เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ มี.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโลกนะ โลกเขาดูกัน เขาดูกันอย่างนั้นน่ะ ดูกันที่ผลของโลก ผลของโลกมันตอแหล มันปลิ้นปล้อน ความปลิ้นปล้อนอันนั้น เห็นไหม มันปลิ้นปล้อน เพราะมันปลิ้นปล้อนด้วยอะไรล่ะ ปลิ้นปล้อนด้วยการจัดการ นี่ละคร โลกคือละครๆ แต่สัจจะความจริงคือสัจจะความจริงนะ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรม ใครทำสิ่งใด เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก ในหัวใจรู้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เป็นธรรมๆ ไง แต่ถ้ามันเป็นอธรรมล่ะ 

สิ่งที่เป็นอธรรมๆ เวลาในสมัยพุทธกาล สมัยพุทธกาลมีมหาศาล มีมากมาย แต่มันอยู่ที่ว่าขนโคกับเขาโคไง ถ้าขนโคๆ คนโง่มากกว่าคนฉลาดมากไง ถ้าคนโง่มันมากมันก็เป็นเหยื่อทั้งนั้นน่ะ แต่คนฉลาดๆ เขาโคมีอยู่ ๒ เขา ถ้าเขาโคมี ๒ เขา มันประจานทั้งนั้นน่ะ มันเห็นๆ ไง สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก พวกคนมีปัญญามันก็เห็นได้ใช่ไหม แต่ขนโคกับเขาโค ขนโคๆ ขนโคมันมองแต่เรื่องโลก โลกมันคือละคร ละครมันจัดฉากได้ทั้งนั้นน่ะ มันตกแต่งได้ทั้งนั้นน่ะ มันเขียนบทได้ทั้งนั้นน่ะ มันซูเอี๋ยได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ซูเอี๋ย นี่เรื่องโลกๆ แล้วเราจะเป็นเหยื่อไหม

ถ้าเราเป็นเหยื่อนะ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ไอ้นี่มันตกนรกทั้งเป็น นรกทั้งนั้น อยู่กับความเร่าร้อน อยู่กับความแผดเผา ใครทำใครก็รู้ใช่ไหม ทุกคนกลัวทั้งนั้นน่ะ ติดคุกติดตะรางใครไม่กลัว แต่ติดคุกติดตะรางมันไล่หลังมา เหมือนเงาตามตัว ถ้าเงาตามตัว ใครทำสิ่งใดไว้มันก็มีผลทั้งนั้น เหมือนเงาตามตัวๆ ถ้าเงาตามตัวขึ้นมาแล้ว หนีไป ให้หนีไป ให้หนีไปสวรรค์ด้วย ให้หนีไปโลกธาตุไหน หนีไปเลย ถ้าหนีกรรม มันหนีกรรมไม่ได้ หนีกรรมไม่ได้หรอก ถ้าหนีกรรมไม่ได้ เห็นไหม

สิ่งนี้ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ทำความดีนี้แสนยากไหม ดูสิ เราขวนขวายกันมาเพื่ออะไร เราขวนขวายมาเพื่อทำบุญกุศลของเรานะ เก็บเล็กผสมน้อย เวลาเรา ขวนขวายกันมันก็น่าเห็นใจนะ แต่เราฟังหลวงตาท่านพูด เราซึ้งใจมาก ว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอะไร หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ สิ่งใดที่ผิดเล็กผิดน้อย หลวงตาพยายามจะอุปัฏฐากท่าน ท่านบอกไม่ได้ๆ ไม่ได้เพราะอะไรล่ะ ไม่ได้เพราะไอ้ตาดำๆ มันมองอยู่ ไม่ได้ก็เพราะลูกศิษย์ลูกหาของท่านไง พระเณรที่เขาไปฝึกหัดปฏิบัติกับท่านมันก็ต้องการตัวอย่างที่ดี เห็นไหม ท่านเสียสละความสะดวกสบายของท่าน 

