เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ มิ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะตั้งใจฟังธรรมวันนี้เป็นวันพระวันพระ เรามาวัดมาวากันเพื่อหาพุทธะในหัวใจของเราไง เวลาเขาไปอินเดียกันเขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔เพราะอะไรเพราะพระอานนท์เป็นผู้ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองว่าถ้าต่อไปอนาคตกาล ถ้าเขาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาระลึกถึงศาสนาไม่มีที่พึ่ง เขาจะไปพึ่งที่ไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ แสดงธัมมจักฯ แล้วก็ปรินิพพาน

อันนั้นเป็นสถานที่ไงเป็นสถานที่ เป็นธาตุ ธาตุ ๔ คนเราเกิดมามีกายกับใจ ร่างกายนี้เป็นธาตุ ๔ ความรู้สึกเป็นหัวใจถ้าหัวใจ เรามาวัดมาวาของเราถ้าเป็นโดยทั่วไป ไปวัดไปวาทำบุญกุศล นี่เราก็ไปทำบุญกุศลของเรา ไปทำให้หัวใจเราฉลาดขึ้นมา การทำบุญกุศลทำให้หัวใจเราฉลาดขึ้นมา ถ้าหัวใจเราฉลาดขึ้นมานะ สิ่งแวดล้อม สภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นของเล็กน้อย เป็นของเล็กน้อยทั้งนั้นนะ แต่ถ้าหัวใจเราอ่อนแอหัวใจเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ สิ่งใดที่เกิดขึ้นมามันเหยียบย่ำหัวใจทั้งนั้นน่ะ

เรามาวัดมาก็เพื่อเหตุนี้ไงเรามาทำบุญกุศลของเราทำบุญกุศลให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งเพราะอะไรเข้มแข็งขึ้นมาดูสิ สรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรปรวนไปทั้งนั้นน่ะ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังสิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อันนั้นเป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่ของเราโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรายึดมั่นถือมั่นใช่ไหม สิ่งนั้นเป็นของเราๆ

เวลาเราพูดกันโดยโวหาร “โลกนี้คือละคร ยศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นหัวโขน”

เป็นหัวโขนแล้วเอ็งดิ้นรนอะไรนั่นน่ะดิ้นรนๆ นั่นน่ะดิ้นรน แต่ถ้าคนมีธรรมในหัวใจสิ่งที่เราทำมาๆเป็นหน้าที่ คนเกิดมาชีวิตนี้ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัย คนเราต้องมีหน้าที่การงานของเรา ถ้าหน้าที่การงานของเรา คนที่มีสติปัญญาทำหน้าที่การงานของเรา มันด้วยปัญญาๆ มันไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไป

คนเราเกิดมา กรรมเก่ากรรมใหม่นะเวลากรรมเก่าถ้ามีกรรมที่ดีกรรมที่ดีมันส่งเสริมขึ้นมา ทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จ นั่นเขามีกรรมของเขากรรมของเขาเวลาศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรมๆไง

ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่มีวิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็นการกดขี่ข่มเหง มันเป็นการเหลื่อมล้ำเพราะสังคมมันเหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบกันไง

สังคมที่เหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบกันก็มีสังคมที่เขาเป็นผู้นำ เป็นคนที่ดีก็มี สิ่งที่ใจเป็นธรรมๆ ดูสิ เวลาพ่อแม่ที่สอนลูก พ่อแม่ที่สอนลูก พ่อแม่ที่สอนลูกดีๆเวลาลูกเราเล็กน้อยขึ้นมา ให้ลูกเรามีประสบการณ์ ไม่สปอยล์จนเกินไป ไม่ดูแลรักษาจนมันอ่อนแอไงนี่ไง พ่อแม่ที่มีปัญญา ผู้นำที่ดีๆเขาจะสอนให้ประชาชน สอนให้สังคมเข้มแข็ง ถ้าเข้มแข็งมันเข้มแข็งที่ไหนล่ะ เข้มแข็ง เวลาเข้มแข็งมันเข้มแข็งในหัวใจ ของจะมีเล็กมีน้อยขึ้นมา เราก็แบ่งกันเจือจานกัน ไม่ใช่ว่ากว้านมาเป็นของเราทั้งหมดเลย

