แก้วสามดวง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
หลวงพ่อ : คำถามอันนี้แปลก
ถาม : เรื่อง “ขออนุญาตกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ค่ะ”
กราบน้อมองค์หลวงพ่อ ลูกขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ ลูกนี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป หาเช้ากินค่ำ ไม่เคยสนใจทางปฏิบัติเลย จนเมื่อลูกได้ดูทีวีช่องหลวงตา แต่ตอนนั้นมันก็ช้าไปแล้วคือปี ๕๔ เจ้าค่ะ หลวงตาท่านนิพพานไปแล้ว ลูกก็เสียใจมาจนทุกวันนี้ว่าลูกมีวาสนาได้เห็นองค์หลวงตาแค่ในทีวี
ตั้งแต่ลูกหันหน้าเข้ามาฟังธรรมบ้าง ลูกจึงเป็นผู้คนขึ้นมาบ้าง (แต่ก็ยังมีกิเลสหนาอยู่เจ้าค่ะ) จากนั้นลูกเริ่มหันมาถือศีล ๕ หัดภาวนาอยู่ที่บ้านบ้าง คือลูกอาศัยฟังเทศน์หลวงตาและหลวงพ่อเจ้าค่ะ คือลูกมีครอบครัวแล้วเจ้าค่ะ แต่ก่อนลูกก็ตระเวนไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์คือพระลูกศิษย์หลวงตา ก็ไปหาไปทั่ว จนมีวันหนึ่งลูกได้หนังสือหลวงพ่อที่สวนแสงธรรมและมีพี่กัลยาณมิตรท่านบอกลูกว่า“ได้ไปกราบครูบาอาจารย์มาหลายองค์แล้ว ไปกราบหลวงพ่อสงบหรือยัง”
ดังนั้น ลูกจึงได้มากราบหลวงพ่อที่วัดเจ้าค่ะ มาใส่บาตรฟังธรรมครั้งแรก ถึงได้เข้าใจว่า คำของหลวงตาที่ว่าลงใจครูบา-อาจารย์มันเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ลูกก็มาใส่บาตรฟังธรรมหลวงพ่อก็ปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ ลูกจึงกราบขอเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์สักคนได้ไหมเจ้าคะ ลูกไม่เคยไปภาวนาอยู่วัดเลย แต่ถ้าไปลูกขอภาวนาอยู่วัดหลวงพ่อเจ้าค่ะ แต่เรื่องของลูกเป็นคนกลัวผี จึงอยากขอคำอนุญาตจากองค์หลวงพ่อเป็นขวัญกำลังใจเจ้าค่ะ
ด้วยความเคารพต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
ตอบ : อันนี้พูดถึงคนเรามีวาสนาไม่มีวาสนานะ ถ้ามีวาสนา เห็นไหม เรายังได้ไปเห็นไง ไปเห็นหลวงตาในทีวีก่อน ไปเห็นหลวงตาในทีวี แต่พอไปเห็นเข้า หลวงตาท่านนิพพานไปแล้ว มันเป็นอำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าอำนาจวาสนาของคน เวลาพูดถึง เวลาพูดถึงครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านจะยกย่องหลวงปู่มั่นมาก ครูบาอาจารย์ท่านจะยกย่องหลวงปู่มั่นมาก ในสายประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้เขามีสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ว่าสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์
ครูบาอาจารย์ปฏิบัติในสายอื่น คือว่า พระภิกษุในเมืองไทย ๔ - ๕ แสนองค์ ฉะนั้น ๔ - ๕ แสนองค์ เวลาประพฤติปฏิบัติมาก็ขวนขวายกันมา แต่ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนนั่นเรื่องหนึ่ง แต่เวลาที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมามันก็มีสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แต่สายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่เคารพน่าเชื่อถือ เราฟังหลวงตาท่านพูด มันมีลูกศิษย์ไง มีฆราวาสเขาไปศึกษาอ่านประวัติหลวงปู่มั่น อ่านปฏิปทาสายหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็มีศรัทธามาก เวลาท่านขวนขวายหาที่กราบครูบาอาจารย์นี่แหละ เสร็จแล้วก็ไปกราบหลวงตาที่วัดป่า-บ้านตาด แล้วท่านก็ไปสรรเสริญอย่างนี้
“อู๋ย! ดิฉันศรัทธามากค่ะ ดิฉันศรัทธามากค่ะ ดิฉันศรัทธาสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น”
หลวงตาท่านพูดขึ้นมาคำหนึ่งไง ท่านพูดเอง “เรามั่นใจว่าพระภิกษุในสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและเลว” ท่านว่าอย่างนี้นะ “มีทั้งดีและเลว มีทั้งผู้ปฏิบัติได้และผู้ปฏิบัติไม่ได้” ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ได้ถ้าเป็นคนดีอยู่ก็ยังอยู่ในศีลในธรรม อยู่ในศีลในธรรม ถ้าไม่มุสาเสียอย่างหนึ่ง ดูฆราวาสเขาผิดศีล ๕ ผิดศีล ๕ ศีล ๕ คือโกหกไง มุสา แต่ถ้าเป็นพระขึ้นมาถ้ามันมุสา มันก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทั้งนั้น ถ้าไม่มุสาก็เป็นพระที่ดีไง ทีนี้สายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มี พระที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลก็มี พระที่เข้ามาหาผลประโยชน์ก็มี