แม้แต่หลวงตาท่านเป็นผู้อุปัฏฐาก คนที่อุปัฏฐากอยู่ คนที่ดูแลอยู่ มันสะเทือนใจ ก็พยายามจะทำให้ท่านได้ผ่อนคลายบ้าง โรคคนแก่ คนแก่เป็นวัณโรค วัณโรคที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยมันต้องดูแลรักษา แล้วกินก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นวัณโรค ท่านก็ดูแลของท่านนะ ท่านบอกว่าสิ่งใดที่มันพอประทังได้

ท่านบอก “ไม่ได้หรอก ไอ้ตาดำๆ มันมองอยู่” ไอ้ตาดำๆ ก็ลูกศิษย์ลูกหาที่เข้าไปอยู่กับท่านไง ไอ้คนที่มันต้องการแบบอย่างที่ดี ไอ้คนที่ต้องการความมั่นใจ มันก็มองได้แค่นั้น มันก็มองแต่วัตถุไง มองแต่ธาตุ วัตถุธาตุ มองแต่ร่างกายไง มันไม่ได้มองที่หัวใจไง คนที่มองที่หัวใจ คนที่มีคุณธรรมท่านมองไปที่หัวใจนะ หัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่เป็นธรรมๆ

เวลาคนมันมองอยู่ที่สายตาของคน สายตาของคนมันมองได้แค่ไหน มันมองได้แค่วัตถุมันก็เป็นวัตถุไง แต่ถ้ามันมองเป็นธรรมๆ ถ้ามองเป็นธรรม ทำไมต้องทำขนาดนั้น เวลาหลวงตาท่านพูด ทำไมต้องทำขนาดนั้น นั่นมันเรื่องของเขา ไอ้นี่เรื่องของผู้แสวงหา เรื่องของลูกศิษย์ใช่ไหม เขาแสวงหา เขาต้องขวนขวายของเขา แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าพ้นไปจากทุกข์ มันผ่อนคลายอย่างไรก็ได้ เพราะอะไร เพราะคนมีการศึกษา หลวงตาท่านเป็นมหานะ ปาปมุตๆ มันไม่มีอาบัติแล้ว ปาปมุต มันไม่มีสิ่งใดเข้าไปจับต้องสิ่งนั้นได้ แต่ท่านก็ยังทำเป็นตัวอย่าง เก็บเล็กผสมน้อยนะ สิ่งใดที่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ท่านไม่ก้าวล่วงเลย ทั้งๆ ที่สิ่งนี้มันเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ท่านไม่ก้าวล่วงเลย นี่คือครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมๆ เห็นไหม นี่เวลาท่านทำเป็นธรรมขนาดนั้นนะ

เราถึงบอกว่า ถ้าเราขวนขวาย เราก็เห็นใจนะ เราขวนขวายกันมาเพื่อผลคุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรา ตอกย้ำอันนี้ มันเป็นนาโน ความรู้สึกนึกคิดมันละเอียดมาก แล้วมันซับๆ ซ้อนๆ จนเป็นจริตเป็นนิสัยนะ คนจะทำเป็นจริตเป็นนิสัย ข้อวัตรปฏิบัติ พระที่บวชใหม่ต้องได้ ๕ พรรษานะ อยู่กับครูบาอาจารย์ได้ ๕ พรรษาถึงได้นิสัย ได้นิสัย พอออกไปแล้วมันจะเอาตัวมันรอดได้ไง แล้วผู้ที่ฉลาด ผู้ที่ฉลาดถึงจะพ้นนิสัยได้ แล้วผู้ที่ไม่ฉลาดล่ะ

ฉลาดคืออะไร ฉลาดในความหมายของเรา ฉลาดคือท่องปาฏิโมกข์ได้ การท่องปาฏิโมกข์ได้คือมันท่องวินัยได้ ถ้าการท่องวินัยได้ เพราะพระที่ท่องปาฏิโมกข์ได้ ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะรู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เวลาออกไปแล้วมันสะเทือนใจไง แต่ถ้าท่องไม่ได้ มันพลั้งๆ เผลอๆ ผู้ที่ท่องได้ ผู้ที่พ้นนิสัย ๕ พรรษาแล้วพ้นนิสัยๆ เพื่อจะได้มาฝึกหัดปฏิบัติตนต่อเนื่องไป แล้วปฏิบัติตนต่อเนื่องไปปฏิบัติอย่างไรล่ะ ปฏิบัติอย่างไร