แต่คนที่เห็นแก่ตัวๆ มันเห็นสิ่งที่เป็นวัตถุว่าเป็นของของมัน ของของมันไง เวลาตายไปๆไม่มีสิ่งใดเอาไปได้เลย สิ่งที่จะเอาไปได้เลยก็บุญกุศล มีบุญกับบาป บุญกับบาป ใครทำสิ่งใด สิ่งนั้น เราได้สิ่งใดมาเพื่อประโยชน์กับเราๆ สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ แต่คนที่เป็นธรรมๆ เขาจะเจือจานใคร เขาเจือจานด้วยสติด้วยปัญญาไงเจือจานของเขาให้เขาเข้มแข็งขึ้นมา ให้เขาแข็งแรงขึ้นมาให้สติปัญญาของเขา ให้เขาทำหน้าที่การงานของเขาเป็นไม่ใช่ไปให้จนเขาอ่อนแอไปหมดไง

คนที่เขามีปัญญาๆ ผู้นำที่ดีเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้นำที่ดีเป็นอย่างนั้น เขาให้ปัญญา ให้ความเพียร ให้ความมุมานะ ให้ความอดทน ให้ปัญญาคนๆ ถ้าให้ปัญญาคนขึ้นมา เขาอยู่ที่ไหนเขาเอาตัวรอดของเขาได้

แต่ถ้าทางโลกๆ ให้กันจนอ่อนแอ ให้กันจนทำอะไรไม่เป็นไง ถ้าสิ่งใดทำไม่เป็นก็คือทำไม่เป็น ที่ทำไม่เป็นแล้วเวลาจะรักษาศาสนาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “มารเอย เมื่อใด ภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราถึงจะยอมนิพพาน”

นี่ไงอุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็งหรือไม่เข้มแข็งมันอ่อนแอหรือมันเข้มแข็ง ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมามันเข้มแข็งที่ไหนล่ะ ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมามันต้องมีสติปัญญาของมันใช่ไหม ถ้ามันอ่อนแอของมันตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอดเลยตัวมันเองมันยังเป็นเหยื่อเลย นี่เรื่องของสังคมเรื่องของชีวิตประจำวัน

“ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน”

ชีวิตประจำวันมันมีค่าแค่ไหนวะ ปฏิบัติธรรมๆ คนที่จะปฏิบัติธรรมได้มันต้องมีสติปัญญา เราทำงานของเราก็ทำงานของเราทำงานให้มันเสร็จ ให้มันสำเร็จแล้วเราค่อยมาภาวนาก็ได้ แล้วถ้าภาวนาของเรา

ไอ้นี่จะปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันธรรมะนี้ไม่มีค่าเลยนะ ชีวิตประจำวันมันมีค่ามากเลยหรือชีวิตประจำวันก็เป็นชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ ชีวิตประจำวันนั้นมันมีความสุข“ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” ก็่เอาโลกเป็นใหญ่ไง จะทำอะไรก็เหยียบย่ำโลกให้มันอยู่ใต้ของกิเลสไง

แต่ถ้าจะเป็นธรรมๆ คำว่า “เป็นธรรม” นะ สิ่งที่แสวงหามาๆ ของชั่วคราวเท่านั้นน่ะ เวลาโลกเขาเรียกว่าสมมุติเป็นจริงตามสมมุติ จริงตามสมมุติคือมันอยู่กับเราชั่วคราวแม้แต่ชีวิตเรานี้ก็สมมุติ แต่ปฏิสนธิจิตนั้นไม่ใช่ชั่วคราว

ครูบาอาจารย์ท่านบอกจิตไม่เคยตายๆ จิตไม่เคยตาย จิตมันคงที่ถาวรของมันเพราะจิตมันคงที่ถาวรของมันเวลานิพพานไปแล้ว สิ่งที่ว่านิพพานไปแล้วมันอยู่กับอะไรล่ะ

ถ้ามันนิพพานไม่มีอะไรเลย ใครไม่ทำสิ่งใดเลย มันก็เหมือนกระดานดำไง เขียนเสร็จแล้วลบทิ้ง ลบทิ้งแล้วไม่มีอะไรเลยเอาอย่างนั้นหรือเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นความจริงอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขได้อย่างไร

ที่เราทุกข์เรายากกันอยู่นี่เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ชีวิตมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแล้วเราก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาผู้ที่ปฏิบัติเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดาแม้แต่ชีวิตของตถาคตคืนนี้ก็จะนิพพาน แม้แต่ชีวิตของตถาคตคืนนี้ก็ต้องตายไป”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายไปด้วยเรือนร่างไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากิเลสตายตั้งแต่วันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือน ๖เวลากิเลสตายไปแล้วอันนั้นแหละวิมุตติสุขความจริงอันนั้นมันไม่เคยตายมันตายไม่ได้ความตายไม่ได้ตายไม่ได้แบบเรา ตายไม่ได้แบบเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ตายไม่ได้แบบเราโดยเวรโดยกรรมมันขับไสไปไงโดยการกระทำไง

