เทศน์พระ

เนื้อใน

๒๕ เม.ย. ๒๕๖o

 

เนื้อใน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เราบวชมา บวชมาเพื่อศึกษา ศึกษาเสร็จแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เวลาคนที่จะปฏิบัติธรรมๆ เขาจะปฏิบัติธรรมตามแนวทางใด เห็นไหม เวลาเรามีการศึกษา หรือศึกษาทางโลก เวลามาบวชพระ บวชพระแล้วนี่เขาต้องมี การศึกษา การศึกษาก็เป็นภาคปริยัติ ปริยัติก็คือโลกนี่แหละ ปริยัติแล้ว ศึกษาแล้ว ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราก็ห่วงว่าปฏิบัติแล้วเราจะหลงทาง เราก็ไปเอาแนวทางที่เราศึกษาเป็นแนวทาง

พอแนวทางขึ้นมา เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านศึกษาจบมาเป็นมหา เวลาไปหาหลวงปู่มั่นเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติ “มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐมาก เทิดใส่ศีรษะไว้ เราเคารพบูชาใส่ศีรษะไว้แล้วเก็บใส่ในลิ้นชักของสมองแล้วลั่นกุญแจมันไว้นะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป” เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะมันจะได้เป็นของจริงขึ้นมา

แต่ถ้าเรามีการศึกษา เวลาศึกษาแล้วนี่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เราก็ห่วงว่าเราจะไม่มีการศึกษา เราไม่มีแนวทาง เรากลัวปฏิบัติไปแล้วเราจะหลงทาง เราก็มีการศึกษา เวลาศึกษาๆ มาแล้วนี่เป็นแนวทาง แนวทางนั้นแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติ แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเราไง เราก็ไปจับว่าเอาการศึกษานั่นมาเป็นผล เป็นผล มันก็เกิดตรรกะ พอตรรกะมันเกิดจินตนาการ พอเกิดจินตนาการมันก็เกิดอาการของจิตๆ เวลาจิตมันส่งออกไปก็บอกว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ไง แล้วก็ละล้าละลังๆ กันอยู่อย่างนั้นนะ

หลวงปู่มั่นท่านบอก มันจะแตะมันจะถีบกันนะ เวลาภาคปริยัติศึกษามาๆ เป็นแนวทางเพื่อประพฤติปฏิบัติ เขาศึกษามาเป็นแนวทางๆ เวลาปฏิบัติขึ้นมานะ มันปฏิบัติขึ้นมาต้องให้เป็นของจริงขึ้นมาจากใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาของเรามันเกิดข้อเท็จจริงในใจของเรา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ มันไม่เกิดข้อเท็จจริงในใจของเรา มันก็มีการศึกษานั้นไง ก็เอาความจำๆ อันนั้นมาเป็นสมบัติ สิ่งที่เป็นความจำมันเป็นสมบัติไม่ได้ มันเป็นความจำๆ ไง

สิ่งนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างสมบุญญาธิการมานั้นน่ะ นั่นนะคืออำนาจวาสนาบารมีคือบุญบารมีของท่าน ท่านได้สร้างของท่านมา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านมาค้นคว้าของท่าน เห็นไหม ศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ อยู่ ๖ ปี เวลาตรัสรู้ๆ เองโดยชอบ เวลาตรัสรู้เองโดยชอบนั่นนะคือสัจธรรม คือข้อเท็จจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้นท่านวางแนวทางนี้ไว้ นี่คือการรื้อสัตว์ขนสัตว์ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ แล้วเราก็ศึกษาธรรมวินัยนี่ เราก็ศึกษาๆ ศึกษานั้นคือศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจำไง เป็นความจริงๆ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง อันนั้นเป็นความจริง แต่เป็นความจำๆ ความจำคือเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการแล้ว เวลาสาวกสาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง ศึกษาแล้วยังมีความสงสัยก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นความจำ ความจำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นความจริงในใจ แต่เทศนาว่าการเป็นทฤษฎีน่ะเป็นความจำ

ความจำเราศึกษาของเรามานี่มันก็เป็นความจำ ความจำมันจำแล้วลืม ลืมแล้วจำ จำแล้วลืมอยู่นั่นน่ะ มันเป็นเปลือกนอก มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ไง มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีสัญญา มีความจำได้หมายรู้ มีสังขารความคิดความปรุงความแต่ง คนจะมีการศึกษามากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ มันก็มีความคิดมีความรู้สึก รู้สึกมากน้อยต่างๆ เห็นไหม ว่าองค์ความรู้ๆ ไง คนมีการศึกษาก็มีองค์ความรู้ เวลาองค์ความรู้นี่มีความคิดต่างๆ ก็เทียบเคียงองค์ความรู้นั้น องค์ความรู้นั้นเดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็จำ เดี๋ยวก็ทบทวนในทฤษฎีในข้อเท็จจริงนั้น มันเป็นความจำๆ ความจริงๆ มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ไง ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันอยู่ไหนล่ะ

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนานี่ธรรมโอสถ สิ่งที่สามารถชำระล้างการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย นี่การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเพื่ออะไรล่ะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เราก็ทุกคนก็เข้าใจได้ทางวิทยาศาสตร์ ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลก มันเป็นข้อเท็จจริงในทางโลก แล้วเราไปหวั่นไหวอะไรล่ะ เราก็อยู่กับโลกเขาไปโดยความรู้ องค์ความรู้อันนั้นไง

นี่ไงสิ่งที่การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายมันเป็นธรรมชาติของโลก มันเป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่เวลามีองค์ความรู้ขึ้นมา องค์ความรู้ที่เราศึกษาเราค้นคว้ากันนี่ มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา มันมีอะไรเกิด อะไรแก่ อะไรเจ็บ อะไรตาย อะไรไปเกิดล่ะ ไอ้ที่เกิดๆ เกิดมาจากไหน ไอ้ที่มานั่งกันนี่เกิดมาจากไหน เวลาเกิดมานี่ปฏิสนธิจิตๆ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ ในกำเนิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะกำเนิด ๔ นี่ เวลากำเนิด ๔ กำเนิดขึ้นมาแล้วก็เป็นเราๆ เราก็คาดหมายแต่อดีตอนาคตอยู่นี่ ที่มาๆ มาจากไหน แล้วที่ไปจะไปอย่างไร แล้วปัจจุบันนี้ล่ะ

