เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ เม.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ วันนี้วันพระ วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ ผู้ที่ประเสริฐแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ถ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐเพราะอะไรล่ะ ประเสริฐเพราะพ้นจากทุกข์ไง ท่านไม่มีความทุกข์ในหัวใจเลย ท่านมีแต่ความสุข แล้วเป็นวิมุตติสุข ไม่ใช่สุขทางโลกนี้ด้วย

ไอ้ความสุขทางโลกๆ ที่เราแสวงหากันอยู่นี้ เราแสวงหาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากคาดหมายว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุขๆ แล้วเราพยายามแสวงหากันอยู่ใช่ไหม

เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงความสุข ความสุขจากหัวใจ ความสุขจากตัวมันเองไง ความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ความสุขที่เป็นเอกเทศ ความสุขที่เป็นสัจธรรม สัจธรรมมันหาได้ที่ไหนล่ะ ที่เรามาวัดมาวากัน เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราค้นหาหัวใจของเรา

ทุกคนไม่เคยหาหัวใจของตนเจอ ทุกคนไม่เคยเจอ ทุกคนต้องไปทำบัตรประชาชน เวลาทำบัตรประชาชนไปที่กรมการปกครองไง ชื่ออะไร นายอะไร นางอะไร ต้องไปหาที่กรมการปกครองนั้น แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้ไม่มีเพศ ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นความรู้สึกไง แต่ความรู้สึกนี้มันต้องเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้าเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา

ที่เรามาค้นคว้า ค้นคว้าอยู่นี้ไง ถ้าค้นคว้าอยู่นี้ นี่หลักของศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาสอนลงที่หัวใจนี้ เพราะหัวใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะหัวใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้นเป็นไปตามกรรม เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกำเนิดของเรากำเนิดด้วยกรรม แต่กรรมดี กรรมดีของเราไง กรรมดีของเราคือเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไง เกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช่มนุษย์ไร้สาระ

มนุษย์ไร้สาระ มนุษย์เร่ร่อน มนุษย์ที่ไม่มีศาสนา ถ้ามนุษย์มีศาสนา ศาสนาก็ศาสนาแบบโลกๆ ศาสนามีไว้ให้มันครบว่าเวลาทำบาปแล้วเรานับถือศาสนาสิ่งใด แต่ก็มีนะ เขาบอกว่าเขาไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย เขาคิดว่าเขามีความสามารถ เขามีสติปัญญาของเขา นั่นก็เป็นความเชื่อของเขา

แต่ของเรา เราเชื่อในพระพุทธศาสนา ถ้าเราเชื่อในพระพุทธศาสนา วันนี้วันพระ วันพระมาวัดมาวา มาวัดมาวาอะไร เพื่อมาวัดหัวใจของเรา หัวใจของเราจับมัน ในเมื่อเราหามันไม่เจอ แต่เราเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา แก้วสารพัดนึก มันนึกได้หรือไม่ เรานึกไม่ได้เลย เรานึกไม่ได้ เราต้องมีการศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้ว คำว่า “ศึกษา” ศึกษาคือการท่องจำ การท่องจำไม่ใช่เป็นความจริง พอการท่องจำขึ้นมาแล้ว แล้วกิเลสเรามันก็ขัดแย้งไง มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมประเพณีของเรา ในเมื่อเป็นเรื่องวัฒนธรรมประเพณี เรามีความเชื่ออย่างนั้น สังคมมีความเชื่ออย่างนั้น

แล้วมีผู้ประเสริฐไง ผู้ประเสริฐคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐคือครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ถ้าท่านไม่เห็นคุณค่าอย่างนั้นทำไมท่านตั้งใจ ท่านสละชีวิตของท่านเพื่อสัจธรรมในใจของท่านล่ะ ทำไมท่านสละชีวิตของท่านได้ ท่านสละชีวิตของท่านเพราะท่านมีอำนาจวาสนาบารมีไง แต่ของเรา เราไม่กล้า เราไม่กล้าของเรา เรากระทำของเราละล้าละลัง เราอยู่กับโลก คนเราเกิดมาบนโลก บอกว่าเป็นโลกๆ สิ่งที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร เหรียญมีสองด้าน โลกกับธรรมๆ

