ชีวิตเรียบง่าย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “เด็กโง่ๆ”
หลวงพ่อ : เขาเขียนเองนะ “เด็กโง่ๆ”
ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ
วันนี้โยมไม่มีคำถามเจ้าค่ะ แต่อยากปรารภกับหลวงพ่อเจ้าค่ะ ณ ปัจจุบันนี้โยมได้เปิดรับเว็บไซต์ฟังธรรมของหลวงพ่อทุกวันค่ะ โยมรู้สึกว่าธรรมะนี้ละเอียดอ่อนมาก และเป็นธรรมโอสถ เป็นคู่ปราบกับโลกธรรม ๘ บางครั้งโยมรู้สึกท้อแท้อ่อนแอ หมดไฟ เพราะกิเลสมันทิ่มตำหัวใจ ก็จะฟังธรรมะเทศน์ปลุกจิตที่กำลังหลับใหล จากกิเลสนั่งบัลลังก์ให้ฮึกเหิมเหมือนนักมวยให้น้ำ สู้กับมัน และจะคิดมรณานุสติเหมือนหลวงพ่อเทศน์ว่า “ในหนึ่งวันคิดถึงความตายกี่ครั้ง” โยมก็คิดกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เหมือนเป็นวันสุดท้ายที่เรามีชีวิตอยู่ เราจะเอาทรัพย์อะไรติดจิตดวงนี้ไปบ้าง
โยมระลึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านมีทุกอย่างครบ ท่านยังสละสมบัติทางโลก เพราะท่านสร้างบารมีไว้หลายภพหลายชาติ พอย้อนมาดูตัวเองแล้ว นึกถึงธรรมของหลวงพ่อเทศน์ว่า “การรับผิดชอบครอบครัวก็เหมือนรับผิดชอบชีวิต รับผิดชอบชีวิตก็เหมือนรับผิดชอบกับการภาวนา” แต่คำสอนที่หลวงพ่อเทศน์สอนว่า “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชีวิตในการครองเรือนเหมือนวิดน้ำทั้งทะเล ได้ปลาตัวน้อยๆ หนึ่งตัว ซึ่งมันยากและลำบากมากๆ”
ทุกวันนี้ทำงานทางโลกคู่ขนานกับทางธรรมไปด้วย เมื่อมีเวลาก็ปฏิบัติอยู่บ้านตลอดค่ะ พยายามให้ตัวเองมีสติมีปัญญาสอนตัวเอง แต่ยังหาจิตของตัวเองไม่เจอ และยังไม่มีต้นทุนค่ะ แต่พยายามอดทนทำอยู่ค่ะ เพื่อให้หัวใจมันเข้มแข็ง โยมอธิษฐานว่าทุกอย่างให้ธรรมะจัดสรร ถ้าโยมมีบุญอำนาจวาสนาบารมีคงได้เดินตามรอยพ่อแม่ครูบาอาจารย์ค่ะ
สุดท้ายขอกราบหลวงพ่อเมตตาอ่านข้อความของเด็กโง่ๆ และมีปัญญาทึบคนนี้ จะพยายามให้ตัวเองมีสติและมีปัญญามากขึ้นค่ะ
ตอบ : พูดถึง เห็นไหม เวลาคนมีสติมีปัญญา คำว่า “มีสติปัญญา” คือระลึกถึงชีวิตของตนเองได้ พอระลึกถึงชีวิตของตนเองได้ก็พยายามๆ ถ้าการพยายามจะประพฤติปฏิบัตินะ มันพยายามต้องมีสติปัญญา คำว่า “มีสติปัญญา” ในเมื่อเรามีครอบครัว ในเมื่อเรามีความรับผิดชอบ มันก็ต้องรับผิดชอบ คนรับผิดชอบนะรับผิดชอบไปถึงที่สุด นี่เป็นการบ่มเพาะนะๆ ถ้าเรามีครอบครัว เรามีความรู้สึกเราใฝ่ในธรรม เราก็รับผิดชอบครอบครัว การรับผิดชอบครอบครัวมันได้เห็นหมด
เรามีลูกศิษย์คนหนึ่ง เวลาแม่เขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาดูแลแม่เขา เพราะแม่เขาเป็นเบาหวาน เขารับผิดชอบจนกว่าแม่จะเสียชีวิตไป พอแม่เสียชีวิตแล้วเขามาหาเราแล้วบอก “หลวงพ่อ ชีวิตมันมีแค่นี้จริงๆ เนาะ มันมีแค่นี้” แล้วทำให้เขามีสติ เขามีสติมาก แล้วเขาก็อยากจะมาประพฤติปฏิบัติ แล้วพอมาประพฤติปฏิบัติอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายแล้วเขาก็ออกไป พอเขาออกไปเพราะอะไร เพราะส่วนใหญ่แล้วพอกิเลสมันฟูมฟักขึ้น กิเลสมันมีกำลังมากขึ้น ไอ้สิ่งที่เราเห็น ตอนที่เราเห็นมันสดๆ ร้อนๆ พอมันสดๆ ร้อนๆ มันสดชื่นมาก พอมันสดชื่นมาก สิ่งใดมันเสียสละได้ทั้งนั้น
แต่เวลามันปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติไปแล้ว ธรรมะของเรามันไม่เข้มแข็งพอ พอไม่เข้มแข็งพอ เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา เขาก็ออกไปเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เรื่องธรรมดา เราถึงบอกไง เวลาคนที่มีศรัทธามากนะ ดูสิ พวกดารา พวกที่มีชื่อเสียง เวลาเขาไปบวชเขาบอกว่า “บวชทั้งตลอดชีวิต บวชตลอดชีวิต” อย่างมากไม่เกิน ๕ ปี