แต่ถ้ามันสิ้นกิเลสไปแล้วมันไม่มีเกิดและไม่มีตาย มันคงที่ของมัน นี่สิ่งที่เป็นจริงๆ เป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันมีอยู่จริงๆ ไง ถ้ามีอยู่จริง สิ่งที่เป็นนามธรรมพระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ไงพระพุทธศาสนาสอนลงที่หัวใจของสัตว์โลกพระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องที่ไหนมีเกิด มีทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ

ทุกข์ควรกำหนด ที่ไหนมันมีทุกข์ล่ะทุกข์มันอยู่ที่ไหนแก้วแหวนเงินทองมันทุกข์ไหมวัตถุมันเคยมีความทุกข์ไหมไม่มีหรอก ชีวิตคนนี่ ชีวิตคนชีวิตสัตว์มันทุกข์แล้วชีวิตคน ชีวิตสัตว์ทุกข์ ทุกข์ทำไมมันไม่ทิ้งล่ะทำไมมันไม่ปล่อยวางล่ะ

มันปล่อยวางไม่ได้ มันปล่อยวางไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์ร่างกายนี้ต้องการอาหารไง ดูสิ คุณภาพชีวิตๆ เขาพยายามส่งเสริมกัน เดี๋ยวนี้โลกนี้เจริญ แต่เดิมเวลาเกิดโรคระบาดตายหมดนะ พอมันมีวัคซีน มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชีวิตของเรา คนเราชีวิตมันก็ยั่งยืนขึ้น แต่ชีวิตยั่งยืนขึ้น ยั่งยืนขึ้นด้วยความทุกข์ความยากใช่ไหม

แต่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจล่ะ สิ่งที่คุณภาพของจิตๆความรู้สึกอันนี้ถ้ามันมีสติปัญญามันจะออกมาได้ไง แต่มันก็เป็น๑๘ มงกุฎ ไอ้พวก๑๘ มงกุฎมันก็อ้างอิง พออ้างอิงพูดจนเราจับต้องไม่ได้

คนที่มีสติปัญญาเขาไม่เชื่ออย่างนั้นหรอกถ้ามันเป็นความดีของเขาๆ เขาเอามาล่อลวงเราทำไม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านพูดนะ ไม่มีกำมือในเรานะแบหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบหมดไง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เชื่อในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆเลย กาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนสั่งสอน มันต้องประพฤติปฏิบัติเป็นจริงขึ้นมา

นี่ไง เวลา๑๘ มงกุฎมันก็มาอ้างนู่นอ้างนี่เราก็ไปเชื่อมันไงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ากาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อว่าเวลาคิดแล้วจินตนาการแล้วมันน่าจะเป็นไปได้ มันจะเป็นความจริง ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะถ้าเป็นไปได้ก็เป็นสมบัติของท่านไงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน

“เธอจงสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เวลาของเธอ ชีวิตของพระสารีบุตร ชีวิตของพระโมคคัลลานะ ชีวิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชีวิตของใครก็ของคนคนนั้นไงถ้าคนคนนั้นมันประพฤติปฏิบัติได้เป็นความจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ“อานนท์ เราไม่เคยเอาของใครไปเลย เราเอาแต่คุณธรรมในหัวใจเราไป” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็เอาคุณธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ มันเป็นธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมธาตุมันจะไปกับใจอันนั้นไง

แต่ของเรามันไม่มีไง มันมีแต่ความทุกข์ความยากไง ถ้าความทุกข์ความยากขึ้นมา มาฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง เหตุนี้ขึ้นมาสิ่งใดที่มันกระทบกระเทือนสิ่งใดที่มีการกระทำในสังคม ถ้ามันกระทบกระเทือนกันบ้างเรามีสติ เราวางได้หมดนะ ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่นะ มันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ ใครจะทำอะไรแล้วนะ มันทำเพื่อบาปกรรมมันทั้งนั้นเลย แล้วเราไปเดือดร้อนอะไร

