เทศน์พระ

เห็นตรงข้าม

๑๒ มี.ค. ๒๕๖o

 

เห็นตรงข้าม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะวันนี้เรามาอุโบสถ ลงอุโบสถ เห็นไหม อุโบสถศีลความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์ ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์ เวลาภาวนาแล้วมันคลายความกังวล ถ้ามีความกังวลนะ เวลาภาวนาไปแล้วห่วงหน้าพะวงหลังๆ มันไม่ก้าวหน้า ถ้าไม่ก้าวหน้า เห็นไหม เนี่ยการลงอุโบสถ การลงอุโบสถคือตรวจสอบศีลของสงฆ์ ตรวจสอบกันว่าใครมีอาบัติมากอาบัติน้อยขนาดไหน ใครมีความสะอาดบริสุทธิ์มากน้อยขนาดไหนในหัวใจไง

เนี่ยฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติ เตือนสติ เห็นไหม นี่คนถ้ามีสติแล้วทำสิ่งใดจะไม่ขาดตกบกพร่อง เวลาขาดสติขึ้นไป ทำสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปทั้งนั้น เวลาคุ้นเคยไปแล้ว คุ้นเคยจนเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นไหม สรรพสิ่งเป็นเรา เราเป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นเราทั้งหมด เห็นไหม นี่ทุกข์เป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เป็นเราไปทั้งหมดเลย แล้วแยกแยะสิ่งใดไม่ได้สักอย่างหนึ่ง

ถ้าเราจะแยกแยะสิ่งใดสักอย่างหนึ่ง เนี่ยเวลาลงอุโบสถ เวลาลงอุโบสถ เห็นไหม ความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์ ความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์อาศัยสิ่งนั้นเพื่อตรวจสอบความสะอาดบริสุทธิ์ของเราไง ว่าเราเข้าสังฆกรรม เห็นไหม นี่ลงอุโบสถสังฆกรรม เนี่ยลงอุโบสถนะ ได้ฟังธรรมๆ ฟังเพื่อตอกย้ำ ตอกย้ำให้จิตใจมันเปิดกว้าง จิตใจมันเปิดกว้างมันยอมรับเหตุรับผลนะ ถ้ามันยอมรับเหตุรับผลสรรพสิ่งแล้วนี่ เขาเรียกว่ากรรมคลุกเคล้า มันคลุกเคล้าเป็นสิ่งเดียวกันเลย แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก มันแยกแยะไม่ได้ พอแยกแยะไม่ได้เราจะดำเนินการชีวิตของเราไปยังไง นี่พูดถึงทางโลกเขาดำเนินชีวิตนะ

แต่เวลาของเราเนี่ย เราเป็นนักปฏิบัติ เวลานักปฏิบัติ เห็นไหม จิตมันจะพัฒนาก้าวหน้าของมันไป ถ้าจิตมันพัฒนาก้าวหน้าของมันไป เห็นไหม นี่คนคนนั้นจะมีทรัพย์สมบัติ มีทรัพย์สมบัติก็มีอริยทรัพย์ในหัวใจ ถ้ามีอริยทรัพย์ในหัวใจนะ อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็นเป็นสุขไง จะอยู่ใต้น้ำ อยู่บนสวรรค์ อยู่บนก้อนเมฆ จะอยู่ที่ไหนมันมีความสุขทั้งนั้น แต่ถ้าหัวใจมันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เป็นยากนะ อยู่บนกองเงินกองทองมันก็ไปทุกข์ไปยากบนกองเงินกองทองนั่นน่ะ เขามีตึกมีร้านอยู่สูงอยู่หลายๆ ชั้นนะ ก็ไปทุกข์ไปยากกันบนนั้น ถ้าจิตมันทุกข์มันยากในหัวใจนะ อยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์มันก็ยาก

แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมในหัวใจของเรานะ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในป่า เวลาตรัสรู้ตรัสรู้ในป่านะ นี่เวลาแสดงธรรมก็แสดงในป่า ปรินิพพานในป่า คำว่าในป่าๆ คือสัจธรรม คือสัจจะความจริง มันเป็นธรรมชาติไง ไม่มีใครมาตบแต่ง ไม่มีใครมาเสริมแต่งของมันขึ้นไป มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิม เห็นไหม เราใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ถ้าแบบเรียบง่าย ความสุขอย่างนี้ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ไม่ต้องอาศัยใคร ไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อน

แต่เป็นทางโลกๆ นะ มันมีความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น ความทุกข์ความยาก ถ้ามันอาศัยอุ้มชูค้ำชูกันมา ถ้าอาศัยอุ้มชูค้ำชูกันมา เห็นไหม สิ่งนั้นพึ่งตัวเองไม่ได้ ถ้ามันจะพึ่งตัวเองได้ๆ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมๆ ให้จิตทุกดวงมันมีคุณธรรมในใจของตน ถ้ามีในใจของตน เห็นไหม มันทำของมันได้ ถ้าทำได้นะ คนเราต้องมีสติมีปัญญา มีการคิด มีการแยกแยะ มีสติปัญญาคอยตรวจสอบในใจของตน ในใจของตนนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นไหม นี่ท่านมีความคิดของท่านว่า มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่มันจะหาที่ไหน เพราะมันยังไม่มีในโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะมีธรรมของมันอยู่แล้ว ของมันอยู่แล้วมันอยู่ที่ไหน แล้วใครไปค้นหาขึ้นมาล่ะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างบุญญาธิการอย่างนั้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างบุญญาธิการมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีอำนาจวาสนา ได้รื้อค้นขึ้นมา ตรัสรู้เองโดยชอบๆ เพราะไม่มีใครสั่งใครสอน ไม่มีใครบอก ใครบอกไม่ได้ เพราะไม่มีใครมีปัญญาบอกได้ ไม่มีใครมีปัญญา ไม่มีใครมีความสามารถ ไม่มีใครมีจิตใจลึกซึ้งอย่างนั้นที่จะบอกได้ ทั้งๆ ที่ของมันมีอยู่โดยดั้งเดิม ดั้งเดิม เห็นไหม วัฏฏะ วัฏฏะเนี่ยกามภาพ รูปภพ อรูปภพ มีอยู่โดยดั้งเดิม เทวดา อินทร์ พรหมมันต้องมีอยู่แล้วไง ถ้าเทวดา อินทร์ พรหมมีอยู่แล้ว เทวดา อินทร์ พรหม เป็นภพชาติที่ละเอียดกว่ามนุษย์ ทำไมเขารู้สิ่งนี้ไม่ได้ล่ะ เขารู้สิ่งนี้ไม่ได้ไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เทวดารู้ตามไง เทวดาเพิ่งได้ยินได้ฟัง รู้ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ตามก็รู้ตามด้วยการศึกษา รู้ตามด้วยการได้ยิน แต่ยังไม่มีความจริงในใจ เห็นไหม ถึงเทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้ามันมีอยู่แล้วๆ ก็มีอยู่แล้วด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันมีอยู่แล้วมีอยู่แล้วด้วยบารมีธรรม บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างสมบุญญาธิการมา ถ้าสร้างสมบุญญาธิการมา แล้วรื้อค้น รื้อค้นด้วยสติด้วยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันถึงเกิดมรรคเกิดผลในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา

เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเห็นตรงข้าม ถ้าเรายังไม่เห็นตรงข้าม ตรงข้ามกับทุกข์ ตรงข้ามกับกิเลสไง ถ้าเรายังไม่เห็นตรงข้ามกับกิเลส เห็นไหม เราก็เห็นชอบกับกิเลสไง เราเห็นชอบกับความเห็นของเราไง เราเห็นชอบกับกิเลสที่มันพอใจ มันจะมีความสุขของมัน มันอาศัยว่าสิ่งนั้นเป็นทรัพย์สมบัติ เห็นไหม อาศัยสิ่งนั้น อาศัยใจของสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย

อวิชชาๆ พญามารมันอาศัยบนหัวใจของสัตว์โลก แล้วเวลาหัวใจของสัตว์โลก เวลาเกิดเป็นภพชาติใด เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหมก็มีกิเลสเหมือนกัน เทวดา อินทร์ พรหมๆ ถ้าเป็นปุถุชนนะ แต่ถ้าเป็นเทวดาเป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นเทวดาในชั้นพรหม ชั้นอนาคา เห็นไหม มันก็มีกิเลสส่วนละเอียด แต่ว่าสัจธรรมในใจมีอยู่แล้ว เห็นไหม นี่ไง เวลากิเลสมันอาศัยอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกๆ แล้วเราเห็นดีเห็นงามไปกับมันไง เราไม่เห็นตรงข้ามไง ถ้าเราเห็นดีเห็นงามกับกิเลสไป เห็นไหม เราก็คิดแต่จะหาความสุขความสบายกับชีวิตนี้ แล้วเวลาอยู่ทางโลกก็คิดว่า สิ่งนี้ เห็นไหม จะกว้านทุกอย่างไปเป็นสมบัติของเรา มันไม่พอกับกิเลสหรอก กิเลสมันต้องการสามโลกธาตุ มันไม่ต้องการโลกเดียวหรอก มันต้องการสามโลกธาตุเป็นสมบัติของมันคนเดียวเลย แล้วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเองมันก็อยู่ไม่ได้

นี่จิตนี้มันเป็นอนิจจัง มันมีวาระของมัน เห็นไหม มันมีอายุขัยของมัน มันจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ถ้ามันอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ตัวมันเองยังอาศัยตัวมันเองไม่ได้ แล้วมันจะไปยึดสามโลกธาตุเป็นของมันเป็นไปได้ยังไง แต่มันก็จะยึด มันยึดไม่ได้หรอกๆ แต่ด้วยตัณหาความทะยานอยากของมัน เห็นไหม มันจะเอาสามโลกธาตุเป็นสมบัติของมัน นี่แล้วเราเกิดมาในโลก เห็นไหม ก็ว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเราๆ ทั้งๆ ที่เราเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ นี่เวลามาบวชมาเรียนเป็นพระ เห็นไหม นี่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงขึ้นมา เห็นไหม ก็จะอ้างสมบัตินั้นเป็นของเราๆ มันไม่เป็นของเราหรอก เพราะเราเห็นชอบไปกับกิเลสไง มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่เป็นเรื่องของธรรม

เรื่องของธรรม เห็นไหม เรื่องของธรรม คนที่มีสติปัญญา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดในพุทธศาสนา เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม นี่มาบวชเป็นพระๆ เห็นภัยในวัฏสงสาร อยู่ในโลกของฆราวาส อยู่ในโลกของมนุษย์ เห็นไหม เราจะไม่มีโอกาสประพฤติปฏิบัติได้เหมือนกับโอกาสของพระ พระเป็นทางกว้างขวาง คฤหัสถ์เป็นทางที่คับแคบๆ โอกาสของเรา เห็นไหม เราต้องมีหน้าที่การงาน เราต้องมีความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ๆ หน้าที่อะไรล่ะ ใครมีหน้าที่สิ่งใดก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนอย่างนั้น ถ้ารับผิดชอบหน้าที่ของตนอย่างนั้น นี่ก็เป็นหน้าที่อยู่แล้ว หน้าที่เพื่อเลี้ยงชีพๆ

แล้วเวลามีสติปัญญาขึ้นมาก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ก็ขวนขวายๆ ก็อยากจะมีเวล่ำเวลาไง นี่สละเพศของฆราวาสมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นไปแล้วนี่ เห็นไหม เนี่ยยี่สิบสี่ชั่วโมง เนี่ยทางกว้างขวาง ทางโอกาสที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เวลาที่ทางโลกเขาแสวงหา ทางโลกเขาต้องการ พระมีสมบูรณ์แบบเลย ถ้าพระมีสมบูรณ์แบบ ทางที่กว้างขวางของเรา เห็นไหม เราพยายามที่จะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา นี่ให้มันเห็นตรงข้าม เห็นตรงข้ามกับกิเลสไง อย่าไปเห็นร่วมกับกิเลส

ถ้าเห็นร่วมกับกิเลส เห็นไหม เห็นร่วมกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไม่มีเมืองพอ เนี่ย มันจะเอาสามโลกธาตุเป็นสมบัติของมันก็ยังไม่พอ ทั้งๆ ที่มันเองก็อยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้ โดยธรรมชาติ ชีวิตนี้ เห็นไหม เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา คำว่าเป็นอนัตตา เป็นอนัตตามันเป็นโดยข้อเท็จจริงในสัจธรรม แต่หัวใจของเรามันไม่รู้ไม่เห็นไง หัวใจมันรู้มันเห็นแต่ว่าเป็นอัตตาๆ เป็นแต่ของเราๆ เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสมบัติของเรา มันเห็นว่าอย่างนั้น นี่เห็นร่วมกับกิเลสไง มันไม่เห็นตรงข้าม

มันต้องเห็นตรงข้าม การเห็นตรงข้ามขึ้นมานี่ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นสัจธรรม ศึกษานี่เป็นสัญญา ศึกษานี่เป็นทฤษฏี ทฤษฎีชี้จุดจบแล้ว ชี้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่เวลาคนศึกษา ศึกษาแล้วได้อะไรมา ก็ได้ทฤษฎีมาไง ได้ความจำนี้มาไง แล้วความจำขึ้นมาก็รวบรัดขึ้นมาว่า เห็นว่าเป็นสมบัติของเราไง เห็นสมบัติเป็นของเรา มันก็เห็นสมบัติโดยกิเลสไง โดยกิเลสไง นี่เป็นความจำๆ ของเราไม่ได้ ศึกษามาขนาดไหนเดี๋ยวก็ลืม เนี่ยทฤษฎีรู้ขนาดไหนเดี๋ยวก็ลืม