“ธรรมะสอนว่าให้รับผิดชอบ” เวลาเขาจะสึกไป เขาจะออกไปข้างนอก เขายังอ้างธรรมะสอนอีกนะ “แหม! ทีแรกมาบวชแล้ว พอมาปฏิบัติแล้ว แหม! ธรรมะมีสติมีปัญญา ธรรมะสอน สอนว่าต้องรับผิดชอบชีวิต ต้องรับผิดชอบ ยังทำประโยชน์ได้” สึกออกไปก่อน เราบอก “เออ! ธรรมะอะไรมันสอนอย่างนั้น ธรรมะเขามีแต่เสียสละ เสียสละให้เข้ามา” ทีนี้พูดถึงว่าเวลาจิตเขาเสื่อม แต่เขาพูดอย่างนั้น พูดอย่างนั้นเพราะมีสติปัญญาอย่างนั้น มีสติปัญญาพูดก็พูดได้แค่นั้นไง ถ้าพูดได้แค่นั้นมันก็ออกไปอยู่ทางโลกไง
แต่ถ้าเราอยู่ของเรา ในชีวิตในครอบครัวของเรา เราดูสิ่งนี้ ชีวิตในครอบครัวแค่ดูแลนะ ดูแลลูกเต้า โอ้โฮ! เวลาโต้แย้งกัน เวลาถกเถียงกัน มันเป็นภาระไปทั้งนั้น แล้วมันเป็นภาระมันเป็นภาระของใครล่ะ มันเป็นภาระของเราไง เป็นภาระของเราเพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พอ เราถึงได้ต้องมีครอบครัวมา ถ้ามีครอบครัวมาแล้วสิ่งนั้นมันเป็นความรับผิดชอบของเรา โทษใครไม่ได้เลย โทษสติปัญญาของเรานี่แหละ โทษความผิดพลาดของเราทั้งนั้น
ถ้าความผิดพลาดของเราแล้วเราดูแลรักษาของเราไป ดูแลรักษาไป มันจะสอนเรานะ อย่าผิดอีกนะ อย่าผิดอีก จำให้แม่นๆ อย่าผิดพลาดอีกนะอย่างนี้ เราอยู่กับแบบนี้มันจะกล่อมของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเรากล่อมของเราไปเรื่อยๆ รับผิดชอบอย่างนั้น ถ้าดูแลอย่างนั้นไปถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้วเพราะถึงเวลาเรามีสติปัญญา เพราะเรามีธรรมในหัวใจ มันถึงทำให้เราอยู่โดยไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป แต่ถ้ากิเลสมันรุมเร้า พอรุมเร้าขึ้นมา โอ้โฮ! มันตีอกชกตัว มันทำลายตัวเองทั้งนั้นเลย
กิเลสทำให้เราผิดพลาดมาแล้ว กิเลสมันก็ยังทำลายสติปัญญา ทำลายโอกาส ทำลาย สิ่งที่ภาพเดียวกันนี่ล่ะถ้ามันมองด้วยปัญญา มองด้วยสติปัญญา เห็นไหม มันจะสั่งสอนเรา ถ้าภาพเดียวกันนี่แหละ ถ้าเราเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ มันจะให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ ภาพเดียวกันนี่แหละ เพียงแต่ว่ามีสติปัญญาหรือไม่ หรือว่ามองโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ภาพเดียวกันนี่แหละ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอยู่อย่างนี้ เราได้อย่างนี้ แล้วสิ่งนี้มันเป็นประจักษ์พยานกับเรา เราดูแลของเราถ้าเป็นไปได้นะ ถ้าเป็นไปได้ สิ่งนี้เราทำของเรา แล้วถ้ามีธรรมแล้ว ชีวิตในครอบครัวจะร่มเย็นเป็นสุขนะ ชีวิตในครอบครัว ไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตครอบครัวมันมีความโต้แย้ง ถ้าความโต้แย้งมันมาจากเราทั้งนั้น มันมาจากเรา ถ้าเรามีสติปัญญาพอต้องไม่มีเรื่อง ถ้าเรามีสติปัญญาพอ เราจะหลบหลีกได้ เรามีสติปัญญาพอๆ นะ เราเป็นคนคุมเกมเอง มันจะมีเหตุการณ์รุนแรงขนาดไหน เรามีสติปัญญาพอๆ สิ่งนั้นมันจะเข้ามาทิ่มแทงหัวใจเราไม่ได้ เข้ามาให้เราหลงใหล ให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลงกับอาการอย่างนั้นไม่ได้
ถ้าไม่ได้นะ เรายืนดูนะแล้วมันเศร้า ถ้าเศร้าเป็นธรรมสังเวช มันสังเวช สังเวชใจ สังเวชใจ มันอยู่กับเรา เราต้องอยู่กับเขา แล้วต้องอยู่ไปอย่างนี้อยู่ตลอดไป ถ้ามีธรรมในหัวใจมันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีธรรมในหัวใจนะ เราก็เดือดร้อน เขาก็เดือดร้อน แล้วเขาก็มีการกระทบกระทั่ง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น
เราเกิดมา เกิดมา เห็นไหม เกิดมาเป็นสัตว์ร่วมโลก ถ้าสัตว์ร่วมโลกแล้วเรามีธรรมในหัวใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงถ้ามีสติปัญญานะ พูดถึงคนโง่ๆ ไง แต่คนโง่ๆ ถ้ายังมีคุณธรรมในหัวใจบ้าง มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไม่มีคุณธรรมในหัวใจเลย มันมีแต่ความทุกข์ร้อนเผาหัวใจ