ปัจจุบันไม่มีความสามารถอะไรเลยเหรอ ปัจจุบันนี้ไม่เคยทำอะไรเลยเหรอ ปัจจุบันนี้ไม่มีสติปัญญาจะค้นคว้าความจริงใช่ไหม ถ้าค้นคว้าความจริงขึ้นมา นี่ไงที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องการปัจจุบันธรรมๆ ไง ถ้าปัจจุบันธรรมก็ปัจจุบันในเหตุการณ์เดี๋ยวนี้ไง ถ้าเหตุการณ์เดี๋ยวนี้ เห็นไหม ถ้าใครมีสติมีปัญญา นี่สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัตินี่ ข้อวัตรปฏิบัติเครื่องอยู่ของใจๆ ไง ดูสิ อาหารการกิน เห็นไหม อาหารนี่เข้าไปเรื่องกระเพาะๆ มันมีพวกเคมีพวกต่างๆ พวกสารอาหาร นี่มันดำรงชีพๆ ดำรงชีพขึ้นมาแล้วก็ขับถ่าย แล้วก็กินเข้าไป มีสารอาหารนี่ก็ดำรงชีพตลอดไป

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดๆ คิดมาจากไหน สิ่งที่นี่อดีตอนาคตนี่คาดหมายกันไป แล้วความจริงมันไม่มีไง นี่เปลือกนอกๆ เห็นไหม ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ หลวงตาไปหาหลวงปู่มั่นไง มหา มหาศึกษามาจนเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเทิดใส่ศีรษะไว้ เชิดชูบูชาจริงๆ นะ คนที่บวชเป็นพระๆ ถ้าไม่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีรัตนตรัยนี่ไปบวชเป็นสามเณรไม่ได้ การจะเป็นสามเณร เห็นไหม ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน ถึงรัตนตรัย นี่ถ้ามันถึงรัตนตรัยมาบวชเป็นพระขึ้นมา

นี่ไง ถ้าเราไม่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะเป็นพระได้ไหม เราเป็นพระยังเป็นพระไม่ได้เลย แล้วเวลาเป็นพระแล้วบอกว่า ทำไมเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ามันเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคารพตามความเป็นจริง เคารพตามความเป็นจริง เห็นไหม เราบวชมาแล้วเราศึกษาตามความเป็นจริง นี่ความเป็นจริงกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรานี่มัน เห็นไหม เขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์ไม่มี มรรคผลจะมีได้อย่างไร ประพฤติปฏิบัติเกือบเป็นเกือบตายไม่เห็นได้อะไรเลย แล้วคนที่ปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ก็ไม่เห็นมันมีความจริงตรงไหน ยังไม่มีสัตย์ ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์ เห็นไหม พูดจาโกหกมดเท็จกันอยู่อย่างนั้น

ไอ้นั่นมันเรื่องของโลก ไอ้นั่นมันเรื่องอำนาจวาสนาของคนไง อำนาจวาสนาของคนพาล เวลาคนพาล เห็นไหม เวลาคนพาลมันพาลในหัวใจ พอพาลในหัวใจทำสิ่งใดมันก็เอาความพาลนั้นไปเทียบเคียงไง มันไม่ได้เป็นความจริง เรามองสภาพแบบนั้นนะ เราก็ละวางนั้นมันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นอำนาจวาสนาของมนุษย์ แต่เรามีครูบาอาจารย์ไง ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านทำตามความเป็นจริง เห็นไหม ความเป็นจริงๆ ในความเป็นจริงมันมีเนื้อหาสาระ เนื้อใน การเกิดเป็นคนๆ มีกายกับใจๆ เรื่องร่างกายนี่เห็นไหมพิสูจน์ได้ทั้งนั้น เรื่องร่างกายพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ทั้งนั้น แต่เรื่องจิตใจพิสูจน์กันได้อย่างไร เวลาพิสูจน์ได้ เห็นหน้าไม่รู้ใจ เวลาเห็นหน้าๆ เห็นหน้าค่าตากัน แต่ความคิดของเขา ความซับซ้อนในใจของเขาเราตามเขาไม่ทัน

นี่ก็เหมือนกัน มนุษย์เกิดมามีกายกับใจๆ แล้วสิ่งที่มีค่าๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสำคัญลงที่ใจๆ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจเป็นผู้นึกคิด แล้วใจเป็นใหญ่ใจเป็นผู้นึกคิด เห็นไหม ทางการศึกษาๆ เห็นไหม ก็พัฒนาหัวใจนี่ พัฒนาภาวะความรับรู้พัฒนาทางอารมณ์ความรู้สึกของคน พัฒนาๆ

เวลาเรามาบวชเป็นพระ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาปฏิบัติมาที่ไหน ทำความสงบของใจๆ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา เห็นไหม ถ้าใจมันสงบขึ้นมามันจะมีเนื้อหาสาระไง มันเป็นเปลือกนอกทั้งนั้น เวลาศึกษามาเป็นเปลือกนอก ความรู้เป็นเปลือกนอกทั้งนั้น แล้วความเป็นเปลือกนอกเราพลิกเข้าไปสู่ความเป็นจริงไม่ได้ ถ้าเราพลิกเข้าไปสู่ความเป็นจริงไม่ได้ เราจะไม่มีเนื้อใน เนื้อในคือข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคขึ้นไปนี่ปากเปียกปากแฉะ นี่เปลือกนอกทั้งนั้น เปลือกนอกก็ทฤษฎีก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ไม่ใช่ดูถูกนะ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เอง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องมีการศึกษา แต่เวลาศึกษาแล้วกิเลสมันไว้ใจไม่ได้ไง เวลาศึกษาๆ ด้วยกิเลส กิเลสมันก็เจ้ากี้เจ้าการ ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามันพอใจขึ้นมาก็บอกการศึกษานี่ถูกต้อง ถ้ามันไม่พอใจขึ้นมาบอกนี่มันแต่งเติมมา มันจดจารึกมาภายหลัง

