เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ มี.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

  ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะเพราะอะไร เพราะสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตนี้มีค่ามาก มันมีค่า เห็นไหม เพราะเรามีชีวิตมา เรามีชีวิตมาเราถึงได้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของโลก ได้เห็นเพราะมีชีวิต เราได้เห็นสัจจะได้เห็นความจริงมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สิ่งที่มีชีวิตมันมีคุณค่า เพราะสิ่งที่มีชีวิตถ้ามันมีคุณธรรมนะ มันรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้ารู้จักผิดชอบชั่วดี คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาจะยืนอยู่ทวนกระแสสังคม สังคมมันพัดของมันไป แต่ถ้าเรามีผิดชอบชั่วดี ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีมันจะยืนต้านกระแสสังคมนั้น แต่ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาบารมี มันไหลไปกับเขา ถ้ามันไหลไปกับเขา นั่นน่ะ สิ่งที่ไหลไปกับเขา

เหรียญมีสองด้าน คนเกิดมามีอวิชชา มีความไม่รู้ว่าถูกหรือผิดอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าถูกหรือผิดอยู่ มีอำนาจวาสนาขนาดไหนมันก็เป็นอำนาจวาสนาทางโลกๆ ถ้าอำนาจวาสนาทางโลก เวลามาประพฤติปฏิบัติ มาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน งงเป็นไก่ตาแตก เวลาเป็นจริงๆ นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วจะสอนใครได้หนอ คำว่า "จะสอนใครได้หนอ" นี่มันลึกซึ้ง มันลึกซึ้งนะ

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร" ทั้งๆ ที่คนที่มันรู้แล้ว มันยังเห็นความมหัศจรรย์ในความรู้อันนั้นน่ะ คนที่รู้แล้วยังมีความมหัศจรรย์ในความรู้อันนั้น

ไอ้เรามันหางอึ่ง อวดรู้ อวดรู้เลยไม่รู้ไง อวดรู้ว่าเรามีการศึกษา มีความรู้มาก ความรู้มากอันนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นสิ่งนี้มาด้วยอำนาจวาสนานะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คนถ้ามีอำนาจวาสนา เห็นไหม ดูเด็กของเรา ลูกหลานเราถ้ามันมีอำนาจวาสนาตั้งแต่เด็กๆ เด็กๆ มันมีจุดยืนของมัน ดูสิ มันช่วยพ่อช่วยแม่ มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันนะ แต่ถ้ามันเหลวไหลๆ นั่นก็วาสนาของเขา แต่วาสนาของเขา ในทางจิตวิทยา เขาก็บอกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากกระแสสังคม ถ้ากระแสสังคมสภาวะแวดล้อมที่ดีจะขัดเกลาให้เด็กเป็นคนดี สภาวะแวดล้อมที่ดีจะทำให้คนเป็นคนดี สภาวะแวดล้อมที่ดี เราก็พยายามจะสร้างสภาวะแวดล้อมกันอยู่ๆ แต่คน คนทำไง สภาวะแวดล้อมอันนี้มันก็เป็นเรื่องจิตวิทยา เรื่องของโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เห็นไหม

เวลาเราค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย" เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วธรรมมันคืออะไรล่ะ ลัทธิศาสนาอื่นเขามีรูปเคารพของเขา เขามีที่ยึดเหนี่ยวของเขา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมคือกราบสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ไอ้พวกเราก็ดัดจริต "ธรรมะมีอยู่โดยดังเดิม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว" ดัดจริต แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันมีอยู่ มันอยู่ที่ไหน

เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาว่า "ธรรมะไม่เคยเสื่อมๆ" สัจธรรม สัจจะไง สัจจะ อริยสัจจะ สัจจะอันที่ละเอียดลึกซึ้งอันนั้น แต่คนถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีเข้าไปมันถึงจะเข้าสู่สัจจะอันนั้น