พูดถึง “เวลาเขาฟังธรรม ถ้าฟังธรรมแล้วเราปฏิบัติธรรม ถ้าจิตทำมันเป็นไปได้ไง เขาเปิดเว็บไซต์ฟังหลวงพ่อทุกวัน เพื่ออะไร ธรรมะของหลวงพ่อเพื่อบางทีจิตใจมันอ่อนแอ มันท้อแท้ มันหมดไฟ กิเลสมันทิ่มตำหัวใจ เวลาฟังธรรมๆ เพื่อปลุกปลอบหัวใจของเรา” เหมือนกัน เราเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติ เวลามันท้อแท้ มันอ่อนแอ เห็นไหม เข้าไปหาครูบาอาจารย์ แล้วครูบา-อาจารย์ท่านจะคอยกระตุ้นให้กำลังใจทั้งนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจ แก้วสารพัดนึก แก้วสารพัดนึกนะ คนมุมมองขนาดไหน ระดับของโลกคนที่เขาบอกเป็นพุทธทะเบียนบ้านเขาก็บอกเขาเป็นชาวพุทธ เขาเป็นคนดี ไม่ต้องทำสิ่งใดแล้วดีอยู่แล้ว แต่คนที่เขามีระดับทานของเขา เขาอยากเสียสละทานของเขา เขาอยากเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีของเขา คนที่หัวใจสูงส่งกว่าเขาไปวัดไปวาไปจำศีล แล้วผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารนะออกบวชเลย ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ออกบวชเพื่อจะเอาให้พ้นจากกิเลสไปเลย
สิ่งที่ว่าจิตใจของคนมันมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน เวลามันอ่อนแอ มันหมดไฟ ครูบาอาจารย์จะกระตุ้นอย่างนั้น ถ้ากระตุ้นขึ้นมามันมีกำลังมันก็สู้ของมันได้ เวลาฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เวลาสู้กับมัน แล้วถ้ามันเป็นคติธรรม คติ เวลาที่เราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบา-อาจารย์คอยชี้จุดบอดของเรา ถ้าชี้จุดบอดของเราชี้ให้เราเห็นว่าให้เราต่อสู้ได้
แต่ถ้าเราคิดได้เองๆ ถ้าเราคิดของเราได้เอง เรามีสติมีปัญญามันไม่ต้องมีเขามีเราไง ถ้าคนอื่นบอก คนอื่นคอยชี้นำ มันจริงหรือไม่จริง เขาปรารถนาดีกับเราจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเราคิดได้เอง เห็นไหม ชีวิตของชาวพุทธเรา ถ้าชีวิตเรียบง่าย ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ เวลาท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ สูงสุดสู่สามัญ เรียบง่าย พระธรรมดานี่ พระปกตินี่ พระธรรมดานี่ท่านมีคุณธรรมของท่าน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม ชีวิตของเราจะเรียบง่าย ความสุขหาได้ในใจนี้ ความสุขไม่ต้องไปหาได้ที่ไหน
ความสุขนะ ดูสิ ความสุขในครอบครัว ถ้าครอบครัวของเรา ครอบครัวของเราญาติพี่น้องในตระกูลของเรามีหน้าที่การงานของเขา เขาทำงานของเขา เขามีความสุขของเขา เรามีความสุขแล้ว ชีวิตเรียบง่าย แต่ถ้าชีวิตไม่เรียบง่ายมันพยายามจะแสวงหา เวลาปฏิบัติแล้วจะต้องรู้นั่นรู้นี่ รู้อะไร รู้ส่งออกทั้งนั้น ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันจะเป็นความจริงเข้ามาในนี้ไง ถ้าเข้ามาในนี้ เห็นไหม มันสติปัญญา ถ้าเราย้อนได้ คนมีสติปัญญานะมันจะมีที่พึ่ง
ฉะนั้น บอกว่า เวลาเขาคิดของเขา เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าสละสมบัติมาทั้งหมด แล้วสละมาแล้ว สละมาเพื่อหาสัจจะหาความจริงจากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านไม่เคยคิดเสียดายอะไรเลย เวลากลับไปเทศนาว่าการเอาพระเจ้าสุทโธทนะ
เวลาสามเณรราหุลขอสมบัติๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าพิจารณาเลย สมบัติในการจะเป็นกษัตริย์เขามีของเขาอยู่แล้ว มันเป็นโดยสิทธิ์อยู่แล้ว แต่ทีนี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้ามาระลึก สมบัติอย่างนั้น ถ้าสมบัติอย่างนั้นก็เป็นกษัตริย์ไปจนหมดชีวิต แต่ถ้าเอาอริยทรัพย์ล่ะ เอาสมบัติภายใน ถึงให้ออกบวช เวลาออกบวชขึ้นมา บวชขึ้นมาแล้วให้พระ-สารีบุตรเป็นผู้บวชให้ พระสารีบุตรบวชให้แล้ว พระสารีบุตรสอนจนถึงเป็นพระอรหันต์
