เทศน์พระ

ปิดทาง

๒๕ พ.ค. ๒๕๖o

 

ปิดทาง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถศีล เวลาทางโลกเขา เห็นไหม เขาไปจำศีลกัน ทางโลกเขาไปจำศีลกัน เพราะวันนี้วันพระ พระเล็ก พระใหญ่ พระเล็กโยมเขาปฏิบัติของเขาทุกวันพระใช่ไหม แต่พระปฏิบัติเรา เราปฏิบัติเราปฏิบัติทุกวัน มันไม่มีวันสำคัญ วันสำคัญต้องปฏิบัติให้มากขึ้น แต่โดยปกติแล้วทุกวันมีค่าเท่ากัน

ความมีค่าเท่ากัน เห็นไหม ทุกชีวิตเวลาตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ต้องหายใจด้วยตัวเอง ถ้าใครขาดลมหายใจคนนั้นสิ้นชีวิต การสิ้นชีวิต เวลาสิ้นชีวิตไป เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอสิ้นชีวิตไปจิตมันต้องเสวยภพเสวยชาติของเขา นี้การเสวยภพเสวยชาติของเขา นั่นไปตามเวรตามกรรม แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้มาบวชเป็นพระ ได้บวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว นี่เป็นพระปฏิบัติด้วย

ถ้าพระปฏิบัติขึ้นมา การปฏิบัติก็ปฏิบัติที่หัวใจ เวลาปฏิบัติเขาเอาอะไรปฏิบัติ เอาหัวใจปฏิบัตินะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี่เป็นกิริยาเท่านั้นนะ เป็นกิริยาของร่างกายนี้ แต่การปฏิบัตินั้นเขาปฏิบัติเพื่อค้นหาหัวใจของตน ถ้าค้นหาหัวใจของตนเจอ นั่นนะทางของใจนั้น ถ้าทางของใจนั้น เห็นไหม จริตนิสัยๆ เวลาประพฤติปฏิบัติแต่ละคน จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกันนะ แต่เราปฏิบัติแล้วนี่ต้องบังคับตนเข้ามาเข้าสู่อริยสัจ ถ้าเข้าสู่อริยสัจ สัจจะความจริงอันนั้นเกิดขึ้นมาได้ เห็นไหม นี่ผู้นั้นจะมีเหตุมีผลขึ้นมาในหัวใจ ถ้าไม่มีเหตุมีผลขึ้นมาในหัวใจนะมันหลักลอย

ถ้าหลักลอย เห็นไหม ฟังธรรมๆ น่ะมันจืดชืด ยิ่งฟังธรรมะ ฟังธรรมๆ นี่โดยประเพณีวัฒนธรรม อ่านหนังสือให้ฟัง อ่านหนังสือให้ฟังเราก็อ่านได้ ถ้าอ่านหนังสือให้ฟัง เห็นไหม แต่เราฟังเทศน์กรรมฐาน กรรมฐานครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดออกมาจากหัวใจของท่าน ถ้าหัวใจของท่านไม่มีหลักมีเกณฑ์พูดออกมามันก็เลื่อนลอย ครูบาอาจารย์ท่านมีวุฒิภาวะท่านฟังออกทั้งนั้น ท่านฟังได้

เวลาพูดออกมานี่ปริยัติทั้งนั้น คือความจำทั้งนั้น ความจำกับความจริงไม่เหมือนกันนะ ความจำเป็นความจำ ความจริงเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เราบวชมาแล้วเราก็ต้องการความจริง ใครบวชมาแล้วไม่ต้องการความจำหรอก ความจำขึ้นมานี่บวชมาชาติหนึ่ง มาเป็นพระ บวชแล้วมาศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราว่าเป็นความรู้ของตนๆ ถ้าความรู้ของตนทำไมไม่มีความสุขล่ะ ถ้าความรู้ของตนมันต้องมีความสุขสิ

นี่ถ้าจิตสงบแล้วก็มีความสุขแล้ว แล้วถ้าเกิดฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมานี่ ปัญญามันปราบปรามกิเลสนะ มันสำรอกมันคายกิเลสออกไป ถ้ามันสำรอกมันคายกิเลสออกไป เห็นไหม อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วมันรู้แจ้งในหัวใจของตนนะ นี่หูตามันสว่างไสว สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจ ความขัดข้องหมองใจในหัวใจมันจบสิ้นไปทั้งนั้น ถ้าความขัดข้องหมองใจ เห็นไหม นั่นกิริยาของมัน มันเสวยอารมณ์ๆ นะ ผู้ที่เป็นธรรมท่านรู้ของท่าน

แต่ที่ไม่เป็นธรรมนี่มันเสวยมันก็คือเวรกรรม โทษเวรโทษกรรมไปเลยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ นั่นวิบากกรรมๆ ที่เกิดขึ้นมากับเรา มันมีวิบากกรรม แต่เวลามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากขึ้นมานี่เข้าข้างตนเอง มันเป็นกรรมๆ มันสิ้นไร้ไม้ตอก ได้แค่นี้ นี่ก็ว่าไปตาม มันหมดเวรหมดกรรมไง มันจนตรอกอย่างนั้นไง แต่ถ้าเป็นตามความจริงไม่เป็นอย่างนั้น

ความจริงขึ้นมา คนเราเกิดมา เห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกเอง นี่เราคนวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านั้น เห็นไหม นี่ ๘๐,๐๐๐ ปี ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การกระทำอันนั้นท่านทำของท่านมา เพราะท่านทำของท่านมาท่านถึงได้มีอำนาจวาสนาของท่านที่ยาวไกลกว่า แต่คนทำมาแค่นั้นก็ได้แค่นั้นไง นี่ที่ว่าเราวาสนาน้อยๆ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าวาสนาน้อยพวกเรานี่ไม่มีวาสนาเลย พวกเรานี่

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายมาขนาดนั้น วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เรามาศึกษาแล้วนี่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เราจะเป็นศากยบุตรได้อย่างไร เราเป็นศากยบุตร เห็นไหม เราไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาในหัวใจเลย เวลาเขาศึกษามา ศึกษามาเป็นความจำ เห็นไหม มันเลื่อนลอย เวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจๆ ถ้าความจริงขึ้นมาในหัวใจมันมีเหตุมีผลของมันนะ มันเปิดหัวใจไง เปิดทางๆ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหัวใจ มันปิดทางทั้งนั้น ไม่มีทางไป มืดบอด

