เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ เม.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อเป็นมงคลชีวิต ชีวิตเกิดมามีคุณค่าถ้ามีความสุข ชีวิตมีคุณค่ามากถ้าเกิดมาประสบความสำเร็จ มีความสุข ถ้าชีวิตเกิดมามีความทุกข์ ชีวิตนั้นไม่มีค่า มันเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งที่มีชีวิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ้ามีวันสิ้นสุดได้ก็เรามาประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ จะว่านิพพานมันมีอยู่ๆ จิตที่มันไม่เคยตายๆ สิ่งที่ไม่เคยตายกับนิพพานอันนั้นมันเป็นวิมุตติสุข สุขอันนั้นสุขโดยสัจจะโดยความจริง แต่ความสุขของเราๆ ชีวิตมีค่าถ้ามีความสุขไง ชีวิตมีค่าถ้าเราสมความปรารถนาไง 

ถ้าสมความปรารถนา สมความปรารถนาด้วยบุญกุศลนะ คำว่า “ด้วยบุญกุศล” เราทำสิ่งใดด้วยความสุจริต ทำสิ่งใดด้วยสมความปรารถนา อันนี้เป็นบุญกุศล แต่ทำสิ่งใดแล้วเราขาดตกบกพร่อง มันเป็นบาป คนที่มีบาป มีการขาดแคลน การขาดแคลนอย่างนี้มันเกิดมาจากการกระทำ มันเกิดจากกรรมของเราทั้งนั้นน่ะ แต่การกระทำ เวลากรรมของเราทำมา ทำมาด้วยการขาดสติไง เวลาเราขาดสติ เราไม่มีสติปัญญา เราทำสิ่งใดเพื่อความดำรงชีพๆ

ดำรงชีพถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม คนล้มอย่าข้าม เวลาคนล้ม คนล้ม พระโพธิสัตว์ๆ เขาบอกแม้แต่สุนัข อย่าไปรังแกมันนะ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราไม่รู้ว่าเราจะไปเกิดเป็นชาติใด เราจะเกิดเป็นภพชาติใดเวลาเกิดมาแล้ว สิ่งนั้นเขาเกิด เวลาถึงวาระของเขา เขาอาจจะเกิดเป็นสุนัขก็ได้ เขาเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ แต่ถึงเวลาเขาพ้นจากภพชาตินั้นขึ้นไปแล้วเขาจะเกิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ เขาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็ได้ เวลาอย่างนั้นเราถึงมีเมตตาต่อกันไง ถ้าสิ่งนี้สิ่งที่มีค่า สิ่งที่ชีวิตนี้มีค่า มีค่าเพราะว่าเรามีสติมีปัญญาไง ถ้ามีค่าเพราะมีสติปัญญา เรามาทำบุญกุศลของเราเพื่อเป็นมงคลชีวิตของเรา 

มงคลชีวิตนะ เกิดในประเทศอันสมควร สภาวะแวดล้อมที่ดี ทำกสิกรรม ทำการเกษตร ทำเพื่อปัจจัย ๔ เพื่ออาหารของเรา นี่เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควรนะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เกิดในชาติไทยของเรา ถ้าเกิดในชาติไทยของเรา เราไปวัดไปวาของเรา ไปวัดหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรามันดิ้นมันรน มันกีดมันขวาง อันนั้นน่ะกิเลสมันแสดงตัวแล้วล่ะ แต่ถ้ามันชื่นชมของมัน มันมีบุญกุศลของมัน คนเราเกิดมา เกิดมาถ้าประสบความสำเร็จ เกิดมาแล้วทำสิ่งใดแล้วมีผลประโยชน์ ประสบความสำเร็จในชีวิต จะมีความสุขๆ

ความสุขมันเกิดมาจากไหน ความสุขมันเกิดมา เกิดมาจากสติปัญญาของเรา เกิดมาจากการแสวงหาของเรา การแสวงหาของเรา จังหวะและโอกาสนะ วาสนาๆ คำว่า “วาสนา” เราบอกวาสนา ทุกคนก็แย่งชิงกัน อยากมีอำนาจวาสนามีบารมี การที่แย่งชิงอำนาจวาสนาบารมีมันมีที่ลับหลังนะ คำว่า “มีบารมี” เวลาคนอยู่เบื้องหลัง คนที่เป็นเพื่อนของเราอยู่ลับหลัง มีสิ่งใดเราปกป้องเราดูแล

นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนาบารมี ถ้ามันอยู่ในหัวใจของคนแล้ว เราจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เขาเคารพบูชา แต่ถ้ามันเป็นเสแสร้ง เสแสร้งว่าจะมีบารมี กดขี่เขาด้วยอิทธิพล มันมีแต่ต่อหน้า ลับหลังเขาก็ไม่เชื่อถือหรอก 

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีมันเกิดมาจากไหน มันเกิดจากการกระทำของเรา ถ้าเกิดจากการกระทำของเรา คนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง คนที่จิตใจที่มีจุดยืน ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีการเจ้าเล่ห์แสนงอน มันทำเพื่อประโยชน์ๆ ไง มันก็เกิดอำนาจวาสนาบารมี ถ้าเกิดอำนาจวาสนาบารมี ทำสิ่งใดคนก็ปกป้องดูแล เวลาตกทุกข์ได้ยาก คนก็จุนเจือ 

คนเรามันสูงๆ ต่ำๆ ทั้งนั้นน่ะ ชีวิตมันลุ่มๆ ดอนๆ มันจะประสบความสำเร็จไปตลอดอย่างไร ถ้าประสบความสำเร็จ เขาต้องทำของเขามาดี นี่เป็นมงคลชีวิต ถ้าเป็นมงคลชีวิตของเรา เราแสวงหาของเรา เราแสวงหาสิ่งที่คุ้มครองเราด้วยบุญกุศล ถ้ามันมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง อันนั้นมันก็เป็น คนเรามีกรรมเก่ากรรมใหม่ทั้งนั้นน่ะ กรรมดีกรรมชั่วที่มันกระทำมา ทำสิ่งนั้นมา ทำสิ่งนี้มา แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ดำรงชีวิตนี้เรามีสติมีปัญญา เราก็ขวนขวายของเรา เวลามันทุกข์มันยาก ทุกข์ยากด้วยกันทั้งนั้นน่ะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เวลาให้หันหน้าเข้าหากัน บ่นเรื่องความทุกข์ไม่มีวันจบวันสิ้น แต่ถ้าบ่นเรื่องความทุกข์ไม่มีวันจบวันสิ้น นั่นเป็นความทุกข์ไง ความทุกข์เพราะอะไร เพราะความผิดพลาด ความพลั้งเผลอ การกระทำสิ่งนั้นมา ปัจจุบันนี้มีสติปัญญา ถ้าทำสิ่งใดแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ มันก็มีความทุกข์ของมัน ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ นั่งอยู่ก็ทนอยู่ไม่ได้ นอนอยู่ก็ทนอยู่ไม่ได้ ทำอะไรก็ทนอยู่ไม่ได้ มีกิริยาเดียว ทนอยู่ไม่ได้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงของมัน นั่นคือทุกข์ ถ้าทุกข์มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา เราเข้าใจ

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละสิ่งที่ว่าเราจะให้มันไม่มีไง สิ่งที่มันไม่มีไม่เป็น เป็นไปไม่ได้ ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติปิ ทุกฺขา การมีชีวิตนี้ ที่ว่าชีวิตนี้มีค่าๆ เขามาค้นคว้าตรงนี้ ถ้ามาค้นคว้า ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วทำอย่างไรถึงไม่เกิด ถ้าไม่เกิด ไม่เกิดทำไม ก็อยากเกิด อยากเกิด อยากประสบ อยากจะมีความสุข เพราะอะไร เพราะจิตใจเรามีสติปัญญาแค่นี้ไง เรามีสติปัญญาสิ่งนี้ไง ดูสิ มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นเลย เวลาการพลัดพรากนะ มีแต่น้ำตา มีแต่การอาลัยอาวรณ์ แล้วที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นก็ต้องมีการดับ ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการทำลายไป มันมีของมันโดยธรรมชาติ แล้วธรรมชาติ เราอยากเกิด เราอยากจะยึดมั่นถือมั่น อยากจะว่าเป็นของเรา แล้วมันเป็นของเราจริงได้หรือไม่ล่ะ มันเป็นของเราจริงไม่ได้ไง

แต่เวลาเกิดมา เกิดนี้เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ขึ้นมา เกิดมาเพื่อให้ค้นคว้าเรื่องนี้ไง เกิดมาเพื่อให้ศึกษา เพื่อให้ค้นคว้า เพื่อให้เข้าใจ ถ้ามันศึกษา มันค้นคว้า มันเข้าใจแล้วมันจะไปยึดมั่นถือมั่นอะไร ถ้ามันไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร เห็นไหม นี่ธรรมะ ธรรมะที่มันจะมาแก้ไข แก้ไขความยึดมั่นถือมั่น ถ้าแก้ไขความยึดมั่นถือมั่น