ฉะนั้น เวลาท่านพูดบอกว่า “เรามั่นใจว่าในสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีทั้งที่ดีและเลว” แล้วเวลาท่านพูดอย่างนั้น พูดทำไม พูดเพื่อว่าเวลาคนที่ศรัทธา ศรัทธามากนะ แต่เวลาศรัทธาแล้ว ด้วยศรัทธา ศรัทธา เห็นไหม มันปิดหูปิดตา ก็เชื่อฟังกันไปหมด ขวนขวายไปหมด แต่ถ้าวันไหนไปรู้ว่าผิด ไปรู้ว่าผิดหรือว่าไม่ถูกต้อง โอ๋ย! มันเสียใจมากนะ ถ้ามันเสียใจมาก ศรัทธาเขาแบบว่าเขาจะถอนยวงไปเลย แต่ถ้าบอกไว้ก่อน เวลาการวินิจฉัยของหลวงตา การวินิจฉัยของท่าน เขามีศรัทธามีความเชื่อมาก เขาลงใจมาก แล้วด้วยบุญกุศลของคนมันไม่เหมือนกันใช่ไหม ถ้าบุญกุศลของคนถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงาม มันก็ชักไปที่ถูกต้องดีงามทั้งนั้น
แต่ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ครึ่งๆ กลางๆ ก็อย่างหนึ่งนะ ครึ่งๆ กลางๆ คือว่าเขาก็ทำตัวว่าเป็นพระปฏิบัติ แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ไปถามเรื่องปฏิบัติก็เฉไฉพาออกนอกลู่นอกทาง เลวที่สุดเลยก็แบบว่าไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย จะเอาแต่ผลประโยชน์ของตนอย่างเดียว จะเอาแต่ศรัทธาของเขา จะเอาแต่ผลประโยชน์ของเขา อันนั้นยิ่งเสียหายใหญ่เลย ถ้าเขาไปเจออย่างนั้น ถ้าเวลาเขาปฏิบัติของเขา เขาใช้ปัญญาของเขา ถ้าเขาใคร่ครวญแล้วว่ามันไม่ใช่ ถ้ามันไม่ใช่เขาก็จะได้รักษาศรัทธาของเขาไว้ แล้วก็จะแสวงหาครูบาอาจารย์ต่อไป หรือถ้าปฏิบัติแล้วมันถูกต้อง นี่ท่านถึงได้บอกว่า “ในสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและเลว”
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาบอกว่า “เขามาได้เห็น ได้เห็นหลวงตาแต่เฉพาะในทีวี เฉพาะแค่ในทีวี แล้วพอมีศรัทธามีความเชื่อแล้วก็เสียใจว่าไม่ทันหลวงตาๆ”
เราก็เสียใจเหมือนกันว่า เราก็ไม่ทันหลวงปู่มั่นเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราก็เสียใจว่ามันไม่ทัน มันเป็นยุคเป็นสมัยนะ เป็นยุคเป็นสมัย ฉะนั้น ถ้าเป็นยุคเป็นสมัยแล้วถ้าเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก แก้วสามดวง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าพระสงฆ์นะ พระสงฆ์คือตั้งแต่พระอริยเจ้าขึ้นไป ถ้าเราคิดว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็ยังขวนขวายของเราอยู่ แล้วมันยังมีที่ว่าหลวงตาท่านบอกว่า “ท่านเสียดายมาก สมัยหลวงปู่มั่นมันยังไม่มีเทป แล้วเทปคาสเซทสมัยก่อนเหมือนตู้เย็นเลย ใหญ่โตมาก” ท่านบอกว่า “ท่านเห็นครั้งแรกที่เขาเอามาที่วัดป่าสุทธาวาส ก็วันที่หลวงปู่มั่นท่านเสียไปแล้วไง”
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ไว้ ใครที่มีสติปัญญาก็ได้จดจารึกกันไว้ จำกันไว้ ดูมุตโตทัยๆ หลวงตาท่านบอกว่า มุตโตทัยถ้าได้ฟังจากปากของหลวงปู่มั่นนะ ท่านบอกเข้มข้นกว่านั้น เพราะว่าเวลาหลวงปู่มั่นเทศน์มุตโตทัย หลวงตาท่านก็ได้นั่งฟังอยู่ด้วย แล้วทีนี้ที่เวลาจดจารึกกันมา เขาจดจารึกกันมาคือจำมาแล้วก็มาจดจารึก มันก็มีอยู่ ๓ - ๔ สำนวนในมุตโตทัยนั่น เวลาจำมา คนที่จำมา เห็นไหม ถ้าจิตใจของคนเป็นธรรม ถ้าจำมามันเข้าใจ มันเข้าใจลึกซึ้งเหมือนกัน ออกมาเนื้อหาสาระมันก็เข้มข้น
ถ้าเราเข้าใจของเรา เห็นไหม เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าวิทยาศาสตร์ “อืม! หลวงปู่มั่นท่านพูด มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ มันต้องลึกกว่านี้” เอาความเห็นตัวบวกเข้าไปแล้ว อวดรู้อวดเห็น อวดว่าตัวเองมีความสามารถแล้วก็เขียนไง เพราะถ้าเขียนตามหลวงปู่มั่น เพราะเราไม่เข้าใจ มันก็ไม่ยอมรับใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่าน่าจะเป็นอย่างที่เราคิด มันก็บวกเข้าไป มันถึงบอกว่าสำนวนมุตโตทัยที่ ๓ - ๔ สำนวนนั้น ท่านบอกว่ามันก็คลาดเคลื่อนไปบ้าง บางอย่างก็คลาดเคลื่อนไปเลย
นี่พูดถึงว่า สมัยนั้นมันยังไม่มีเทป แต่สมัยปัจจุบันตั้งแต่หลวงตา เห็นไหม ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ เราเห็นนะ ๒๕๐๓, ๒๕๐๔, ๒๕๐๕ ท่านได้อัดเทปไว้แล้ว เพราะท่านเห็นโทษอันนั้น ท่านได้อัดเทปแล้ว มันถึงมีร่องมีรอย เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก อภิธรรมปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าวางไว้ เทศน์ของครูบาอาจารย์ เห็นไหม ท่านเทศนาว่าการอัดเทปไว้ แล้วเราได้ยินได้ฟัง เราจะบอกว่า โยมแค่เห็นในทีวีก็เป็นวาสนาของโยมแล้วล่ะ เพราะว่าท่านนิพพานไปแล้ว แล้วเวลาได้เห็นในทีวีแล้วมีศรัทธามีความเชื่อมาก เห็นไหม ฉะนั้น เวลาที่ว่า ถึงได้ เห็นไหม “ตั้งแต่ลูกที่หันหน้าเข้าสู่ธรรมไง เข้าสู่ฟังธรรม ลูกถึงเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”
เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้า เราได้ฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ จากสิ่งที่ว่าเมื่อก่อนเราว่าเราถูกไปทั้งนั้น เราคิดอะไรเราว่าเราทำถูกทั้งนั้น แต่เวลามีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีธรรมะของหลวงตามาขัดเกลาในใจของเราไง ขัดเกลาๆ ถ้าความรู้ความเห็นของเราก็ความรู้ความเห็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นของเราไง ถ้ามีธรรมะขึ้นมาก็มาขัดเกลาความรู้ความเห็นของเรา เห็นไหม ความรู้ความเห็นของเราได้ขัดได้เกลาขึ้นมา มันก็ถูกต้องดีงามขึ้นมา เห็นไหม
เขาบอกว่า “ตั้งแต่เขาหันมาเรื่องธรรมะ เขาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา” คือว่าดีกว่าเก่า ตัวเขาเองเขาเป็นคนบอกตัวเขาเองดีขึ้น ดีกว่าเดิม ถ้าดีกว่าเดิมทั้งๆ ที่ว่าหลวงตานิพพานไปแล้ว แต่ธรรมะของหลวงตาสิ่งที่ท่านได้ออกวิทยุได้ออกทีวี เราได้ยินได้ฟังขึ้นมา มันยังมาขัดเกลาให้เราดีขึ้นเลย แล้วเขาก็บอก “เขาก็เริ่มแสวงหา ฝึกหัดปฏิบัติของเขาขึ้นมา” ถ้าปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันจะปฏิบัติเราก็ปฏิบัติเพื่อเรา ถ้าปฏิบัติเพื่อเรา เห็นไหม ถ้าปฏิบัติเพื่อเรา เวลาเราบอกว่า “ถ้าจะปฏิบัติ เวลาจะมาปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อ ลูกก็เป็นคนกลัวผี”
ถ้าคนกลัวผี เห็นไหม เพราะมันยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ยังไม่ทำสิ่งใดเลย มันก็วิตกวิจารณ์ของมันไป ธรรมชาติของคนก็มีความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา กลัวว่าเราจะไม่เสมอหน้า เทียมหน้าเทียมตาเขา กลัวว่าเราทำสิ่งใดจะไม่ประสบความสำเร็จ กลัวไปหมดเลย ความกลัว แล้วพอความกลัว เวลาคนฝึกหัดขึ้นมา เห็นไหม กลัวผีๆ บอกพอหายกลัว เขาบอกหายกลัวเขาบรรลุธรรม ไม่ใช่! ความกลัวมันเกิดดับ สรรพสิ่งมันเกิดดับ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราวิตกวิจารณ์ของเรา เราคิดของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องผีเรื่องสาง เรื่องสิ่งที่เรากลัวมันก็กลัวซ้ำกลัวซากนั่นแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาจะบอกว่า “เวลาหันหน้าเข้ามาสู่ธรรมะ ฟังธรรมหลวงตาเป็นผู้เป็นคนดีขึ้น” นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฟังธรรมๆ เราเอาสิ่งนั้นมาขัดเกลาหัวใจของเรา ถ้าผีเวลากลัวคนอื่นทำไมไม่กลัวตัวเราเองล่ะ ตัวเราเองจิตวิญญาณของเราก็อยู่ในร่างกายเราหนึ่งวิญญาณคือตัวของเรา ถ้าเป็นผี ตัวนี้ก็เป็นผี ถ้าเราทำความดีความชอบ ถ้าเราไม่เบียดเบียนใคร ผีอะไรมันจะมาเบียดเบียนเรา ไม่เบียดเบียนเราหรอก
แต่ถ้าเรายิ่งกลัวอย่างนี้ กลัวอย่างนี้มันก็เป็นอุปาทานอยู่อย่างนี้ จะมองสิ่งใดก็แล้วแต่ก็เป็นผีไปหมด มองอะไรก็บอกว่านั่นก็กลัวผีๆ มันก็สร้างภาพขึ้นมาว่าเป็นผีขึ้นมาจนได้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา ไอ้ผีในใจเรานี่ ไอ้จิตวิญญาณของเรามันยิ่งน่ากลัว น่ากลัวเพราะอะไร น่ากลัวเพราะมันไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตัวเองเพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง
แต่ถ้ามันรู้จักตัวเองขึ้นมา พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตสงบขึ้นมา ถ้ามันรู้จักตัวเองขึ้นมา ผีก็หายไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นพุทธะ แต่ถ้ามันไม่เป็นพุทธะ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ยังเป็นผีอยู่ เห็นไหม ถ้าเป็นผีอยู่ เป็นผี ผีดูดเลือด ผีกระหาย เที่ยวจะไปกว้านเอามาเป็นสมบัติของเรา ไอ้ผีตัวนี้มันร้ายกาจ เห็นไหม ไอ้ผีตัวนี้