นี่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันสะเทือนใจมันก็เลี้ยวเข้าไปหาธรรมะนิดหนึ่ง ถ้าเลี้ยวเข้าไปหาธรรมะนิดหนึ่งก็ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ นี่พอมันบรรเทาทุกข์ได้แล้วเดี๋ยวมันก็ลืม พอลืมขึ้นมาแล้วมันก็ใช้ชีวิตหยำเปอยู่อย่างเดิม เนี่ยมันก็อยู่อย่างนั้น เพราะมันเห็นร่วมกับกิเลสไง เพราะกิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มันคาดมันหมายมันต้องการ มันไขว่คว้าทั้งนั้น แล้วมันไขว่คว้า ไขว่คว้าน้ำเหลว ไขว่คว้าสิ่งที่ไม่มีไม่เป็นไง สิ่งที่ไม่เป็นสมบัติของตนไง ไขว่คว้าแต่อากาศธาตุ ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตน นี่เวลาพวกเราบวชมาเป็นพระ เห็นไหม เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สติก็ไม่สติของเรา ศึกษามาอ่านจนกระดาษจะผุแล้วนะ อ่านจนทะลุเลย หนังสือนี่ค้นคว้าอ่านจนทะลุ เปิดแล้วเปิดอีกเลย สติก็คือสติอยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นของเราสักที

แต่เวลามาฝึกมาหัดขึ้นมา ถ้าเป็นของเราขึ้นมา ถ้าสติมันสมบูรณ์ มันไม่มีอะไรแผดเผาเราได้เลย นี่ ดูสิ พุทโธๆ เนี่ย สิ่งที่เรากระทำของเราเนี่ย คนที่เขาเหยียดหยาม คนเขาดูถูกกัน เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา หลวงตาท่านพูดเอง เนี่ยถ้าเกิดมีสติขึ้นมา ฝ่ามือสามารถกั้นน้ำพายุทะเลได้ นี่เวลาเกิดพายุใหญ่ในมหาสมุทรเนี่ย มันสามารถกางกั้นได้เลย เวลาสิ่งที่มันกระพือรุนแรงในหัวใจ ถ้ามีสติมันสงบระงับได้หมดเลย สิ่งที่มันเป็นไปเพราะมันขาดสติ ถ้ามันมีสติขึ้นมาแล้วอะไรมันจะมาแผดเผา อะไรมันจะก้าวล่วงเข้ามาในใจเราได้ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม นี่ดูสิถ้ามันเป็นสติจริงๆ สติที่เรากระทำขึ้นมา สติโดยข้อเท็จจริงขึ้นมาเนี่ย มันมีคุณค่าอย่างนั้น

แต่เนี่ยมันศึกษาๆ มันเป็นความจำทั้งนั้น ความจำก็ได้แค่นี้ เวลามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมันระลึกได้ก็ตั้งสติเสียที เวลาพอคุ้นชินขึ้นไปแล้ว เห็นไหม มันก็จางไป พอจางไป เห็นไหม เห็นร่วมกับกิเลสไง พอมันทุกข์มันยากมันเบาบางลง กิเลสมันฟื้นตัวขึ้นมา มันก็มีอำนาจบาตรใหญ่บนหัวใจ แล้วก็บีบบี้ บีบหัวใจของเรานะ จริงๆ มันน่าทุเรศ มันบีบบี้หัวใจของเราเองแท้ๆ ไอ้ตัวเองสำคัญตนผิด นี่เห็นร่วมกับมันไง ยอมเป็นทาสของกิเลสไง

เวลายอมเป็นทาสของกิเลสให้กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่าหัวใจ มันเหยียบจนมันบีบบี้สีไฟโดยการกระทำของกิเลส แต่เราไปเห็นร่วมกับมัน กลับไปชื่นชม กลับไปชื่นชมว่าเราคิดดี คิดถูก คิดมีปัญญา กลับไปเห็นร่วมกับมัน นี่ไง เห็นร่วมกับกิเลส เห็นไหม ทำลายไปหมดเลย ทั้งๆ ที่เรามีสติมีปัญญานะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารนะ โอกาส เห็นไหม ทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบนะ เนี่ยบวชเป็นพระๆ ทางที่กว้างขวางไง ทางที่กว้างขวางก็ทางในการนั่งสมาธิเดินจงกรมไง การศึกษาเล่าเรียนก็ได้ศึกษา ศึกษามาๆ เพื่อปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาอวดใคร ไม่ได้ศึกษาว่ามีปัญญามาก

พอศึกษาขึ้นมามากเป็นหมากัดกัน ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคละมุตตะมัง เขาพูดด้วยเหตุด้วยผล เวลาเขาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ใครมีเหตุผลที่เหนือกว่าก็ต้องยอมรับ ไอ้ที่หมากัดกัน เอาสีข้างเข้าถู เอาชนะคะคานกัน เอาแต่ว่าฉันมีปัญญาๆ ศึกษาธรรมะมาเป็นสัญญา สัญญาเสร็จจำมาๆ จำแล้วก็มาวิเคราะห์วิจัยขึ้นมา แล้วก็ไปโต้แย้งกัน โต้แย้งกันก็เป็นหมากัดกัน หมากัดกันเจ็บทั้งคู่ หมาสองตัวกัดกันไม่มีตัวไหนเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้เลย ไม่มีประโยชน์สิ่งใดๆ เลย เห็นไหม นี่เห็นร่วมกับกิเลส ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ควรที่เป็นประโยชน์ กลายเป็นประโยชน์ของหมา

มันไม่เป็นประโยชน์ของเราไง นี่ถ้าเป็นประโยชน์ของเรานะ ศึกษา สาธุ นี่ปริยัติ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราไม่ได้เหยียดหยาม เราไม่ได้ดูถูกดูแคลนใดๆ ทั้งสิ้น เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเห็นต่างไง นี่เราเห็นต่าง เห็นตรงข้าม ไม่เห็นร่วมกับกิเลสไง กิเลสมันไปศึกษามานี่ สาธุ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเรา ของเรายังไม่มี เนี่ยศึกษามาศึกษามาแล้วขวนขวายซิ ศึกษามานี่เป็นความจำ นี่ไปขโมยมา ไปจำมา เป็นแนวทาง เป็นปูนหมายป้ายทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สาวกสาวกะเป็นผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าสาวกสาวกะเป็นผู้ที่มีบารมีน้อย ผู้ที่ไม่มีความสามารถที่จะรื้อค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง เห็นไหม นี่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำไว้แล้ว ศึกษามาศึกษามาให้ค้นคว้า ไม่ได้ศึกษามาแล้วเคลมว่าเป็นของเรา ศึกษามาแล้วเห็นร่วมกับกิเลส ให้กิเลสไปยึดมั่นถือมั่น พุทธพจน์ๆ อะไรก็พุทธพจน์ พุทธพจน์ก็กิเลส เห็นร่วมกับกิเลส กิเลสมันก็บังเงาไง อ้างพุทธพจน์ๆ แล้วก็เหยียบย่ำธรรมวินัยไง เหยียบย่ำความเป็นจริงไง แล้วให้กิเลสมันฟูขึ้นมาในหัวใจไง แล้วมันก็เหยียบย่ำหัวใจ นี่มันบีบบี้สีไฟ เวลากิเลสมันบีบบี้สีไฟหัวใจของเราเนี่ย มันดูแล้วมันทุเรศๆๆ