เนี่ยจดจารึกมาภายหลังหรือภายหน้าแล้วแต่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาท่านเทศนาว่าการขึ้นมาจนได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ เห็นไหม ภิกษุทั้งหลายเธอกับเรา ๖๑ องค์พ้นจากทั้งบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ถ้าเป็นพระอรหันต์เป็นความจริงอย่างนั้นไง แล้วสมัยครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติเข้ามาตามความเป็นจริงขึ้นมาในใจนะ มันจะต่างกันตรงไหน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติขึ้นมาแล้ว พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงเป็นทิพย์ จะพ้นโดยข้อเท็จจริงในใจเหมือนกัน พ้นขึ้นมาโดยสติปัญญา พ้นขึ้นมาโดยธรรม ไม่ใช่พ้นขึ้นมาโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ พยากรณ์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลายเธอกับเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนักๆ” หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา ท่านมีเนื้อในของท่าน ท่านมีเหตุมีผลของท่าน ท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน เวลาท่านทำความเป็นจริงของท่านขึ้นมา มันน่าเคารพบูชาไง

เวลาเหยียด คู้ เดินอยู่ นี่การดำรงชีพ ครูบาอาจารย์ที่ท่านอาศัยอยู่ด้วยนี่ท่านเคารพบูชาของท่าน เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านไม่เคยอวดไม่เคยโอ้ไม่เคยอวดวางตนข่มท่าน คนมีธรรมอ่อนน้อมถ่อมตน คนมีธรรมๆ มันไม่เหยียบย่ำคน มันไม่มีทิฏฐิมานะเหยียบย่ำใคร แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเทศนาว่าการของท่าน เวลาธรรมมันออกๆ การธรรมออกมันอาจหาญ ธรรมเหนือโลกๆ เหนือสงสาร มันเหนือวัฏฏะ ถ้ามันเหนือวัฏฏะแล้วมันมีอะไรมีคุณค่าไปมากกว่าธรรม

ถ้ามีคุณค่าไปมากกว่าธรรม ถ้ามีเนื้อหาสาระมีเนื้อในขึ้นมา เห็นไหม โลกนี้มันจะมีอะไร โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันสิ่งที่ไร้สาระมาก ถ้าสิ่งที่ไร้สาระเราประพฤติปฏิบัติกัน เห็นไหม เป็นกรรมฐาน เป็นพระป่า ถ้ามันมีเนื้อหาสาระขึ้นแล้วเปลือกนอกมันจะมีปัญหาอะไร เปลือกนอกไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ถ้าข้างในมันว่างเปล่า เห็นไหม มันว่างเปล่า อาศัยแต่เปลือกนอก แล้วเปลือกนอกขึ้นมาก็มีมารยาสาไถยทั้งนั้น มันมีมารยาสาไถย ความเป็นมารยาสาไถยมันน่าขยะแขยงไง เพราะมารยาสาไถยเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนเชื้อโรค

เชื้อโรคไม่มีใครต้องการ ดูสิ เกิดมาเป็นเด็กเป็นน้อย เห็นไหม ทางการเขาต้องมีวัคซีนป้องกันๆ เพราะป้องกันโรค นี่วัคซีนเขาป้องกันไว้ นี่ไงเพราะอะไร เพราะมันเชื้อโรคไง เชื้อโรคไม่มีใครต้องการทั้งนั้น แล้วเวลาเชื้อโรค เห็นไหม ถ้ามันแพร่ระบาดไป เขาเป็นห่วงเป็นใยนะ ดูสิ ประชากรมันต้องสิ้นชีวิตไปเท่าไหร่ ล้างโลกกันทีเดียวแหละ โรคภัยไข้เจ็บสมัยนี้

แล้วนี่กิเลสตัณหาความทะยานในใจของคน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของคนมันทำลายหัวใจ มันทำลายหัวใจแล้วมันก็เที่ยวทำลายคนอื่นไปทั้งนั้น มันร้ายกาจแล้วมันทำลาย ดูสิ เวลาชีวิต เห็นไหม เวลาเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา มันล้างโลกขึ้นไปก็จบไป พอจบขึ้นไปแล้ว ดูสิ สภาวะแวดล้อมมันปรับปรุงตัวมันเอง แล้วพอมันสมดุลขึ้นไปแล้วมันก็เกิดกันมาใหม่ มันก็พัฒนาขึ้นมาเป็นรุ่นเป็นคราวต่อไป

แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำลายหัวใจของคนๆ มันสร้างแต่บาปแต่กรรม ถ้าสร้างแต่บาปแต่กรรม มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันตกต่ำไป มันทำลายตกนรกอเวจี มันมีแต่แผดเผาทำลาย ทำลายไปชาติหน้าชาติต่อไปเรื่อยๆ นะ ดูสิ เชื้อโรคมันยังทำลายชีวิตนี้ให้จบสิ้นไปนะ มีแต่ความโศกเศร้า มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ต่อกัน แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำลายหัวใจของคน มันทำลายด้วยเวรด้วยกรรมขึ้นมา มันเกิดภพชาติต่อไป มันจะมีความทุกข์ความยากของมัน

นี่ไง ทางโลกเขายังมีวัคซีนป้องกันเลย ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีศีล มีศีลมีธรรมคอยป้องกันไง นี่ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ดูสิ ความป้องกันของเรา ป้องกันของครูบาอาจารย์ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ ถ้าเครื่องอยู่ของใจเราเพื่อให้ใจมันมีเครื่องอยู่ ให้ใจมันมั่นคงของมันไม่ใช่ไหลไปตามโลก ถ้าไม่มั่นคงของมัน มันไหลไปตามโลก เห็นไหม นี่แล้วมีสติมีปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วพอมีศีลขึ้นมา ศีลคือความปกติของใจ ใจปกติแล้วมีอะไรต่อไป