นี่มันเรื่องจริตนิสัยนะ ความชอบ ความไม่ชอบ ความชอบ ความไม่ชอบมันอยู่ที่จริตนิสัยของคน เวลาคนที่หยาบๆ มันก็ชอบของที่หยาบๆ ทั้งนั้นน่ะ คนที่ละเอียดก็ชอบสิ่งที่ละเมียดละไม แล้วเราเห็นความละเมียดละไมนั้นเราคิดว่าเป็นธรรมๆ...ความชอบ ไม่ใช่ธรรม ความเป็นธรรมต้องเป็นความจริง

ความจริงๆ จะความชอบหรือความไม่ชอบมันต้องละทิ้งได้ ละทิ้งได้ด้วยอะไร ละทิ้งด้วยการเห็นโทษ เห็นโทษของความหยาบ ความที่ไม่เอาไหน เห็นโทษด้วยความละเมียดละไมนี่ก็เห็นโทษ เห็นโทษเพราะอะไร เห็นโทษเพราะเราจะมาอยู่กับมันใช่ไหม เราจะมาละเมียดละไมกับชีวิตนี้ใช่ไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดใช่ไหม เวลาพลัดพรากไปแล้วมันจบไหม พลัดพรากไปแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันจะละเมียดละไมขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ 

ถ้าเป็นความจริง ความจริงต้องเห็นโทษ เห็นโทษความละเมียดละไม ความละเมียดละไมทำให้เราหลงใหล ความละเมียดละไมทำให้เราพลั้งเผลอ ทำให้เราจมอยู่นี่ เห็นไหม มันต้องเห็นโทษ ความเห็นโทษมันเห็นโทษได้อย่างไรล่ะ เห็นโทษ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ใจสงบระงับเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้ามันเห็นสัจจะความจริง เห็นสัจจะความจริงมันจะเห็นโทษ เห็นโทษเป็นอริยสัจ

ไอ้นี่มันเห็นโทษ เห็นโทษชั่วคราวไง เวลาคนกินเหล้า “ไม่เอาอีกแล้วแหละ พอแล้วแหละ” พรุ่งนี้มันกินอีกแล้ว มันเห็นโทษตอนเงินมันหมด มันเห็นโทษอย่างนั้น เห็นโทษอย่างนี้มันเห็นโทษแบบโลกๆ ไง 

แต่ถ้าเห็นโทษแบบอริยสัจ เห็นไหม เป็นไตรลักษณ์ๆ คำว่า “เป็นไตรลักษณ์” ไตรลักษณ์มันเป็นอย่างไร ไตรลักษณ์เป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันเห็นไม่ได้หรอก ถ้าคนเคยรู้เคยเห็น ดูสิ ทางวิชาการ เราศึกษามาขนาดไหน เราศึกษามาแล้วเป็นองค์ความรู้ องค์ความรู้ต้องพิสูจน์ พอพิสูจน์แล้วไปจับต้องได้ พอพิสูจน์แล้วมันเห็นความไม่เที่ยงแท้ ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอนของมัน มันต้องพิสูจน์จนมันรู้จริงเห็นจริงของมันขึ้นมา

ถ้าไม่เรียนมาก็ไม่มีองค์ความรู้ องค์ความรู้ก็องค์ความรู้ของกิเลส องค์ความรู้ว่าเรามีความรู้ มันก็บอกว่าละเมียดละไมเป็นความจริง เพราะอะไร เพราะมันจินตนาการ มันจะยัดเยียดเข้าไปในธรรมะทั้งนั้นน่ะ เวลาอ้าง อ้างพุทธพจน์ๆ เวลาพุทธพจน์ ถ้าพอใจก็เป็นพุทธพจน์ ถ้าไม่พอใจก็บอกว่ามันเติมมา นี่มันเป็นความเห็นของตนทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริง มันถึงไม่เห็นโทษไง ทั้งที่ปฏิบัติเพื่อจะเห็นโทษของมันนะ ถ้าเห็นโทษของมัน มันก็จะวางของมันได้ไง นี่ถ้ามันเห็นโทษความจริง