คนทำความจริง คนที่เป็นจริง คนเป็นจริงต้องคนมีสัจจะ คนมีสัตย์ การมีสัตย์ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ การมีสัตย์ มีสัตย์มันเรื่องอะไรล่ะ มีสัตย์ เราจะทำเรื่องอะไรล่ะ เกิดมามีชีวิตใช่ไหมเราทำหน้าที่ของเรา หน้าที่พ่อ หน้าที่แม่ หน้าที่ปู่ หน้าที่ย่า หน้าที่ของเด็กน้อย หน้าที่ของเด็กก็ทำหน้าที่ หน้าที่แล้วแต่ความรับผิดชอบ หน้าที่มากน้อยแค่ไหน 

ถ้าหน้าที่มันมากน้อยแค่ไหน นั่นทำตามหน้าที่ๆ มันเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าทำหน้าที่ของเราเสร็จสมบูรณ์แล้ว ลูกหลานเราเจริญเติบโตมาแล้ว หน้าที่สมบูรณ์เราแล้ว ทีนี้ตัวเราล่ะ จิตใจของเราล่ะ จิตใจของเราที่มันว้าเหว่อยู่นี่

ไม้ใกล้ฝั่งนะ เวลาไม้ที่มันเริ่มเติบโตขึ้นมา ดูด้วยความชื่นชมเนาะ เพราะมันเจริญงอกงาม แต่ไม้ใกล้ฝั่งนะ มันจะล้มลงสู่แม่น้ำแน่นอน นี่เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราต้องพลัดพรากแน่นอน ถ้าเราพลัดพรากแน่นอน มรณานุสติ ถ้ามรณนาสุสตินะ เราระลึกถึงความตาย ความตายก็คือความตาย ถ้าความตายแล้ว ถ้ากำลังจะตาย เราควรทำอย่างไร นี่เข้าแล้ว ถ้าเราควรทำอย่างไร

เรามาวัดมาวาเรามาเสียสละทานๆ ทานนี้เป็นสมบัติของเรานะ สิ่งใดที่เสียสละออกไปแล้ว สิ่งใดที่เป็นสมบัติของเราทั้งนั้น สิ่งที่เสียสละไป ถวายพระไปนี่เป็นสมบัติของเราทั้งนั้น ไม่ใช่ของพระ ของพระ สิ่งที่ของพระเป็นวัตถุไง สิ่งที่สละมา ใครเป็นคนสละ ใจนี้เป็นคนสละใช่ไหม ถ้าใจเป็นคนสละมากน้อยแค่ไหน นั่นน่ะ วาสนาบารมีมันเกิดตรงนั้นน่ะ วาสนาบารมี เราทำของเราเต็มที่ไง เราทำของเราเต็มที่ พอทำแล้วส่วนใหญ่จะคิดว่าทำดีไม่ได้ดี

ก็เราทำมาแล้วมันควรเกิดผลตอบสนองตามที่เราต้องการ ตามที่ปรารถนา ถ้าเวลาบุญมันมาถึงนะ สิ่งที่เราต้องการสมความปรารถนา มันได้ผลตอบแทนมากกว่านั้นมหาศาลถ้ามันได้ แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาของเราใช่ไหม ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาของเราคือกรรมเก่ากรรมใหม่ไง การกระทำ แม้แต่เราสร้างบุญกุศลมา มนุษย์สมบัติได้เกิดเป็นมนุษย์มันก็สุดยอดของเราอยู่แล้ว แล้วสุดยอดของเรา ทำสิ่งใดถ้ามันประสบความสำเร็จมากขึ้นไป นั่นน่ะเขาทำของเขามา เขาทำของเขามานั่นน่ะเป็นวาสนา เป็นโอกาสที่ให้กระทำ 

ถ้าให้กระทำ ถ้ามันสมบูรณ์ มันสมบูรณ์ของมัน สมบูรณ์มันต้องมีสติปัญญาสิ คนเราจะมานั่งเฉยๆ ให้มันลอยมาจากฟ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะต่างคนต่างสร้างมาด้วยกันทั้งหมด ต่างคนต่างมีบุญกุศลกันทั้งนั้น สภาคกรรมไง กรรมที่มันคลุกเคล้ากันไปไง ถ้ากรรมที่คลุกเคล้ากันไป ดูสิ ของใครที่มีโอกาสวาสนามากกว่า นี่พูดถึงความเป็นสุจริตนะ