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรารู้เท่าขึ้นมานะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไอ้ผีตัวนี้มันได้ขัดเกลา ขัดเกลาด้วยธรรมะขึ้นมา มันรู้เท่าทันตัวเอง ผีข้างนอกจบ จะไปปฏิบัติที่ไหนมันก็เริ่มไม่กลัวแล้ว ไอ้ผีของเรา ในจิตใจของเรา เราได้ทำคุณงามความดีของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าพุทธะอยู่ในหัวใจของเรา เราจะไปกลัวอะไร เราจะไม่กลัวสิ่งใดเลย
มันวิตกวิจารณ์ไปก่อน เพราะมันมีนิทานที่เขาเล่ากันไง อย่างเช่น เรานี่ เรากลัวผีมากเลย เวลาเราตายไปแล้วอย่าเอาศพไปไว้ป่าช้านะ กลัวผี มันวิตกวิจารณ์ขึ้นไปนู่นน่ะ เวลาตายไปแล้วไม่มีใครเอาไว้หรอก เขาต้องทำฌาปนกิจ ต้องทำให้เสร็จสิ้นไป ถ้าไม่เสร็จสิ้นไปมันคาราคาซังอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก คนเราตายแล้วเขาก็ฝัง เผา แล้วแต่มันจะจบสิ้นไป จะบอก “เวลาตายแล้วห้ามทำอะไรทั้งสิ้นเลยนะ เก็บไว้ในบ้าน ยังรักครอบครัวอยู่ ห่วง ไม่อยากไปไหน” เป็นนิทานน่ะนิทานเวลาคนเขากลัวผี เขาสั่งเสียไว้ ถ้าตายแล้วอย่าเอาไปนะ เพราะมันกลัวไปนู่น กลัวตายไปแล้วยังไปกลัวผีอยู่ แล้วตายไปแล้วไปกลัวผีอะไร เขากลัวมึงน่ะ เขากลัวเอ็งต่างหาก ไม่ใช่เอ็งกลัวผี
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา พอเราเข้าใจสิ่งนี้ปั๊บ เรามีสติปัญญาแล้ว ไอ้ที่ว่ากลัวผีๆ มันจะหายไป ฉะนั้น แบบว่าเป็นขวัญเป็นกำลังใจ ถ้าพูดถึงว่าเวลาจะมาประพฤติปฏิบัตินะ แต่นี้เวลาพูด เวลาศึกษามันก็เข้าใจได้ แต่! แต่เวลาทำจริงๆ มันทำได้ยาก อย่างไรก็กลัว ถ้าอย่างไรก็กลัว เราก็ค่อยฝึกหัดของเราไปไง ฝึกหัดของเราไป ค่อยๆ ค่อยๆ มันต้องค่อยๆ ฝึกหัดไป หักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน บอกว่า “เราจะให้หายกลัวเลย” มันไม่หายกลัวหรอก แต่ถ้ามันกลัว เราก็รู้ว่าเรากลัว แล้วเราก็มีสติปัญญาอย่างที่พูดมาให้ฟัง เราก็คิดของเรา เรารักษาของเรา แล้วมันเป็นปัจจุบันของใคร ถ้าเป็นปัจจุบันของใคร ทำไมเวลาไปวัด อย่างเช่น มาวัด คนปฏิบัติเต็มไปหมดเลย ทุกคนไม่กลัวหรือ ทุกคนก็กลัวเหมือนกัน ทุกคนกลัวหมด เราก็กลัว
เราอ่านประวัติหลวงปู่ชอบ ประวัติหลวงปู่ขาว บอกว่า ท่านปฏิบัติใหม่ๆ ท่านก็กลัวผีเหมือนกัน ประวัติหลวงปู่ชอบ ใหม่ๆ จากปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา หนาด้วยมีความยึดมั่นถือมั่นในใจ ทุกคนมีทั้งนั้น แล้วมันยึดมั่นถือมั่นในความชอบของตน บ้าห้าร้อยจำพวก ดูสิ คนบ้าอะไร บ้าเรื่องใดก็ชอบเรื่องนั้น นี่ก็เหมือนกัน คนที่วิตกกังวลในใจเรื่องอะไร มันก็วิตกกังวลเรื่องอันนั้น มันมีความกลัวอยู่ทั้งนั้น แล้วเรามีอำนาจวาสนานะ
เริ่มต้นเราอ่านคำนี้แล้วแบบว่ามันก็เห็นใจไง เห็นบอกว่า “ไม่เคยเห็นตัวหลวงตาเลย แต่ได้ฟังเทศน์หลวงตาครั้งแรกในทีวีหลวงตาปี ๕๔ หลวงตาท่านก็นิพพานไปแล้ว” มันสะเทือนใจตรงนี้ มันสะเทือนใจมาก เวลาเราจะได้ฟังธรรมก็เมื่อหลวงตาท่านนิพพานไปแล้ว ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เราถึงค่อยมาศึกษา ศึกษาธรรมะของท่าน แล้วพอศึกษาธรรมะของท่านแล้วมันยังเป็นคนดีขึ้นมาได้ เพราะเขาพูดเองว่าตั้งแต่เขามาฟังธรรมๆ เขาเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ดีขึ้นมาได้ๆ ตรงนี้มันทำให้เห็นว่ามันมีวาสนา มีอำนาจวาสนาที่จะดัดแปลงตัวเองได้
ฉะนั้น เวลาบอกว่า “อยากจะฝึกหัด อยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่ว่ากลัวผี”
ถ้ากลัวผี จิตใต้สำนึกของคนมันกลัวทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าบอกกลัวผี พอถามหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดปั๊บ หายเลย หายกลัวเลย โอ้โฮ! หลวงพ่อก็เป็นเทวดาเลย พูดเสร็จคนกลัวผีหายกลัวผีเลย เอ้อ! อย่างนี้ต้องไปตั้งคลินิกรักษาโรคกลัวผี
ธรรมดามันก็มีกลัวอยู่บ้าง แต่ค่อยๆ ฝึกหัดไป เราจะบอกว่า เราเคารพนะ เราเป็นคนชอบศึกษา เป็นคนที่ว่าแสวงหาการศึกษา ประวัติครูบาอาจารย์ถ้ามีให้ค้นคว้าจะค้นคว้าทันที แล้วอะไรที่มันฝังใจ เช่น ประวัติหลวงปู่ชอบ ประวัติหลวงปู่ขาว ท่านบอกว่าท่านเคยกลัวผี กลัวมากๆ แล้วเดี๋ยวนี้ท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่ชอบเป็นพระอรหันต์