เราเกิดมาเรามีชีวิตนะ ชีวิตนี้มีค่ามาก ชีวิตนี้มีค่ามาก แต่ชีวิตมีค่ามาก โดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำ พอกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำ ทำแต่ตามใจตัว ทำตามใจตัวคือตามใจกิเลสไง เวลาขัดแย้งๆ ที่เราขัดแย้งกับกิเลสคือขัดแย้งกับกิเลสของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมๆ กิเลสมันกลัวธรรม

ธรรมมันคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา พอมีศีลขึ้นมามันอึดอัดขัดข้องแล้ว มันทำสิ่งใดไม่ได้สมความปรารถนา ไม่ได้ทำสิ่งใดด้วยแรงขับดันของใจของเรา ถ้าทำสิ่งใดนั้นไม่ใช่ ทำไม่ได้ อันนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นรังแกเขา อันนั้นเบียดเบียนเขา อันนี้เราไม่ทำ อันนี้ไม่ทำ เราไม่ทำ นี่มีศีล มีศีล กิเลสมันไม่ชอบใจหรอก ถ้ากิเลสมันไม่ชอบใจ แต่ธรรมะชอบ ธรรมะชอบแบบนั้น ธรรมะชอบผู้มีศีล ผู้มีศีลคือผู้ที่มีความปกติของชีวิต มีความปกติไง ชีวิตที่เรียบง่ายๆ ชีวิตของเราเรียบง่าย ถ้าไม่มีกิเลสมันกระตุ้นไง

คนมันต้องการอะไร คนเราก็ต้องการปัจจัย ๔ เท่านั้น ถ้าปัจจัย ๔ มีไว้ทำไม มีไว้เลี้ยงชีวิตนี้ ชีวิตนี้เลี้ยงไว้ทำไม เลี้ยงให้มันเกิดให้มันตายโดยธรรมชาติของมันใช่ไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เกิดตายมันก็เป็นธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรารู้จริงเห็นจริง เรารู้เห็นจริงๆ เรามาประพฤติปฏิบัติของเรา มันมีค่าขึ้นมาตรงนี้ไง มันมีค่าขึ้นมา เห็นไหม

ดูสิ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นเทวดานะ ดูสิ ความเชื่อของเรา ศาสนาถือผีๆ เขาเชื่อเทวดา เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ทำไมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ เพราะเขาก็เกิดเหมือนเรา เขาเกิดในสถานะไหน เขาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมของเขา เขาเกิดในสถานะนั้น แต่ชีวิตของเขา เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน เขาต้องสิ้นชีวิตไปเหมือนกัน การสิ้นชีวิตของเรา เวลาเกิดมามีความสุขก็พอใจสิ่งนั้น เวลาจะพลัดพรากก็มีแต่ความคับแค้นใจทั้งนั้นน่ะ แล้วพลัดพรากไปแล้วจะไปไหนก็ไม่รู้ไง

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณมันมาจากไหน คนนี้มาจากไหน จุตูปปาตญาณ ตายแล้วไปไหน นี่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่พูดถึงอย่างนี้เป็นเรื่องของโลก อภิญญา

เวลาสิ่งที่อภิญญารู้เรื่องวาระ รู้เรื่องต่างๆ รู้แล้วส่งออกทั้งนั้นน่ะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันรู้หมด คอมพิวเตอร์ทำได้หมดเลย เหาะเหินเดินฟ้า ไปเครื่องบินก็ได้ เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวอวกาศด้วย แต่ใจไม่พ้นน่ะ ใจไม่พ้น จะสูงส่งขนาดไหนก็มีความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันจะพ้น มันจะพ้นที่นี่ไง วันพระๆ ผู้ประเสริฐๆ เขาประเสริฐที่นี่