ไอ้เราแค่สำนึกผิดชอบชั่วดีมันยังไม่รู้นะ น่าเศร้า สิ่งที่ชั่วๆ มันไหลตามกันไปหมดเลย สิ่งที่ไม่ดีมันไหลตามกันไป สิ่งที่ดีๆ มันไม่ทำกัน เวลาทำก็บอกมันลำบากลำบน มันทุกข์มันยาก

อ้าว! ปลาเป็น ปลาเป็นต้องทวนกระแส ปลาเป็นมันไหล ดูสิ มันวางไข่มันต้องขึ้นไปต้นน้ำ มันต้องพยายามดิ้นรนของมันไปเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของมัน เวลามันวางไข่เสร็จแล้ว ดูสิ ตายหมด

ปลามันยังดิ้นรนของมัน ไอ้นี่เราเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าขึ้นมา เห็นไหม นี่ตามกระแสไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าตามกระแสไป เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงๆ นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ว่ามันมีอยู่โดยดั้งเดิม ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย นอนหลับไปมันก็เป็นพระอรหันต์เลย นอนหลับไปก็ถือว่าปฏิบัติแล้ว เพราะคิดกันอย่างนี้ เพราะทำกันอย่างนี้ไง มันถึงเข้าไม่ถึงสัจธรรมไง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ สมาธิหัวตอ สมาธิหัวตอคือว่ามันขาดสติ สมาธิหัวตอๆ

สมาธิหัวตอนี่อย่างหนึ่งนะ สมาธิหัวตอมันแบบว่าความบีบของสัญชาตญาณของมนุษย์เลย สมาธิหัวตอมันก็ตกภวังค์ มันยังไม่เข้าไปสู่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

เวลามันประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ ไปเจอจิตเดิมแท้ ไปเจอตอของจิตๆ นั่นน่ะตอแท้ๆ ตอแท้ๆ จิตปฏิสนธิจิต เห็นไหม ปฏิสนธิจิตมันสว่างไสว มันมหัศจรรย์ของมัน นั่นก็คือตอ ตอเพราะอะไร ตอเพราะมันสลัดทุกๆ อย่างเข้ามาแล้ว มันสลัดสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของมัน สลัดเข้ามาๆ สลัดมาเรื่อยจนถึงตัวมันเอง มันยังจับต้องตัวมันไม่ได้เลย

สิ่งที่ทำๆ ขึ้นไป ถ้ามันจะปฏิบัติตามความเป็นจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด" เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดเพราะอะไร เพราะจิตดวงนั้นมันมีมรรคมีผล มีมรรคมีผลเพราะมันมีสติมีปัญญาของมัน

มีสติ มีสติขึ้นมา พอมีสติขึ้นมา เหมือนทางโลกเขาไหลไปตามกระแส เราไม่ไปกับเขา แล้วไม่ไปกับเขา มันเป็นชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มน้อยมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

โดยธรรมชาติ ในสังคม คนโง่มากกว่าคนฉลาดมาก คนฉลาดน้อยกว่าคนโง่อยู่แล้ว แล้วเวลาคนฉลาดที่มันน้อยกว่าคนโง่ คนฉลาดนะ ถ้าฉลาดแกมโกง ฉลาดโลกๆ ก็ฉลาดเพื่อมวลชน ฉลาดเพื่อเอาสรรพสิ่งนี้มาอยู่ในอำนาจของเรา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาฉลาด ฉลาดเอาชนะใจของตน ฉลาดในใจของตัวๆ

สิ่งใดที่มันเป็นเล่ห์กล สิ่งนี้เวลาถือศีล เราจะไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำเพ้อเจ้อ ไม่พูดต่างๆ นี่ก็เหมือนกัน มันเพ้อเจ้อ เรารู้ได้ ถ้ารู้ได้ นี่ไง ถ้าเอาชนะใจของตน ถ้ามันฉลาด มันฉลาดอย่างนี้ไง ถ้าฉลาดอย่างนี้ เห็นไหม เจดีย์ ส่วนยอดมันก็อยู่น้อย ส่วนยอด ส่วนพื้นฐานมันกว้างมากเลย คนโดยทั่วไปเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ คนโง่มากกว่าคนฉลาดมาก เวลาคนโง่มันมาก คนโง่มันไหลไปตามกระแสนั้น แล้วเราคนฉลาดๆ แล้วไม่ใช่ฉลาดแบบโลก ฉลาดแบบแกมโกงไง คนฉลาดๆ ขี้โกงทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนซื่อก็กลายเป็นคนโง่ไปอีก เพราะมันซื่อ มันไม่ทันตัวมันเองไง มันซื่อ