เวลาท่านอยู่ป่าอยู่เขาขึ้นมา ท่านสวดมนต์ ท่านภาวนาของท่าน เทวดามาคุ้มครองดูแลตลอดเลย แต่เดิมท่านกลัวผีจน อู้ฮู! ประวัติ ไปอ่านสิ ยิ่งกว่าพวกเราอีกเนาะ โดดจากกุฏิ ขึ้นกุฏิ โอ๋ย! กลัวผีมาก นี่พูดถึงนะ ครูบาอาจารย์ท่านก็เป็น เราพูดมาให้เห็นว่า คนกลัวเขาก็แก้ไขมาจนเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว คนกลัวผีแบบพวกเรา แล้วท่านพยายามประพฤติปฏิบัติขวนขวายของท่าน จนท่านได้เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาว่า “หนูเป็นคนกลัวผี”
เหมือนกันเลย เราก็กลัวผี บวชใหม่ๆ เราก็กลัว แต่พอกลัวแล้วกลัวมาก แต่ลูกผู้ชายนะ ต้องเก็บไว้ข้างใน ไม่พูด แต่จริงๆ ก็กลัว แต่ก็ฝึกหัดมานี่แหละ ฝึกหัดจนเข้าป่าช้า ไปอยู่ในป่าช้า อู้ฮู! เดินเข้าไป ขานี่สั่นเลย แต่ท้าทายกันก็เข้ากลางคืน คนเดียวน่ะ บวชใหม่ๆ แล้วคนเดียว คิดดูสิ แล้วเดินเข้าไปในป่าช้า โอ้โฮ! ขานี่สั่นหมดเลย แต่ก็ไป เหงื่อนี่ซกเลย พอไปแล้ว เฮ้อ! ไม่เห็นมีอะไร เห็นไหม ก็สู้มาเรื่อย สู้มาเรื่อย จนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่ายังกลัวผีอยู่หรือเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้จบแล้ว
นี่พูดถึง ฉะนั้น เวลาบอกว่ากลัวผี ดี เพราะอะไร เพราะเขาบอกว่าเขาอยากเป็นลูกศิษย์ เขาอยากเป็นลูกศิษย์ใช่ไหม เขาก็อยากหวังพึ่ง ถ้าหวังพึ่ง พอกลัวขึ้นมา คนจะหวังพึ่ง มันก็หาที่พึ่ง หาที่พึ่ง ที่นั่นจะพึ่งได้ ที่นั่นจะพึ่งได้ มันพึ่งได้เป็นคนแค่ชี้ทางไง ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ชี้ทางให้เรา สุดท้ายจริงๆ แล้วเราก็ต้องฝึกหัดของเรา เราต้องพัฒนาใจของเราเอง
เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เวลาครูบาอาจารย์พูดสิ่งใดจับอันนั้น เพราะฟังคำพูดหลวงตานี่แหละ ท่านบอกว่า “หลวงปู่มั่นพูดทีเล่นทีจริง แต่เราไม่มีเล่น เราจริงตลอด” เพราะพูดทีเล่นทีจริงท่านก็มีมุขมาตลอด มีสิ่งให้เราจับได้ประโยชน์ทั้งนั้น เวลาเราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ เราหวังอย่างนั้น ฉะนั้น พอหวังอย่างนั้น หวังว่าท่านคอยชี้คอยบอกคอยแนะเรา ถ้าเราผิดพลาดไป ท่านก็คอยจะทำให้เราเข้าทาง แต่ความจริงๆ แล้วก็ต้องเราเป็นคนที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ครูบา-อาจารย์จะชี้ขนาดไหน เราก็จะไม่ได้สิ่งใดเป็นสมบัติของเราเลย
มีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยแนะคอยบอก แต่เราก็ต้องพยายามฝึกหัดของเราขึ้นมาให้ได้ ให้ขึ้นมาเป็นจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเราแล้วมันเห็นเลย เวลามันกลัวมันก็กลัวมหาศาล เวลามันปล่อยแล้วมันไปไหนหมดล่ะ เวลาปล่อยแล้ว แล้วย้อนกลับไปดูคนอื่นกลัว อืม! เหมือนเราเลย เราก็เคยเป็นอย่างนี้ เหมือนกัน ฉะนั้น พอเหมือนกันขึ้นมา เราย้อนกลับมาที่ครูบาอาจารย์ นี้ย้อนกลับมาคำถามไง
ถ้าคำถามนะ ค่อยๆ ฝึก ถ้าจะปฏิบัตินะ มันก็อาศัย อาศัยเขาอยู่ ถ้าเรากลัวผี เราอย่าบอกใคร เราอยู่ข้างๆ เขา ถ้าเขาเดินจงกรม เราก็เดินด้วย ถ้าเขาเข้ากลด เราก็เข้าด้วย ฝึกหัดจนกว่าเราจะอยู่ของเราได้ไง ฝึกหัด เราทำอย่างนั้น มองเลยนะ ถ้ายังมีคนอยู่ ยังอยู่ข้างเคียง เห็น เออ! ยังภาวนาได้ ถ้าเขาปิดกุฏิหมด เราก็เข้าปิดเหมือนกัน กลัว แต่สุดท้ายก็จบหมด จบหมด เพราะอย่างที่หลวงตาท่านพูด อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านพูด อริยสัจมีหนึ่งเดียว เวลาพูด พูดถึงสัจจะความจริงในใจนะ ถ้าเราเป็นอย่างนั้นแล้วเหมือนกันไง
ไอ้ผีในตัวเรานี่สำคัญ ไอ้กลัวก็เพราะว่าสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง เวลาเรากลัว กลัวเพราะวิตกวิจารณ์ในใจของเราเท่านั้น ยิ่งเวลาคนกลัวนะ ยิ่งคิดเรื่องกลัวมันจะกลัวสองเท่าสามเท่าเลย เวลาคนกลัวแล้วมันคิดด้วยปัญญาไปคิดเรื่องอย่างอื่น เห็นไหม มันจะทำให้ความกลัวนั้นเบาบางลง แต่ความจริงไม่อย่างนั้น ความจริงคนกลัวมันยิ่งกลัวมากขึ้น คนกลัวมันยิ่งคิดแต่เรื่องนั้น กลัวผีก็คิดแต่เรื่องผี กลัวอะไรก็คิดแต่เรื่องนั้น
แล้วยิ่งคิดเรื่องนั้นมันยิ่งกลัวมากขึ้นๆ แต่ไม่คิดมุมกลับไง คิดว่าผีตัวเราล่ะ ผีมันจะจองเวรจองกรรมเราทุกๆ เรื่องเลยหรือ ผีมันจะหักคอเราอยู่คนเดียว ไม่หักคอคนอื่นเลยหรือ ถ้าเราคิดมุมกลับอย่างนี้ เออ! เขาคงไม่จองเวรจองกรรมเราหมด ไม่รู้ผีตัวไหนก็แล้วแต่จะมาหักคอแต่เราอยู่คนเดียว คนอื่นมันไม่เห็นไปทำอะไรเลย เออ! ถ้าเราคิดมุมกลับขึ้นมามันจะเกิดปัญญาขึ้น นี่พูดถึงว่ากลัวผี แล้วเราฝึกหัด เราเห็น เราเองก็เคยกลัวผี ลูกศิษย์ลูกหาที่มาอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนเขาก็กลัวมากมีคนบางคนอยู่ไม่ได้เลย แต่เขาก็ฝึกหัดกันมาจนเดี๋ยวนี้เขาภาวนาได้ เดี๋ยวนี้เขาอยู่คนเดียวได้ เขาพัฒนาขึ้น แล้วเขาก็ภูมิใจของเขา นี่พูดถึงว่า “ถ้ากลัวผีเนาะ” ค่อยๆ ฝึกหัด ค่อยๆ ฝึกหัด