ใจของเรามันส่งออก จิตส่งออกๆ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจิตส่งออก ธรรมชาติของมัน มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของจิต พลังงานมันต้องส่งออกทั้งนั้น ถ้าพลังงานไม่ส่งออก พลังงานอยู่ไหน คนตายเท่านั้นนะไม่มีจิต ถ้าคนมีจิตอยู่ เห็นไหม แม้แต่เขาสลบเขายังมีคลื่นแบบว่าสัญญาณชีพยังมีอยู่เลย นี่เพราะอะไร เพราะมันยังมีพลังนั้นอยู่ไง แล้วพลังตัวนี้ที่ว่าเวลามันออกไปแล้วมันไปไหน

สิ่งที่เวลามันจะไป แล้วเวลาเราจะทำความสงบของใจๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่ใจๆ ไอ้ใจตัวนั้นนะสำคัญ ไอ้ใจตัวนั้นนะมาเกิดเป็นเรานั่งอยู่นี่ไง แล้วเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม เรามาบวชเรียนเพื่อจะค้นหาความจริงในใจของเรา ถ้าค้นหาความจริงในใจของเรา ความจริงจากเปลือกนอก ความจริงจากการศึกษา ความจริงจากปริยัตินี่ ถ้าความจริงจากปริยัติ แต่ถ้าเรามาปฏิบัติ ปฏิบัติเราจะเอาเนื้อใน

ถ้าเนื้อใน เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เนื้อใน เนื้อในคืออะไร จิต เนื้อในคือในใจของคนนั้น เนื้อในคือใจของเรา เนื้อในของเรา เห็นไหม อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเท่านั้นที่จะแก้ไขใจของตน ตนเท่านั้นเป็นผู้ที่ลังเลสงสัย ตนเท่านั้นที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบคลุมหัวใจแล้วพยายามดีดดิ้นอยู่นี้ ตนเท่านั้น เพราะตนเท่านั้นขึ้นมา เราศึกษาภาคปริยัติขึ้นมานี่ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะเปลือก เปลือกนอก ถ้าเปลือกนอกศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ถูกต้อง

ศึกษาแล้วค้นคว้าพยายามของเรา มันจะทุกข์ มันจะยาก มันก็เป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์นะ ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายเขาต้องสร้างอำนาจวาสนาของเขามา ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาเขา คิดแต่เรื่องดีๆ นะ สังเกตได้มีเด็กมันมีปฏิภาณ มีปฏิภาณในแง่บวก มันคิดแต่ดีทำแต่ดีนั่นนะ เขามีบุญกุศลของเขา เขาได้สร้างของเขามา เด็กบางคน เห็นไหม มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหนแล้วมันยังทำลายตัวมันเอง คิดแต่ลบไง คิดแต่ประชดประชันไง คิดแต่ทำลายไง คิดแต่ทางลัดไง คิดแต่จะเอาเปรียบเขาไง นั่นนะมันกรรมของสัตว์ เขามีมุมมองอย่างนั้น มีปฏิภาณอย่างนั้น เขาทำของเขาอย่างนั้น นี่กรรมของสัตว์ๆ พันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมาอย่างนั้น พันธุกรรมของจิตไง

แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญา เห็นไหม มันจะดีดดิ้นขนาดไหนทุกคนมีความคิดนะ คนเกิดมาไม่มีชีวิตเหรอ ชีวิตคือธาตุรู้ ธรรมชาติของความรู้สึกๆ มันก็ต้องแสวงหาเป็นเรื่องธรรมดา นี่เวลาสัญชาตญาณของสัตว์ เห็นไหม สัตว์เวลาภัยมาถึงตัวมัน โดยสัญชาตญาณของมัน มันต้องเอาตัวรอดของมัน เห็นไหม มันเอาตัวรอดโดยสัญชาตญาณของมัน แต่นี่เราเป็นมนุษย์เราก็มีสัญชาตญาณนะ เวลาเกิดอุบัติเหตุเราแก้ไขด้วยสัญชาตญาณ โดยแต่ปฏิภาณของคน แต่เราฝึกหัดๆ เพื่อจะค้นคว้าหาความจริงในใจของเราไง ถ้าค้นคว้าหาความจริงในใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราหายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกโธ เราต้องกระทำนะ

อาหารเราตักใส่ปากเราแล้วได้ขบได้เคี้ยวได้กลืนลงไป มันจะเข้าสู่ในกระเพาะของเรา จิตใจของเราๆ ถ้าเราไม่บริกรรมซะเอง เราไม่ได้ทำซะเอง มันจะเข้าสู่ใจเราได้อย่างไร ถ้ามันจะเข้าสู่ในใจของเรานี่ ใจของเรามันต้องมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าใจเรามีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เนื้อใน เปลือกนอกๆ นะ สาธุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา เราศึกษามา ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการก็เป็นสมบัติของท่าน เราฟังสิ่งใดขึ้นมาเราเปรียบเทียบๆ เป็นคติธรรม แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นข้อเท็จจริงของเรา

ในการประพฤติปฏิบัติเป็นข้อเท็จของผู้ที่ปฏิบัตินั้น ถ้าผู้ปฏิบัตินั้นเรามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนทางจงกรม ทางสมาธิภาวนานี่ เราควรขวนขวายของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนารักษาใจของเรา เห็นไหม นี่เนื้อในๆ ค้นคว้าหาใจของตน ถ้าหาใจของตน เห็นไหม ถ้ามันเท่าทันกันเท่านั้นนะ มันเท่าทันมันเริ่มเสมอกัน แต่เดิมกิเลสมันใหญ่กว่าทั้งนั้นนะ

เพราะเกิดมาโดยอวิชชา เกิดมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก การเกิดมาธาตุรู้นี่จิตของเรามันเรียกร้องความช่วยเหลือนะ จิตของเราความรู้สึกแท้ๆ ของเราทุกคนใฝ่ดีๆ แต่การใฝ่ดีๆ ในทางลบ ใฝ่ดีโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพาแต่สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นเลย ถ้าใฝ่ดีทางบวกๆ เห็นไหม สร้างแต่คุณธรรมขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา

จิตนี้เรียกร้องการช่วยเหลือๆ แล้วใครจะช่วยเหลือมัน ถ้ามีการช่วยเหลือมัน เรามาบวชมาเรียน เรามาประพฤติปฏิบัติของเรา นี่เปลือกนอกที่ศึกษามา เขาศึกษามาเป็นแนวทาง ศึกษามาภาคปฏิบัติ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเราก็เป็นห่วงเป็นใยเหลือเกิน ปฏิบัติไปแล้วมันจะหลงทาง ปฏิบัติไปแล้วมันจะผิดพลาด ผิดพลาดขนาดไหนมันก็ต้องผิดมาก่อนทั้งนั้นนะ คนทำงานไม่เป็นทำงานมันก็มีความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ธรรมดาเราผิดพลาดแล้วเราก็ต้องแก้ไขไง ผิดพลาดเราก็วางไว้

นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำมานะ ดูสิ ไม่มีครูบาอาจารย์ท่านแสวงหามานะ ท่านไปทั่ว เวลาฟังหลวงตาท่านเล่าถึงหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ มันสะเทือนใจมาก เพราะมันไม่รู้จะปรึกษาใครไง แต่เวลาหลวงตาท่านมีหลวงปู่มั่นแล้ว เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมาท่านก็พุ่งหาหลวงปู่มั่นเลย ผิดถูกท่านก็ถามหลวงปู่มั่น ผิดถูกท่านก็หาครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริงแล้วท่านตอบเราได้ทั้งนั้นนะ ท่านตอบเราแล้ว มีแต่เราเท่านั้นน่ะยังโต้ยังเถียงอยู่ว่าไม่เป็นจริงๆ

ทั้งๆ ที่ท่านตอบมานะ เพราะท่านเคยผิดพลาดมาก่อน ท่านผิดพลาดมาก่อน ท่านต่อสู้ กิเลสมาก่อน ท่านรู้จักกิเลสก่อน ท่านพลิกแพลงมาแล้วท่านถึงจะมีช่องทางของท่านไปได้ แต่ของเรานี่กิเลสล้วนๆ ทิฏฐิมานะท่วมหัวแล้วก็ยังคิดว่ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้วไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยังบอกว่านี่พุทธพจน์ นี่เป็นคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเทคนิค บอกวิธีการขึ้นมานี่ จะโต้เถียงจะแย้ง โต้แย้งขึ้นมาแล้วก็ดูถูกดูแคลนไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สาธุ เราเป็นพระ เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็สาธุ เราก็เคารพบูชา แต่เวลาปฏิบัติแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น เวลาปฏิบัติไปแล้ว แหม เห็นไหม มันเป็นสูตร เราก็จำสูตรมาๆ มาแล้วมันทำไม่เป็น แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านให้ก่อร่างสร้างตัว เจดีย์ทรายๆ ขนทรายมา พยายามทำมา

นี่ก็เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา นี่ถ้ามันไม่มีกำลังใจซะเลย ไม่มีความเข้มแข็งซะเลย มันจะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาได้อย่างไร ถ้าไม่มีศีลซะเลย มันคิดปลิ้นปล้อนอยู่อย่างนี้ ไม่มีศีลซะเลย นี่มโนกรรมถึงไม่ได้ทำมันก็คิด แล้วคิดไม่ดีอย่างนี้มันเป็นประโยชน์ไหม ย้ำคิดย้ำทำแล้วจะเป็นจริตนิสัย ย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องไร้สาระนี่ เรื่องที่เป็นสาระเราไม่คิด คิดแต่เรื่องที่ไร้สาระๆ อยู่นี่ แล้วย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย พอเป็นจริตนิสัยก็เป็นคนพาล

แต่ถ้ามันคิดเป็นบัณฑิต เห็นไหม มันคิดแต่คุณงามความดี นี่ย้ำคิดย้ำทำคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องเสียสละ คิดแต่เรื่องความหลุดพ้น คิดแต่เรื่องความเป็นคุณประโยชน์ คิดอย่างนี้เห็นไหม คิดเป็นบวก นี่เป็นความคิดๆ ไง แล้วความคิดคืออะไร ความคิดก็เกิดดับ โดยธรรมชาติของมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เห็นไหม นี่เปลือกนอกๆ เคารพบูชานะ เราเคารพบูชาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วแต่พวกเราไม่เข้าใจกันเอง

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เขาสอนให้เป็นภาคปริยัติให้เป็นภาคการศึกษาให้มีแนวทาง แล้วเราต้องปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมากิเลสมันเสี้ยมทันทีเลย นั่นก็พุทธพจน์ นี่ก็พุทธพจน์ ที่เราทำอยู่นี่ไม่ใช่สักอย่างหนึ่ง ถ้าจะทำคุณงามความดีนี้ผิดหมด แต่ถ้าสำมะเลเทเมาน่ะถูก ถ้าทำสิ่งใดเข้ากิเลสนะถูกต้องทั้งนั้นเลย นี่ไง นี่ไงเปลือกนอกๆ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นศาสดานะ เป็นชี้ทางนะ แต่กิเลสของเรานะมันปลิ้นปล้อน กิเลสของเรามันบิดเบือน มันบิดเบือนของมัน เห็นไหม

เปลือกนอกๆ คำว่าเปลือกนอก เปลือกนอกก็จริงนะ ส้ม ไม่มีเปลือกส้ม เขาจะค้าขายส้มกันอย่างไร ทุเรียนไม่มีเปลือกทุเรียน ทุเรียนจะออกจากสวนมาอย่างไร ทุเรียนมันจะเติบโตมันต้องมีเปลือกของมันนะ เปลือกมันจะรักษาเนื้อ รักษาเมล็ดพันธุ์ของมัน นี่จนกว่ามันจะโตจนแก่ แก่แล้วเขาเก็บมาเขาไปเพาะปลูกได้อีกต่อไป เปลือกมันก็สำคัญประสาเปลือก นี่เหมือนกันมันเป็นเปลือกนอก เป็นโลก โลกียปัญญาๆ มันจะเกิดโลกุตตรปัญญา โลกียปัญญาสิ่งที่ศึกษามา ศึกษาแล้วฝึกหัดของเราๆ เห็นไหม ฝึกหัดให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