ดูสิ ผู้ที่ประเสริฐ ครูบาอาจารย์เราประเสริฐอยู่ในป่าในเขา ท่านมีอะไร บริขาร ๘ เท่านั้นน่ะ พระเราต้องมีสมบัติของตนคือบริขาร ๘ แล้วสิ่งที่พระเรา หลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าพระเราไม่มีศีลมีธรรม ใครจะมีได้ ถ้าพระไม่มีคุณธรรม พระเราปฏิบัติไม่ได้ ใครจะปฏิบัติ

นี่ไง พระเป็นนักรบ รบกับอะไร รบกับกิเลสนี่ไง เวลานักรบเขารบกับกิเลส เขามีศีลมีธรรม มีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่อขีดขอบเขตของกิเลสไว้ อย่าให้มันฟุ้งซ่านออกมา อย่าให้มันพลุ่งพล่านออกมา ถ้ามันไม่พลุ่งพล่านออกมา แล้วทำอย่างไรให้มันสงบล่ะ มันไม่สงบหรอก มันดิ้นรน

เด็กๆ ปล่อยไว้มันสะดวกสบายของมัน มันมีความสุขของมัน มันวิ่งเล่นของมันทั้งวันเลย ไม่มีใครไปควบคุมนะ มันสบายของมัน เวลาให้มันนั่งเรียบร้อยไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจถ้ามันปล่อยไปคิดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดได้ทั้งวันล่ะ แต่เวลาให้มันระลึกพุทโธ ให้มันกำหนดลมหายใจ มันทำไม่ได้หรอก มันจะดิ้นรนของมันๆ ถ้ามันดิ้นรนของมันเพราะอะไรล่ะ เพราะเราจะค้นหาหัวใจของเราไง ถ้าเราไม่ค้นหาหัวใจของเรา เอาอะไรปฏิบัติ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาจะทำหน้าที่การงานกัน เขาต้องมีสำนักงานนะ เดี๋ยวนี้เขาต้องมีโต๊ะทำงานนะ เดี๋ยวนี้เขาทำงานที่บ้านๆ เขาต้องมีที่ทำงานทั้งนั้นน่ะ นี่ไปทำงานที่ไหน ไปทำงานที่เร่ร่อนใช่ไหม นี่ความคิดที่เร่ร่อน

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นสถานะของมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดาไม่มีร่างกายนี้แล้ว ไปเกิดบนพรหมมีขันธ์เดียวเท่านั้นน่ะ แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ แล้วเราเกิดสถานะอะไร นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์ก็มีความคิดไง ความคิดโลกียปัญญา ปัญญาทางโลก จดจำมาทั้งนั้นน่ะ จดจำทรงธรรมวินัย วินัยจดจำมันมา จดจำมันมาแล้วก็ทำตามนั้น ทำตามนั้นมันก็รูปแบบ นี่ไง มันก็ได้แค่นั้นน่ะ มันได้แค่นั้นเพราะอะไร มันได้แค่นั้นเพราะมันมีขอบเขตมันไง มันก็บอกว่าสบายๆ

สบายอะไร อะไรสบาย เห็นกิเลสไหม รู้จักมันไหม ถ้าคนไม่รู้จักกิเลส แก้กิเลสไม่ได้ เราตามหาบุคคลคนหนึ่ง ดูสิ กิเลสๆ เหมือนกับนายแดงๆ นายแดงเป็นผู้ปล้น รู้จักชื่อว่าเป็นคนปล้น เขาบอกคนนี้ชื่อไอ้แดง ตามหามันไป ชื่อ ตามมันไป แล้วจะไปเจอตัวมันไหม ไม่เคยเจอตัวมันแล้วเอาผู้ใดมาลงโทษ เอาผู้ใดมาเป็นผู้เสียหาย เอาผู้ใดมาเป็นผู้รับโทษ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราหาใจเราไม่เจอ ทำที่ไหน

ความคิด ความคิดมันเกิดดับ ความคิดมันเกิด เอาความคิด สัญญา สัญญาไปศึกษา ศึกษามาแล้วทรงจำๆ ทรงจำแล้วก็สำคัญตนว่าเป็นของเรา พอสำคัญตนว่าเป็นของเรา ขยับไม่ได้นะ มันต้องมีรูปแบบอย่างนี้ๆ มันเป็นจริงไหม

