นๆ นี่ก็การวิจัยของเรา แล้ววัยรุ่นด้วย พอไปเจอวิชาการอย่างนั้น “ใช่ สุดยอด” นี่วุฒิภาวะมันอ่อนแอ คนมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นทางโลก มันไม่ได้คิดถึงจริตนิสัย คิดถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่สร้างสมบุญญาธิการมา บารมีมันเต็มมาอย่างไร แล้วบารมีมันขาดแคลนมาอย่างไร ถ้าบารมีเต็ม บารมีขาดแคลนก็เหมือนพวกเรานี่แหละ บางคนคิดดี บางคนคิดร้าย ความคิดต่างๆ ของคนมันมาจากตรงนี้ มันมาจากการที่สร้างสมของแต่ละบุคคลมา ใครได้สร้างสมบุญญาธิการมาเต็มของเรา ลูกเราว่านอนสอนง่าย ลูกเราฉลาด ลูกเราเป็นคนดี ลูกเรา เห็นไหม เวลาถ้ามันดี มันดีจากจิตใต้สำนึกอันนั้นน่ะ อย่างไรมันก็ใฝ่ดี จะอยู่ในเหตุการณ์อย่างไรมันก็ใฝ่ดี

แต่ถ้าของเรา สิ่งที่มันมีบาปมีกรรมในหัวใจมาลุ่มๆ ดอนๆ ไอ้พวกเราลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้นน่ะ มันจะลุ่มๆ ดอนๆ ขนาดไหน เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ คำว่า “เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์” เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้มันต้องไปของมันใช่ไหม ถ้ามันไม่เกิดเป็นมนุษย์มันจะเกิดเป็นอะไรล่ะ ถ้ามันไม่เกิดเป็นมนุษย์มันจะเกิดเป็นอะไร

ถ้ามันเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็เรื่องหนึ่ง เป็นภพชาติหนึ่ง ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เกิดในนรกอเวจี มันต้องเกิดอยู่แล้ว แต่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี่มีคุณค่าไหม

ถ้ามีคุณค่า มนุษย์ ในทางโลก ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ การขับเคลื่อนไปขับเคลื่อนโดยมนุษย์ สิ่งใดในโลกนี้ สิ่งที่มีการปลูกสร้างมาในโลกนี้ใครเป็นคนทำ มนุษย์ทั้งนั้น ปัญญาประดิษฐ์ๆ คอมพิวเตอร์ก็มนุษย์คิด มนุษย์เป็นคนทำขึ้นมา ไม่ได้ทำธรรมดานะ ทำแล้วมันยังล้วงกระเป๋าเราอีกต่างหาก เราต้องซื้อมันมาใช้ นี่มนุษย์ทำทั้งนั้น แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ หน้าที่อาชีพการงานของเรามันก็เป็นหน้าที่อาชีพการงานของเรา เป็นผลของวัฏฏะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราที่มันทุกข์มันยาก เห็นไหม

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปโรงพยาบาล ไปหาหมอ ไปเจอหน้าหมอ “หมอหายไหม หมอหายไหม” แต่เวลาทุกข์จนเข็ญใจบีบคั้นในหัวใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถชำระล้างได้ สามารถบรรเทาได้ สามารถบรรเทาได้ บรรเทาแล้วมันเป็นจริงไหม เขาบอกว่าพระพุทธศาสนาทำบุญแล้วได้บุญมหาศาลเลย นี่ก็ทำบุญมหาศาลเลย ทำไมไม่ประสบความสำเร็จเสียที ทำไมมีความทุกข์ความยาก

บุญกุศลก็เป็นบุญกุศล เห็นไหม เราทำอาหารบนเตาของเรามันมี ๓ เส้า ทาน ศีล ภาวนา มันก็เป็นส่วนหนึ่ง มันก็เป็นเส้าหนึ่ง เส้าหนึ่ง สิ่งที่มันตั้งบนเส้าหนึ่งมันก็คลอนแคลนใช่ไหม ถ้าเรามีทาน ศีล ภาวนา มัน ๓ เส้า ตั้งสิ่งใดมันก็มั่นคงใช่ไหม