แต่ไอ้คนที่ไม่รู้นี่อหังการ สำคัญตน สำคัญตนว่าเป็นธรรมๆ แล้วอ้าง คำก็พุทธพจน์ๆ อ้าว มันไม่เป็นพุทธพจน์ได้ยังไง นี่ไง อริยสัจก็เป็นอริยสัจไง สติปัฏฐานสี่ก็สติปัฏฐานสี่ไง กายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ก็เหมือนกันหมดไง นี่ชื่อไง มันก็ได้แต่ชื่อไง นี่มันเป็นชื่อของมันมาไง นี่ไง เห็นร่วมกับกิเลสไง กิเลสมันก็บังเงาสิ มันก็ไม่เป็นความจริงสิ

ถ้าเป็นความจริงสิ นี่เป็นความจริงๆ เห็นไหม ทางของนักบวช ทางของพระเราเนี่ย มันกว้างขวาง ถ้ากว้างขวางก็เปิดกว้างสิ เปิดกว้างมันเป็นของเราจริงเหรอ ถ้าเป็นของเราจริงมีความสุขจริงหรือเปล่า อย่าหน้าชื่นอกตรมนะ อย่าดีแต่รื่นเริงแต่ภายหน้า แต่ในหัวใจเศร้าหมอง ในหัวใจมีแต่ความทุกข์ความยาก

เวลาครูบาอาจารย์ของเราอ่อนน้อมถ่อมตน นี่เวลาพระอัสสชิ เห็นไหม เวลาพระสารีบุตรถาม เราบวชใหม่ พระอรหันต์แท้ๆ เลย เราเพิ่งบวช ธรรมะกว้างขวางไม่รู้หรอก รู้ไม่ได้ แต่ความจริงแล้วพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งนั้น ท่านมีมากน้อยแค่ไหนท่านเก็บไว้ในใจ ท่านไม่พูดออกมา เว้นไว้แต่ เว้นไว้แต่วันไหนหมู่คณะที่ภาวนา นี่ลูกศิษย์ลูกหาภาวนาแล้วมีปัญหาขึ้นมา อืม พูดมาสิ มีอะไรว่ามา ถ้าไม่มีคุณธรรมในหัวใจจะเป็นอาจารย์เราได้ยังไง จะเป็นอาจารย์ของเราได้ต้องชี้เข้ามาได้สิว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร เนี่ยสัจธรรมๆ มันเป็นยังไง นี่ไง หลวงตาท่านพูดประจำ พระเราทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้ใครจะทรง ถ้าพระเรา พระเราไม่มีธรรมไม่มีวินัยในหัวใจ ใครจะทรง ใครจะเป็น พระเป็นนักรบ ถ้านักรบมันต้องรบจริงๆ สิ ถ้ารบจริงๆ มันต้องเป็นความจริงขึ้นมาสิ

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันจะเห็นต่าง ถ้าเราเห็นต่าง เห็นต่างกับกิเลสของเรา ถ้าเราเห็นต่าง เห็นตรงข้าม เห็นตรงข้ามกับกิเลส เห็นตรงข้ามกับความมักง่าย เห็นตรงข้ามกับความสะดวกสบาย เห็นตรงข้ามหมด เห็นไหม ไม่ใช่ทุกข์นิยม เนี่ยอริยสัจ ไอ้พวกนี้พวกทุกข์นิยม ต้องทุกข์ไว้ พวกซาดิสต์ ใครบ้างไม่รู้จักสุขรู้จักทุกข์ ทุกคนก็รู้จักสุขรู้จักทุกข์ทั้งนั้น แต่ทุกคนเขามีเป้าหมายไง ทุกคนเขาไม่ให้กิเลสมันครอบงำไง เราไม่เห็นร่วมกับมันตลอดไป ถ้าเห็นร่วมกับมันตลอดไป โลกก็เป็นอย่างนั้น อุดหนุนจุนเจือกัน แล้วถ้าคนที่มีสติปัญญา เห็นไหม อันนั้นก็เป็นสมบัติของเขา

เราอยู่กับหลวงตาท่านพูดประจำ มันเป็นทรัพย์ของเขา ทานสมบัติ สิ่งที่เขาเสียสละ เขาจาคะของเขาเป็นสมบัติของเขา เราไม่สามารถจะไปบังคับเขาได้ ฉะนั้น เป็นสิทธิของเขา เขาจะมาทำบุญกุศลของเขา ฉะนั้น พระให้ระวังตัว พระต้องให้รู้หนักรู้เบา ต้องรู้จักกาลเทศะ ไม่ใช่จะไปคลุกคลีกับเขา เวลาท่านเตือนนะ อย่างอื่นท่านกันให้ได้หมด อย่างเช่นจะเข้ามาวุ่นวายในวัด จะเข้ามาครอบงำพระ ท่านจะไม่ให้เลย แต่เป็นสิทธิ์ของเขา เช้าขึ้นมาเขาจะมาทำบุญกุศลของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขาในพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นของบริษัทสี่ เขาก็มีสิทธิตามหน้าที่ของเขา ตามสิทธิของเขา เขาจะทำของเขา แต่เรา เราเป็นพระ เราต้องมีสติปัญญา อะไรที่มันเป็นคุณและเป็นโทษ เห็นแล้วนี่ต้องเจริญศรัทธา เจริญศรัทธาก็ศรัทธาไทย ภิกษุทำให้ศรัทธาไทยตกล่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เป็นอาบัติ

แต่ถ้าภิกษุโง่ ศรัทธานั้นมันฆ่าหมด มันทำลายทั้งนั้น นี่ไง เราจะเห็นร่วมหรือเห็นต่างล่ะ ถ้าเราจะเห็นร่วมกับเขา ต้องมีสติปัญญา ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ แล้ว เห็นไหม ท่านก็เชิดชูเพื่อหัวใจของเขา ถ้าหัวใจของเขานี่ก็เป็นหัวใจของเขา แต่ถ้าคนเรายังไม่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าเห็นร่วมกับเขา เดี๋ยวก็ไปตายกับเขา แต่ถ้าเราเห็นต่างกับเขา เห็นต่างกับเขาก็เพื่อจะเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าเอาตัวรอดได้แล้ว เห็นไหมเนี่ย เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตา เห็นไหม

“ท่านทำประโยชน์ได้กับโลกนี้มาก หมู่คณะคิดยังไงบ้าง..”