คนเวลาหลงทาง หลงทางนี้เป็นเรื่องหนึ่งนะ เวลาหลงทางขึ้นมา ถ้าคนมีปากเขาก็ถามทางเขาไปเรื่อย ถามทางเขาไปเรื่อยน่ะ ถ้าคนไม่เป็นมันก็ชี้ ชี้ยิ่งเข้ารกเข้าพงไปเลย นี่หลงทาง ปิดหัวใจของตนๆ แล้วให้กิเลสมันจูงจมูกไป ปิดทางในใจไง ถ้ามันจะเปิดทางในใจ คนที่เปิดทางในใจเขามีสติมีปัญญาของเขา เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา การขวนขวายของเขา เห็นไหม นี่ทำสิ่งใดให้เป็นบุญกุศล

ทุกคนบวชมาแล้วก็ต้องการความสงบ ทุกคนบวชมาแล้วก็ต้องการขวนขวาย ต้องการประพฤติปฏิบัติ ถ้าใครมีน้ำใจต่อกันๆ เห็นไหม มันเปิดจากข้างนอก ข้างนอกเราเปิดทางของเราโล่งโถงเลย แล้วถ้ามันทางในใจๆ ล่ะ ทางในใจมันมืดบอดๆ เห็นไหม คนที่หลงทางเขาไปถามคนที่ไม่รู้ทาง แล้วมันก็ชี้เข้ารกเข้าพงไป คนที่เขาหลงทาง เห็นไหม เขามีครูบาอาจารย์ของเขา คนที่เขาเคยชำนาญการมาแล้ว ในหัวใจของเขามีคุณธรรม ในหัวใจของเขาๆ มีศีล สมาธิ ปัญญา ในใจของเขามีมรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ จิตใจมันเดินเส้นทางนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านผ่านเส้นทางนั้นไปแล้ว ท่านคอยดูไง แล้วพวกเราไอ้พวกดื้อด้าน มืดบอด ปิดหัวใจของตน อวดรู้ นั่นอย่างนั้นท่านไม่สอนหรอก เพราะมันสอนไม่ได้ไง คนหลงทางแล้วมันบอกมันชำนาญการ คนหลงทางแล้วมันว่ามันจะไปตามทางความพอใจของมัน

เวลาเราหลงทางขึ้นมา เราต้องไปตามเส้นทางแห่งอริยสัจเส้นทางแห่งมรรค ไม่ใช่ไปเส้นทางตามความพอใจของตน ถ้าไปตามเส้นทางความพอใจของตน มันก็เส้นทางกิเลสไง เส้นทางแห่งมารไง มันก็ลงสู่นรกอเวจีไง มันก็ไปตามเส้นทางนั้น มันปิดทางของตนแล้วมันยังพามันลงบ่อลงเหวไปอีกต่างหาก แล้วมันยังสำคัญตนว่ามันมีคุณวิเศษ

แต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไปประพฤติปฏิบัติมาเนี่ยเจ้าลัทธิต่างๆ ท่านปฏิบัติมาแล้วน่ะ มันออกนอกลู่นอกทาง ท่านปล่อยเขาเพราะมันอำนาจวาสนาของคนไง ท่านก็ค้นคว้าของท่านเอง แสวงหาของท่านเอง เวลาท่านตรัสรู้เองโดยชอบในหัวใจของท่าน ท่านเปิดหัวใจของท่านเอง การกระทำของท่านเองท่านเปิดทางในใจ พอเปิดเส้นทางนั้นๆ เห็นไหม มรรค มรรคญาณ สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในหัวใจของท่านมันปราบปรามกิเลสในใจของท่าน พอกิเลสมันสิ้นไปๆ ในหัวใจ เวลากิเลสมันสิ้นไปสว่างไสวในหัวใจของท่านนะ

นี่ไงเวลาท่านเสวยวิมุตติสุขๆ ความสุขๆ ที่โลกนี้หากันไม่เจอ เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันเลิศเลอ มันเป็นความเชื่อความศรัทธาของเรา ขนาดว่าเป็นความเชื่อความศรัทธาของเรา เรายังมีความมุ่งหมายขนาดนั้น ดูสิ วัฒนธรรมของชาวพุทธๆ เห็นไหม เขาส่งเสริมนี่บริษัท ๔ เขาส่งเสริมอยู่แล้ว ส่งเสริมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดที่มันขาดแคลนบ้าง มันปิดหูปิดตา แล้วก็ไปเห็นสิ่งที่โลกธรรม ๘ นี้เป็นของสิ่งที่มีคุณค่า ไปเห็นแก่การสรรเสริญเยินยอนั้นมีคุณค่า ไปเห็นแก่การเคารพนบนอบสรรเสริญของเขาเป็นคุณค่า

มันจะมีคุณค่าอะไร มันนอกตัวเรา มันนอกใจ มันไม่มีความสำคัญ ไม่มีความจำเป็นอะไรๆ เลย แต่ความจำเป็นของเรามันต้องอยู่ในใจอันนี้ ถ้ามันสำคัญมันสำคัญที่นี่ แล้วถ้ามันเปิดเราต้องเปิดของเราเองไง เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาใครทำให้ เวลารักษาศีลใครทำให้ ดูสิ แล้วเราทำเองทั้งนั้น เวลาทุกข์เวลาสุขขึ้นมามันเป็นเรื่องในหัวใจ มันเป็นเรื่องความรู้สึกของเรา แล้วข้างนอกเขามีอะไรล่ะ นี่โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เห็นอยากได้ลาภสักการะ ต้องการความสรรเสริญเยินยอกับสังคม แล้วสังคมนั่นโลกเป็นใหญ่ มันมีประโยชน์อยู่อะไรกับเรา

เห็นไหม ดูสิ เวลามันปิดทางแล้วนี่มันไปเอาทางนรก สิ่งนั้นนรกทั้งนั้นนะ นรกเพราะสังคมเป็นใหญ่ไง สังคมเป็นใหญ่มันก็เหยียบย่ำหัวใจของเราไง สิ่งใดนี่สิ่งนั้นเป็นใหญ่หมด ทั้งๆ ที่มันกลับหัวกลับหาง ในทางโลกเขาเคารพบูชาพระก่อน เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แก้วสารพัดนึก ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ท่านสรรเสริญคุณธรรมในสัจธรรมในความเป็นจริง ไอ้เราบวชขึ้นมามันก็เป็นสมมุติสงฆ์ๆ ขี้เต็มหัวใจ ถ้าขี้เต็มหัวใจแล้วนี่สำคัญตนๆ ว่าตัวเองมีคุณธรรม ได้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สิ่งนั้นได้ห่มผ้าแล้วเขาก็มองว่าเป็นผู้วิเศษๆ นี่กิเลสมันก็พองตัว มันก็หลงตัวมันเองว่าสำคัญตน จะให้เขามายกย่องสรรเสริญอยู่ตลอดเวลา มันจะเป็นไปได้อย่างไร