นี่ไง ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง ปัจจัตตังอย่างไร สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันต้องรู้จำเพาะตน รู้ด้วยความเป็นจริง ถ้ารู้ด้วยความเป็นจริง ถ้าไม่มีความจริง เอาความจริงที่ไหนมาพูด เอาความจริงที่ไหนออกมาแสดง ความจริงมันอยู่ที่ไหน

ถ้าความจริงอยู่ที่นี่ วันพระๆ ที่เราไปหาครูบาอาจารย์ หาครูบาอาจารย์เพราะเหตุนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้เห็นสมณะ ไปวัดไปวาได้เห็นสมณะ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้ามีสมณะอยู่จริงนะ ถ้าสมณะไม่จริงก็เป็นสังฆะ ถ้าสังฆะแล้วเราทำเพื่อหัวใจของเรา เพราะอะไร เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องทำเพื่อเราๆ แต่นี่มันลงใจที่ไหน หัวใจมันลงใจที่ไหนมันก็แสวงหาสิ่งนั้น ถ้าแสวงหาสิ่งนั้นเพื่อเรา มันก็อยู่ที่เข้ากันโดยธาตุ

พระสารีบุตร ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนะ ๕๐๐ เป็นปัญญาวิมุตติหมดเลย ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะ ๕๐๐ ทรงฌานเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชสุดยอดเลย ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกหมดเลย ชอบอย่างนั้น มันชอบแล้วมันเข้ากันน่ะ มันชอบ มันชอบมันเห็นถูกไปหมดถ้ามันชอบ ถ้าไม่ชอบมันคัดค้านไปหมดล่ะ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ๆ ก็สัญชัยไง พระสารีบุตรไปเรียนกับสัญชัยมา นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ มีปัญญามากนะ ปฏิเสธเขาไปทั่ว ปฏิเสธไปแล้วตัวเองไม่มีหลักเกณฑ์อะไร

เวลาไปเห็นพระอัสสชิเดินบิณฑบาต เห็นไหม มันต้องมีสิ มันต้องมีที่จับที่ต้อง มันต้องมีเหตุมีผลสิ มันต้องรับรู้ได้ ตามพระอัสสชิไปนะ “เธอบวชกับใคร”

“บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร”

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

มันต้องหาไปที่เหตุไง อันนี้เหตุมีไหม มีเหตุมีผลไหม มีต้นมีปลายไหม จับต้องได้ไหม มีความเป็นจริงหรือเปล่า ถ้ามีความจริงหรือเปล่า ความจริงอันนั้นน่ะ ความจริงอันนั้นน่ะ นี่สัจธรรม

แล้วสัจธรรมนะ ถ้ามันเป็นการตรึกเอา เป็นการนึกเอา วิปัสสนึกๆ ไง มันก็เลยเหมือนสุตมยปัญญา การทรงจำที่จำมานี่สุตมยปัญญาทั้งนั้นน่ะ มันเป็นปัญญาโลกๆ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลาภาวนาไป โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา แยกไม่เป็นหรอก แยกไม่ได้หรอก คนไม่รู้ไม่เห็นแยกได้อย่างไร คนเราไม่เคยมีไม่เคยเป็นจะเป็นไปได้อย่างไร คนไม่เคยมีไม่เคยเป็นก็อ้างกฎหมายไง อ้างข้อบังคับไง นี่ก็เหมือนกัน ไม่มี ไม่เป็น ก็อ้างธรรมวินัยไง เวลาไม่มี ไม่เป็น เพราะมันไม่มี ไม่เป็นจริงในใจของตนไง