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าได้อย่างนั้นแล้วจบ จบหมด เห็นไหม ไม่ได้เสียใจสิ่งใดเลย ไม่ได้คิดห่วงหน้าพะวงหลังสิ่งใดเลย ถ้าผู้ที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงอย่างนั้น ธรรมะสอนให้รับผิดชอบๆ รับผิดชอบในเรื่องอะไร ถ้ารับผิดชอบ รับผิดชอบระดับของคฤหัสถ์ ระดับของผู้ครองเรือน ในระดับของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ในระดับของผู้ที่สิ้นกิเลสไปแล้ว รับผิดชอบเรื่องอะไร ถ้ารับผิดชอบ รับผิดชอบตรงนี้ มันถึงเป็นความจริงเข้ามา ถ้าไม่เป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นอย่างทางโลกที่เขาเป็นกัน มันถึงว่ามันจะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเขาล่ะ ถ้าเป็นประโยชน์กับเขา เขาถึงทำได้
ฉะนั้น ถ้ามันเป็นไปได้เขาฟังเทศน์แล้วเขาจับประเด็นมาตลอด ฟังคำเทศน์ของหลวงพ่อสอนว่า “สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในการครองเรือน” ไอ้ที่เราพูด พูดเพราะอะไร เพราะเราอ่านพระไตรปิฎก เราค้นคว้าในพระไตรปิฎก แล้วสิ่งใดพอศึกษาพระไตรปิฎกแล้วสิ่งใดที่มันดูดดื่ม สิ่งที่มันกินใจ สิ่งที่พูดทุกวันๆ ก็มาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม วิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาตัวน้อยๆ ตัวเดียว ในการครองเรือนมันต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้น
เพราะลงทุนลงแรงขนาดนั้น เพราะด้วยความคิดของสามัญสำนึกเราไง ถ้าสามัญสำนึก ดูทางโลกเขาประสบความสำเร็จ เห็นเขาประสบความสำเร็จ เราก็อยากประสบความสำเร็จไปกับเขา แต่ประสบความสำเร็จแบบนั้นประสบความสำเร็จทางโลก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบความสำเร็จในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าประสบความสำเร็จในทางธรรม
ถ้าในทางธรรม ในทางธรรม งานทางโลกมันจะทุกข์ยากขนาดไหน เราก็ได้ทำมาแล้ว งานในทางธรรมๆ คนถ้าไม่มีสติปัญญา เขาบอกว่า “เขาพยายามจะประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่สิ่งที่เขาค้นหา ค้นหาหัวใจของเขายังไม่เจอ” ถ้าค้นหาหัวใจเจอ ในการปฏิบัติ เวลาค้นหาหัวใจ การค้นหาหัวใจ เวลาธรรมะของครูบาอาจารย์เรา การค้นหาหัวใจก็คือการทำสมาธิ ถ้าจิตมันสงบนะ จิตมันละเอียดเข้ามาสงบ เรารู้ของเราเลย เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง เหมือนคน คนแสวงหาสิ่งใดอยู่ ถ้าไปเจอสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่ เขาก็หมดความสงสัยจริงไหม เขาแสวงหาสิ่งใดอยู่ ถ้าเขาเจอสิ่งนั้น มันก็เสร็จสิ้นของมันใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เราค้นหาหัวใจๆ แล้วค้นหาหัวใจเป็นอย่างไรล่ะ ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำสมาธิขึ้นมา สมาธิตัวจริงๆ นั่นล่ะค้นหาหัวใจของตน จิตสงบเข้ามาชัดเจนมาก เพราะทำความสงบของใจได้ พอทำความสงบของใจได้ เพราะจิตมันสงบ พอจิตสงบมันได้รสของสมาธิธรรม รสสมาธิธรรมมันจะเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มันจะเชื่อเพราะเหตุใด ม ันจะเชื่อเพราะว่าธรรมะมันจะเข้าสู่หัวใจของสัตว์โลก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจนี่ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกไม่ให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือให้พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราก็บ่นกันอยู่ปากเปียกปากแฉะเลย “เราจะไม่เกิดแล้ว คนนั้นสิ้นกิเลสแล้ว” นี่มันบ่นน่ะ มันธรรมะบ่น มันไม่เป็นความจริงไง
ความจริงมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความรู้จำเพาะตน ความรู้จำเพาะตน ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์รู้กันในใจดวงนั้นไง แต่รู้ในใจดวงนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านลงมาจากเชียงใหม่ เวลาท่านจะกลับอีสาน ท่านผ่านไปที่โคราช มันมีลูกศิษย์ลูกหาท่านทั้งนั้น มีพวกคหบดีเพราะเป็นลูกศิษย์ก็คุ้นเคย ถามตรงๆ เลย “ข่าวเขาเล่าลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์” ถามหลวงปู่มั่นเลยนะ หลวงปู่มั่นท่านไม่ตอบเลย ท่านพูดถึงเรื่องอริยสัจเลย
ไอ้นั่นมันเป็นการบ่น เป็นสิ่งที่ว่าโลกธรรม ๘ เป็นความเชื่อถือของคน แต่ความจริงถ้ามันจะเป็นจริงๆ มันเป็นจริงในใจอันนี้ไง ถ้ามันเป็นจริงในใจอันนี้ ถึงบอกว่า “เขาพยายามประพฤติปฏิบัติค้นคว้าหาหัวใจของตนให้ได้” คำว่า “ค้นคว้าหาหัวใจของตน” เราอย่าไปตั้งเป้า ถ้าตั้งเป้ามากเกินไป กิเลสมันก็จะหลอกไง
เราบอกว่า เราทำสมาธิ เราทำความสงบ เพราะเราเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราค้นคว้าหาความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้จริง เห็นไหม มันจะเป็นหนึ่ง พอมันเป็นหนึ่งมันไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น สมาธิคือจิตที่ไม่พาดพิงใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันรู้ตัวมันเองชัดเจนมาก รู้ตัวเองชัดเจนมาก ความชัดเจนอันนั้นมันถึงจะอธิบายเรื่องสมาธิได้ ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงไง แล้วจิตมันได้สัมผัสสมาธิตามความเป็นจริง แล้วสัมผัส สัมผัสที่ไหน สัมผัสที่ใจของตนนั่นไง
ถ้าใจของตนเป็นสมาธิ เห็นไหม จิตสงบ สงบในขั้นของสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วเวลาจิตมันสงบแล้วมันพิจารณาของมันไป มันละมันถอนสังโยชน์เป็นพระโสดาบัน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบนี้เป็นสงบของขั้นของพระ-โสดาบัน เวลาพิจารณาของมันไป พิจารณาของมันไป เวลาจิตมันละกามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันสงบของขั้นสกิทาคามี แล้วถ้ามันพิจารณาต่อเนื่องไป มันไปละกามราคะ ปฏิฆะหมดเลย สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันสงบขั้นของพระอนาคามี
แล้วถ้าพิจารณาต่อไปมันไปทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติ จนไม่มีสิ่งใดๆ เลย ไม่มีสิ่งใดเหลือตกค้างในใจเลย ทำลายภวาสวะคือไปทำลายความรู้สึกอันนั้นเลย ถ้าทำลายความรู้สึกอันนั้น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้ามันสงบอย่างนั้นมันสงบของขั้นอะไรล่ะ สงบของขั้นการสิ้นกิเลส การสิ้นกิเลสมันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจ
ฉะนั้น วิมุตติสุขๆ มันอยู่ตรงนั้นไง ถ้าอยู่ตรงนั้นมันเป็นความจริง ความจริงมันเป็นความจริงของมัน เพียงแต่ว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติท่านจะสื่อสาร คือท่านจะอธิบายอย่างใด ในวงกรรมฐานของเรา ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านอธิบายตามประสบการณ์ของท่าน ส่วนใหญ่แล้วอธิบายตามประสบการณ์ของท่าน ตามประสบการณ์เพราะจิตมันมีการกระทำใช่ไหม เวลามันอธิบายถึงธรรมะ มันอธิบายถึงประสบการณ์การกระทำนั้นมันชัดเจนไง
แต่เวลาทางการศึกษา ในทางการศึกษานะ พวกที่เรียนบาลี เห็นไหม เวลาถามปัญหาปั๊บ เขาก็พยายามจะย้อนกลับไป คือเขาเคยศึกษามา เขามีความรู้อย่างนั้น เขาก็จะตอบโดยความรู้ของเขา แต่ความรู้ของเขามันก็ยังเป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านอธิบายไว้ แต่ตัวเองมันไม่มีประสบการณ์ มันถึงเอาขั้นตอนสิ่งใดมาอธิบายโดยที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องมันก็ไม่เข้ากัน มันก็ไม่เป็นปัจจุบันไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สงบขั้นสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบขั้นวิมุตติสุขไม่มี อันนั้นไม่มี มันเป็นความจริงอันนั้น เพราะเขาบอกว่าเขาพยายามค้นหาใจของตน มันยังค้นหาใจของตนยังไม่ได้ พยายามค้นหาอยู่ ถ้าค้นหาอยู่มันก็เป็นความจริง มันเป็นเรื่องการกระทำของเรา