นี่เราทำทานของเรา ทำทานที่ไหน ทำทานเพื่อความสบายใจของเราไง ทำทานเพื่อโอกาสของเราไง มาทำทานแล้วได้ฟังธรรมๆ มันก็ย้อนกลับมาที่ใจของเรานี่ไง ถ้าย้อนกลับมาที่ใจของเรา เราก็จะมีศีล มีความปกติของใจเราเข้ามา ถ้าเรามีศีล มีความปกติของใจเข้ามา สิ่งที่มันทุกข์ยากมันเบาลงแล้ว เบาลงที่ไหน เบาลงที่จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน เบาลงที่ใจมันคิดได้ พอมันคิดได้ สิ่งที่เป็นปัญหาที่ว่ามันวิกฤติๆ ในชีวิตมันแก้ได้หมดเลย

สิ่งที่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันอั้นตู้ มันไม่มีสติปัญญา มันยั้งคิดอะไรไม่ได้ไง ถ้ามันยั้งคิดไม่ได้ ยิ่งความคิดมันยิ่งทับถมไง กิเลสมันก็เหยียบย่ำต่อๆ ไปไง แต่ถ้ากิเลสมันเหยียบย่ำต่อไปมันก็มีความทุกข์ความยาก ถ้าเรามีทานของเรา เรามีศีลของเรา มีความปกติของใจขึ้นมา ใจมันคิดได้ ถ้าใจมันคิดได้ พอใจคิดได้มันก็บอกทำไมความคิดที่เรายังไม่มีสติปัญญา ทำไมความคิดมันทุกข์มันยากนัก เวลามีสติปัญญาแล้วความคิดมันปลอดโปร่ง ความคิดมันมีทางออกของมันได้ แล้วถ้ามันเห็นประโยชน์ของมัน เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา นี่ความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตสงบโดยการกระทำของเราไง

เวลาไปฟังพระฟังเจ้า พระเจ้าก็เทศน์เป็นแนวทางทั้งนั้น เวลาทำจริงๆ ขึ้นมาเราก็ต้องเป็นธรรมของเรา แล้วถ้ามันสงบเข้ามาๆ ความสงบอันนี้มันเป็นการยืนยันน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน บุคคล ดูสิ หลวงตาที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา ท่านรักษาดูแลหัวใจของท่านจนหัวใจของท่านสะอาดผ่องใสไง

ถ้าจิตของเราถ้ามันสงบเข้าไปมันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันไม่เหมือนกับความจำ ความจริงไม่เหมือนกับทฤษฎี ความจริงมันไม่เป็นสิ่งที่เขาว่ากัน ไอ้ที่ว่า “ว่างๆ ว่างๆ” ไอ้ที่เราว่ากันนั่นน่ะมันเป็นอย่างไร พอมันจิตสงบขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันมีคุณค่าในตัวมันเองไง สมาธิมันมีพลังนะ จิตนี้มีพลังมาก

เวลาคนเล่นไพ่ คนหนีตำรวจมันไปได้พรวดๆ นั่นกำลังของใจ เวลาไฟไหม้ ของหนักๆ มันแบกได้หมดเลย ทำไมมันแบกได้ล่ะ เพราะอะไร เพราะไม่มีตัวตนไง ตอนนั้นมันตกใจไง ไอ้นี่พูดถึงเหตุการณ์โดยเฉพาะหน้านะ แต่ถ้าเป็นสมาธิมันไม่เป็นอย่างนั้น มันเย็นน่ะ มีสติ แล้วเหตุการณ์ที่ว่าเวลาตกใจที่มันแบกของหนักๆ ได้ทั้งนั้นเลยน่ะ เวลาจิตที่มันมีกำลังของมัน มันต้องเป็นข้อเท็จจริงสิ

เราจะบอกว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามันมีคุณธรรม มันมีคุณค่า มันมีราคา แต่พวกเรามันผิวเผินน่ะ จับจด คนนู้นพูดที คนนี้พูดที มีแต่เขาว่าๆ

เขาว่าๆ ก็กิเลสมันว่า ไม่ได้ธรรมะว่าสักที ถ้าธรรมะว่ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นจริงในใจ มันชัดๆ ถ้ามันเป็นจริงในใจชัดๆ ใครจะหลอกเรา ไอ้ที่นี่พูดขี้โม้ทั้งนั้นน่ะ ไอ้พวกขี้โม้ แต่เป็นความจริงๆ นะ ครูบาอาจารย์เราไม่เคยโม้นะ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลามีงานรวบรวม มีงานกรรมฐานเสียทีหนึ่ง เวลาครูบาอาจารย์ท่านพบกันนะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์พบกัน เราได้คุยกับใครหนหนึ่ง เราจะจำได้เลยว่าคนคนนี้มีปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันมีสิ่งใดที่มันยังไม่ลงใจกัน คราวหน้าเจอกันในงานครูบาอาจารย์ เราจะคุยธรรมะกันอีก