เวลาหายใจเราก็ต้องหายใจเองทั้งนั้น มีใครมาหายใจแทนเราได้ เวลาสุขเวลาทุกข์มันก็เป็นสุขทุกข์ในหัวใจเราทั้งนั้น เพราะมันปิดหนทางของใจ ปิดหูปิดตาขึ้นมามันก็ยังไพล่ไปเอาสิ่งที่เป็นโลกธรรม ๘ เป็นที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นที่เห็นเป็นคุณวิเศษ เห็นเป็นความสำคัญตนของตน แต่ครูบาอาจารย์ของเราไม่เป็นอย่างนั้นนะ คนเราเวลาเปิดหัวใจๆ เราเปิดทางของเรา เห็นไหม หันหน้าเข้าป่าเข้าเขา หันหน้าเขาสู่ทางจงกรม หันหน้าเข้าสู่ที่นั่งสมาธิภาวนา ถ้าใครทำขึ้นมาได้นะ สิ่งนี้มันมีคุณค่าไง แก้วแหวนเงินทองนี่ซื้อไม่ได้ มันไม่มีสิ่งใดจะมาซื้อศีล สมาธิ ปัญญาได้ ไม่มีใครไปแสวงหาได้ ไม่มีใครเป็นผู้ทำแทนกันได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่สามเณรราหุลมาขอสมบัติๆ ขอสมบัติคือขอสถานะความเป็นกษัตริย์ นั่นมันเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน นั่นมันเป็นตำแหน่งกษัตริย์ของทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาอยู่แล้วไง เราควรให้สมบัติใดแก่ลูกของเราๆ นี่ให้พระสารีบุตรบวชให้ พระสารีบุตรสั่งสอนขึ้นมาจนเป็นอรหันต์ขึ้นมา

นี่สมบัติแบบนี้ ถ้ามันเปิดหัวใจได้มันเปิดหัวใจอย่างนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้สมบัติสามเณรราหุล ให้สมบัติลูกของท่าน ท่านให้บวชพระ ให้บวชเป็นเณรก่อนๆ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นสามเณรอรหันต์แล้วก็มาบวชพระ นี่ไงถ้าเป็นสมบัติ สมบัติต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเปิดหัวใจได้มันก็เห็นคุณค่าของมรรคผลนิพพาน ของศีล สมาธิ ปัญญา เห็นการประพฤติปฏิบัติถ้าเห็นคุณค่า คุณค่ามันเกิดจากตรงนี้ไง

แต่ถ้ามันปิดหูปิดตาปิดทางของตนไง ทางจงกรม ทางนั่งสมาธิภาวนาไม่ทำ แต่มันทำไม่เป็น ทำไม่ได้ เวลาจะทำขึ้นมาก็ต้องการให้คนมายกย่องสรรเสริญ ต้องการให้คนมาเห็นการกระทำของเรา แล้วใครมันจะเห็น ไม่มีใครเขาเห็นหรอก กิริยาเท่านั้น การเดินนะ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านทำสิ่งใดท่านไม่ให้ใครรู้ใครเห็นหรอก ท่านทำของท่านเป็นความจริงของท่าน

นี่แล้วเวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาของคน มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แต่ถ้ามันทำมากทำน้อยขึ้นมา เห็นไหม ขิปปาภิญญา ผู้ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ผู้ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ปฏิบัติง่ายๆ แต่รู้ยากมาก ผู้ปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติยากรู้ง่าย ปฏิบัตินี้แสนยากแสนลำบาก แต่มันรู้ง่ายๆ รู้ง่ายๆ หมายถึงมันจะทำแล้ว มันทำทุกข์ยากอย่างนั้นแต่มันรู้ได้ ถ้าปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติทั้งยากๆ ไอ้นี่มันเป็นสมบัติของตนไง มันเป็นสมบัติของตน ถ้าสมบัติของตน เห็นไหม ดูสิ เราชอบสิ่งใด เราปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นสมความปรารถนา

นี่ก็เหมือนกัน สมบัติของตนๆ ศีลก็เป็นของตน สมาธิก็เป็นของตน ปัญญาก็เป็นของตน มันจะเปิดทางของใจ ถ้าใจมันเปิดทางได้ เปิดทางของตนมันก้าวเดินของมันได้ ถ้าก้าวเดินของมันได้นะ ก้าวเดินนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านมาแล้วท่านชี้ทางทั้งนั้น เวลาไอ้คนหลงทางไปถามทางของคนไม่รู้ทาง พอถามทางมันก็ชี้วนไปอยู่นั่น วนกลับมายังดีนะ ชี้แล้วเข้าป่าเข้าพงไป เข้ารกเข้าพงๆ แล้วก็ไปเจอเสือสาราสัตว์ นี่ให้โทษกับตัวเราเองต่างหาก เพราะถ้ามันไปถามคนที่ไม่รู้ทาง

แต่เวลาคนรู้ทาง ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้หนทางของท่าน ท่านจะชี้เข้ามาในใจของเรา นี่อาบเหงื่อต่างน้ำ การประพฤติปฏิบัติเราต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ การกระทำของเราขึ้นมาให้มันเป็นสมบัติของเรา อาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมามันก็เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้ามันไม่สงบๆ ทำขึ้นมามันก็ได้ความเพียร อย่างน้อยก็ร่างกายแข็งแรง เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นมา ความเป็นโรคภัยไข้เจ็บมันก็น้อยลง เราก็มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ถ้าปฏิบัติขึ้นไปปฏิบัติมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นประสบการณ์ของตนๆ ประสบการณ์ที่ล้มลุกคลุกคลานนี่

ถ้าใครปฏิบัติยากรู้ยากมันจะเห็นถึงน้ำใจของคนที่ปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติ มันบังคับนะ สติๆ พูดถึงสติก็มีแต่ชื่อ เวลาสติของเรา ถ้ามีสติขึ้นมา เห็นไหม การกระทำ การก้าวเดินไป การเหยียด การคู้ มันก็รู้ทันความคิด ถ้าทันความคิดขึ้นไปใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ความคิดมันมีขนาดไหนใช้สติปัญญาตามมันไป ความคิดอย่างนี้ไม่เคยคิดเหรอ ความคิดอย่างนี้คิดซ้ำคิดซาก แล้วคิดขึ้นมาทีไรมันก็มีแต่เจ็บช้ำทั้งนั้น เวลาคิดขึ้นมามีแต่ความเศร้าหมองๆ ทั้งนั้นนะ แล้วคิดมาเผาลนตัวเองทำไม