นี่ไม่อย่างนั้นน่ะสิ เขาทำกู เขาทำกู พอมีกู จบเลย ให้ทุกคนศิโรราบเรามันเป็นไปได้ไหมใจของเรามันจะศิโรราบใจเราไหม ชีวิตของเราเราจะบังคับบัญชามันได้ไหมชีวิตเราไม่ให้แก่ไม่ให้เฒ่าได้ไหมชีวิตเราไม่ให้มีความทุกข์เลยได้ไหม เรายังควบคุมใจเราไม่ได้เลย แล้วเวลามีการกระทบกระเทือนกันในสังคม มีความกระทบกระเทือนกันในหัวใจเรามันสังเวชนะ

เวลาคนที่มีธรรมๆเหมือนเราเห็นเด็กๆ ทะเลาะกันเด็กๆ มันทะเลาะกัน มันแย่งของเล่นกัน เราเห็นแล้วมันสังเวชไหม แต่เด็กมันเป็นจริงเป็นจังนะ เด็กมันหยิบฉวยอะไร ใครไปแย่งจากมือมันน่ะมีเรื่อง มันร้องไห้มาฟ้องเลย มันมีเรื่องแล้วถ้าใจเรามีคุณธรรม เหมือนกัน สังคมเหมือนอย่างนั้น

แล้วถ้ามันมีการกระทบกระเทือน เราจะบอกว่า พอเราประพฤติปฏิบัติธรรม เราเป็นคนดีแล้วทุกคนจะยกย่องสรรเสริญเรา ทุกคนจะเชิดชูเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกนะ“ภิกษุทั้งหลายถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมกระทบกระเทือนรุนแรงนะ อย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง”

คำว่า“ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง” คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโลกธรรม ๘ติฉินนินทา การทำลายล้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมากที่สุด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา

เวลาเราบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดช แสดงยมกปาฏิหาริย์ มีฤทธิ์มีเดชมาก แต่มีฤทธิ์มีเดชไปทำลายเขามันสร้างเวรสร้างกรรม เพราะมันไม่ได้ทำลายกิเลสไง มันไม่ได้ทำลายให้เขามีปัญญาขึ้นมาไง

ถ้าแสดงธรรมจนเขามีปัญญาขึ้นมาเขาละทิ้งกิเลสอันนั้นน่ะ เขาละทิ้งความเห็นผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ไง ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ คือปรารถนาที่คนเห็นผิด เห็นผิดยอมจำนนกับกิเลส ให้มันเห็นถูกต้อง ให้มันหูตาสว่างไง นั่นเวลาเทศนาว่าการ อริยสัจมันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่ให้คนที่มันเห็นผิด คนที่มันทำลายตัวเองคนที่มันสร้างเวรสร้างกรรมให้มันสร้างแต่คุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนั้นแต่ว่ามีฤทธิ์มีเดชไปทำลายเขา ทำลายเขาก็ตายเปล่าทำลายเขามันก็ระเนระนาดไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแสดงธรรมเพื่อเหตุนี้ไง

เวลาพูดกับพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ“เธอจงเห็นสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เพราะธรรมในใจของพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะมันเต็มหัวใจอันนั้นแล้ว ถ้ามันเต็มหัวใจอันนั้นตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว มันไม่มีสิ่งใดแล้ว ไม่มีการไปและไม่มีการมา ไม่มีการเพิ่มขึ้น มีแต่ว่าสิ่งที่ดำรงชีพไว้เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อปรารถนากับสังคมไง ให้สังคมเนื้อนาบุญของโลกๆ ให้คนได้สร้างบุญกุศลของเขา แล้วท่านแสดงธรรมรื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อให้หัวใจของเขามีสติปัญญาขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันนั้น คุณธรรมในหัวใจอันนั้นน่ะมันสำคัญอย่างนั้น แล้วคุณธรรมในหัวใจอันนั้นน่ะสิ่งที่มันจะสัมผัสได้ๆ ก็ใจของเรานี่ไง

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุตมยปัญญา เขาศึกษามาให้ประพฤติปฏิบัติฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมาแล้วอย่าเชื่อ เวลาเราพูดไม่ต้องเชื่อเลย แล้วกลับไปแล้วไปคิด เราพูดมันมีเหตุมีผลหรือไม่ ถ้ามันมีเหตุมีผลหรือไม่ทำไมมันเป็นอย่างนั้น นั่น ตรงนี้สำคัญ ทำไมมันเป็นอย่างนั้นถ้ามันเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุผลอะไร นั่นน่ะปัญญาจะเกิดแล้ว