เนื้อในถ้ามีเนื้อหาสาระแล้ว เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอ่อนน้อมถ่อมตนของท่านนะ เวลาแสดงธรรมเท่านั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรมนี่ไม่มีอะไรขวางหน้าเลย ไม่มีลูบหน้าปะจมูก ขาดหมด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว แล้วมันดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่วนะ แล้วมันเป็นจริงๆ อย่างนั้นไง ชี้เลย นั่นดีนี้ชั่ว ชั่วกับดีมันต่างอันต่างจริงเลย มันจะเข้ากันไม่ได้ ถ้าเข้ากันไม่ได้ เห็นไหม นี่คนที่รู้จริงมันรู้จริงอย่างนั้น ถ้ามันมีเนื้อใน ถ้าเนื้อในมันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ทำไมมันอยู่ไม่เป็นสุข

บวชมาเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระนะ ถ้ามันมีเนื้อหาสาระในร่างกายของเรา นี่เห็นไหม สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง ถ้าไม่มีเนื้อหาสาระในหัวใจของเรา ถ้ามีเนื้อหาสาระในใจของเรามันจะมีอะไรที่มีคุณค่าเหนือกว่าคุณธรรม มันมีอะไรมีคุณค่าเหนือนี้ล่ะ ถ้าไม่มีอะไรมีคุณค่าเหนือใจของคน เหนือใจของสัตว์โลก แล้วนี้เป็นหัวใจของพระด้วยนะ หัวใจของพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันสุจริต ทุจริต สุจริตชนสิ่งที่เป็นสุจริต สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ใครๆ ก็ชื่นชมทั้งนั้น

สิ่งที่เป็นทุจริต ใจคิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ใจคิดอย่างหนึ่ง พูดแหมหวานเจี๊ยบเลย ทำอย่างหนึ่ง ล้วงกระเป๋าเขาเลย มันเป็นความจริงเหรอ มันไม่เป็นความจริงเลย นี่ไง ถ้ามันมีแต่เปลือกนอกไง ใช่ เราเกิดมานะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเป็นพุทธมามกะ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นพระสงฆ์ขึ้นมาทุกคนก็สาธุทั้งนั้น แต่พระสงฆ์นั้นควรจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร พระสงฆ์นั้นควรๆ นะ การงานไง กิริยาท่าทางความเป็นอยู่ เขามองทั้งนั้นนะ ประชาชนเขามอง

ดูสิ ทางโลกเขา เห็นไหม เขาหาอยู่หากิน เขามีแต่ความเดือดความร้อน เขาทุกข์เขายากกันนะว่าเขาจะขาดแคลนเรื่องเครื่องอยู่เครื่องอาศัย ไอ้เราเป็นพระๆ นะ เป็นพระขึ้นมาเราจะไปเดือดเนื้อร้อนใจแบบโลกเขาได้อย่างไร เราไม่เดือดร้อนใจอยู่แล้ว มีสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น มีสิ่งใดก็ใช้สิ่งนั้น แล้วมีสิ่งใดสิ่งนั้น เห็นไหม มันเป็นคุณงามความดีทั้งนั้นนะ เราใช้แต่ประโยชน์มัน แล้วมันมีอะไรเป็นประโยชน์ล่ะ แล้วประโยชน์จริงๆ ขึ้นมา มรรคญาณนู่น วิถีแห่งจิตนู่น เวลาจิตมันสงบนู่น นั่นนะ นั่นน่ะงานของพระ

แล้วมันขึ้นมานี่ใครจะเห็นด้วย โลกเห็นด้วยไหม มีใครภาวนาเป็นอย่างนั้น สมาธิเป็นอย่างไร เวลาจิตมันยกขึ้นวิปัสสนาเป็นอย่างไร นี่งานของพระ งานของนักรบ แล้วงานของนักรบเกิดๆ ที่นี่ นักรบเกิดที่นี่ ผลเกิดที่นี่ แล้วมันมีอะไรมีคุณค่าไปกว่านี้ ถ้าไม่มีคุณค่าไปกว่านี้นะ มันมีอะไร มันจะไปหวั่นไหวกับอะไร ถ้ามันไม่มีสิ มันหวั่นไหวไปหมด ต้องเทียมหน้าเทียมหน้า ต้องๆ โอ๊ยร้อยแปด

เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์มันสะเทือนใจนะ พระขุนนาง ต้องเป็นขุนนางนะ ทำอะไรแล้วต้องให้คนไปคอยเชิดชูข้างหน้าข้างหลัง ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่อย่างนั้นเหรอ นั่นมันเรื่องโลกๆทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องโลก โลกเขาไปไหนเขาต้องมีหน่วยรักษาความปลอดภัยของเขา เขามีอย่างนั้น ไอ้นี่เป็นพระ แล้วจะทำอย่างนั้นเหรอ แล้วเราทำอย่างนั้นขึ้นมาอยากเทียมหน้าเทียมตาโลก เพราะอยากเทียมหน้าเทียมหน้าโลก เห็นไหม มันเลยนี่มันเป็นเปลือกนอกๆ แล้วจิตใจมันไม่มีหลักมีเกณฑ์

แต่ถ้ามันมีเนื้อในนะ อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข แล้วมีความสุขอยู่แล้ว ความสุขนี้เกิดมาจากไหน เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดจากขวนขวาย ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดมรรคเกิดผลในใจ ถ้าเกิดมรรคเกิดผลในใจ เห็นไหม ใจมีสติมีปัญญาพร้อม นี่ถ้าใจมีสติมีปัญญาพร้อมแล้วนี่ ความเป็นอยู่ อยู่เพื่ออะไร วิหารธรรม เพราะมีสติปัญญาไง

คนทางโลกนะ เวลาเขามีความทุกข์ความยากของเขา เขาจนถึงกับทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายเป็นบาปเป็นกรรมหนักหนา ถ้าเป็นบาปเป็นกรรมหนักหนา ตายไปแล้วจะต้องไปฆ่าตัวตายอีก ๕๐๐ ชาติ นี่เวลาคนที่จนตรอกจนมุม เห็นไหม นี่เหมือนกันเวลาผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามันทำถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วมันมีความสุขในใจ วิมุตติสุขๆ เห็นไหม เขาก็รอเวลาของเขาไง