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ ท่านเป็นคนที่มีสัจจะ คนที่มีสัจจะต้องเป็นคนที่มีปัญญา ปัญญา เห็นไหม คืนนี้จะนั่งตลอดรุ่งๆ พอตั้งสัจจะ ตั้งสัจจะแล้ว เวลาตั้งสัจจะต้องมีปัญญาเพราะปัญญาจะรักษาสัจจะอันนั้น ถ้าไม่มีปัญญาขึ้นมามันเหลวไหล มันก็บอกตั้งสัจจะแล้วเอาไว้ก่อน ไว้พรุ่งนี้ มันผัดผ่อนไปเรื่อย เพราะเราเป็นคนตั้งเองๆ เราเป็นคนแก้ไขเอง เราเป็นคนเหลวไหลเอง แต่มันก็อยากจะตั้งสัจจะไง

แต่ถ้าคนมีปัญญาขึ้นมา ทำไมเขาทำได้ ทำไมโดยปกติทำไมเราอยู่ได้ ทำไมเวลาเราตั้งสัจจะขึ้นมา ทำไมมันเป็นไปไม่ได้ นี่มันมีปัญญาขึ้นมาคิดเปรียบเทียบ ปัญญาขึ้นมาค้นคว้า ปัญญาขึ้นมาพยายามหาเหตุผล ปัญญาที่มันเสริมนะ เวลามีปัญญาขึ้นมาถ้ามันเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนนะ โฮ้! มันปล่อยหมดนะ โล่งหมดเลย มันทำได้ไง แต่ถ้าไม่มีปัญญาขึ้นมานะ เราเป็นคนทุกข์คนยาก คนเขามีความสุขทั้งนั้นเลย เรานี่มีแต่คนขี้ทุกข์ มันน้อยใจนะ เวลาไม่มีปัญญามันคิดอย่างนี้

เวลามีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันไล่เข้าไปๆ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้ แล้วทุกคนก็ปรารถนาแต่คุณงามความดีทั้งนั้น แล้วคุณงามความดีทั้งนั้น ศาสดาของเราเป็นแบบเป็นอย่างของเรา ใครจะบอกมันสะดวก ใครจะบอกมันสบาย ใครเขาจะบอกว่ามันเป็นปลาตายไหลไปตามน้ำ มันก็เรื่องของเขา เวลามีอุปาทาน เวลามันยังมีชีวิตอยู่มันก็คิดกันอย่างนั้นน่ะ คิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง คิดด้วยความรวบรัด คิดเอาทางลัดไง คิดด้วยความเห็นแก่ตัว คิดว่านอนเฉยๆ ไม่ต้องทำสิ่งใดเลยมันก็จะรู้ธรรมๆ

ถ้าเขาคิดอย่างนั้น ประสาเราว่ามันเสียโอกาสนะ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราขวนขวายของเรา มันจะทุกข์จะยากมันก็อำนาจวาสนาของเรา เราทำของเรามาอย่างนี้ ถ้าเรามีอำนาจวาสนาของเรา ถ้ามากกว่านี้ เราปฏิบัติแล้ว บัว ๔ เหล่า ถ้าบัวมันพ้นน้ำ บัวพ้นน้ำ มันได้แสงแดด มันบานสะพรั่งของมัน