แต่เวลาความคิดดีๆ เห็นไหม เวลาคิดถึงพุทธประวัติ คิดถึงประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาคิดถึงสิ เวลาคิดถึงสมบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติ ประสบการณ์ของท่านๆ ท่านมีความคิดอย่างไร ท่านมีมุมมองอย่างไรในประวัติหลวงปู่เสาร์ ประวัติหลวงปู่มั่น ท่านมีความคิดท่านมีมุมมอง ขณะที่ท่านเริ่มประพฤติขึ้นมาใหม่ๆ มันก็เหมือนเรานี่แหละ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม มันก็เหมือนเรานี่แหละ เหมือนเราคือว่าความคิดดิบๆ ไง

เริ่มต้นปฏิบัติมันยาก ยากตอนเริ่มต้นนี่ เริ่มต้นนี่จับพลัดจับผลูจับทางไม่ได้หรอก มันเหมือนคนฝึกงาน คนฝึกงานคนทำงานนะมันจะลำบากตอนเริ่มต้น พอเริ่มต้นพอมันทำได้ทำเป็นไปแล้ว พอทำเป็นไปแล้วสิ่งใดที่ทำงานเป็น ทำงานเป็นในปัจจุบันนี้ เห็นไหม เทคโนโลยีมันไวมาก เราต้องมีการศึกษาตลอด เราต้องมีการพัฒนาตลอด เราพัฒนาของเราเพื่ออะไร เพื่อให้เราเท่าทันกับเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานเท่านั้นเอง มันยังไม่ได้เท่าทันกับกิเลสของตนเลย

เวลาเท่าทันกิเลสของตนแล้ว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมานี่ มันทำแล้วมันเป็นขึ้นมาบ้างไหม ถ้ามันเป็นขึ้นมามันเป็นเพราะเหตุใด มันเป็นเพราะเรามีสติมีปัญญา เราควบคุมเรา เห็นไหม นี่ฉันแต่น้อย อย่าไปฉันมาก ฉันมากแล้วมันไปอืดอาด เวลากินแล้วก็นอน วิชากินแล้วนอนไม่ต้องสอน กินแล้วนอน นอนแล้วกินมันสะดวกแล้วยิ่งคนเขามาส่งเสริมด้วย เห็นเราเป็นนักรบ กลัวจะทุกข์กลัวจะยาก ส่งเสริมๆ ส่งเสริมขึ้นไป เสร็จแล้วฉันแล้วก็นอนๆ

ในพุทธกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นพุทธกิจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสิ้นกิเลสแล้วเป็นศาสดา ท่านยังมีกิจของท่าน ท่านยังต้องสั่งสอนต้องอบรม นี่เวลาท่านสอนพระไง เวลาทำภัตกิจเสร็จแล้วให้เข้าสู่เรือนว่าง สู่ร่มไม้ สู่ในคูหาที่อยู่ของตน แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติๆ ท่านสอนท่านสอนอย่างนี้

เวลาฉันก่อนจะอิ่ม เห็นไหม ให้ฉันน้ำเข้าไปไม่ให้ฉันจนอิ่ม ขนาดมื้อเดียวนี่แหละ ท่านบอกไม่ต้องฉันจนเต็มที่หรอก เพราะดำรงชีพไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม การกระทำของเรา นี่งานของพระๆ ถ้างานของเราๆ ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา มันจะเปิดหนทางของเรา สิ่งที่ทางโลกเขายิ่งเดี๋ยวนี้โลกเจริญๆ ไง ดูสิ เวลาทางโลกเขา ไปที่ไหนมาที่นั้นเจริญๆ เมืองไทยไม่มี มีแต่ตกต่ำ นี่มันไม่เจริญ แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้วมันเจริญในหัวใจไง

ถ้าในหัวใจเจริญ การปกครองก็ง่าย ทุกอย่างก็ง่าย ไอ้คนที่มองต่างหากเขาเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนไง แต่ของเราถ้าเราจะเป็นนักรบเราต้องไปห่วงอะไร ไม่ต้องห่วงใครทั้งสิ้น มันเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ เป็นหน้าที่ของผู้นำ สังคม เห็นไหม สังคมร่มเย็นเป็นสุขสมณะชีพราหมณ์ได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขทุกอย่างมันเรียบร้อย ทุกอย่างมันพอเป็นไป เราเกิดในสังคมใดมันอยู่ที่วาสนาของคนไง

สหชาติเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สร้างบุญกุศลมาได้เกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้ทาง ท่านเล็งญาณมาเลย เล็งญาณว่าเราสมควรไหมๆ ถ้าเราสมควรเดี๋ยวท่านมารื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านมาตักตวงเอาเลย รื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์นรกนี่หัวใจมันตกนรกอเวจีนี่ แล้วมันแผดเผาไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น

แต่ท่านเล็งญาณมาท่านเห็นไง ท่านรู้ท่านเห็น แต่รู้เห็นแล้วมันมีวาสนาหรือไม่ ถ้าไม่มีวาสนาสอนอย่างไรมันก็ไม่เอา มันก้มหน้าหนีนะ มันหลีกหนี มันปิดทางธรรม มันไปเปิดทางนรก ถ้ามันปิดทางนรก เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เราไม่ทำสิ่งนั้นแล้ว ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาชำระล้างกิเลส เห็นไหม นี่สังโยชน์ ๓ ขาดไป สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาสีลัพพตปรามาสนะ ปิดอบายภูมิ ทางนรกนะจบ เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าบอกว่าเวลาสำนักไหนปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วมันจะพ้นจากนรกๆ คือไม่ลงนรกอเวจีนะ พ้นจากนรกมันต้องมีสติปัญญา ถือศีล ๕ ๆ ศีล ๕ นี่เพื่อที่จะพ้นจากนรก ถ้ามันทำผิดพลาดไป มันจะพ้นไปได้อย่างไร เวลาขาดสติๆ ถ้ามันไม่มีสติของมันขึ้นมา แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันมันทำอย่างนั้นไม่ได้ สีลัพพตปรามาสมันไม่ลูบคลำ เวลาเป็นพระโสดาบันๆ มันยังต้องลูบคลำ มันยังกะล่อน มันยังปลิ้นปล้อน มันยังตอแหล มันจะเป็นโสดาบันได้อย่างไร

สิ่งที่เป็นโสดาบันมันไม่พลิกแพลง มันไม่กะล่อน แทนคำว่ากะล่อน เห็นไหม นี่เวลามุสา มุสาคือโกหก คำว่าโกหกมดเท็จนี่เพื่อหวังประโยชน์ของตน แต่กะล่อนๆ มันด้วยกิเลสไง ปิดทาง ปิดทางธรรม กะล่อนปลิ้นปล้อน ปลิ้นปล้อนขึ้นไป ปลิ้นปล้อนเพราะอะไร เพราะอยากให้เขาเชื่อว่าเราเป็นโสดาบัน แล้วโสดาบันเป็นของใคร โสดาบันของใคร