“โอ๋ มีความคิดเต็มหัวใจที่จะจดจารึก แต่ตอนนี้งานส่วนตัวมันยังไม่จบ”

“เออ ใช่ เอางานส่วนตนให้จบก่อน ถ้างานส่วนตนไม่จบแล้วเนี่ย ถ้ามาทำหน้าที่การงานหลายๆ อย่าง เดี๋ยวมันก็จะไปเป็นโลกหมด เดี๋ยวมันก็เห็นร่วมกับกิเลสหมด”

มันก็เป็นเรื่องของกิเลสไง ถ้าเรื่องของกิเลส กิเลสมันก็มีอยู่แล้ว โลกเทคโนโลยีของเขา เขาทำได้ทั้งนั้น เขาเจริญก้าวหน้า ใครเขาว่าโลกนั้นเจริญ ประเทศนั้นเจริญ มันเจริญด้วยวัตถุ มันแผดเผาหัวใจ เจริญด้วยวัตถุ เห็นไหม แล้วเราก็จะไปเห็นร่วมกับกิเลสไง สรรพสิ่งในโลกนี้ก็ต้องดีงามไปหมดไง จะส่งเสริมมาให้มันเทียมหน้าเทียมตาโลกไง เทียมหน้าเทียมตาโลกก็ไปเทียมหน้าเทียมตากิเลสไง

แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจนะ มันจะอับเฉา มันจะเหงาหงอย มันจะทุกข์มันจะยาก อันนั้นเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะเราเห็นต่างกับกิเลส กิเลสมันจะเห็นแต่ความสะดวกสบายอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ไม่ได้เห็นทุกข์นิยม ไม่ใช่อะไร แต่อยากจะเห็นทุกข์เพราะทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ มันจะเห็นอริยสัจ มันจะเข้าไปสู่สัจจะความจริง ถ้าเข้าสู่สัจจะความจริง มันจะทำความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม เราเห็นต่างกับกิเลส เห็นตรงข้ามกับมัน เห็นตรงข้ามกับกิเลส

ถ้าใครเห็นตรงข้ามกับกิเลส เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านเห็น พยายามคิดว่ามันต้องมีฝั่งตรงข้าม ถ้ามีฝั่งตรงข้าม ต้องมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่การไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อันนั้นมันยังไม่มีใครสามารถรื้อค้นขึ้นมาได้ ไม่มีใครเป็นคนชี้นำได้ ท่านถึงต้องแสวงหาของท่านเอง ท่านพยายามค้นคว้าของท่านเอง ค้นคว้าของท่านเองจนประสบความสำเร็จ เห็นไหม เสวยวิมุติสุขๆ ขึ้นมา สัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธกับพระธรรม เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มันถึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ไอ้นี่เหมือนกันมีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมรดกธรรมให้กับบริษัทสี่ เราเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาในพุทธศาสนา เราเป็นฆราวาส เห็นไหม เราก็เป็นอุบาสก เวลาเป็นอุบาสกแล้วเราอยากจะมีโอกาสในการปฏิบัติ เห็นไหม เรามาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระเราก็เป็นนักรบ เราเป็นนักรบนะ เราจะรบกับกิเลส เห็นไหม รบกับกิเลส ถ้าเราเห็นต่างกับกิเลส สิ่งนั้นมันจะมีโอกาสให้เราประพฤติปฏิบัติไง

ถ้าเห็นร่วมกับกิเลสไปแล้ว สถานะของฆราวาส เห็นไหม มันเป็นสถานะที่ต่ำต้อย เห็นไหม สถานะของนักรบ สถานะของพระมันเป็นอุดมชาติ อุดมชาติที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่ในหัวใจนี้ที่จะทรงธรรมทรงวินัย มันถึงยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่แล้วก็หลงตัวเอง หลงตัวเองก็คิดว่าตัวเองมีอำนาจ ตัวเองมีศักยภาพ ทุกคนเขาเคารพนับถือ แล้วก็รอให้เขาเข้ามาเคารพนบนอบ แล้วมันเลยกลายเป็นสอพลอ กลายเป็นสอพลอปอปั้น มันไม่มีใครได้ดีสักคน ผู้ที่สอพลอปอปั้นเขาก็ด้วยความเห็นด้วยปัญญาของเขา ไอ้นั่นปัญญาของฆราวาส ปัญญาของคฤหัสถ์เขา ไอ้เราปัญญาของภิกษุ ปัญญาของนักรบ ปัญญาของพระ ปัญญาของพระเป็นปัญญาในภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนา ถ้าปัญญาที่เกิดขึ้นจากภาวนา ภาวนามันมาจากไหน มันมาจากจิต จิตมันเคยสงบระงับขึ้นมาหรือไม่ ถ้าจิตมันไม่สงบระงับขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องสัญญาทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องสัญญา ก็เป็นสัญญาการศึกษา ศึกษาเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัตินี้ไง

ถ้าปฏิบัติได้เป็นจริง เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาฝึกหัดจนเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญามันจะเห็นสัจจะความจริง เห็นสติปัฏฐานสี่ตามความเป็นจริง แต่ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเราไง ถ้าเป็นความเป็นจริงของเรา เห็นไหม สถานะของนักรบ สถานะของพระ เวลาพระเนี่ยมันต้องมีสติมีปัญญาเข้ามาให้สมสถานะของนักรบ สถานะของพระที่จะมีปัญญา มีภาวนามยปัญญาไง พระถ้าไม่ทรงธรรมทรงวินัยใครจะทรง เห็นไหม พระถ้ามันปฏิบัติขึ้นมาไม่ได้ พระถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาขึ้นมา แล้วใครมันจะยืนยันธรรมะล่ะ

ธรรมะที่เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะยืนยัน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเรา สมัยที่ครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคละมุตตะมัง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกันนะ มันเป็นที่รื่นเริง เป็นที่อาจหาญ เป็นที่น่าภูมิใจไง ที่น่าภูมิใจ เหมือนสมัยพุทธกาล สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ออกพรรษาแล้วทุกคนขวนขวายจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไปรายงานผลการปฏิบัติเนี่ย จะจริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คอยแก้ไข คอยชี้นำ คอยคัดแยกอะไรผิดอะไรถูกไง อย่าไปเห็นร่วมกับมัน กิเลสอย่าไปเห็นร่วมกับมัน

ไอ้เรื่องความสุขๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละสถานะความเป็นกษัตริย์ ความเป็นกษัตริย์มา อยู่ในราชวังมันจะเอาไรล่ะ สมบูรณ์แบบไปทั้งหมดเลย ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละสภาวะแบบนั้นมา มาอยู่ป่าอยู่เขา มาอยู่แบบประชาชน มันมีอะไร มันไม่เหมือนสถานะของกษัตริย์หรอก แล้วสถานะของกษัตริย์ทุกอย่างประณีตไปหมด ทำไมท่านเสียสละมา เนี่ยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