ถ้ามันเป็นจริงในใจของตน ธรรมาธิปไตยๆ ความเป็นธรรมๆ มันขัดแย้งกันที่ไหน ความขัดแย้ง ธรรมต้องเป็นธรรม ธรรมะตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด ไม่มีขัดและไม่มีแย้งกับสิ่งใดทั้งสิ้น ธรรมนี้สุดยอด ไอ้ที่มันขัดมันแย้งน่ะกิเลสทั้งนั้น กิเลสในหัวใจ ความเห็นของตน เที่ยวไปคัดไปแย้งเขาไง

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงต้องเป็นความจริง ถ้าพูดความจริงคือพูดความจริงต่อเมื่อ ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาลูกศิษย์ลูกหาไปหาท่าน มีความลังเลสงสัยมาทั้งนั้น เราไปหาครูบาอาจารย์ “ครูบาอาจารย์จะรู้ถึงความรู้สึกเราหรือเปล่า”

เวลาไปกราบท่าน เห็นไหม “ใจของตนล่ะไม่ดู จะให้คนอื่นดู”

ใจของตน ก็ตนต้องเป็นผู้แก้ คนอื่นก็คนอื่นชี้นำ ผู้ที่ชี้นำได้ก็ต้องผ่านวิกฤติมาแล้วถึงจะชี้นำได้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านผ่านของท่านมาก่อน ท่านทุกข์ยากมาก่อน ครูบาอาจารย์ของเรานะ ล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานที่ไหน ล้มลุกคลุกคลานที่หัวใจนี้

หัวใจที่มันล้มลุกคลุกคลานมันมีแต่ความทุกข์ความยาก ดูสิ มีคนมาอุ้มชูบูชา แต่ในหัวใจมันทุกข์มันยาก มันมีความสุขไหม หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าทำชื่นบาน ลับหลังก็ไปนั่งคอตกนั่นน่ะ ความเป็นจริงในหัวใจไง แต่ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจนี้สิ

ถ้าเป็นจริงในหัวใจ ใครจะอุ้มชูบูชาไม่เกี่ยว นั้นเป็นอำนาจวาสนาบารมีของเขา ที่เขามาเสียสละ เขามากระทำอันนั้น นั้นของเขาทั้งนั้น เขาเป็นผู้ที่สละ เขาเป็นผู้ที่กระทำ นั้นเป็นสิทธิของเขา ถ้าเป็นสิทธิของเขา เขาทำของเขา เนื้อนาบุญ ปฏิคาหกไง ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง แล้วผู้รับล่ะ ผู้รับที่สะอาดบริสุทธิ์ นี่ไง ถ้าเป็นจริงมันต้องเป็นจริงอย่างนี้ มันเป็นจริงมันถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว การกระทำอย่างนี้มันมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากไง แล้วเราแสวงหาอย่างนี้ เราแสวงหาสัจจะความจริงอย่างนี้

เราไม่ต้องแสวงหาใครมาอุ้มชูบูชาทั้งสิ้น การอุ้มชูบูชา โลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทา การสรรเสริญนี้ไร้สาระมาก ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นจริงนะ ใครมาพูดเที่ยวสรรเสริญ ท่านบอกว่า “พูดอย่างนี้ได้อย่างไรตบปาก” มันไม่มีเหตุมีผล มันไม่มีสัจจะความจริง มันเป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นทางโลก ประชาสัมพันธ์ไง ส่งเสริมกัน พยายามยกย่องกัน ยกย่องด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ

คำว่า “โฆษณาชวนเชื่อ” โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีชื่อเสียงตายหมด แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น แต่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องสัจธรรม ความดีคือความดี ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ครูบาอาจารย์เราท่านทำความดีทิ้งเหว ทำความดีที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดทั้งสิ้น ความดีนั้นขจรขจายไปเพราะผลของความดี

เกสร ดูสิ มันเป็นไปตามลม กลิ่นของเกสร กลิ่นของกลิ่นหอม หอมไปตามลม กลิ่นของคุณงามความดีมันยิ่งกว่านั้น มันไปถึงสวรรค์ชั้นพรหมนู่นน่ะ มันไปได้หมด ถ้ามันไปได้หมด ทำไมหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นตลอด เขาถามว่าทำไมต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ทำไมไม่ฟังเทศน์องค์อื่นเลย