เวลาบุคคล ๔ คู่นะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในใจ เห็นไหม ดูสิ คนที่เขาไปวัดไปวา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาพูดถึงเรื่องระดับของทาน การได้เห็นสมณะนะ บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ นี่ไงนี่พูดถึงเห็นสมณะ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ เป็นมงคลชีวิต แค่ได้เห็นสมณะยังเป็นมงคลชีวิตเลย

แต่โดยการปิดหูปิดตาของตน เวลาเทวทัตอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสมณะไหม ถ้าเห็นสมณะทำไมจะแย่งชิงการปกครองสงฆ์ นี่อยู่กับสมณะยังไม่รู้จักสมณะ อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่รู้จักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา นี่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะปกครอง อยากจะดูแลสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไงสิ่งที่ว่าอยู่ใกล้สมณะยังไม่รู้จักสมณะ

แล้วนี่เหมือนกัน เราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ชี้ทางเราได้หรือไม่ ถ้าครูบาอาจารย์ชี้ทางของเราในหัวใจของเรานี่ เห็นไหม ดูสิ กิเลสมันปิดหูปิดตา มันดีดมันดิ้นของมัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะเอาแต่สมความปรารถนา สมความเป็นจริงของมัน แล้วมันเป็นไหม มันไม่เป็นเพราะอะไร

หลวงตาท่านสอนประจำ สมุทัยมันเจือปนมาๆ เวลาเราพิจารณาขึ้นมานี่มันมีกิเลสเจือปนมา กิเลสคือความอยากได้อยากดี อยากให้มันเป็นสมความปรารถนา แล้วไม่สมความปรารถนาหรอก เพราะความสมความปรารถนาคือตัณหา ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ สมุทัยทั้งนั้น ถ้าสมุทัยมันเจือปนมา เห็นไหม ดูสิ ความสมดุลๆ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของมัน ความพอดีของมัน ความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน

เวลามรรค ๘ เห็นไหม เกิดญาณ เกิดปัญญา อาโลโกอุทะปาทิ เกิดความสว่างของใจ เกิดไหม ถ้ามันเกิดมันเกิดของมัน นี่แหละมันจะเปิดทางของใจนี่แหละ ทางของใจคือทางมรรคญาณ ทางของใจคือวิถีแห่งจิต จิตมันจะก้าวเดินของมัน แล้วจิตมันอยู่ไหน ศึกษามามันมีแต่ตัวอักษร มีแต่การจำ แล้วจำมาทำไม จำมาเอามาไว้เป็นสมบัติของตน เป็นชาวพุทธไง ชาวพุทธมีสติมีปัญญาไง ศึกษามาจนปัญญาท่วมหัวไง แล้วปัญญาท่วมหัวเอาตัวรอดไหม ไปจำขี้ปากเขามา แล้วก็เที่ยวเอาไปโม้ เอาไปสอนคนอื่น ทำไมไม่สอนตัวเอง

นี่ไง ถ้ามันปิดทางของตน ทางควรเดินไม่เดิน ไม่ใช่ทางของตน ไม่ใช่ทางเลย เห็นไหม ไปถามทางคนไม่รู้ทาง มันชี้เข้ารกเข้าพงไปหมด ถ้าชี้เข้ารกเข้าพงพูดไปพูดเพื่อศักยภาพ พูดเพื่อความยอมรับนับถือของคนอื่น แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ก็หวังลาภไง หวังลาภอยากดังอยากใหญ่ไง ไอ้อยากดังยากใหญ่มันได้อะไรขึ้นมา มันได้กิเลสทั้งนั้น

แต่จริงๆ ขึ้นมานะครูบาอาจารย์ของเราอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่นนะเหมือนเศษผ้าขี้ริ้ว เวลาเหมือนเศษคนนะ ท่านไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เคยไปยุ่งกับใครเลยนะ ท่านทำเพื่อใจของท่าน เวลาท่านทำเพื่อใจของท่าน เวลาหลวงตา เห็นไหม ท่านถามเลย “หมู่คณะผมทำประโยชน์ขนาดนี่ใครระลึกถึงหรือไม่” หลวงตาท่านพูดเลย “เต็มหัวอกเลย” แต่ขณะนี้งานของตัวเองยังไม่จบ เออใช่ เอางานของตัวเองให้จบก่อน

แล้วถ้าเวลามัน ถ้ามันหวังได้ก็หวังได้แต่พวกที่เป็นศีลเป็นธรรมไง หวังได้แต่ผู้ที่มีสัจจะไง มันหวังไม่ได้ล่ะไอ้พวกที่มาคอยเกาะคอยชักนำให้เสียหายนะ มันมีมหาศาล สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสอนคนเท่าไหร่ ท่านสอนพระเท่าไหร่ หลวงตาท่านสอนพระเท่าไหร่ แล้วที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้วเหลือเท่าไหร่ นี่ไง สิ่งที่เป็นจริงเป็นจัง ท่านเคยมักใหญ่ใฝ่สูงไหม ท่านเคยต้องการสิ่งใดไหม

นี่หลวงปู่มั่นท่านต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไรเลย ต้องการแต่ให้สัทธิวิหาริก ต้องการแต่ให้ผู้ที่ปฏิบัติให้มันเปิดหัวใจของมัน ขอให้มันเปิดหัวใจของมัน ถ้าใจมันเปิดแล้วนะ มันธรรมสังเวช มันสังเวชกลางหัวใจ มันสังเวช มันสะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจ เห็นไหม ถ้ามีสติมีปัญญามันสะเทือนหัวใจขึ้นมา มันจะไปตะครุบเงาไหม มันจะไปหาความเสื่อมไหม มันจะทำลายตนไหม สิ่งที่ทำไปมันคือการทำลายตนนะ มันสังเวชนะ

ในพุทธประวัติ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาใครทำสิ่งใดไปแล้วนะ เวลาเขาระลึกได้ๆ มีแต่ไปขอขมาลาโทษนะ นั้นนะ เห็นไหม ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สำนึกๆ ให้สังเวช ให้ธรรมสังเวช ให้มันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนในหัวใจมันจะเปิดทางของใจไง ไอ้ทางเดินทางรถนี่รัฐบาลเขาทำให้ จะตัดถนนหนทางขนาดไหนตัดไปเถอะ ให้รถมันวิ่ง คนไปเดินไม่ได้ด้วยนะ เดี๋ยวรถมันชน