แต่ถ้าเป็นทางโลก ทางโลกเขาบอกว่า คนเกิดมาต้องมีหมู่มีคณะ ต้องมีพรรคมีพวก การมีพรรคพวกช่วยเหลือกัน อันนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่ง เรื่องสภาวะแวดล้อมส่วนประกอบมันมีไปทั้งนั้นน่ะ มันจะมีมากมีน้อยมันอยู่ที่จังหวะอำนาจวาสนาของคนคนนั้น ถ้าจังหวะและอำนาจวาสนาของคนคนนั้น เขาไปอยู่ในชุมชนนั้น เขาไปอยู่สิ่งที่อุดมสมบูรณ์ของเขา เขามีโอกาส แต่ถ้าจังหวะของเรา จังหวะก็อำนาจวาสนาของเรา สิ่งนั้นมันมีคนที่มีอำนาจวาสนาแน่นหนาไปหมดเลย เราไปเกิดสภาวะแบบนั้น

นี่ไง การกระทำๆ สิ่งที่มันเกิดการกระทำขึ้นมา ว่าเป็นมงคลชีวิตๆ ไง มงคลชีวิตคือมีสติมีปัญญา ถ้าขาดมงคลชีวิตนะ มันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟ การน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วคิดแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ สิ่งนั้นคือกิเลส สิ่งที่เรามีสติมีปัญญาของเรานะ เราก็ขวนขวายของเรา เรามองสิ ดูสิ คนที่ทุกข์จนเข็ญใจ เขาก็มีของเขาใช่ไหม คนที่ประสบความสำเร็จมั่งมีศรีสุข เขาก็มีของเขาใช่ไหม เราก็ทำหน้าที่ของเราๆ แต่เรามีสติปัญญาของเรา เรามีสติปัญญา หมายความว่า เรามีสติ เราไม่ให้สิ่งที่มันกระตุ้นในใจของเรามันแผดเผาเรา สังคม สังคมมันก็ซับซ้อนอยู่แล้ว เราก็ต้องมีสติปัญญาอยู่กับสังคมนั้น แต่เวลากิเลสที่มันแผดเผาภายใน เรามีทั้งศึกนอกศึกในเชียวหรือ 

ศึกนอก การดำรงชีวิตของเราในสังคมของเรา เราก็มีศีลมีธรรม มีสุจริตเป็นเครื่องปกครองดูแลรักษาให้ชีวิตของเราไม่ผิดพลาดไป ในหัวใจของเราก็อย่าให้กิเลสมันกระตุ้นของมัน อย่าให้มันกระตุ้น อย่าให้มันปรารถนาโดยลอยลม แต่ถ้ากิเลสถ้ามันคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรของเรา เราทำหน้าที่ของเรา 

คนทำงานแล้วใช้สติปัญญามากกว่าเราเยอะแยะไปหมด คนที่เขาประสบความสำเร็จเขาล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้นน่ะ เขาล้มลุกคลุกคลานมาก่อน เขาถึงมีประสบการณ์ชีวิตของเขา เขาถึงได้ใช้สติใช้ปัญญาของเขาใคร่ครวญสิ่งที่เขารู้เขาเห็นอยู่นั้นว่ามันควรหรือไม่ควร สิ่งที่มันเกิดขึ้น เขามีสติปัญญาใคร่ครวญของเขา แยกแยะของเขาว่าถูกหรือผิด นี่เพราะประสบการณ์ที่เขาเคยล้มลุกคลุกคลานมานั่นไง ของเราไม่เคยล้มลุกคลุกคลานเลย แล้วเราก็ว่าจะให้ประสบความสำเร็จไปเลย ชีวิตของเรามันจะสมบูรณ์ไปด้วยกลีบกุหลาบดอกไม้ตลอดไปเลย 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไปจำพรรษาอยู่กับพราหมณ์ พราหมณ์นิมนต์ให้จำพรรษา แล้วเกิดทุกขภัย เกิดภัยแล้ง ลืมใส่บาตร ลืมใส่บาตรมา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระอานนท์นี่โอ้โฮ! สะเทือนใจมาก เพราะไปบิณฑบาต พอดีพ่อค้าม้าเขาก็ต้อนม้ามาเพื่อค้าขายข้ามถิ่น พอถึงเวลาหน้าฝนเขาก็ตั้งแคมป์พักที่นั่น เวลาที่เขาบิณฑบาตไม่ได้ก็ไปบิณฑบาตกับพ่อค้าม้านั่นน่ะ เขาให้อาหารม้าอย่างไรเขาก็ใส่บาตรอย่างนั้นมา ได้มาเป็นข้าวกล้อง 