นี่ไง คนทำไร่ไถนาเขาต้องทำไร่ไถนาของเขา เขาถึงได้ข้าว ได้ผัก ได้หญ้าของเขาขึ้นมาดำรงชีพของเขา นี่ก็เหมือนกันเราจะใช้สติปัญญาของเราเราคิดของเราเราใช้ปัญญาของเรา นี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่ว่าเราจะคิดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่ไปกว้านเอาแต่พิษแต่ภัยขึ้นมาให้มาตรึกในธรรมๆ เวลาตรึกในธรรมขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการสิ่งใด เราเอาไปพิจารณาของเรามันเป็นจริงหรือไม่

ถ้าเริ่มต้นก็บอกไม่จริงๆ เราต้องทำมาหากินเราต้องทำเพื่อร่ำเพื่อรวย ทีแรกก็คิดอย่างนั้นน่ะพอมันชักเหนื่อยชักยากขึ้นมา มันคิด เออ! จริงเนาะเก็บไว้ในบ้านไม่เห็นได้ใช้อะไรเลย นี่พอมันได้คิดมันจะคิดไปได้เรื่อยๆ แล้วมันจะละเอียดไปเรื่อยๆ มันจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วหน้าที่การงานก็ไม่ได้ทิ้ง เราก็ทำของเราไง ทำของเราๆ ทำแล้วมันเป็นประโยชน์กับเราไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ เราหาเงินมา ๑ บาท๑ สลึงใช้ดำรงชีพ ๑ สลึงเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของเรา ๑ สลึงเพื่อธุรกิจของเรา อีก๑ สลึงฝังไว้ในแผ่นดิน อีก ๑สลึงเราจะสร้างประโยชน์แล้วล่ะถ้ามันมีสติปัญญามันจะสร้างประโยชน์แล้ว

ของที่หามา หามาด้วยอะไร หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงใช่ไหม หามาด้วยสมองใช่ไหม หามาด้วยปัญญาใช่ไหม เป็นของใคร ก็เป็นของเราไง ถ้าเป็นของเรา เราเสียสละไป สิ่งนั้นเป็นวัตถุใช่ไหมสิ่งที่ได้มาเป็นทิพย์ไง เป็นทิพย์คือสิ่งที่เสียสละออกไป เสียสละในโลกนี้ไง

บ้านของเราโดนไฟไหม้อยู่ ใครขนทรัพย์สมบัติออกจากบ้านของเราได้มากเท่าไร ทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นของเรา ถ้าเรามีความประมาทเลินเล่อ ไฟไหม้บ้านของเราแล้วเราไม่ได้ขนทรัพย์สมบัติสิ่งใดเลย มันจะไหม้ไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย พลังงานมันเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา เวลามันหมดอายุขัยไปนี่ตาย ทรัพย์สมบัติไม่ได้อะไรเลย ทิ้งไว้กับโลกนี้ มันได้แต่บาปกับบุญไปแต่เสียสละไว้ๆมันแสดงออกไปมันขนออกไปจากบ้านมันๆบ้านมันขนออกไป ฝังดินไว้ๆ มันฝังดินไว้ มันออกจากบ้านมันไปถ้าออกจากบ้านมันไป นี่ไง เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันถึงจะได้บุญกุศลนี่ไง

พระสีวลีๆ เป็นพระอรหันต์ที่มีลาภสักการะมากที่สุดไง เพราะอะไร เพราะท่านทำของท่านไว้ท่านได้ฝังดินของท่านไว้ ท่านทำของท่านไว้มากไง เวลาทำไว้มาก นี่ไง คนเกิดมาที่ว่าอำนาจวาสนาที่มันไม่เท่ากัน ไม่เท่ากันตรงนี้ไงไม่เท่ากันที่การกระทำไง

ไอ้เราเกิดประชาธิปไตยต้องเสมอภาคๆเสมอภาคด้วยกฎหมาย แล้วเสมอภาคไหมไปดูคนเขียนกฎหมายสิแล้วไปดูคนรักษากฎหมายสิเสมอภาคไหม นี่มันพูดแต่ปาก แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันเป็นจริงใครฝังดินไว้มากน้อยขนาดไหน นี่ธรรมาธิปไตยมันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาถึงเวลาแล้วมันไหลมาเทมาไงคนที่มันขาดแคลนขาดแคลน เราก็ทำตอนนี้ขาดแคลนเพราะเรามีสติปัญญาแล้วเราก็มาขวนขวายเอาตอนนี้ ถ้าตอนนี้ก็ทำเพื่อเราไงแต่ชีวิตเราต้องมีคุณค่าอย่างนี้