แต่เวลาทางในใจของตน มรรค มรรคโค ทางอันเอกนี่มันเอาอะไรมาเปิด ถ้ามันจะเปิดทางมันจะต้องมีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญา เห็นไหม ทุกคนก็มีเส้นทางเดินเหมือนกัน ในวัดในวามันก็มีทางสัญจร เขาไปหากันนั่นก็เป็นทางเดินของคน ทางเดินของปลวกของมด ทางเดินของสัตว์ ทางเดินทั้งนั้น นั่นใครก็เดินได้ แต่ถ้าเป็นทางเดินของใจล่ะ ทางเดินของใจ เห็นไหม ผู้วิเศษเขาเห็นภูตผีปีศาจ เห็นกามภพ อรูปภพ เห็นความเป็นอยู่เทวดา นี่เส้นทางเดินๆ

ไอ้นี่มันก็เส้นทางของใจ เส้นทางการเดินของจิตวิญญาณไง มันไม่ใช่เส้นทางของมรรค ไม่ใช่เส้นทางของศาสนา ถ้ามันเส้นทางของศาสนา นี่ฤๅษีชีไพรเขารู้เขาเห็นของเขามาอยู่หมดแล้ว ฤๅษีชีไพร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขาได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันได้ทั้งนั้น นี่เส้นทางเดินของใจ เส้นทางเดินของจิตที่มันรับรู้

แต่ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับเข้ามา อาสวักขยญาณ สิ่งที่มันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมานี่ นี่ไงเปิดทางใจไง ถ้าใจมันเดินอย่างนี้ ใจมันเดินเข้าสู่อริยสัจ มันเดินเข้าสู่สัจจะความจริงไง มันไม่ใช่เห็นภูตผีปีศาจเห็นจิตวิญญาณอย่างนั้น นั้นนะอภิญญา ๖ อภิญญา ๖ รู้ไปหมด รู้วาระจิตของคน รู้ความคิดของคน ความคิดไง

ความคิด เห็นไหม เสวยอารมณ์ๆ เส้นทางของจิตไง เวลาเป็นความจริงเป็นทางของมรรคล่ะ ทางของมรรคมันอยู่ไหน ถ้าทางของมรรคมันจะย้อนกลับเข้ามา เห็นไหม ถ้าย้อนกลับเข้ามา นี่คนคนนั้นจะเปิดใจของตัวเองได้ คนๆ นั้นจะมีคุณธรรมในใจ ถ้ามีคุณธรรมในใจ เห็นไหม แล้วคุณธรรมมันเกิดอย่างไร

เวลาบวชมาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ บวชมาแล้วนี่เป็นภิกษุมันศีล ๒๒๗ โดยอัตโนมัติ เห็นไหม เพราะศีล ๒๒๗ โดยอัตโนมัตินี่ยกเข้าหมู่ สิ่งที่มันมีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมาศีลมันคืออะไร ศีลคือความปกติของใจๆ เห็นไหม พระในสมัยพุทธกาลนะที่ว่านู้นก็ผิด นี่ก็ผิดล่ะ นั้นนะมันเดือดร้อน เห็นไหม ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอสึกๆ ทำอะไรไม่ได้เลยพระนี่ นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด

ถ้าถือศีลข้อเดียวถือได้ไหม ถือศีลข้อเดียวนะ ถือเจตนานี่ ถ้ามันมีเจตนาทำคุณงามความดี สิ่งที่มันผิดๆ มันผิดถ้าเราไม่มีเจตนา เราไม่พลิกไม่แพลง ไม่ปลิ้นปล้อน ไม่กะล่อน มันผิดก็คนขาดสติไง เพราะถ้ามันผิดนะ นี่ไม่มีเจตนา เราก็ไปปลงอาบัติเอาสิ เราไม่ทำอะไรมันไม่เดือดร้อนไง ถ้ามันไม่เดือดร้อนแล้วมันอยู่ได้ ไอ้ที่มันเดือดร้อนๆ เพราะกิเลสมันดิ้นรน นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ก็มันอยากจะออกนอกลู่นอกทางไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ทำไม่ได้ งานของตัวทำไมไม่ทำ ถ้างานของตัวก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้าทำได้ เวลางานที่ควรจะทำมันไม่ทำ เวลางานที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนมันไปทำ แล้วไอ้นี่เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาเกิดในเมืองไทย เมืองไทยเมืองแห่งชาวพุทธ เวลาเขาร่ำลือกัน เวลาจะไปปฏิบัติต้องไปเมืองไทย เมืองไทยมีสำนักปฏิบัติเยอะ มีครูบาอาจารย์ เขาก็มาบวชกัน

นี่ไง เราก็เกิดในเมืองไทย เมืองไทยวัฒนธรรมของชาวพุทธ มีบุคคลที่ส่งเสริมที่หวังบุญกุศล ถ้าเขาหวังบุญกุศลทุกคนก็ปรารถนานะ อยากบวชเป็นพระๆ แล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะพ้นจากทุกข์ นี่เวลาปรารถนาๆ อย่างนั้นนะ เวลาบวชมาแล้วมาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา รักษาใจของตน เอาใจของตนอยู่ไหม มาบวชเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม อยู่ทางโลกเขา เขายังได้ผ่อนคลายของเขา เวลาเขามีความทุกข์ความยากของเขา เขายังมีเครื่องบรรเทา

เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา เวลากิเลสมันดิ้นรนขึ้นมา มันเดือดร้อนไปในกลางหัวใจทั้งนั้นนะ แล้วมันเดือดร้อนกลางหัวใจขึ้นมานี่ เราจะมีสติมีปัญญาไหม เราถึงอาศัยครูบาอาจารย์ไง เวลาร้อน เวลามีสิ่งใดเผาลนใจก็อาศัยครูบาอาจารย์ ไปกราบครูบาอาจารย์ อาศัยบารมีธรรมให้เกิดความสงบระงับ เกิดความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ขึ้นมา เห็นไหม นี่ท่านอยู่มาก่อนเรา ท่านต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ถ้าผ่านร้อนผ่านหนาวนะ เวลาทุกข์มันจะยากทำอย่างไร มีคนถามเยอะมาก เวลาหลวงพ่อบวชใหม่ๆ ทำอย่างไร เวลาหลวงพ่อบวชใหม่ๆ ทำอย่างไร

ก็ตั้งสติสิ ตั้งสติไว้ เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาร่วมโลกกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรมๆ เขาเป็นเครือญาติกับเรานะ มันเป็นเครือญาติสนิท เราจะไปคิดเล็กคิดน้อยคิดต่างๆ มันจะมีประโยชน์อะไร แล้วเกิดมาแล้ว เห็นไหม ดูสิ เขาเอารัดเอาเปรียบ เขามีแต่การกดขี่ข่มเหง อันนั้นมันกรรมของสัตว์ ถ้ามีสติปัญญานะ มันก็กรรมของสัตว์ ตั้งสติแล้วหันหลังให้เราไปทางของเรา ให้เขาไปทางของเขา