นี่ไงเขาไม่ฆ่าตัวตายหรอก เขาไม่ทำลายตัวเองหรอก เขาทำลายไม่ได้ ทำลายไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมีสติมีปัญญารู้เท่าทันทุกๆ อย่าง รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันพญามาร รู้เท่าทันลูกของมาร รู้เท่าทันทั้งหมดๆ แล้วอยู่ทำไม เอ้า วิหารธรรมอยู่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ อยู่ถึงสิ้นอายุขัยไง ถ้าสิ้นอายุขัยมันก็จบไง ถ้าจบๆ ไปแล้วมันก็จบ เห็นไหม ลาวัฏฏะไง นี่ไงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ วิวัฏฏะ ถ้ามันพ้นจากวัฏฏะไปแล้ว เห็นไหม เวลามันจะลาวัฏฏะชาติสุดท้าย ลาจากวัฏฏะแล้วก็จบไป ลากันแล้ววัฏฏะ เห็นไหม

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน เวลาท่านจะพลัดพรากจากที่ปฏิบัติของท่าน มันเห็นบุญเห็นคุณไง เห็นไหม ขนาดเราเป็นพระนะ แล้วเราแสวงหาที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาปฏิบัติแล้วได้ผลขึ้นมานี่ยังซาบซึ้งบุญคุณของป่าเขา ของเงื้อมผา ของสถานที่เราเคยอาศัย จะลาจะจากที่นี่ไป ต้องจากอยู่แล้ว เห็นไหม ยังเห็นคุณค่า อาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ให้คุณค่ากับเรา ที่พึ่งที่อาศัยที่ร่มเงาแดด เวลาเราภาวนาเราได้หลบเงาหลบแดดที่นี่ เวลามันมีคุณธรรมขึ้นมา เวลามันสมุจเฉทปหานในใจของผู้ปฏิบัติ โอ๊ย นั่นมันซาบซึ้งบุญคุณทั้งนั้น แล้วเวลาจะพลัดพรากไปเราต้องจากๆ กันไป เห็นไหม มันยังซาบซึ้งบุญคุณอาลัยอาวรณ์กับบุญคุณของเขา นี่มันเป็นแค่ที่พึ่งที่หลบแดดหลบฝนเท่านั้น เขายังมีบุญคุณขนาดนั้น

แล้วนี่เราเกิดมา เกิดมา เห็นไหม เกิดมาในวัฏฏะ แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรามีอำนาจวาสนาบารมีจะมาประพฤติปฏิบัติของเรานี่มาค้นคว้า มาพรวนดิน มาขุดหัวใจหาสัจจะหาความจริงในใจ ถ้าหาความจริงในใจด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เห็นไหม เนื้อในๆ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเนื้อในเป็นอย่างนี้มันมีจุดยืนมีหลักมีเกณฑ์ธรรมะเหนือโลกๆ ธรรมะมันจะเหนือโลกต้องมีคุณธรรมในใจ

ถ้ามีคุณธรรมในใจนะ โลกคือโลก มนุษย์เกิดมากับโลก สมมติสงฆ์ก็อยู่กับโลก บิณฑบาตฉันทุกวันก็กับโลก โลกก็คือโลก เพราะเราเกิดกับโลก เราจะปฏิเสธโลกไม่ได้ เราปฏิเสธวัฏฏะไม่ได้ วัฏฏะมันเป็นวัฏฏะอยู่วันยังค่ำ แต่คุณงามความดีของเราสิ คุณงามความดีที่ทำๆ มันต้องทำคุณงามความดีของมันขึ้นมา ถ้ามีคุณงามความดีขึ้นมา เห็นไหม นี่คุณงามความดีเพื่ออะไร เพื่อหัวใจไง นี่ไงมันถึงมีเนื้อในเนื้อหาสาระ

เราเกิดมาเป็นคนไง มีกายกับใจๆ กายนี่ร่างกายนี้ก็เป็นวัตถุ หัวใจนี้เป็นนามธรรมๆ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เห็นไหม สิ่งที่ใจ นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตรไง “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอก็ต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง” อันนี้บุคคลที่รู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธพจน์ๆ ที่เราอ้างอิงกันนี่ พุทธพจน์ๆ ตลอด

แล้วเวลาพูดพุทธพจน์ไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้พูดกับผู้รู้ พูดเพื่อแสดงธรรม พระสารีบุตรยืนถวายการพัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ กำลังใช้ปัญญาอยู่นี่ ธรรมะข้อนี้ไปทำให้พระสารีบุตรกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันทีเลย เพราะอะไร เพราะเป็นคติธรรมให้พระสารีบุตรได้พิจารณา พอพิจารณาขึ้นไป เห็นไหม ทั้งๆ ที่เทศนาว่าการหลานพระสารีบุตรนะ เพราะหลานพระสารีบุตรต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พอใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาพระสารีบุตรมาบวช ไม่พอใจว่าเอาชาติตระกูลของพระสารีบุตรมาบวชหมด

ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ที่เธอไม่พอใจเขาด้วย เพราะอารมณ์ที่ไม่พอใจนั้นก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง เห็นไหม นี่ไง เทียบกับจิตที่เป็นนามธรรมๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพราะอะไร ท่านเห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นที่สัจจะได้ จิตที่สงบระงับแล้วเห็นอาการของจิต จับต้องจิตได้ จับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม จับสัจธรรม ธรรมารมณ์อารมณ์ที่เกิดเป็นธรรม อารมณ์ที่เกิดจากจิต ความคิดที่เกิดจากจิตๆ ความคิดที่เกิดดับๆ

นี่ความที่เป็นเปลือกนอกๆ เปลือกนอกเพราะมันเป็นที่กิเลสมันอาศัยสิ่งนั้นออกมาแสดงตัว เวลาแสดงตัวขึ้นมานี่ เรามีสติปัญญาเข้าไปแล้วมันจับต้องได้ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตร เห็นไหม ท่านพิจารณาใจของท่าน ท่านจับต้องในใจของท่าน ท่านพิจารณาตามสัจธรรมอันนั้น พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์เลย ถ้าเป็นความจริงเป็นความจริงอย่างนี้ ความจริงสิ่งที่เป็นนามธรรมๆ นามธรรมทั้งนั้น นามธรรมเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ที่จะพิสูจน์กันทางโลก