ทีนี้ย้อนกลับมาที่ว่า “ถ้าจะขอเป็นลูกศิษย์” คำว่า “ลูกศิษย์” นะ บริษัท ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกไว้ให้แล้ว ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่ก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเราเป็นอุบาสกมาก่อน แล้วเรามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมา เราก็มีครูมีอาจารย์ของเรา มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็ล่วงไปหมดแล้ว พอเราอายุพรรษามากขึ้น เราก็มีพระมีญาติมีโยมมาอาศัยอยู่ด้วย ถ้ามาอาศัยอยู่ด้วยเขาก็ขอเป็นลูกศิษย์ ถ้าเป็นลูกศิษย์เป็นลูกศิษย์ถ้ามันแบบว่า ยังบอกกล่าวตักเตือนกันได้ มันก็เป็นลูกศิษย์ได้
แต่ถ้าขอเป็นลูกศิษย์ พอเป็นลูกศิษย์แล้ว เวลาเราว่ากล่าวตักเตือนขึ้นไป มันจะเป็นอาจารย์ มันไม่เป็นลูกศิษย์แล้ว มันจะเป็นอาจารย์แล้ว มันจะสั่งสอนเราไง มันไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ มันจะเป็นอาจารย์ ถ้ามันจะเป็นอาจารย์ขึ้นมา เห็นไหม เราถึงบอกว่า เราเป็นบริษัท ๔ ด้วยกัน ถ้ามันมีสติมีปัญญา มีความเคารพกันด้วยหัวใจ มันก็เป็นไปโดยบริษัท ๔ ไง โดยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยแก้วสารพัดนึกเป็นที่พึ่งของเรา มันเป็นไปโดยธรรม ว่าอย่างนั้นเลย มันเป็นไปโดยธรรม ชาวพุทธเราเจอพระที่ไหน เราก็ยกย่องพระว่าเป็นบริษัทหนึ่ง เป็นภิกษุ เป็นนักรบ เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นนักรบ ถ้าเราหวังพึ่งสิ่งนี้ ถ้าท่านเป็นอาจารย์ที่ดีเราก็เคารพบูชาท่าน ถ้าท่านทำร้ายตัวท่านเอง เราเห็นความผิดพลาดไป เราก็หลบหลีกออกไป
นี่ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่ามันเป็นแก้วสามดวง แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นบริษัท ๔ ด้วยกัน เราเป็นพระพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ถ้ามีความเคารพในหัวใจ มันก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาเป็นไปโดยข้อเท็จจริง แต่บอกว่า อู๋ย! จะขอเป็นลูกศิษย์ ขอเป็นอาจารย์แล้วก็เซ็นสัญญามัดกันไว้เลย ไม่ใช่ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง
ดูสิ เวลาพระเราเป็นอุปัชฌาย์ เป็นอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหา เป็นพระที่บวชมา เวลาลูกศิษย์ลูกหากระสันอยากจะสึก ครูบาอาจารย์ท่านต้องพยายามชักนำพาขึ้นมา รักษาความเป็นสมณะ รักษาความเป็นพรหมจรรย์อันนี้ เวลาอุปัชฌาย์อาจารย์มีความกระสันอยากจะสึก ลูกศิษย์ลูกหาท่านพยายามจะชักนำ เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชักนำให้หูตาสว่าง ให้อยู่ในนี้ มันกลับกันไง
เวลาสัทธิวิหาริก เวลาลูกศิษย์ลูกหาของเรา หน้าที่ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ซักผ้า คอยสรงน้ำต่างๆ เป็นหน้าที่ แต่เวลาสัทธิวิหาริกป่วยไข้ขึ้นมา อาจารย์ต้องไปซักผ้าให้ เป็นผู้ดูแลนะ นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้อย่างนี้เลย เห็นไหม เขาเรียกอาจริยวัตร อาคันตุกวัตร เป็นวัตรปฏิบัติของภิกษุ ของสงฆ์ ของพระที่อยู่ด้วยกัน สัทธิวิหาริกคือลูกศิษย์ ถ้าเป็นอุปัชฌาย์ เป็นอาจารย์ เป็นอาจารย์ของเรานั้น
ฉะนั้น บอกว่า “จะเป็นลูกศิษย์ๆ เป็นลูกศิษย์”
เวลาคิดดีก็เป็นลูกศิษย์ไง วันไหนอาจารย์ด่ามาทีเดียว ไม่ใช่อาจารย์ฉันแล้ว เออ! มันจะเป็นอาจารย์แล้ว มันไม่ยอมเป็นลูกศิษย์แล้ว ฉะนั้น ไอ้กรณีนี้เราจะบอกว่า เราไม่ผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น จะบอกว่าไม่ยอมรับเป็นลูกศิษย์ก็อู้ฮู! ทิฏฐิมานะ จะบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของเรา โอ้โฮ! ไปแตะมันสิ เดี๋ยวมันสวนกลับแล้วหงายท้องเลย