แล้วเรามีสถานะอะไร เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระๆ เห็นภัยในวัฏสงสารนะ เรามีสถานะอะไรมา สถานะอะไรมา สถานะจะสูงจะต่ำขนาดไหน มันเป็นอำนาจวาสนาของการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนี้ สิ่งที่ได้มาๆ เนี่ย แต่ใครได้สร้างบุญญาธิการอย่างใดมา ถ้าสร้างบุญญาธิการมามันจะมีจริตนิสัย

จริตนิสัยนะ เนี่ยสิ่งที่ผิดมันไม่ชอบ มันไม่ชอบตั้งแต่จิตใต้สำนึกเลย สิ่งนี้ไม่ถูกต้องไม่ดีงาม ไม่สมควรแก่เรา ไม่เข้าไปยุ่งไปเกี่ยวเลย แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาเข้ามาสู่ธุดงควัตร เห็นไหม ฉันหนเดียว อาสนะเดียว ถือผ้าสามผืน มันเป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า ชอบหรือไม่ชอบ ถ้ามันมีอำนาจวาสนามันชอบ มันชอบนะ มันเป็นจริตนิสัยไง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ

“กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา ๘๐ ปีเท่ากัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ทำไมต้องถือธุดงค์ด้วย ถือธุดงควัตรเนี่ย ผ้าสังฆาฯ ปะถึงเจ็ดชั้น แก่ปานนี้ อายุเท่ากันเลย เหมือนกันเลย ทำไมเธอต้องทำ”

“โอ้ ข้าพเจ้าทำไว้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำเพื่อตัวเองอะไร ไม่ได้ทำเพื่อจะได้บุญกุศล เพราะพระอรหันต์ไม่ต้องการบุญกุศลอะไรอีกแล้ว พระอรหันต์สมบูรณ์หมดแล้ว”

“แล้วสมบูรณ์แล้ว จะทำทำไมล่ะ”

“ทำไว้เป็นหลักเกณฑ์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้อ้างเป็นคติธรรม ได้อ้างได้อิง”

พระกัสสปะเป็นเลิศในทางธุดงควัตร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ แล้วทำเพื่ออะไร ทำทำไม ทำเพื่อใคร ไม่ได้ทำเพื่อกิเลสของตัวเองเลย ไม่ได้ทำด้วยความอยากดังอยากใหญ่เลย เพราะพระอรหันต์ไม่มีความอยากดังอยากใหญ่ พระอรหันต์ไม่มีอะไรในหัวใจทั้งสิ้น แต่พระอรหันต์ทำขึ้นมาเพื่ออนุชนรุ่นหลัง อนุเคราะห์อนุชนรุ่นหลังที่จะทำตามๆ มา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชม ขอแลกด้วยสังฆาฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสังฆาฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองชั้น สังฆาฯของพระกัสสปะเจ็ดชั้น แลกเปลี่ยนมาเลย แลกมาเพื่อปลดเปลื้องภาระให้ไม่ต้องหนักหน่วง

เวลาคนทำคุณงามความดีเป็นความดีทั้งนั้น ถ้าความดีเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราไม่เห็นร่วมกับมัน เห็นตรงข้าม เห็นตรงข้ามกับกิเลส ถ้าเห็นตรงข้ามกับกิเลสนะ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วเนี่ย มันจะมีโอกาสไง ถ้าเห็นร่วมกับกิเลส กิเลสมันจูงจมูกไปเรื่อย มันจูงจมูกไปเพราะอะไร มันจูงจมูกไปเพราะว่ากิเลสมันชอบอยู่แล้ว ถ้ากิเลสมันชอบอยู่แล้ว สิ่งใดที่เหลวแหลก สิ่งใดที่เหลวไหล สิ่งใดที่หลอกลวง สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง หน้าไหว้หลังหลอก เนี่ยต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง โอ๊ย เรื่องของกิเลสหมดเลย เห็นร่วมกับมัน เห็นร่วมกับมันจะคนดีขึ้นได้ยังไง

ถ้ามันเห็นต่างๆ เห็นตรงข้ามเลย เห็นตรงข้าม เห็นตรงข้ามกับกิเลสนะ เห็นตรงข้ามกับกิเลสก็นี่ไง เห็นตรงข้ามกับกิเลส ธุดงควัตรไง สัลเลขธรรม ๑๓ ไง เวลาสนทนา สนทนากันแต่เรื่องความพ้นทุกข์ ไม่สนทนากันเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เห็นไหม เราบวชใหม่ๆ เหมือนกัน บวชใหม่ๆ เวลาบวชใหม่ๆ เราเพิ่งจากโลกนี้มา เวลาพระเขาคุยกันเรื่องโลกๆ ฟังแล้วฟังไม่ได้ เราไม่ฟังเลยนะ เพราะเราก็อยู่กับมันมาอยู่แล้ว ทุกข์ยากอยู่แล้ว อยากจะฟังธรรม อยากจะให้ครูบาอาจารย์แสดงธรรม แต่ก็บังเอิญ ด้วยวาสนามั้ง วาสนาเริ่มต้นเป็นแบบนั้น ไปเจอแต่หน้าไหว้หลังหลอก ไม่จริงซักคน ไม่จริงจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่สมัยนั้นครูบาอาจารย์ยังหนาแน่นนะ

หลวงตาท่านบอกเลยครูบาอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์ยังอยู่ ท่านไม่รับพระ ท่านบอกว่ามันมีที่พึ่ง เวลาครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปทีละองค์ๆ นะ ท่านถึงได้เปิดประตูวัดของท่าน ท่านบอกพอเปิดประตูวัดก็ ๔๐ เลย ๔๐ ๕๐ ไปนู่น ตอนนั้นท่านไม่รับเกิน ๑๘ องค์ ไม่ให้เกินนั้น เพราะเกินนั้นแล้วควบคุมไว้ไม่ทั่วถึง ดูแลไม่ทั่วถึงไง ท่านเอาน้อยๆ เอาแต่คุณภาพไง แล้วท่านก็บอกว่า มันยังมีอยู่ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ยังมีอยู่ คือว่ายังมีคนชี้นำอยู่ เหมือนกับโรงพยาบาลยังมีหมออยู่มากมาย คนเจ็บคนป่วยก็ไปโรงพยาบาลอื่นก็ได้ แต่เวลาโรงพยาบาลอื่นมันร้างหมดๆ แล้ว เห็นไหม ผู้ที่เป็นวงการแพทย์ หมอเขารู้กันเอง ว่ามีหมอจริงหรือไม่มีหมอจริง ถ้ามีหมอจริงแล้ว ท่านก็เห็นคนไข้ไปที่อื่นท่านก็สบายใจไง แต่เวลาถึงแล้ว เวลาโรงพยาบาลอื่นหมอนิพพานไปๆ เห็นไหม ท่านรู้แล้วว่าไปแล้วมันก็เป็นหมอพาณิชย์ทั้งนั้น มันหลอกเอาตังค์ทั้งนั้น ท่านถึงเปิดประตูวัดของท่าน เนี่ยเต็มเลย เข้ามาอัดอยู่นั่น นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริงเป็นจริงอย่างนั้นนะ สิ่งที่ว่าถ้ายังมีหมออยู่ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราบวชใหม่ๆ ไปไหนหน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้น ทั้งๆ ที่มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็ยังอยู่นะ อย่างหลวงตาท่านว่า ครูบาอาจารย์ยังมีที่พึ่ง ถ้ามีที่พึ่งแล้วท่านยังไม่เปิดบ้านของท่าน ให้ไปหาที่พึ่งนั่น แต่มันก็เป็นวาสนาของเราไง วาสนาของเรา เราไปเจออย่างนั้นเองไง เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงเป็นจังเราก็ไม่ได้พบได้เห็น ไปเจอแต่หน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้น เนี่ยพูดอย่างทำอย่างทั้งนั้น ไอ้เราก็ปฏิบัติของเราไป เห็นไหม เราก็พยายามตั้งธงของเราไป เวลาไปเจอการชี้นำที่หน้าไหว้หลังหลอก มันจะเป็นจริงได้ยังไง มันไม่เป็นจริงทั้งนั้น

เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่จริงๆ ท่านเคาะทีเดียวเท่านั้น อืม ยังงี้ใช่ พอยังงี้ใช่ พยายามเต็มที่เลย พยายามเต็มที่ไปแนวทางอย่างนั้น มันก็มีแนวทางไปได้ เห็นไหม มีแนวทางไปได้หมายความว่า เวลาภาวนาไปแล้วไปรู้เห็นสิ่งใด ทิ้งหมด ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งนั้น แล้วใช่คืออะไรล่ะ ใช่ก็พยายามตั้งสติเข้าไป เข้าสู่ความจริง มันต้องไปถึงความจริงได้ แต่ด้วยเห็นร่วมกับกิเลสไง ว่า โอ๊ย มันว่าง โอ๊ย มันสะดวก โอ๊ย มันใช่ ทั้งๆ ที่มันไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย แต่ก็โง่เชื่อมันได้เหมือนกันตอนนั้น

เวลาโง่นี่โง่บัดซบเลย เวลาหูตามันสว่างแล้วมันถึงมาพูดอยู่นี่ไง หน้าไหว้หลังหลอกๆ ไอ้คนที่ชี้นำหน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้น หน้าไหว้หลังหลอกต่อเมื่อเรามีหลักมีเกณฑ์ไง แต่ตอนที่ยังโง่อยู่ก็ยังเชื่อเขา พอเชื่อเขาก็ว่างๆ อืม น่าจะเป็นอย่างนั้น อวิชชาดับหมดแล้ว โอ้ มันเป็นนิพพาน บ้าบอคอแตกอยู่นั่น เพราะอะไร เพราะยังโง่ โง่บัดซบด้วย โง่ขนาดนั้นแล้วไปโทษเขาด้วยนะ โทษว่าไอ้พวกหน้าไหว้หลังหลอกมันสอนผิด ทั้งๆ ที่เราก็โง่

แต่เวลามันปฏิบัติไปๆ พอมันเห็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ขึ้นไป เพราะมันเต็มที่แล้ว ท่านบอกเลย ไอ้อย่างหยาบๆ มันสงบก็หยาบๆ ทั้งนั้น กลางๆ ยังมีเต็มเลย ละเอียดในหัวใจอีกมหาศาลเลย เออก็ใช่ มันก็จริงๆ นั่นแหละ แล้วทำยังไงล่ะ

ทำยังไงมันก็กลับมาทำความสงบใจให้มากขึ้น ไม่เห็นร่วมกับมัน เห็นตรงข้ามกับมันทั้งนั้น มันจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เห็นตรงข้าม ไม่เชื่อ เนี่ยพยายามของเราๆ มันจะปล่อยมันจะวาง เรื่องของมึง มึงจะปล่อยวางก็เรื่องของมึง กูไม่เชื่อ กูภาวนาของกูไป เห็นไหม มีเป้าหมายของเราไป ทำของเราไป พิจารณาซ้ำเข้าไปๆ มันก็เหมือนกับเราพยายามทำอยู่กับงานอย่างนั้น เราทำต่อเนื่องไปๆ มันจะเป็นยังไงให้มันเป็นไป มันจบแล้ว มันไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วก็ยังทำได้อยู่นี่ เวลาไม่มีแล้วทำไมทำได้ล่ะ ถ้าไม่มีแล้วมันต้องทำไม่ได้สิ ถ้าไม่มีแล้วทำไมยังจับได้ล่ะ ถ้าไม่มีแล้วทำไมยังพิจารณาได้ล่ะ ถ้าพิจารณาแสดงว่ามันมี มึงน่ะโง่ โง่บัดซบ เนี่ยซ้ำเข้าไปๆ เห็นไหม

มันจะพูด มันจะพลิก ปลิ้นปล้อนยังไง มันจะพลิกแพลงยังไง เนี่ย ไม่สน พยายามประพฤติปฏิบัติของเราตรงต่อสัจจะความจริง ตรงต่อธรรมเข้าไป พิจารณาของเราเข้าไป ทำความสงบของเรามากขึ้น พิจารณามากขึ้น เพราะ เพราะมันโง่บัดซบ โดนเขาหลอกมาพอแรงแล้ว มันตัดสินใจแล้วว่าไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อการปฏิบัติอย่างเดียว เชื่อการกระทำอันนี้ แล้วพยายามปฏิบัติของเราเข้าไป พิจารณาของเราซ้ำเข้าไป พอมันปล่อยวางขนาดไหน ทรงไว้กับความสุขนั้น แล้วพอมันคลายตัว พิจารณาต่อไป พิจารณาต่อไป พิจารณาต่อไป พิจารณาไม่ได้ อยู่กับความสงบนั้น พิจารณาต่อไป พิจารณาต่อไป

เพราะมันโง่บัดซบมาตลอด มันโง่บัดซบมาเนิ่นนานแล้ว แล้วก็อยู่ในสังคมปลิ้นปล้อนมาตลอด ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่จริงแล้ว ใส่เข้าไป ทำเข้าไป ครูบาอาจารย์ท่านก็อยู่กับเรานั่น แล้วทำขึ้นไปเพื่อพิสูจน์กัน เห็นไหม ก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ ภาวนาอยู่อย่างนั้น ผู้ที่ชี้นำก็นั่งรอเหตุว่าผลอยู่นี่ แล้วเรามันจะพลิกแพลงไปไหน เรามันจะเหลวไหลไปไหน มันเหลวไหลไปไหนไม่ได้ มันเหลวไหลไม่ได้เพราะมันมีครูบาอาจารย์ที่อ้างอิงได้ ไม่ใช่ว่าโง่บัดซบ แล้วก็สังคมปลิ้นปล้อน เนี่ยพยายามเชิดชูกัน สอพลอตอแหลอยู่อย่างนั้น

เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงก็นั่งรออยู่เนี่ย ปฏิบัติจริงๆ ต่อสู้จริงๆ ทำจริงๆ เนี่ย เวลาครูบาอาจารย์จะยอมรับไม่ยอมรับ มันก็เป็นการส่งเสริม ถ้าเป็นจริงๆ มันเป็นจริงจากการปฏิบัติ มันเป็นจริงกับปัจจัตตัง เป็นความจริงกับสันทิฐิโกที่จะเกิดขึ้นกลางหัวใจ มันถึงพยายามกระทำเข้าไปในหัวใจนั้น เห็นไหม เห็นต่างๆ เห็นต่างกับกิเลส เห็นต่างกับความมักง่าย เห็นต่างกับความสอพลอ เห็นต่างทั้งหมด แล้วทำจริงทำจังเข้าไปให้มันพิสูจน์กันๆๆ พิสูจน์ความจริงอันนี้ ความจริงในหัวใจที่มันเป็นจริงๆ หรือไม่เป็นจริง

ทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซาก อยู่กับความจริงนั้น ถึงเวลาแล้วความจริงก็จะเป็นความจริงวันยังค่ำ เวลาความจริงมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากสัจจะความจริงไง มันเกิดขึ้นจากหัวใจที่สงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาแล้วด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญามากน้อยขนาดไหน เห็นไหม ฝึกหัด พิจารณาวิปัสสนาอ่อนๆ จนพิจารณาได้เข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งจนศีลสมาธิปัญญาจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เวลามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา สัจธรรมมันเกิดขึ้น เห็นไหม มันเป็นสัจจะเป็นความจริงกลางหัวใจนั้น มันปล่อยมันวางของมันขนาดไหน มันก็พยายามทำให้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นๆๆ ความละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป พยายามทำของเราด้วยความสุขุม ด้วยความรอบคอบ

จงตั้งใจ ตั้งใจกระทำอย่างนั้น ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น โลกนี้ปลิ้นปล้อนทั้งนั้น สังคมหลอกลวง ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ท่านเก็บเนื้อเก็บตัวของท่าน ไอ้ที่ออกมาตอแหลกับสังคม ตอแหลทั้งนั้น สิ่งจริงๆ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับคุณธรรมในใจของท่าน เป็นแต่ว่าเรามีหูมีตามากน้อยแค่ไหน เรามีหูมีตา ถึงมีหูมีตา เราถึงจะเข้าถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงได้ ถ้าถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงได้ ท่านชี้ได้จริงๆ ท่านชี้ในหัวใจเราเลย เราทำได้มากน้อยขนาดไหน ท่านชี้มาเนี่ย ตรงสัจจะความจริงเลย

แล้วเราจะมีความสามารถแค่ไหน เราจะมีสัจจะแค่ไหน ทำของเราขึ้นมา พิจารณาของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรอบคอบ ด้วยความละเอียดของเราขึ้นไป เห็นไหม เห็นตรงข้ามกับกิเลสตลอด แล้วเราบอกว่าเห็นตรงข้ามกับกิเลสตลอด มันเป็นเรื่องความทุกข์ความยากตลอด มันเป็นเรื่องสัจจะ มันเป็นอริยสัจจะ มันเป็นเรื่องอริยประเพณี มันเป็นประเพณีของอริยเจ้า เป็นประเพณี เป็นประเพณีไง แล้วครูบาอาจารย์ท่านทรงธรรมทรงวินัย ข้อวัตรปฏิบัติมันทรงๆ ไว้ให้เป็นอริยประเพณีไง มันเป็นอริยประเพณี แต่มันยังไม่เป็นอริยจิตไง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเป็นสัจจะความจริงๆ ขึ้นไป เวลามันขาด อริยจิต จิตที่โง่งมงาย โง่บัดซบ โง่จนให้เขาหลอก เวลามันฝึกหัดในตัวมันเอง มันปฏิบัติของตัวมันเอง มันมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วมันมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีการกระทำ การกระทำอันนั้นมันเป็นมรรคเป็นผล การกระทำอันนั้นเป็นเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าดีแต่ฟัง ดีแต่การตรึก ดีแต่การนึกคิด มันไม่ใช่การกระทำโดยสัจจะโดยความจริง เวลามีสัจจะมีความจริง เราทำด้วยสัจจะด้วยความจริง มันก็เป็นการทดสอบทฤษฎีของครูบาอาจารย์ที่ท่านคอยชี้นำ ทฤษฏีนั้นคอยชี้คอยนำคอยบอก เห็นไหม ไอ้เราก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติ เป็นผู้ที่การกระทำให้มันเกิดขึ้นจริงจากกลางหัวใจไง

เวลามันโง่มันโง่บัดซบเลยนะ โง่จนให้เขาหลอกให้เขาลวง ให้เขาปลิ้นปล้อนหลอกลวงไง เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันเป็นจริงในหัวใจของเราขึ้นมา เวลาเป็นจริงในใจดวงนี้ เห็นไหม พอใจดวงนี้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว สังคมเป็นสังคม มันบัดซบก็ให้มันบัดซบของมัน เพราะอะไร เพราะมันด้วยอำนาจวาสนาของบุคคลอย่างนั้น มันด้วยอำนาจวาสนาของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เขาเห็นร่วมกับกิเลส เห็นร่วมกับความอยากดังอยากใหญ่ เขาเห็นร่วมกับเรื่องในใจของเขา

แต่ของเรา เราเป็นสัตว์อาชาไนย เราจะหลีกออก หัวใจเราพยายามจะหลีกออก ไม่เข้าไปร่วมกับเขา เราจะหลีกเข้าสู่ธรรมสู่วินัย พยายามกระทำของเรา ฝึกหัดของเรา ทำของเราขึ้นมาเป็นความจริงของเรา มันถึงเป็นสัจจะของเราไง

ถ้าเป็นสัจจะของเรา เห็นไหม ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมๆ ให้หัวใจของเราเนี่ยมันมีเพื่อน มีผู้กระทำ ไม่ใช่ว้าเหว่ ไม่ใช่อยู่คนเดียว ไม่ใช่หัวใจกำพร้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ธรรมวินัยเป็นศาสดา มีอยู่แล้ว แต่เราไปเห็นร่วมกับกิเลสไง กิเลสมันเลยผูกมัดไง ว่าเรากับกิเลสเป็นเพื่อนกันไง เรากับกิเลสเป็นร่วมกันไง ไม่เห็นร่วมกับธรรมไง ไม่เห็นร่วมกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การกระทำของเรามันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา เห็นไหม เราเห็นร่วมกับธรรมจนมันเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา เหตุนั้นทำให้เราปฏิบัติจนได้ผลไง ถ้าได้ผลขึ้นมา นั่นน่ะๆ อริยจิต เอวัง