ภิกษุทำให้อาหารสุกเองไม่ได้ เป็นอาบัติ ภิกษุปรุงแต่งอาหารได้ อาหารเติมรสเติมได้ แต่ของดิบทำให้เป็นของสุก ภิกษุทำไม่ได้ พระอานนท์ทำไม่ได้นะ เอาข้าวมาบด บดให้เป็นแป้ง บดให้เป็นแป้งเสร็จแล้วเอาน้ำพรม ไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระโมคคัลลานะทนไม่ได้ พระโมคคัลลานะบอกขออนุญาตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าจะนิมนต์พระเหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า แล้วพระที่ไม่มีฤทธิ์เขาจะทำอย่างไรล่ะ

ก็ผมจะจับมือไป ผมจะพาเหาะไปเอง 

มีฤทธิ์มีเดชนะ คำว่า “มีฤทธิ์มีเดช” พยายามจะเปลี่ยนแปลงไง เปลี่ยนแปลงทุกขภัยอันนั้น เปลี่ยนแปลงวาระอันนั้น เปลี่ยนแปลง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาต ไม่อนุญาต

พอไม่อนุญาต ขออีก ขอบอกว่าจะพลิกแผ่นดิน พลิกแผ่นดินขึ้นมา คือเอาเหง้าดินขึ้นมา คือดินที่เป็นอาหารพลิกขึ้นมา

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ถามว่า แล้วประชาชนอยู่นี่ทำอย่างไรล่ะ

ผมจะกางฝ่ามือของผมให้เป็นแผ่นดิน แล้วเอาประชาชนวางบนฝ่ามือผมก่อน แล้วผมจะพลิกแผ่นดินขึ้นมา แล้วก็ค่อยเอาประชาชนกลับมาตั้งไว้ที่เดิม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต 

ผู้ที่มีฤทธิ์มีเดชสามารถทำได้นะ แต่ทำแล้วมันเป็นของชั่วคราวไง มันเรื่องชั่วคราว เรื่องชั่วคราวมันไม่เป็นความจริง แต่กรรมของคนมันจริง กรรมของคนมันจริงไง เวลาถึงที่สุดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกพรรษาแล้ว พอออกพรรษาแล้วพราหมณ์ถึงนึกได้ไงว่านิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ มาขอขมาลาโทษนะ มาขอขมาลาโทษแล้วก็นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปฉันในราชวัง

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พูดกับพระไง เธอชนะแล้ว พวกเธอชนะ ชนะ อะไร ชนะความทุกข์ความยาก ชนะกิเลสไง ชนะไอ้ที่มันดิ้นรนในใจไง ไอ้ที่ดิ้นรนในใจมันก็ไม่ยอมไง มันจะเอาแต่ความสุขเอาความสะดวกของมัน 

นี้แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฎกนะ เวลาชีวิตของคนมันจะไม่ราบเรียบเสมอไปหรอก มันก็มีลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามีปัญหาขึ้นมา เวลาเผยแผ่ธรรมๆ มันมีศาสนาอื่นอยู่แล้ว มันมีศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธไปหมดๆ มันมีปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ ทีนี้มันก็มีเรื่องการกระทบกระเทือน เรื่องการใส่ร้าย เรื่องการทำลายกัน

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเทศน์บอกพระ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรม คือโดนเขาติฉินนินทา โดนเขากล่าวร้าย เธออย่าเสียใจไป ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเผยแผ่ไป มันมีคนโต้แย้ง มันมีคนทำลาย เพราะว่าความเชื่อถือความศรัทธามันมา แล้วเป็นความจริงๆ ตลอด ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระ ภิกษุทั้งหลาย มันไม่มีใครโดนโลกธรรมรุนแรงเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ทั้งๆ ที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนานะ มีบารมีมาก อนาคตังสญาณ มีฤทธิ์มีเดชทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ท่านไม่ทำ จะทำต่อเมื่อพวกเดียรถีย์ พวกที่กล่าวร้าย เวลาแสดงธรรมเพื่อปราบปราม ท่านแสดงเพื่อเวลาปราบปรามกิเลส เวลาทำเพื่อประโยชน์ แต่ท่านไม่มาทำเพื่อแสวงหาสิ่งใดทั้งสิ้น 