ไอ้นี่เรายังพ้นจากน้ำไม่ได้ แล้วดีด้วย เรามีโอกาส ไม่เป็นอาหารของเต่า ไม่เป็นอาหารของสัตว์ สัตว์มันเที่ยวกินดอกบัวที่อยู่จมน้ำ ไอ้เราก็ยังพยายามดิ้นรนของเราอยู่ไง ไอ้เต่าที่มันจะกินก็ไอ้ความคิดนี่แหละ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันยุมันแหย่นี่แหละ ไอ้ที่มันจะทำให้เหลวไหลนี่แหละ เรายังไม่เชื่อมันไง เรายังไม่เชื่อมัน เรายังขวนขวายของเราอยู่ พยายามของเราอยู่ เราไม่เป็นเหยื่อของสัตว์น้ำไง เราขวนขวายของเรา ทำของเรา นี่เรามีโอกาส ถ้ามีโอกาสแล้วการกระทำของเรา ถ้ามีปัญญาๆ เห็นไหม ถ้าคนฉลาดมันไม่ขี้โกงไง

ส่วนใหญ่ฉลาดแล้วโกงหมด ฉลาดด้วยกิเลส บอกว่าตัวเองมีความฉลาดๆ ฉลาดกิเลสทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าฉลาดโดยธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ดูศีลสิ ศีล ๕ ไม่เบียดเบียนใครด้วยใดๆ ทั้งสิ้น ปาณาติปาตา เขาต้องทำให้สัตว์ตกล่วงถึงเป็นการฆ่าสัตว์ แล้วการกระทบกระเทือนเขาล่ะ การกระทำให้เขา เราไม่ทำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราไม่ต้องการให้ศีลของเรา ไม่ต้องการด่างพร้อย ไม่ต้องการเศร้าหมอง เราต้องการให้สะอาดบริสุทธิ์ของเรา ดูสิ อากาศ ใครๆ ก็ต้องการอากาศที่ดี อาหารก็ต้องอาหารที่ไม่เป็นพิษ แต่เวลาเราจะถือศีล เราจะทำของเรา เราจะเอาครึ่งๆ กลางๆ ใช่ไหม ถ้าเราจะเอาสะดวกสบาย

ถ้ามันมีปัญญาของมัน เราไม่หยิบฉวยของใครทั้งสิ้น ของเขาตกอยู่ เราก็เก็บแล้วคืนให้เขา ถ้าของเขาเก็บแล้วไม่มีเจ้าของก็วางไว้ เราไม่เอาใดๆ ทั้งสิ้น ทำสาธารณประโยชน์ทั้งสิ้น เราไม่ผิดลูกเมียของใคร เราไม่พูดจาโกหกมดเท็จทั้งนั้น ถ้ายังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ เราจะไม่พูดออกไป สิ่งที่พูดออกไปแล้วมันกระทบกระเทือนคนอื่น เราจะไม่เอาสิ่งมึนเมาใดๆ ทั้งสิ้น

ไอ้นี่มันธรรมเมา มันเมาอารมณ์เมาความรู้สึก เมาของตัวเองไงว่าเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมตรงไหน ถ้าเป็นธรรมมันมีสัจจะมีความจริงของมันนะ ถ้ามีสัจจะความจริงเขาจะมีจุดยืนของเขา มันแยกผิดถูกชั่วดีได้ชัดเจนนะ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก

สิ่งที่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เห็นไหม ไอ้มรรคหยาบๆ โลกที่เขาทำกัน ไปวัดไปวาถูกไหม ถูก แต่ถูกแล้ว ไปแล้วกาลามสูตร อย่าให้เชื่อ อย่าเชื่อแม้แต่เราพูด ไม่ให้เชื่อ ไม่ต้องเชื่อ พิสูจน์ ถ้าเชื่อนี่โง่

เวลาใครเข้ามานะ เวลาบอกว่า ไม่เชื่อหลวงพ่อหรอก

เออ! มึงเก่ง ถ้ามึงเชื่อกู มึงโง่น่าดูเลย เพราะอะไร เชื่อนี่มันเป็นของคนอื่นใช่ไหม ยืมเงินคนอื่นมาใช้ กู้เขามาใช้เป็นดอกเบี้ยท่วมท้น เราหาเงินเอง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สาธุ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาถึงยังโจทก์ว่าหลวงปู่มั่นไงว่า แม้แต่นั่งอยู่ตรงหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถาม

เขาบอกอย่างนี้แสดงว่าไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เคารพโดยสุดหัวใจ สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ได้ เราก็พยายามจะให้รู้ขึ้นมาอย่างนั้น แล้วรู้แล้วต้องไปถามใคร ถ้ามันรู้จริงไม่ต้องไปถามใคร แล้วเคารพไหม

โธ่! ของที่มันกระเสือกกระสนมาทั้งชีวิตนะ แล้วเวลารู้ขึ้นมาหลวงตาถึงบอกว่า "รู้ได้อย่างไรๆ" แล้วเรารู้ขึ้นมาๆ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วรู้อย่างไร รู้มันก็ต้องรู้ด้วยมรรคด้วยผล ถ้าศาสนาไหนมีมรรค มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีสมาธิมันก็มีความสุขแล้ว แต่มันก็ไปติดกันแค่นั้นน่ะ ถ้ามีสมาธิก็อ๋อ! นิพพานเป็นอย่างนี้เอง ว่างๆ อย่างนี้เอง

ว่างๆ ใครเป็นเจ้าของ ว่างๆ ใครเป็นผู้บริหารจัดการ บริษัทของเราตั้งไว้อย่างนั้นน่ะ โดนโกงหมด นี่ก็เหมือนกัน เอาเงินไปกองไว้กลางถนน ใครมันก็เก็บหมด เอาเงินตกไว้กลางถนน ใครจะเอามาคืนเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นสมาธิๆ แล้วสมาธิของใคร สมาธิเอามาทำอะไร ถ้าสมาธิเอามาทำอะไร มีเงินมีความสุขไหม มี มีเงินมีความสุขมากเลย แล้วมีเงิน คนเข้ามาพยายามจะหาผลประโยชน์จากเงินกองนั้น นี่ก็เหมือนกัน พอมีความสุขๆ ความสุขกิเลสมันก็สมุทัยเจือปนเข้ามา "นี่คือนิพพาน"...ไร้สาระ ถ้าคนไม่มีจุดยืน ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีได้แค่นี้แหละ แล้วก็บอกว่า "นิพพานเป็นอย่างนี้"...เป็นอย่างนั้นหรือ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล มรรคคืออะไร มรรคคือมรรค ๘ แล้วความสงบอย่างนั้นเป็นมรรคหรือ ถ้าเป็นมรรคก็มรรคโลกๆ ไง

นี่ไง สัมมาอาชีวะ เราประกอบอาชีพชอบ แล้วก็เรื่องอาชีพมีแต่คนทุกข์คนร้อนเท่านั้นน่ะ เราทำอาชีพอย่างนี้มันเป็นสัมมาอาชีพหรือไม่ เป็นโดยสุจริต โดยสุจริตของเรา ถ้าโดยสุจริต มันเป็นอยู่แล้ว

กิเลสนี่ร้ายนัก พอจะเริ่มทำความดีมันคอยทิ่มคอยตำนะ เวลาจะทำความชั่วมันไม่เคยห้ามเลย มันเปิดโล่งเลย นี่ก็เหมือนกัน อย่างนี้เป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่

มันเป็นฆราวาสธรรม มันเป็นอาชีพ เลี้ยงชีพเลี้ยงปาก แต่ถ้าพูดถึงจิตมันสงบแล้ว จิตสงบแล้วนะ เวลาเราคิดนั่นน่ะ คิดดีนั่นน่ะอาชีพชอบ คิดเลวนั่นน่ะมิจฉาอาชีวะ อาชีพของจิต จิตมันเสวยอารมณ์ มันก็เหมือนเราเลี้ยงชีพ แต่ใจ เวลาจิตมันสงบโดยสัจจะความจริงของมัน มันเหมือนน้ำใสที่อยู่ในแก้ว เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าแก้วนั้นมีน้ำหรือไม่มีน้ำ เพราะน้ำเต็มแก้วแล้วตั้งอยู่กับแก้วเปล่า แต่ถ้าเราจะรู้ได้อย่างไร เขาต้องเติมสีลงไป ถ้ามีสีมีกลิ่น เขาจะรู้ได้ว่าในน้ำนั้นมีสีมีกลิ่น