แต่มันเป็นสิ่งที่ทางโลกเขาทำกันไม่ได้ไง สิ่งที่มีอะไรกระทบกระเทือนกันก็ต้องมีการทำร้ายกันๆ มันก็เกิดเวรเกิดกรรมขึ้นมา เวลาเวรกรรมเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องการสิ่งนั้นๆ ไอ้นี่เรามีสติมีปัญญา เราไม่ต้องการสิ่งนั้นตั้งแต่ต้น ที่มาบวชๆ เพราะจะมาปราบกิเลสของตน ที่มาบวชนี่ไม่ใช่มาบวชมาเพิ่มกิเลสของตน ถ้ามาบวชเพื่อปราบกิเลสของตน เห็นไหม ไอ้ที่มันฟูขึ้นมาก็เพราะกิเลสทั้งนั้น กิเลสมันเกิดเพราะอะไรล่ะ กิเลสเพราะเราไม่ได้ฝึกหัด เราไม่ได้ดัดแปลงมัน เราไม่ได้ตั้งสติ ถ้าเราจะฝึกหัด เห็นไหม ดัดแปลง เราตั้งสติของเราแล้วเราก็รักษาของเรา

เวลากระทบกระเทือนๆ มันอยู่ที่จริตนิสัย เวลากระทบกระเทือนแล้วนี่ ต่อไปเราจะเห็นผล เห็นผลว่ามันไม่ดีเลยๆ เห็นไหม แล้วถ้าไม่ดีเลยเราจะปล่อยอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม ถ้ามันปล่อยอย่างนี้ตลอดไปเวลากระทบสิ่งใดเราก็หลบหลีกของเราเอง ถ้าการหลบหลีกนั้นคือการฝึกหัด พอหลบหลีกเองกิเลสมันแพ้ เวลามันฟูขึ้นมาไม่ได้ เราควบคุมมันได้ เห็นไหม เราปราบปรามกิเลสได้ เราจะเปิดหัวใจ

ถ้ากิเลสมันชนะมันปิดใจหมดนะ มันปิดทางทั้งนั้นเลย ถ้ากิเลสชนะหมายความว่ามันโมโหโกรธาแล้วไปทำลายเขา ไปกระทบกระเทือนเขาเพื่อจะเอาชนะเขา ถ้ามันเพื่อชนะเขานี่มันเป็นเวรเป็นกรรมไหม ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมแล้วมันกระทบกระเทือนแล้วนี่มันอยู่เป็นสุขไหม มันอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ถ้ามันอยู่ไม่เป็นสุข แล้วถ้าเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีหน่อยเขาเก็บบริขารไป ทั้งๆ ที่ยังมีครูมีอาจารย์เป็นที่ๆ ดีนี่ เราก็อยู่ไม่ได้ พออยู่ไม่ได้ นี่ไงมันปิดทางไง ปิด เห็นไหม ดูสิ คนหลงทางเขาไปถามครูบาอาจารย์เพื่อชี้ทาง ไปถามคนรู้ทางชี้ทางให้ แล้วมันก็ชี้เข้ารกเข้าพงไป

ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี เวลามีกระทบกระเทือนกันแล้ว เห็นไหม คนที่จะชี้ทางให้เรา เราก็ต้องพลัดพรากไปซะ นี่มันต้องคิดทั้งนั้น ไปอยู่ที่ไหนมันไม่มีกระทบกระเทือน มันไม่มีหรอก ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา เห็นไหม มันก็ร้อยแปดพันเก้า เพราะที่ไหนที่มันเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ ไอ้คนที่เขาอยากจะหาหนทางเขาก็ไปที่นั้น เวลาหลวงตาท่านอยู่ ร่ำลือนักว่าท่านดุนักๆ ใครก็เข้าไป ท่านบอกเลยว่าจนไม่มีที่อยู่ที่อาศัย อัดกันเป็นปลากระป๋องนั้นนะ นั่นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ ทีนี้เวลาไปแล้ว คนไป ไปหวังดี ใช่ไหม คนที่หวังดีก็มี คนที่ไปแล้วด้วยความดื้อด้าน คือปฏิบัติอย่างไรมันก็ไม่ได้ก็มี ไอ้คนที่ปฏิบัติแล้วได้ผล เขาก็อยากจะได้ผล

ดูสิ เวลาหลวงปู่ลีท่านเข้าท่านออก ท่านเข้าท่านออกของท่าน เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มาของท่าน ท่านผ่อนคลายของท่าน ท่านหาที่ปฏิบัติของท่าน นี่ไง เวลาคนที่มีสติปัญญาเขาก็ต้องรักษาสิทธิของเขา รักษาโอกาสของเขา นี่คนชี้ทางๆ ไง ไปถามคนที่มันไม่เป็น มันชี้ได้ทั้งนั้น มันไม่ได้รับผิดชอบอะไรหรอก ถามม้าตอบช้าง ถามทางมันบอกน้ำ ถามทางน้ำมันบอกทางบก พอทางบกมันบอกทางอากาศ มันมั่วไปหมด แล้วบอกว่าปัญญามันเยอะนะ เพราะว่าอะไร เพราะทางอากาศมันสั้น มันใกล้ ทางอากาศมันไปได้ แล้วไปอย่างไร มันพูดไม่มีเหตุมีผล มันพูดของมันไม่รับผิดชอบ แล้วไอ้คนถามก็ไม่รู้เรื่อง ไอ้คนตอบตอบแล้วแต่กิเลสของตน แล้วไปถามรอบใหม่มันพูดไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว เวลาคนชี้เข้ารกเข้าพงไง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านชี้ของท่านนะ ไม่มีทางอื่น ทางเดียวเท่านั้นชี้เข้าไปสู่กิเลส ทางเดียวเท่านั้นชี้เข้าไปสู่อวิชชา ทางเดียวเท่านั้นชี้เข้าไปสู่หัวใจ เห็นไหม เวลาคนจะเปิดทางได้ๆ มีครูบาอาจารย์ที่เปิดทางของเรานะ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เห็นไหม มันปิดเส้นทาง ปิดหมดเลย กิเลสเป็นใหญ่ แล้วถ้าเป็นจริตนิสัยเข้ากันได้ไปเลยเข้ารกเข้าพงไปหมด