เวลาเผยแผ่ธรรมๆ ต้องเผยแผ่ธรรมก็เพื่อให้พวกเราเข้าใจ ถ้าเข้าใจก็แสดงธรรมนี่ไง แสดงว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ให้พวกเราเข้าใจ ให้พวกเราเห็น ให้พวกเรารู้ มงคลชีวิตไง ถ้าคนมันรู้มันเห็นขึ้นมามันจะทำความชั่วไหม มันจะเอาแต่บาปอกุศลใส่ตัวเราไหม ใครบ้างจะเอาบาปใส่ตัว ใครบ้างจะเอาสิ่งไม่ดีเข้าตัว แต่เพราะกิเลสมันปิดบังหัวใจไง มันถึงผิดพลาด มันถึงทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องดีงามมาไง ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยการเทศนาว่าการ ด้วยการชักจูงไง ด้วยฤทธิ์ด้วยเดช เอาไว้ปราบพวกดื้อๆ

นี่พูดถึงชีวิตของคน ถ้าเป็นมงคลชีวิตของเรา เราทำบุญกุศล พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ ฉะนั้น เวลาบอกว่า ถ้ามันเป็นบุญกุศลก็ต้องให้เราสมความปรารถนาทุกๆ สิ่ง สมความปรารถนาเหมือนเด็ก เด็กมันไม่เข้าใจสิ่งใด มันไปเอาสิ่งใดมาทำร้ายตัวเองทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน คิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดของมันไปเรื่อย แต่ชีวิตไม่ต้องการอย่างนั้น ชีวิตต้องการปัจจัย ๔ ชีวิตต้องการความสงบระงับ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเข้าใจในตน ตนมีสติปัญญา หัวใจของตนมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าความสุขมันเกิดที่นี่แล้วนะ สิ่งที่เราแสวงหาๆ มันวางหมดเลย เออ! ไม่เอา ทีแรกไม่รู้ นึกว่าได้มาแล้วจะดี พอได้มาแล้วเป็นภาระไปทั้งนั้น เป็นภาระ เป็นความรับผิดชอบไปต่างๆ สิ่งจริงๆ แล้วหัวใจต้องการธรรมะนี้

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์เนาะ เราเกิดมาเป็นคน คนต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็มีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีพ อย่าให้กิเลสมันยุมันแหย่ ยุแหย่จนเราทุกข์เราร้อนในใจ เราต้องทำหน้าที่การงานนะ พระไปบิณฑบาตมา บอกเขาบอกว่ามันไม่เป็นประโยชน์ๆ นี่เพิ่งบิณฑบาตกลับมา มันต้องทำไง นี่ไง อริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า บิณฑบาตเป็นวัตร เลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่มีอาชีพ ไม่มีวิชาชีพ อาชีพที่ทำมาหากิน แต่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ด้วยเท้าของตน ออกบิณฑบาตเป็นวัตร แล้วเราเป็นฆราวาสใช่ไหม เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราเพื่อดำรงชีพ เราหาสิ่งนั้นมา แต่ให้มีคุณธรรมในใจบ้าง หล่อเลี้ยงใจให้มันอย่าว้าเหว่ ให้มันอย่าบีบคั้นตนเอง รักษาดูแลหัวใจของเราไง 

จากภายนอก ภายนอกก็ทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงชีพ ภายในก็พยายามมีสติปัญญาให้หัวใจอย่าเดือดร้อนเกินไป ให้หัวใจของเราดีขึ้นๆ ดีขึ้นจนมันอยากประพฤติปฏิบัตินะ เพราะมันอยากได้ดีกว่านี้ อยากได้ศีล อยากได้สมาธิ อยากได้ปัญญา อยากได้มรรค อยากได้ผล มันขวนขวาย ถ้ามันทำของมัน เวลามันเกิดขึ้นในใจนะ เราจะเห็นความหัศจรรย์ของจิตดวงนี้เลย จิตดวงนี้ สิ่งที่มีค่าๆ มรรคมันเกิดบนหัวใจนี้ สิ่งใดทุกอย่างเกิดบนหัวใจนี้ ความคิดเกิดบนหัวใจนี้ ทุกข์ยากก็เกิดบนหัวใจนี้ เวลามีความสุขก็ความสุขเกิดจากหัวใจนี้ แล้วเวลาเกิดมรรคเกิดผล เกิดมรรคญาณในหัวใจนี้ มหัศจรรย์กับจิตดวงนี้ จิตดวงนี้มีค่ามาก เอวัง