จิตใจของเราถ้ามันเป็นสัจจะความจริงของมัน ที่บอกมันตอๆ ตอนั่นน่ะ มันมีสิ่งใดที่จะให้มันรู้ได้ ถ้ามันไม่รู้ได้ แต่เวลามันทุกข์มันยาก เวลามันคิดนั่นน่ะ รู้ๆ รู้ๆ เลย รู้เพราะมันคิด จิตนี้เสวยอารมณ์ จิตนี้เสวยอารมณ์เลี้ยงชีพอย่างนี้ ถ้าเลี้ยงชีพอย่างนี้ นี่สัมมาอาชีวะ ถ้าสัมมาอาชีวะมันจะรู้ได้เลยว่าจิตคนมีมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนทำสมาธิเป็น ถ้าพูดอย่างนี้เข้าใจหมดเลย ถ้าคนทำสมาธิไม่เป็น "ก็ว่างๆ ก็เป็นสมาธิไง สบายๆ นั่นน่ะ"

สบายๆ ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป มันก็เปลี่ยนแปลงไปของมัน นี่ฤดูกาลนะ สิ่งที่มีชีวิตมันต้องมีสติมีปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของเรา สิ่งที่ว่าเราฉลาดไม่โกง

ฉลาดแกมโกงๆ ฉลาดแล้วก็ว่าธรรมะนี่เข้าใจ รู้ไปหมด ทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ จินตมยปัญญา ถ้าจินตมยปัญญานะ ถ้าไม่เป็นโทษมันเป็นทางผ่าน ถ้ามันไม่เป็นโทษนะ ถ้าเป็นโทษ เรายึดเราติดนั่ นน่ะเป็นโทษ ถ้าเป็นโทษนะ เป็นโทษที่เราไม่รู้ตัวนะ

แต่ถ้าเป็นโทษ คนที่มีสติปัญญา เป็นโทษแล้วเขาวาง เห็นโทษไง สิ่งใดที่เป็นโทษ สิ่งใดที่มีภัยกับเรา เราจะไม่เข้าไปข้องแวะกับมัน แต่นี่มันเป็นโทษ แต่เราไม่รู้จักว่ามันเป็นโทษ เราก็ว่าโทษเป็นเรา เรากับโทษเป็นอันเดียวกัน เราก็ยึดมั่นถือมั่นไปนั่นไง แต่ถ้าเรารู้ว่าโทษโดยความเป็นโทษ มันจะวางอันนั้น พอวางอันนั้นมันก็เข้าไปสู่ละเอียดขึ้นไปเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา มันภาวนาของมันขึ้นมา

นี่ไง สิ่งที่ว่าเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดๆ แล้วถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นผลของวัฏฏะ ชีวิตนี้มีค่ามาก มีค่าขึ้นมา คนที่มีชีวิตยังเห็นสภาวะเปลี่ยนแปลงของสังคม คนที่มีชีวิตยังปากกัดตีนถีบ เวลาบอกชีวิตนี้มันทุกข์มากนะ ชีวิตนี้มันทุกข์มากนะ ความทุกข์อย่างนั้นมันเป็นความทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกคนต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีพ แล้วถ้าวิตกกังวลเกินไป มันก็วิตกกังวลเกินไป

พระ ทางโลก ไม่มีอาชีพแข่งขันกับโลก อาชีพของพระคือภิกขาจาร มันภิกขาจาร มันไม่มีอะไรแน่นอนทั้งสิ้น เวลาเป็นพระเด็กๆ นะ เวลาธุดงค์ไป บิณฑบาตไม่มีใครใส่ วันนั้นกินลมนะ กินอาหารทิพย์ ไม่มีอะไรเลย กินลม