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันมีแต่ชักนำ เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม จิตใจที่สูงกว่าดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา ดึงขึ้นมา ไอ้จิตใจที่ต่ำกว่ามันไม่รู้ว่าเป็นการดึงหรอก เวลาการดึงมันออกแรงนึกว่ามันเป็นโทษทั้งนั้น แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันเป็นการดึงขึ้นมา แล้วบอกว่าจะดึงไม่ได้ด้วย เพราะกิเลสมันไม่ยอม กิเลสมันปลิ้นปล้อน แล้วเวลาจะดึงต้องดึงแบบมันไม่รู้ตัว แต่พอมันรู้ตัวขึ้นมาแล้ว เห็นไหม พระสารีบุตร เวลาพระอัสสชินอนอยู่ที่ไหน เวลาท่านก่อนจะนอนท่านต้องกราบไปทางพระอัสสชิก่อน

เวลาหลวงตาท่านก่อนนอนท่านบอกว่า ถ้าไม่กราบหลวงปู่มั่นก่อนท่านนอนไม่ได้ ก่อนนอนต้องกราบหลวงปู่มั่นก่อน ระลึกถึงหลวงปู่มั่นตลอด นี่เพราะอะไร ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ เรานะเข้ารกเข้าพงไปตลอด แล้วท่านดึงมาๆ นะ ดึงมาแล้วเรายังทิฏฐิมานะ เรายังคิดว่าเก่งกว่า เรายังโต้ต้องเถียงนะ โต้เถียงเพราะว่าเราคิดว่าอย่างนั้นไง ด้วยความเคารพบูชานั่นนะ ด้วยกิเลสมันปิดหูปิดตานะ

เวลาท่านดึงออกมาแล้วพอเข้าใจแล้ว โอ้โฮ! โอ้โฮ! ท่านไม่ได้หวังอะไรเลย ท่านได้แต่หวังให้เราเข้าสู่หนทาง ท่านหวังแต่ให้เราไปถูกทางเท่านั้น เวลาไปถูกทางแล้วท่านปล่อยเลย ไปเลยเส้นทางนี้ไปได้เลย ไปก็ยังไปติดอีก ไปอีกก็ยังไปหลงทางอีกนะ ท่านจับเข้าทางแล้วนะ ท่านปล่อยไปแล้วนะ เรายังไปหลงทางข้างหน้าอีกนะ ท่านยังต้องคอยดูแลเราไปตลอดเลย เวลาเราไปเจอ เราไปเข้าใจ เราไปเห็นซะเองนี่ โอ้โฮๆ แล้วท่านได้อะไรกับเรา

แต่ถ้าท่านไม่ใช่คนที่หูตาสว่างกระจ่างแจ้งท่านก็ชี้ทางไม่ได้ เพราะท่านหูตากระจ่างแจ้งท่านไปถึงจุดเส้นทางนั้นแล้ว เพราะเส้นทางนั้นแล้ว เห็นไหม มันพอแล้ว มันล้นแล้ว ไม่ต้องการอะไรเลย แล้วใครจะเอาอะไรไปให้มันก็ไม่เข้า มันไม่มีประโยชน์ ไอ้คนที่มันไม่รู้จักทางแล้วจะชี้ทาง มันเที่ยวไปปลิ้นปล้อนเขา แค่อยากให้เขาเชื่อว่าเราเก่ง แค่ต้องการให้เขายอมรับว่าเราดี แค่นั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นนามธรรม มันได้อะไรขึ้นมา มันไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย ปิดหูปิดตาแล้วนะ แล้วยังจะมักใหญ่ใฝ่สูง แล้วยังไปหาสิ่งที่ไม่เป็นจริงทั้งนั้นเลย

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านไม่ต้องการอะไรแล้ว แล้วจิตใจที่สูงกว่าจะดึงขึ้นมา ดึงขึ้นมาแล้วเรายังไม่รู้เหนือรู้ใต้หรอก เวลาเราไปหูตาสว่างขึ้นมา โอ้โฮ เวลาโอ้โฮนั่นก็จบนะ มันก็ให้รักษาคนนี้ได้ๆ มันก็เป็นประโยชน์ เห็นไหม ศาสนทายาท ธรรมทายาท ถ้าไม่มีธรรมทายาทเลยศาสนาจะมั่นคงอย่างไร นี่เวลาหมู่สงฆ์ เห็นไหม มันจะมีเสาหลัก เสาหลักก็หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เสาหลักก็มีครูบาอาจารย์เป็นเสาหลัก

ถ้ามีเสาหลักไว้แล้วมันก็เป็นที่ไว้วางใจของสังคมได้ เป็นที่ไว้ใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยแล้วจะไปถามใคร เหลียวหน้าเหลียวหลังก็ไปไม่ถูก พระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวัด ตำรามีทั่วไปหมด แต่ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เห็นไหม เราปฏิบัติของเราขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยให้ปฏิบัติมานะ ยิ่งหลวงปู่มั่นท่านย้ำนักย้ำหนา “หมู่คณะให้ปฏิบัติมานะ จิตนี้มันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” ไอ้นี่มันไม่มีใครให้แก้ เวลามาก็ผิวๆ เผินๆ เวลามาก็เป็นความเห็นของตนทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริงเลย อาการของใจๆ มันเป็นได้ร้อยแปด อาการของใจๆ ไม่ใช่ใจ มันทะลุเข้าไปแล้วมันถึงเป็นความจริง อาการของใจๆ อาการนี้ก็ความคิดนี้ไง ดูสิ คิดกันไปร้อยแปดพันเก้า จริตนิสัยคนร้อยแปด แล้วมีใครจริงสักคน

ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา จิตสงบแล้วเหมือนกันหมดเลย สมาธิเป็นสมาธิ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ไหม ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้มันถึงจะเป็นความจริง ความจริงคือเป็นแบบนั้นๆ ถ้าใครปิดทางก็เป็นนรกอเวจี ถ้าเปิดทางได้เปิดทางเข้าสู่มรรค ใครจะปิดใครจะเปิดมันอยู่ที่สติปัญญา สติปัญญามันทำได้ มันจะเป็นประโยชน์กับใจของดวงนั้น นี่พูดถึงปฏิบัตินะ

นี่ฟังธรรมมันตอกย้ำตรงนี้ ไม่มีสิ่งใดเหนือธรรม ไม่มีสิ่งใดเหนือมรรคญาณ ไม่มีสิ่งใดเหนืออาสวักขยญาณ ไม่มีสิ่งใดเหนือนี้แล้ว ถ้าเหนือนี้แล้วมันปราบหัวใจทุกๆ ดวงใจให้อยู่ในอำนาจของมัน นั่นคือสัจธรรม นั่นคือความจริงที่เราปรารถนา เอวัง