เขาบอกว่า “ทุกวันนี้ทำงานคู่ขนานไปทางโลกกับทางธรรมไปด้วยกัน เมื่อมีเวลาก็จะปฏิบัติอยู่ที่บ้าน และพยายามจะสร้างสติสร้างปัญญาของตน เพื่อให้จิตใจของตนเข้มแข็ง”
อันนี้มันเป็นอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาของคน มันมีเป้าหมาย เวลาวางเป้าหมายแล้วพยายามจะเดินให้ถึงเป้าหมายนั้น ฉะนั้น โดยข้อเท็จจริงของชีวิต ชีวิตแล้วเราเกิดมา เกิดมาด้วยอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ใครจะสนใจหรือไม่สนใจ แล้วคนที่อยู่ข้างๆ วัด แล้วถ้าเห็นพระปฏิบัติถ้าไม่เข้าหูเข้าตา มันยิ่งห่างศาสนา เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่เวลาเห็นพระเห็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วมันไม่ลงใจเรา มันยิ่งคัดยิ่งค้าน ยิ่งออกห่าง อันนั้นมันก็เป็นกรรมของสัตว์ๆ นะ
แต่ถ้าผู้ที่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม มีอำนาจวาสนามันก็เทียบเคียงมาในใจเรา อะไรเป็นความจริง เมื่อก่อนเราก็คิดของเราอย่างนี้ เวลาก่อนบวชเราก็อยู่ทางโลกนี่แหละ พออยู่ทางโลกแล้วมันอยากหาความจริงไง “ถามตัวเองอะไรมันจริง”ไม่มีอะไรจริงเลย มันดีอย่างหนึ่ง ดีอย่างหนึ่ง พอไม่มีอะไรจริง มันก็หันมาว่า“สงสัยจะต้องเป็นพระนี่แหละ” ก็เลยมาศึกษา ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ศึกษาไปศึกษามา แล้วก็เข้ามาเนี่ย พอศึกษาถึงเอาความจริงๆ ถ้าเราพยายามค้นคว้าหาความจริง ถามตัวเองว่าอะไรเป็นความจริง ถ้าอะไรเป็นความจริง เราปฏิบัติ เราค้นคว้าของเรา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาได้ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาได้
สิ่งที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนนะ เพียงแต่ว่าระยะเวลา ระยะเวลามันแบบว่ามีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ศรัทธาของคนก็เหมือนกัน เวลามันศรัทธาขึ้นมามันก็มีความมุ่งมั่น แต่พอทำสิ่งใดแล้วไม่ประสบความสำเร็จมันก็ท้อแท้ ความท้อแท้ความอ่อนแออันนั้นคือวาสนาของคนนะ แต่ถ้าคนที่เขามุ่งมั่นเขาไม่นั่นเลย
เพราะเวลาบวชแล้ว เราศึกษาอ่านหนังสือประวัติของมหายาน เขาเจาะภูเขาทั้งลูก เฒ่าโง่ย้ายภูเขา เขามี ๓๐ ปี ๔๐ ปีนะ ทำอยู่ตรงนั้น พยายามแสวงหาอยู่ตรงนั้น สุดท้ายแล้วนะเขาบรรลุธรรมได้ มหายานเขาทำจริงทำจังของเขานะ เขาทำต่อเนื่อง แต่เขาบอกว่าง่ายๆ ง่ายๆ คือว่าท่านพูดเรียบง่าย การพูดธรรมะของมหายานเขาจะเรียบง่าย แต่จริงๆ พวกนี้พวกจริงจังทั้งนั้น มันเป็นแบบว่าคนที่มันมุ่งมั่น เขามุ่งมั่นของเขา เขาทำของเขา แล้วเขาจะได้ประโยชน์ของเขา แต่ของเราถ้ามันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เห็นไหม เราก็พยายามรักษาของเรา
ฉะนั้น เขาบอกว่า “โยมอธิษฐานว่าทุกอย่างให้ธรรมะจัดสรร ถ้าโยมมีบุญมีอำนาจวาสนา มีบารมีก็อยากจะเจริญรอยตามพ่อแม่ครูจารย์ทั้งหลาย”
ถ้าทำได้ ถ้าทำได้นะ เพราะคนเรามันเป็นไปตามวัย วัยทำงานใช่ไหม ต่อไปถ้าทุกคนเขามีหน้าที่การงานหมดแล้ว มันก็เป็นเวลาของบุคคลคนนั้นแล้ว ส่วนใหญ่แล้วในประเพณีของชาวพุทธ พอมีอายุมากเขาจะเข้าวัดเข้าวาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ คำว่า “ประพฤติปฏิบัติ” หมายความว่า คนเราพอไม้ใกล้ฝั่ง พอไม้ใกล้ฝั่งแล้วเราจะเอาสมบัติสิ่งใดไป สมบัติที่เราทำไว้เป็นสมบัติของโลก เป็นสมบัติของตระกูล ผู้ที่รับมรดกตกทอดไป
แต่ของเราบุญและบาปเท่านั้น ที่ทำมาบุญและบาปเท่านั้น ทั้งๆ ที่ทำหน้าที่การงานที่หาทรัพย์สมบัตินั่น ถ้ามันเป็นสุจริตเป็นบุญกุศลมันก็ได้ทรัพย์สมบัติด้วย ได้บุญกุศลด้วย แต่ถ้ามันทำมาโดยได้ทรัพย์สมบัติมาโดยบาปโดยกรรม มันก็จะมีเวรกรรมนั้นไป