นี่วันพระวันพระ เวลาคนที่ไม่มีสติปัญญาเขาก็ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แต่ของเราล่ะ เราจะหาพุทธะในใจเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ฟังธรรมแล้วค้นคว้าด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้าด้วยสติปัญญาของเราจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันผ่องใส มันสะอาด มันปลอดโปร่งของมัน อันนี้จะมีคุณค่ามาก

สิ่งที่เขาจะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ อันนั้นก็เป็นเรื่องของสังคม เรื่องปัญญาของคนแต่ไปแล้วก็ต้องกลับ ไปอยู่นั่นไม่ได้ แต่เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น จะทำเดี๋ยวนี้ก็ได้เดี๋ยวนี้ หายใจเดี๋ยวนี้ก็ได้เดี๋ยวนี้ ถ้าทำเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เป็นธรรมๆ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจนี้

วันพระเป็นผู้ประเสริฐหัวใจเป็นผู้ประเสริฐไหมใครค้นหาหัวใจของตนเจอนะโอ๋ย! มันจะมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนามาก แค่ทำสัมมาสมาธิมันจะมหัศจรรย์ในศาสนามาก แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นมิจฉาสมาธิเวลาเป็นอะไรขึ้นมา มันเป็นสัญญาอารมณ์ แล้วพอเป็นแล้วงงๆ ไม่เข้าใจ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะพอเข้าไป เพราะอะไร เพราะเราเข้าไปเฝ้าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจิตของเราแท้ๆพอเข้าไปแท้ๆแล้ว สิ่งนี้มันสัมผัส พอสัมผัสขึ้นมา รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง

เวลาใครมาพูดสิ่งใด พูดเรื่องธรรมๆ เขามีรสมีชาติหรือไม่เขามั่นคงหรือไม่เขามีสติปัญญาหรือไม่ ถ้ามันเป็นความจริงนะสติของเขาจะสมบูรณ์ของเขาเขาระลึกถึงชีวิตของเขา แล้วไม่มีความประมาทชีวิตของเขา เขาจะดูแลรักษาชีวิตของเขา เพราะอะไร เพราะเขาเห็นคุณค่าของชีวิตของเขาเพราะจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบมันยกขึ้นใช้สติปัญญา มันจะเป็นวิปัสสนาวิปัสสนาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไรรู้แจ้งในใจของตน รู้แจ้งในความทุกข์ความยาก รู้แจ้งในสิ่งหมักหมมในใจมันคายของมันๆมันมหัศจรรย์ขนาดนั้นน่ะ นี่ไงปัจจัตตังๆ สันทิฏฐิโก พระพุทธศาสนาสำคัญที่นี่ สำคัญที่กลางหัวใจเรานี่สำคัญที่ความรู้สึกเรานี่

ศาสนามั่นคง มั่นคงเพราะบริษัท ๔ มีสติมีปัญญาบริษัท ๔ ไม่ใช่เหยื่อ บริษัท ๔ มีสติปัญญาแล้วเราทำด้วยความภูมิใจ ของจะเล็กจะน้อยด้วยเจตนา ด้วยความเต็มใจของเรา บุญกุศลเกิดตรงนี้แล้วถ้าผู้ใดเห็นจิตเดิมแท้ เห็นจิตของเรา แล้วมันวิปัสสนาขึ้นไป ประโยชน์มันเกิดตรงนี้

หัวใจดวงใดไม่มีมรรค หัวใจดวงนั้นไม่มีผล ใครปฏิบัติแล้วไม่มีร่องมีรอย คนนั้นปฏิบัติด้วยโวหาร ไม่มีความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงในใจดวงนั้น องค์ความรู้ๆ ไงศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ดวงใจที่ปฏิบัติขึ้นมาไม่มีมรรค ไม่มีผลไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไอ้นั่นโม้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าโม้แล้วมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง

เราเอาความจริง แล้วต้องเป็นความจริงของเราด้วยทางโลกจะมากจะน้อยช่างหัวมันรักษาหัวใจของเราให้มันฉลาดขึ้นมา พอมันฉลาดขึ้นมานะของรอบข้าง ของในโลกนี้เป็นของสมมุติ ไร้ค่า ไร้ค่า หัวใจของเราต่างหากมีคุณค่าชีวิตต่างหากมีคุณค่า เอวัง