ฉะนั้น เราเป็นบริษัท ๔ เราเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ถ้ามีความเคารพรักมีเห็นแนวทางเดียวกัน มันก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันโดยข้อเท็จจริง โดยสัจจะ โดยธรรม ถ้าเป็นธรรมๆ มันอยู่ด้วยกันเป็นสุขทั้งนั้น แต่ถ้ามันเป็นโลกเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันย้อนศร พูดอย่างนี้ปั๊บ ย้อนถึงหลวงตาเนาะ ใครมาขอเป็นลูกศิษย์ ท่านจะบอก “ใช่ เป็นลูกศิษย์ได้ ห้ามเป็นอาจารย์หลวงตา” ถ้าเป็นอาจารย์จะมาสั่งไง ต้องทำอย่างนี้สิ ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ มันไม่ใช่ลูกศิษย์แล้ว มันเป็นอาจารย์ เวลาใครมาขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านบอก “เออ! ใช่ เป็นลูกศิษย์นะ อย่าเป็นอาจารย์” ถ้าเป็นอาจารย์ไม่ได้ จะเป็นอาจารย์หลวงตาไม่ได้ ถ้าเป็นลูกศิษย์ ได้
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ทีแรกก็บอกว่า “ขอเป็นลูกศิษย์” พอเข้าไปเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์แล้วทีนี้จะเป็นอาจารย์แล้ว มันจะควบคุม มันจะบริหารจัดการทั้งนั้น ไม่ใช่ คนเรามันไม่เท่าทันความคิดของตน กิเลสมันไม่ทันความคิดไม่ได้หรอก ไม่ทันหรอก ถ้าเป็นอาจารย์ อาจารย์ที่ดีก็เป็นอาจารย์
ฉะนั้น พูดถึงว่า จะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาอะไร มันเป็นไปโดยธรรม เราจะบอกว่านะ เราไม่ได้เกิดมาชาตินี้ชาติเดียวหรอก เราเกิดมาเราพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากี่ร้อยกี่พันชาติแล้ว แล้วถ้าเราเกิดมาแล้วเราพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราทำคุณงามความดี พระโพธิสัตว์ๆ ได้สร้างคุณงามความดีมหาศาล พระโพธิสัตว์ได้สร้างมา มันมีมาตั้งแต่ในหัวใจนั้นแล้ว ฉะนั้น กรณีนี้มันอยู่ในใจของตน สิ่งนี้ให้มันเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมก็เป็นอย่างนี้
แต่ถ้าเป็นโลก โอ้โฮ! นั่นอาจารย์ของฉัน นั่นลูกศิษย์ของฉัน ของฉันหรือ มีอยู่จริงหรือ คนเราเกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ ไม่อาจารย์ตายก่อนก็ลูกศิษย์ตายก่อน ถ้าอาจารย์ตายก่อนมันก็จบใช่ไหม ถ้าลูกศิษย์ตายก่อนก็จบใช่ไหม แล้วบอกของฉัน ไม่ใช่ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกันทั้งสิ้น ถ้าเราทำคุณงามความดีอยู่ เราก็พุทธศาสนิกชนด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าเป็นพระก็เป็นพระ ถ้าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา ถ้าใจยังเป็นธรรมๆ อยู่นะ ถ้าเป็นธรรมอยู่มันเข้ากันได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นธรรมอยู่นะ ความเป็นธรรมมันเคารพธรรม เคารพธรรมเคารพวินัย โอ้โฮ! มันรื่นเริง มันอยู่ด้วยกันด้วยความเป็นสุข แต่ถ้าจะมาบอกว่าเป็นของฉันๆ ไม่ใช่
ฉะนั้น เราบอกว่า แก้วสามดวง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสามดวง แล้วถ้าเป็นบริษัท ๔ ถ้าบริษัท ๔ เราเป็นบริษัท ๔ ด้วยกัน บริษัท ๔ ด้วยกันนะ เวลาพูดอย่างนี้สะเทือนใจ เพราะอะไร เพราะว่าเราได้มรดกตกทอดมาด้วยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้มรดกของพวกเรานะ ชาวพุทธได้พินัยกรรม ได้มรดกมา แล้วชาวพุทธเราจะทำอย่างไรจะให้ได้คุณธรรมขึ้นมาในใจ ถ้าได้คุณธรรมในใจขึ้นมามันจะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงเป็นหนึ่งในใจ รวมเป็นหนึ่งในใจแล้วมันพ้นไปจากกิเลส โอ๋ย! อันนี้สุดยอดมาก
นี่พูดถึง เห็นไหม ว่าเขาขอไปอย่างนั้น ฉะนั้น จะบอกว่ารับเลยก็อืม! เป็นการผูกมัดกัน ไอ้จะปฏิเสธหรือก็อืม! เป็นพระไม่มีเมตตา เป็นพระไม่เมตตาเลย ถ้าเป็นพระต้องมีเมตตา ทำอะไรก็ได้ เป็นพระก็คือพระ เป็นพระก็อย่างเริ่มต้นนั่นน่ะ ที่บอกว่าเวลามีคนเคารพบูชา อ่านประวัติครูบาอาจารย์แล้วไปหาหลวงตา “โอ้โฮ! ดิฉันศรัทธามากค่ะ พระสายหลวงปู่มั่นดิฉันศรัทธามาก”
ท่านพูดเลยนะ ท่านสงสารมาก เวลาคนศรัทธามาก เวลามันเสียใจมันทิ้งไปเลยนะ มันเหมือนมันพลิกกลับไปเลย แต่ถ้าเขาศรัทธามาก ถ้าเขามีวาสนานะ เขาเจอแต่ครูบาอาจารย์ที่ดีนะ โอ้โฮ! สุดยอดเลย แต่ถ้าคนศรัทธามากๆ ถ้าไปเจอครูบา-อาจารย์ เริ่มต้นนะ เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชาอย่างนี้ ไปเจอเข้า “โอ้โฮ! อาจารย์ฉันสุดยอดเลย สุดยอดเลย” ไม้ไผ่เหลาไปเหลามากลายเป็นบ้องกัญชาอย่างนี้ โอ้โฮ! เขาจะเสียใจขนาดไหน พอเสียใจปั๊บ “อืม! หมดแล้วล่ะ มรรคผลก็คงหมดแล้วล่ะ ครูบาอาจารย์เราดีขนาดนี้ เหลาไปเหลามาเลยกลายเป็นบ้องกัญชา โอ้! เลิกเลย”