ไอ้นี่พูดถึงว่า เวลาจะเติบโตขึ้นมาแต่ละคน มันไม่ใช่เกิดมาก็มีคนศรัทธาเลย ไม่มีหรอก ครูบาอาจารย์ของเราทุกข์ยากมาทั้งนั้นน่ะ เวลาจะผ่านมาตั้งแต่พระน้อย พระเณรน้อย พระน้อยขึ้นมา พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วหลวงตาท่านพูดบ่อย เราจะซึ้งมาก เวลาท่านพูดนี่เราซาบซึ้งจริงๆ ท่านจะพูดให้คนที่เข้าใจได้ฟังไง "เราเคยเป็นพระน้อยมาก่อนนะ เราเคยเป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อน" เวลาท่านเป็นพระเล็กพระน้อยมาก็เหมือนพระบวชใหม่ ไม่มีใครรู้จักหรอก

"เราเคยเป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อน" ถ้าคนที่เป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อน มันต้องผ่านอุปสรรคมาทั้งทางความเป็นอยู่ ผ่านอุปสรรคมาทั้งกิเลสมันบีบคั้นหัวใจ มันผ่านอุปสรรคมาทั้งนั้นน่ะ

ท่านบอกว่า "ท่านเป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อน" ท่านพูดแค่นี้ แต่เราฟังแล้วซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งที่บอกว่า ท่านก็ทุกข์ยากมาก่อน ท่านก็รู้ถึงประสบการณ์ทางโลก ท่านพูดนี่ท่านเตือนพวกเรา อย่ามาฉ้อฉล อย่ามาบังเงา เพียงแต่ว่าท่านเตือนสติๆ

ท่านพูดประจำเวลาท่านเทศน์ไป ท่านบอกว่า "เราเป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อนนะ เราเป็นเบี้ยกลางเรือนมาก่อนนะ" เวลาพระเล็กพระน้อยเป็นอย่างนั้นน่ะ

ฉะนั้น ถ้าบอกว่า สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ถ้าเวลาปัจจัยเครื่องอาศัยแล้วถ้าเรามีประสบการณ์ของเรา เรารักษาชีวิตของเราได้ เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา นี่งานของพระๆ งานจริงๆ ของพระคืองานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา งานของพระเป็นการรื้อค้นหากิเลส งานของพระพยายามสร้างสมขึ้นมาให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเพื่อทำลายกิเลส เพื่อฆ่ามัน

การทำลายล้าง ในศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามหมดเลย เว้นไว้แต่การฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญมากนะ ถ้าใครฆ่ากิเลสได้ ใครฆ่าพญามารได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ แต่ไม่ให้เราเบียดเบียนกัน ไม่ให้ทำลายกัน ไม่ให้ทำให้สังคมมีความกระทบกระเทือนกัน นี้คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาฆ่าให้ฆ่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ความทุกข์ความยาก ไอ้ที่มันเอามาปลิ้นปล้อนในใจเรา ให้ฆ่าอันนั้น

นี่ไง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ถ้ามีธรรมอันนี้เกิดขึ้นมาแล้ว นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนัตตาทั้งนั้นน่ะ ถึงที่สุดแล้วอกุปปธรรม อกุปปธรรมที่ไม่เป็นอนัตตา

ถ้ามันเป็นอนัตตา มันจะเป็นสมบัติของผู้นั้นได้อย่างไร ถ้ามันเหนือโลก เหนือสงสาร เหนือวัฏฏะ มันเหนืออย่างไร มันเหนืออยู่ที่ไหน นี่ไง ชีวิตมีค่า มีค่าอย่างนี้ เวลาธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม นี่เขาพูด แต่ถ้าสัจธรรมเป็นความจริงอย่างนี้ มันมีสัจจะความจริงเป็นของมัน เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะใจดวงนั้น ใจดวงนั้นทุกข์ยาก ใจดวงนั้นค้นคว้า ใจดวงนั้นรู้จำเพาะใจดวงนั้น เอวัง