แต่เวลาคนที่ปฏิบัติ นี่พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เอตทัคคะ ๘๐ องค์ พระอนุรุทธะเป็นผู้เลิศในทางการรู้วาระจิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งนั้นเลยนั่งล้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ “นี่ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ” พระอนุรุทธะบอกว่า “ยัง ตอนนี้เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะเข้าสมาบัติ ๘” นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าและออกๆ ถึงที่สุดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานระหว่างรูปฌานอรูปฌาน พระอนุรุทธะ “บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว” นี่ออกจากร่างแล้ว

นี่เห็นกันชัดๆ อย่างนั้น เพียงแต่ว่าเป็นผู้ที่ถนัดไง นี้พระอรหันต์ทั้งนั้นนะ นั่งล้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นั่นนะ แต่ความถนัดๆ ของตนไง นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ของเธอเป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าคนที่พิจารณา เห็นไหม พระสารีบุตรเป็นปัญญาวิมุตติ ในเรื่องปัญญาท่านสูงส่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระสารีบุตรเห็นตามจับต้องได้ พิจารณาได้ แยกแยะได้ด้วยปัญญาของท่าน ด้วยมรรคด้วยผลของท่าน พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม อ่อนน้อมถ่อมตน คำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนเพราะว่าคุณธรรมอันนี้มันสูงส่งเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือความรู้ทั้งหมด แล้วไม่มีใครรู้แบบเรา จะไปคุยให้ใครฟังไม่มีใครรู้หรอก ถ้ารู้ก็ไปคุยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านู่น เวลารู้ต้องคุยกับผู้รู้สิ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านรอฟังเราอยู่ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะท่านพร้อมที่จะชี้แนวทางเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรอเลยปรารถนาลูกศิษย์ที่มีปัญญามาก ปรารถนาผู้รู้แจ้ง ปรารถนาผู้ที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านพร้อมอยู่แล้ว เราจริงหรือเปล่าเราทำหรือเปล่า นี่ไงบอกถ้าไม่มีผู้รู้ๆ ผู้รู้ที่รู้จริงเขารอผู้เป็นศาสนทายาท ผู้ที่เป็นความจริงๆนะ นั้นนะครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริง

นี่แสวงหาๆ อย่างนั้น เวลากระทำอย่างนั้น เพื่อประโยชน์อย่างนั้นไง นี่ไงถ้ามันมีเนื้อใน เปลือกนอกเป็นเรื่องหนึ่ง เนื้อในสัจจะความจริง เนื้อในคือในธรรม เนื้อในคือสัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ นี่ แล้วเรามา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนามาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เราบวชแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะหาเนื้อในของเรา เราจะหาสมบัติของเรา เราจะหาสัจจะความจริงในใจของเรา แล้วสัจจะความจริง ของเรา ถ้ามันจะหาได้หาในทางจงกรม หาในการนั่งสมาธิภาวนา

ทางจงกรมก็เป็นทางจงกรมนะ ดูสิ ในป่านี่ทางสัตว์ก็เดินผ่านจนเป็นทางเดินของสัตว์ ไอ้นี่ก็เหมือนกันทางเดินของพระ แต่พระเดินหาหัวใจ พระเดินหาความรู้สึกด้วยกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พระเดินหาหัวใจไม่ใช่พระเดินแบบสัตว์ ทางของสัตว์ ในป่าๆ นี่เที่ยวป่ามา ถ้าพูดทางเดินสัตว์ๆ ทางเดินของช้างนี่มันเดินจนเป็นทางเลย แล้วเราอาศัยเดินทางมันนั้นแหละ มันจะได้ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป นี่ก็เหมือนกันในทางจงกรมในทางการนั่งสมาธิภาวนานี่ เราเดินจงกรมๆ เราไม่ใช่เดินแบบทางของสัตว์ สัตว์มันเดินเพื่อดำรงชีพหาอาหาร เราเดินเพื่อหาหัวใจของเรา เราบวชเป็นพระแล้วเราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันมีเนื้อใน

พระปฏิบัติ พระที่ปฏิบัติ เห็นไหม พระป่าๆ เขาปฏิบัติ เขาปฏิบัติหาหัวใจ เขาปฏิบัติหาคุณธรรม เขาปฏิบัติหาสัจธรรม เวลาเป็นสัจธรรมนะอกุปปธรรมๆ กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เวลาถ้าเป็นอกุปปธรรมๆ เห็นไหม สัจธรรมอันนั้นมันเป็นสมบัติของตน เราปฏิบัติเพื่ออันนี้ เราปฏิบัติหาข้อเท็จของเรา ถ้าเป็นข้อเท็จจริงของเรา เราจะมีคุณธรรมของเราแล้วแสดงออก ธรรมเหนือโลกมันเหนือทุกๆ อย่าง มันจะมีอะไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจอีก ไม่มีหรอก

แต่เราเกิดกับโลก เราอยู่กับโลก แล้วครูบาอาจารย์ท่านลาวัฏฏะ ลาแล้ว พอแล้วกับวัฏฏะนี้ ท่านไปของท่านด้วยความสงบ ท่านไปของท่านด้วยคุณงามความดี เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา เป็นผู้ที่ปฏิบัติภายหลัง เราต้องทำประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงให้มีคุณค่า ให้สมกับครูบาอาจารย์ท่านรื้อค้นมา ให้สมกับครูบาอาจารย์ท่านแสวงหามาเพื่อประโยชน์กับลูกศิษย์ลูกหา แล้วเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลัง เรามีครูบาอาจารย์ขนาดนี้เรายังอ่อนด้อย เรายังทำไม่ได้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านค้นคว้ามาของท่าน ทำไมท่านทำได้ คนเหมือนกัน คนเหมือนกัน เรามีศักยภาพ เราต้องทำได้ เราทำขึ้นมาเพื่อให้มีคุณธรรมในใจสมกับความเป็นพระ เอวัง