สิ่งนี้เป็นสมบัติของโลก แล้วสมบัติของเราล่ะ สมบัติของเรา วัฒนธรรมของชาวพุทธ พอแก่เฒ่าแล้วจะไปวัดไปวา ไปวัดไปวาพยายามประพฤติปฏิบัติเพื่อเอาสมบัติของตน ถ้าสมบัติของตน คนจะเดินทาง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าพลัดพรากเป็นที่สุด
พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ สอนระดับของทาน ผู้ที่ระดับของทานก็พยายามเสียสละ พยายามทำคุณงามความดีเพื่อเป็นทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ติดกับหัวใจนั้นไป ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามีศีล มีศีล เวลาประพฤติปฏิบัติถ้าจิตเป็นสมาธิได้ จิตทำความสงบของจิตนั้นได้ เวลาตายไป เห็นไหม เกิดบนพรหม เพราะจิตหนึ่ง พรหมคือจิตที่เป็นหนึ่งไง ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดบนพรหม แล้วพรหมมันก็มีปุถุชน มีอริยภูมิ มีต่างๆ พรหม
แล้วถ้าใครมีอำนาจวาสนา พอจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ที่ชั้นดุสิต พระศรีอริยเมตไตรยอยู่ที่ไหน รอถึงกำหนดเวลาของตน นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเรา ถ้าธรรมะจัดสรรๆ ธรรมะจัดสรร เรามีสติปัญญาด้วย ธรรมะจัดสรรแล้วเราพยายามกระทำของเราด้วย ทำให้ของเรามันเป็นสมบัติของเราไง ถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าเป็นความจริงก็เป็นของเรา
นี่พูดถึงว่า เขาบอกว่า “ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพียงแต่ว่าอยากจะปรารภกับหลวงพ่อ”
ถ้าอยากจะปรารภกับหลวงพ่อ สิ่งนี้มันเป็นรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธะ เป็นผู้รื้อค้นสัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมา พระธรรมคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก แล้วก็ฟื้นฟูมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นพระอรหันต์มากมายเลย แล้วในสมัยกึ่งพุทธกาลมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมารื้อค้นของท่าน แล้วผู้ที่ปฏิบัติตามมันก็เลยเป็นความมั่นคงของศาสนา เป็นความเชื่อมั่น เป็นสิ่งที่ว่าหัวใจของสัตว์โลกมีที่พึ่ง
ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติเราจะค้นคว้าของเรา เราจะไปทำที่ไหน ครูบาอาจารย์ เราศึกษาประวัติครูบาอาจารย์มาทั้งนั้น เวลาปฏิบัติใหม่ๆ ทุกคนเพราะมาจากปุถุชน มาจากคนไม่รู้ มาจากคนหนา ศึกษามาขนาดไหนก็ศึกษามาอย่างนั้น แต่เวลาทำจริงๆ ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำบ้างๆ เพราะเราทำตามเขา แม่ปูกับลูกปู แม่ปูเดินอย่างไร ลูกปูก็เดินอย่างนั้น แล้วเราไปเจอครูบาอาจารย์ที่ดี แม่ปูที่ดีพาเราเดินไปที่ดี ถ้าพาเดินไปที่ดีมันต้องขวนขวาย ขวนขวายทำมา
นี่ก็เหมือนกัน เห็นไหม ฉะนั้น บอก “อยากปรารภกับหลวงพ่อ”
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็ปฏิบัติตามแบบอย่างครูบาอาจารย์มา เวลาอยู่กับหลวงตาท่านพูดประจำ เวลาอยู่กับท่านนะ ท่านบอกว่า “เวลาท่านวางข้อวัตรปฏิบัติของท่าน” เมื่อก่อนนั้นวัดทั่วไปก็ว่าท่านเข้มงวดมากๆ ท่านบอกว่า “ท่านไม่วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านบอกว่าท่านไม่ได้คิดเอง ท่านทำตามหลวงปู่มั่น” เพราะท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมาก่อน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้ที่วางข้อวัตรปฏิบัติ แล้วครูบา-อาจารย์ท่านเป็นพระอุปัฏฐาก แล้วอยู่ด้วยกันมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านล่วงไปแล้ว ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นมา ท่านก็วางข้อวัตรปฏิบัติตามแบบอย่างที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นเวลาท่านพูดกับหลวงตา เห็นไหม “มหา