มีคนนะพอเห็นสภาพแบบนี้แล้วเปลี่ยนความเชื่อไปเลย ไปนับถือลัทธิศาสนาอื่น เราเคยเจอมา เพราะเราเคยเจอสภาพนั้นมาไง พอหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ แหม! ถูกใจมาก ในลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและเลว สิ่งที่ดีเราไปเจอสิ่งที่ดีมันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไปเจอสิ่งที่เลวแล้วเรามีสติปัญญาเท่าทัน เราก็พยายามกันตัวเราออกมา เรากันตัวเราออกมาแล้ว เราพยายามฝึกหัดของเรา ถ้าไม่มีที่พึ่ง ถ้ามีที่พึ่งเราก็ไปหาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งของเราได้ แล้วเราพยายามฝึกหัด
แล้วอาจารย์เก่าของเราล่ะ อาจารย์ของเราเขาก็มีบุญคุณ เขามีบุญคุณตอนที่เขาชักนำเข้ามาให้มาศรัทธาในศาสนา แต่เหลาลงไปแล้วเป็นบ้องกัญชา บ้องกัญชาแล้วเราก็จบเท่านั้น แล้วเราอย่าต่อเนื่องไป เพราะถ้าเป็นบ้องกัญชา เราคิดดูสิ เราก็เคารพครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราก็ถือต่อเนื่องไป จากศรัทธาก็จะกลายเป็นบ้องกัญชา กัญชาคือยาเสพติด กัญชาคือสิ่งที่ทำให้หัวใจเรามันไม่เข้าสู่ธรรม ต้องคัดต้องเลือก คนจะปฏิบัติคนจะแสวงหาครูบาอาจารย์ยังเป็นแบบนี้เลย
เพราะเราเป็นพระนะ เราก็เคยเจออาจารย์ เคยเจอพระก่อนหน้านั้นมา เราไม่ค่อยจะพูดถึงใครทั้งสิ้น แต่มันโดนสอนมาผิดๆ มาเยอะ โดนสอนมาผิดๆ เพราะเขาไม่รู้จริง เขารู้แค่ผิวเผิน แต่เขาเห็นครูบาอาจารย์เรามีชื่อเสียง เขาก็ทำฟอร์มว่าเหมือนครูบาอาจารย์ของเรา แล้วก็สั่งสอนเรา ไม่ใส่รองเท้า เราก็ไม่ใส่รองเท้าด้วยใหม่ๆ ไม่ใส่รองเท้ากับเขาอยู่พักหนึ่ง อู้ฮู! ไปเดินในตลาด ร้อนฉิบหายเลย สุดท้ายแล้วพอมาศึกษาจริงๆ พระโสณะที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใส่รองเท้า มันมีอยู่ในพระ-ไตรปิฎก พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระองค์ไหนใส่รองเท้า แล้วพระองค์ไหนพูดกับพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร มันมีอยู่ทั้งนั้นเลย ธรรมวินัยพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว แล้วเอ็งมาถือเคร่งถืออวด ไอ้เราก็ไม่รู้นะ ตาบอด เห็นเขาเคร่งก็นึกว่าเขาเก่ง เราเองโดนมากับตัว
พอมาเจอหลวงปู่จวน มาเจอหลวงตา มาเจอหลวงปู่เจี๊ยะ อืม! พูดอยู่ทุกวัน ภูมิใจมากที่ยังมีครูบาอาจารย์ ถ้าไม่มีครูบา-อาจารย์นะ ป่านนี้นะเรายังเป็นคนบ้าอยู่คนหนึ่งนะ แล้วบ้าด้วย บ้าคือปากดี รู้ผิดแล้วพยายามเถียงชนะตลอด รู้ผิดๆ นี่แหละ เถียงเขามาเยอะตอนที่ปฏิบัติ แต่พอมาเจอหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตา ตบทีเดียวกระเด็นเลย ตบด้วยคำพูดนะ เวลาหลวงตาท่านว่าเรา “ท่านหงบเนี่ยความรู้เยอะนัก เอาเข็มขัดคาดไว้นะ เดี๋ยวท้องมันจะแตก” ท่านเอ็ดเรานะ “เอาเข็มขัดมาคาดไว้ พุงมึงน่ะ ความรู้เยอะนัก เดี๋ยวพุงแตกนะ” เถียงเก่งไง เถียงเขาไปทั่ว
วงการปฏิบัตินะ วงพระ เขาธมฺมสากจฺฉา เวลาฉันน้ำร้อนเขาจะถกวินัยกัน ถกวินัย ถกธรรม เคยเห็นพระทิเบตไหม ที่เขาตีมือ พับ! พับ! นั่นน่ะเขาถกธรรมะกัน ไอ้พระเราก็ถกธรรมะกัน ทีนี้เวลาถกธรรมะกันมันก็ยังคุยธรรมะกัน แต่ไอ้เรามันปฏิภาณดี เอาชนะเขาเรื่อยเลย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่จริง พอมาเจอหลวงปู่จวนตีหัวโพละ! อยู่เลย หลวงตาอัดทีเดียวหงายท้อง หลวงปู่เจี๊ยะ อื้อหืม! ใส่ เราเถียงทั้งนั้น นี่พูดถึงเวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่ดีก็ดี
ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์เริ่มต้นเป็นไม้ไผ่ เหลาลงไปแล้วเป็นบ้องกัญชา เราก็พยายามพาตัวเราหลีกห่างไป หลีกออกมาเพื่อจะหาครูบาอาจารย์ที่ดี เพื่อจะปฏิบัติที่ดี เพราะเขาบอก เขาจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พอจะเป็นอาจารย์เขามันระแวง เลยพูดเยอะเลยวันนี้ จะเป็นอาจารย์คนกลัวมาก กลัวสอนเขาไม่ได้ แล้วมันจะเป็นอาจารย์เรา โอ๋ย! ตายเลย
ฉะนั้น ถึงบอกว่าเป็นแก้วสามดวง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพุทธบริษัทด้วยกัน ถ้าเป็นธรรมๆ เราเคารพกันโดยธรรม เราไม่เอากิเลส ไม่เอาทิฏฐิมานะมาคัดมาง้างกัน เราเป็นธรรมด้วยกัน เราอยู่ในพระพุทธศาสนาด้วยกัน เอวัง