ถ้าเห็นโทษอันนั้นแล้วมันไม่มีลับลมคมในใจแล้ว ข้างนอกมันไม่มี ที่ปาปมุตๆ ที่มันไม่เป็นอาบัติ ไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่มีภวาสวะ ไม่มีภวาสวะคือไม่มีภพ ไม่มีภพที่จะรองรับสิ่งใดที่เป็นความดีและความชั่ว

ไอ้ภวาสวะ ไอ้ตัวภพ ปฏิสนธิจิต ถ้าปฏิสนธิจิตมันมีของมันอยู่ มันละเมียดละไมของมัน เวลาละเมียดละไมมันเป็นอวิชชา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ ไอ้ความความผ่องใสมันก็มีภวาสวะ มีภพ เพราะที่ไหนมีจิต ที่นั่นมีตัวตน ที่ไหนมีสถานะ ที่นั่นจะรองรับความดีและความชั่ว มันไม่เป็นปาปมุตหรอก เพราะมันมีสถานะที่จะรองรับ มันจะเอาดีเอาชั่วของมัน ถ้าเอาดีเอาชั่วของมัน แล้วมันก็ละเมียดละไมออกมา พยายามทำความนุ่มนวลอ่อนหวาน ถ้าภาษาเรา เราว่าออเซาะ ออเซาะฉอเลาะ ถ้าออเซาะฉอเลาะมันเข้ากับกิเลสไง ทุกคนไปแล้วชอบนะ แหม! ที่นี่นุ่มนวลอ่อนหวาน มันเป็นการออเซาะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงมันไม่มีสิ่งใด มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิ เวลาคนที่สภาวะแวดล้อมเขาเข้าไปในป่าในเขา มันเป็นสัจจะเป็นความจริง โอ้โฮ! มันสดชื่นแจ่มใส ใครเป็นคนสร้าง ป่าเขามันไปออเซาะฉอเลาะใคร มันไม่ไว้หน้าใครเลยแหละ ใครเดินหลงทาง อดตายในป่า มันไม่เคยไว้หน้าใครเลยนะ ธรรมชาติไม่เคยไว้หน้าใครเลย แต่ถ้าใครเข้าไปถูกที่ถูกทาง ใครมีเข็มทิศ ใครดำเนินถูกต้อง เขาเข้าไปแล้วเขาออกมาโดยสัจจะโดยความจริง

เขาเข้าป่าเข้าไปด้วยการวิเคราะห์วิจัยของเขา เขาเข้าป่าไปด้วยความสดชื่นของเขา เขาเข้าป่าไปด้วยความปลาบปลื้ม ความพอใจ เห็นไหม เขาเข้าป่าไปแล้วเขาก็ออกจากป่ามาไง เขาออกจากป่ามาด้วยสติด้วยปัญญาของเขา ด้วยการชำนาญทางของเขา 

ไอ้เราเข้าป่าไปนะ คนเข้าป่าไปแล้วหลงป่า ไปตายในป่า แล้วสภาพป่ามันเป็นธรรมชาติใช่ไหม มันมีคุณค่าใช่ไหม มันเป็นแหล่งอาหารใช่ไหม มันเป็นแหล่งให้ออกซิเจนใช่ไหม มันเป็นความดีทั้งนั้นเลย คนเข้าไปหลงป่า ตายหมด หลงป่าแล้วถ้าไม่มีใครติดตามไปเจอนะ ตายหมดเลย

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ไง ธรรมชาติ ธรรมชาติไง มันไม่ออเซาะฉอเลาะใคร มันก็เป็นสัจจะความจริงของเขานั่นแหละ แต่เรา เราเข้าไปในป่า เราเข้าไปเพื่อประโยชน์ เราเข้าไป เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มันไม่ใช่มาตบแต่งให้ออเซาะฉอเลาะกัน นุ่มนวลอ่อนหวาน ไอ้นั่นมันกิเลสทั้งนั้นน่ะ 