มหาเป็นผู้ที่มีพรรษามากไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ ให้พระเล็กพระน้อยขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรปฏิบัติติดหัวใจมันไป ข้อวัตรปฏิบัติที่ท่านอบรมสั่งสอน” แล้วเวลาหลวงตาท่านศึกษามา ท่านก็เอามาเป็นแบบอย่าง แล้วท่านก็เอามาเป็นแนวทางปฏิบัติที่วัดป่าบ้านตาด แล้วถ้ามีใครจะมาติเตียน มีใครจะบอกว่าอุตริคิดเอง อุตริอยากมีจุดขาย อยากจะมีสิ่งใดที่คนนับถือ ท่านบอกว่า “ท่านไม่สนใจเลย เพราะเราไม่ได้คิดเอง เราทำแบบอย่างที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพาทำมา”
นี่ก็เหมือนกัน เวลาบอกว่า “อยากปรารภกับหลวงพ่อ สิ่งที่ฟังในเว็บไซต์หลวงพ่อพูดอย่างนู้น พูดอย่างนี้” จำมา จำมา ค้นคว้ามาจากพระไตรปิฎก ค้นคว้ามา ปฏิบัติมาจากครูบา-อาจารย์ เวลาครูบาอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอนมาไง ฉะนั้น เวลาพูดมันก็เน้นย้ำตรงนี้ มันเน้นย้ำ ทีนี้เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาพูด ถ้าเสียงที่มีคุณธรรมมันทิ่มแทงหัวใจ มันกินใจ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการส่วนใหญ่แล้วสาวกสาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟัง แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบยังไม่ชำนาญในตำราเลย แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เราสาวกสาวกะ สาวกสาวกะสิ่งที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลาเทศนาว่าการก็เทศน์ตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่! แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติมันมีคุณธรรมในใจ เห็นไหม ก็พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันมีน้ำหนัก มันมีน้ำหนัก มันทิ่มแทงหัวใจไง แต่ถ้าอ่านหนังสือ นั่นน่ะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่! แต่มันไม่มีคุณธรรม
นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้น บอกว่า “เพียงแต่ว่าอยากปรารภกับหลวงพ่อเท่านั้น”
ไม่มีปัญหา ไม่ได้ถามปัญหามา ฉะนั้น สิ่งที่ไม่ได้ถามปัญหามาเป็นความปรารภ เราก็อยากจะพูดว่า ถ้าชีวิตจริงๆ ของนักบวชเรียบง่าย แล้วถ้าเป็นชีวิตจริงๆ ของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนะ เรียบง่าย นี่ก็เหมือนกัน เราครองเรือนของเรา เราอยู่บ้านของเรา ถ้ามีคุณธรรม ความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใด ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร ไม่ต้องไปทำสิ่งใดให้มันเป็นจุดเด่น จุดขาย จุดสำคัญ ไม่มี
เวลาว่าจุดสำคัญๆ จุดสำคัญเวลามันสมุจเฉทปหาน นั่นน่ะ จุดสำคัญๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านพูดถึงจุดสำคัญของท่าน เวลากิเลสมันขาดๆๆ นี่จุดสำคัญ แล้วท่านจะไม่ค่อยพูด เพราะพูดไปแล้วไอ้กิเลสมันจะจำแล้วจะไปสร้างภาพ แล้วก็จะบอกว่าขาดๆ อะไรขาด ตังเมขาดไง ขาดดังตั๊บ! เขาว่าของเขา มันไม่ได้กิเลสขาด ถ้ากิเลสขาดมันจะขาดในหัวใจนั่นจุดสำคัญ ฉะนั้น สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมา ท่านประพฤติปฏิบัติมา
เราทำของเรามาเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา ชีวิตเรียบง่าย ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับใคร อยู่ในบ้านมีศีลมีธรรมในใจ อยู่ที่ไหนมีศีลมีธรรมของเรา ชีวิตนี้เรียบง่าย ชีวิตปกติ ไม่มีอะไรจุดเด่น ไม่มีอะไรพิเศษ แต่! แต่มีศีลมีธรรมในใจ มีความสุข มีความสงบ ชีวิตเรียบง่าย ไม่ต้องไปฟู่ฟ่าแข่งขันกับใครทั้งสิ้น การแข่งขันนั้น เห็นไหม ชิงดีชิงชั่ว ให้ธรรมกับกิเลสในใจเราแข่งขันกัน เราทำคุณงามความดีของเราในหัวใจของเรา ชีวิตของเราเรียบง่าย เรียบง่ายอยู่ในธรรมและวินัย เอวัง