องค์อื่นมันจะเอาอะไรมาเทศน์ มันจะเอาอะไรไปบอกเขา ภาษาใจมันยังไม่รู้จัก ภาษาวัฏฏะมึงรู้จักไหม ภาษาที่สำแดงออก

มันต้องรู้ต้องเห็นไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลมไง ไอ้นี่ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา เราไม่ต้องปรารถนา ไม่ใช่โมฆบุรุษ จะทำสิ่งใดก็กลัวเขาไม่รู้ จะทำสิ่งใดว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ถ้าทำผิดนะ “ฉันไม่ได้ทำ ลูกศิษย์ทำให้ ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้ทำ”

สังคม หัวหน้าคือหัวหน้า หัวหน้าผู้ที่มีคุณธรรม หัวหน้าต้องรับผิดชอบ ถ้าหัวหน้าไม่รับผิดชอบ ความดีเอาเก็บไวที่หัวหน้า ความชั่วดันให้คนอื่น ดันให้ลูกศิษย์ลูกหารับไป แต่ตัวเองเอาแต่ความดีๆ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ นี่ไง เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราเป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราระลึกถึงคุณงามความดีของเรา เราระลึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราระลึกถึงคุณงามความดีของครูบาอาจารย์เราได้ เราระลึกถึงนั้นเป็นคติเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างไง แบบอย่างที่เราพยายามมุ่งมั่นมุมานะของเรา

แล้วทำอย่างนั้นได้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เรามุ่งมั่นมุมานะเลย เราจะทำอย่างไร เรามีร่องมีรอยไหม เราทำอย่างไร มืดแปดด้าน หลวงปู่อ่อนเป็นคนพูด มรรค ๘ มืดแปดด้าน มรรค ๘ มรรค ๘ มืดตื๊ดตื๋อเลย ไม่รู้มันจะไปทะลุตรงไหน มรรค ๘ จดจำกันมาไง มรรค ๘

แต่ถ้าครูบาอาจารย์เรา พอจิตมันลงเป็นสัมมาสมาธิ สว่างไสว ความสว่างไสวนั่นก็ส่งออกแล้วนะ แต่มันเข้าใจในตัวมันเองไง ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไง ถ้าวิปัสสนาไปแล้วเห็นจริงตามความเป็นจริงไง ถ้าเห็นจริงนั่นล่ะมรรคแท้ๆ ไง ดวงใจดวงใดไม่มีมรรค ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เป็นจินตนาการทั้งนั้น คาดหมายทั้งนั้น มันก็ได้แค่นั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาๆ มันสำรอกมันคาย มันถอดมันถอน เวลามันคายมันถอดมันถอน นั่นล่ะคือความมหัศจรรย์ แล้วความมหัศจรรย์นี้มันเกิดจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น

เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มันซึ้งอันนี้ มันซึ้งอันนี้ ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงในใจดวงนั้น ถ้ามันเป็นจริง มันจริงอย่างนั้น จริงที่ใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเป็นความจริงขึ้นมา อย่างอื่นไม่มีความหมาย จดจารึกกันไว้ พิมพ์ผิดก็ผิดไปทั่ว ๓ โลกธาตุ ตรวจอักษรผิดก็ผิดหมดแล้ว

ความจริงๆ ความจริงมันอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่เป็นความจริงนะ ความจริงอันนี้มันสัจจะความจริง นี่วันพระ มาวัดมาวากันเพื่อเหตุนี้นะ เรามาวัดมาวาทำบุญกุศลเป็นระดับของทาน ระดับฆราวาส ธรรมะของฆราวาส ธรรมะของนักบวช ธรรมะของนักพรต แต่สัจจะความจริงในใจของครูบาอาจารย์เรา ความจริงอันนี้ไง

ชีวิตนี้มีค่า มีค่ามากจริงๆ นะ หัวใจอันนี้มันรับรู้ได้ หัวใจนี้สัมผัสได้ หัวใจนี้เอามาประพฤติปฏิบัติธรรมได้ หัวใจดวงนี้มีค่ามาก เอวัง