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราเป็นสัจจะเป็นความจริง วัดก็คือวัด วัดก็คือวัดกิเลสของคน ถ้ากิเลสของคน เข้ามาในวัดแล้วเคารพสถานที่ สถานที่เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลท่านมีคุณธรรมหรือไม่ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเคารพกันอย่างนั้น ไม่ได้จัดฉาก จัดฉาก จัดฉากแล้วก็ทำกัน นี่ไง ขนโคหรือเขาโคไง ไอ้ขนโคหรือเขาโคมันย้อนกลับมาที่เรา วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของคนถ้ามันเห็นสภาวะแบบนั้นมันต้องคิดสิ มันเป็นความจริงหรือไม่ 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ สดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ มันจะเป็นวัตถุได้ไหม มันจะเป็นอย่างไร ประเพณีวัฒนธรรม พวกเราชาวพุทธ เถรวาทในเมืองไทยเราภูมิใจกันๆ เวลาไปพุทธรอบโลก เขางงนะ เอ๊ะ! คนไทยทำอะไรกันนั่นน่ะ

แม้แต่เครื่องหมาย ของเราเป็นธรรมจักร ของลังกาเขาเป็นฉัพพรรณรังสี มันยังแตกต่างกันเลย แล้วเวลาเขาภูมิใจว่าเราเป็นพุทธแท้ แล้วไปดูลังกาสิ ไปดูพม่าสิ พม่าเขาก็ภูมิใจว่าเขาเป็นพุทธแท้ ต่างคนต่างก็เป็นพุทธแท้

แต่หลวงปู่มั่นเราท่านมีอำนาจวาสนา ท่านบวชแล้วท่านขวนขวายของท่าน ท่านก็พยายามค้นคว้า พยายามประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านธุดงค์ไปหมดนะ ท่านไปหมด พม่าในบริเวณท่านก็ไปทั้งนั้นน่ะ ไปเพื่อหาคนชี้ทาง หาคนบอก หาคนแนะนำ ไม่มี 

เรารู้ได้นะ ถ้าเรามีวุฒิภาวะ มีปัญญานะ เราคุยกับใครก็แล้วแต่ เราจะรู้เลยว่าคนที่คุยกับเราโง่หรือฉลาด ถ้าเรามีปัญญานะ เว้นไว้แต่เราโง่ เราโง่คุยกับใคร เราไม่รู้หรอกว่าเขาโง่หรือเขาฉลาด เพราะเราโง่อยู่แล้วไง แต่ถ้าเราฉลาด เราคุยกับใคร เราจะรู้เลยคนนี้ฉลาดหรือโง่

ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีพื้นฐานของท่าน ท่านแสวงหาของท่าน ท่านไปค้นคว้าของท่าน ท่านโง่หรือท่านฉลาด แล้วท่านแสวงหามาทั่ว 

ฉะนั้น เวลาท่านอบรมพวกเรา ท่านบอกว่าท่านหามาหมดแล้ว หลวงปู่มั่นกับหลวงตาท่านพูดประจำ เวลาพระที่ปฏิบัติด้วยกันนะ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ลง ปฏิบัติแล้วไม่ได้นะ ท่านบอกไปเลย ไปให้มันสุดขอบฟ้า ไปเลยนะ แล้วถ้าใครค้นคว้าหาสัจธรรมได้ กลับมาบอกผมด้วย กลับมาแนะนำผมด้วย หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ประจำ ไอ้ใครที่อวดเก่ง อวดดี ท่านบอกว่าไปเลย ไปให้สุดล่าฟ้าเขียว ไปให้หาความจริงมา ไปหามา แล้วถ้าเจอแล้วมาบอกผมด้วย ถ้าเจอแล้วมาบอกผมด้วย 

หลวงปู่มั่นท่านก็พูดอย่างนี้ หลวงตาท่านก็พูดอย่างนี้ ถ้ามันได้จริงนะ ถ้ามันเป็นจริงให้กลับมาบอกผมด้วยว่าผมนี่มันเซ่อ ผมนี่ไม่รู้ ผมนี่สอนไม่ได้ ถ้าแน่จริงท่านไปหามาๆ นี่เพราะอะไร เพราะท่านไปหามาหมดแล้ว ท่านไปหามาหนึ่ง สอง เวลาปฏิบัติขึ้นมาในใจ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันรู้จริงขึ้นมาจากภายใน ก็เราไปหามา ก็เราเคยคุยกับเขามา ก็เราไปศึกษามา แต่เวลาเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้ มันไม่เป็นจริงอย่างนั้น ไอ้ที่อย่างนั้นๆ นี่ไง เวลาพูดถึงถ้าเป็นความจริง ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าสัจธรรมแท้ สัจธรรมแท้มันเป็นที่นี่ไง 