เขาคุยกัน ธมฺมสากจฺฉา แล้วคนคุยนะ คุยทีเดียวก็รู้ คนไม่เป็นพูดไม่ถูก ถ้าคนพูดถูก พูดถูกยังไม่แน่ใจเขาก็พูดซ้ำ ถ้าพูดซ้ำ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เขารู้ภูมิกัน

หลวงตาท่านพูดบ่อย ในครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้เลยว่าใครจะมีธรรมหรือไม่มีธรรม ใครจะมีจริงหรือไม่มีจริง เพราะมันเชาวน์ปัญญาน่ะ เราคุยกันเรารู้ เราคุยกันสิ คนไหนโง่ คนไหนฉลาด พูดกันรู้หมดแหละ ถ้าคนฉลาดพูดอะไรมันทิ่มใจเรานะ เราสู้มันไม่ได้นะ พูดอะไรมันขัดคำพูดเรา เราไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนโง่ๆ เราหลอกมันได้ เราทำอะไรก็ได้ ธมฺมสากจฺฉา นี่พูดถึงทางโลกนะ แต่ถ้าเป็นทางธรรมเขาไม่รู้เขาไม่เห็น เขาไม่รู้ไม่เห็น เขาพูดให้เป็นความจริงอย่างนั้นไม่ได้ ของที่ไม่รู้ไม่เห็นเป็นไปไม่ได้

พวกเรานี่นะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะถึงได้กลัวผีไง เวลากลัวผีกลัวสาง เทวดา อินทร์ พรหมนี่นึกได้ เพราะจิตมันมีข้อมูล จิตดวงนี้มันเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตเรานี่ พวกเราที่นั่งๆ อยู่นี่เคยตกนรกอเวจีมา เคยเป็นมนุษย์มา เคยอยู่บนสวรรค์มา วนมาน่ะ มันมีข้อมูล พอบอกผี นึกภาพได้ทุกคนเลย บอกเทวดา อู๋ย! นึกภาพได้หมดเลย แล้วบอกถึงคุณธรรม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันนึกไม่ได้หรอก มันนึกไม่ได้มันเลยบอก “ว่างๆ ว่างๆ” ว่างๆ ก็อวกาศไง อวกาศมันว่าง ไม่มีสติไม่มีปัญญาไง

แต่ของเราถ้ามันจะว่างมันจะอะไรมันจะมีสติมีปัญญา มีสติปัญญาจากสติของเรา จากสติที่มันฝึกขึ้นมา ถ้ามันขาดสติไปแล้วทำสิ่งใดมันเป็นไปโดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เอาความจริงๆ ของเรา

ฟังธรรมๆ ไง เหตุสำคัญ สำคัญตรงนี้ มาวัดมาวากันก็เพื่อเหตุนี้ไง มาวัดมาวากันเพื่อบำรุงหัวใจของเราไง ให้หัวใจของเรามันมีสติ ให้หัวใจของเราชื่นบาน ให้หัวใจของเราอย่าให้มันทุกข์มันยากจนเกินไป เวลามันทุกข์มันยากมันทุกข์ยากที่นี่

สิ่งที่ว่า “ไม่ใช่ หลวงพ่อ มันทุกข์มันยากเพราะไม่มีตังค์”

ไอ้ไม่มีตังค์ ใครก็ช่วยเหลือเจือจานได้นะ ดูสิ กู้นอกระบบๆ เขาพยายามจะให้เข้าระบบอยู่นี่ นั่นก็ตังค์ มันก็ยังทุกข์ยังยากอยู่เหมือนกัน จริงๆ แล้วถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันผ่อนผันได้ มันคุยกันได้ มันเจรจาได้ มันไม่ต้องจับแพะชนแกะจนหมุนไม่ออกหรอก

เรามีสติมีปัญญาของเรา มีสติปัญญาของเราเพื่อตั้งสติแล้วคอยนึกคิดของเรา แก้ไขชีวิตของเราไป ถ้าแก้ไขชีวิตของเราไปนะ ถ้าผู้มีสติมีปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เกิดบนหัวใจดวงนี้ เอวัง