แต่เวลาท่านแสวงหาจากภายนอก เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของพื้นถิ่น วัฒนธรรม แล้วมันอยู่ที่ภูมิประเทศ อยู่ที่ความเป็นอยู่ ดูสิ ดำเนินฯ บางนกแขวก เขาไปบิณฑบาตเขาพายเรือนะ เป็นอาบัติไหม อ้าว! การคมนาคมเขามาทางน้ำ เขาไม่เป็นหรอก ไอ้เรานี่ลองขับรถสิ บนบก นี่ไง มันเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นไป ไอ้อย่างนี้ กรณีนี้มันเห็นด้วยสติปัญญา ด้วยมันเข้าใจได้ๆ เราไม่ต้องว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา ไอ้นี่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เปลือกนอก มันก็เหมือนละคร จัดฉาก เขียนบท แล้วเงินซื้อ ต้องการสิ่งใด ต้องการเอาสิ่งใดเข้าไปให้เขา ให้ความเห็นฉันจะต้องเผยแพร่ไปด้วยการเขียนบทละคร นี่ละครของโลก ไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่ความจริง สมมุติบัญัติ 

ถ้าเป็นความจริงนะ เป็นความจริงเกิดจากที่นี่ ที่เราแสวงหากัน แสวงหากันอยู่นี่ เราแสวงหาความจริง ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติเห็นสภาพแบบนี้มันยิ่งต้องเสียวและยอกใจนะว่า แผนที่เครื่องดำเนิน กระแสมันบิดเบือนไปเรื่อยๆ แล้วเรายังมีกิเลสในหัวใจกันอยู่ เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราไม่ขวนขวาย เรามีครูบาอาจารย์เป็นบรรทัดฐานที่ให้เราทำอยู่นี่ ถ้าเราขวนขวาย เรายังมีโอกาส 

นี่ไง ขนาดมีครูบาอาจารย์นะ หลวงตาเพิ่งนิพพานไปไม่กี่ปีนี้เอง ครูบาอาจารย์เราเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก็มี แล้วดูสิ ดูสังคมสิ ดูความเหลวแหลกสิ ดูความเป็นไปของโลก แล้วเรายังนอนใจกันหรือ เรายังนอนใจอยู่อย่างนี้ใช่ไหม ทั้งๆ ที่เราก็มีสติมีปัญญา เพราะเราไม่เชื่อไปกับเขานะ เราไม่เชื่อไปกับเขาเพราะเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เราเคยอบรมสั่งสอนมา แต่ดูสังคมสิ ดูความเป็นไปสิ ดูกระแสสิ แล้วเราไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ไม้จิ้มฟันด้วย กระแสสังคม เราไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะสู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย นี่เรื่องโลก โลกคือละคร แล้วมันเขียนบท มันมีอิทธิพล มันมีการโน้มนำ 

แต่ของเรา เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านสอนกาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนพูด อย่าเชื่อว่ามีคนเชื่อถือมาก อย่าเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เราต้องประพฤติปฏิบัติไง

ธรรมะย่อมชนะอธรรรม ใครจะพูดมากพูดน้อยขนาดไหน ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มันก็เป็นสมาธิของเรา ถ้าเกิดปัญญาก็ปัญญาของเรา ถ้าเป็นสมาธิ เป็นปัญญาของเราเหนือโลก เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เหนือทุกๆ อย่างเลย แล้วมันเหนือที่ไหนล่ะ มันเหนือที่การขวนขวายของเรา ถ้าทำที่นี่

เรายังเน้นย้ำ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ใครสร้างเวรสร้างกรรมอย่างใด กรรมนั้นต้องให้ผลกับคนนั้นแน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ธรรมะย่อมชนะอธรรม เอวัง