เทศน์พระ

ปากเหยี่ยว

๒๔ มิ.ย. ๒๕๖o

 

ปากเหยี่ยว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เรากราบพระนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้านอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยข้อเท็จจริงนะ ธรรมวินัยจะมีคุณค่ามาก นี่มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะมันซาบซึ้งธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง คนถ้ามีสติมีปัญญานะ

นี่ความเป็นอยู่ของเราๆ จากธรรมวินัยทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะบริษัท ๔ บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกานี่เขาหวังบุญกุศลของเขา ถ้าเขาหวังบุญกุศลของเขานะ เขาขวนขวายมาขนาดไหน เห็นไหม เขาทำบุญกุศลของเขา ถ้าเขาทำบุญกุศลของเขา สิ่งที่เราได้มาๆ ได้มาเพราะว่าศรัทธา ศรัทธานี่เขาศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาศรัทธาในศาสนาไง

เวลามาบวชใหม่ๆ บวชขึ้นมาใครจะรู้จัก ไม่มีใครรู้จักเราหรอก เราออกมาจากฆราวาส มาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระนั่นได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ห่มผ้าธงชัยพระอรหันต์ นี่ธงชัยพระอรหันต์เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เราก็มาห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เรามาห่มผ้าเพราะอะไร ห่มผ้าเพราะเราเป็นศากยบุตร เราบวชมาเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระ พระมีบริขาร ๘ เป็นสมบัติของเรา แล้วก็มีธรรมและวินัย

สิ่งที่มีธรรมวินัยเป็นสมบัติ ถ้าเป็นสมบัติเราขวนขวาย ขวนขวายมีกระทำ ถ้ากระทำขึ้นมาให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริง ให้เป็นพุทธะในหัวใจไง เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงเป็นหนึ่งในใจนั้น ในหัวใจมันเป็นธรรมทั้งแท่ง มันธรรมทั้งแท่งในหัวใจนั้นนะ ถ้าเป็นหัวใจนั้นนั่นน่ะพระแท้ ถ้าพระแท้ๆ มันเป็นแบบนั้น ถ้าพระแท้ๆ เป็นแบบนั้นเพราะด้วยอะไร ด้วยการขวนขวาย ด้วยการขวนขวาย ด้วยอำนาจวาสนาบารมี 

นี่ทำสิ่งใดถ้ามันไม่สมความปรารถนา มันเหนื่อยยากทั้งนั้น งานทางโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำของเขา เพื่อหาผลประโยชน์มาเลี้ยงชีพนะ งานของเรานี่ล้างภพล้างชาติๆ มันเป็นงานอันละเอียด เราเกิดมาจากไหน เพราะความไม่รู้เกิดในครรภ์ เพราะความไม่รู้เกิดในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ในกำเนิด ๔ กำเนิด ๔ นี่ผลของวัฏฏะ แล้วผลของวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเราต้องเกิดอยู่แล้ว เราได้เกิดอยู่แล้วด้วยอำนาจวาสนาได้เกิดเป็นมนุษย์นี่สุดยอด มันเป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์เพราะความเกิดเป็นมนุษย์ไง เพราะมนุษย์มันมีสติมีปัญญา มนุษย์สามารถขวนขวาย มนุษย์สามารถทำที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ มนุษย์ทำให้รู้แจ้งได้

ถ้ามนุษย์ทำให้รู้แจ้งได้ เห็นไหม สิ่งที่เวลาความเป็นมนุษย์นี่ สิ่งที่ชีวิตของเรา เห็นไหม มันแค่ฟ้าแลบ ฟ้าแลบแป๊บ ไปแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีแป๊บเดียวเท่านั้น ดูสิ ในพระไตรปิฎกเวลานางฟ้าเขาออกมาเก็บดอกไม้กัน เห็นไหม มาเก็บดอกไม้กัน เพื่อนเขาหายไปแวบหนึ่ง พอเขาจะกลับนะ เพื่อนมา ไปไหนมานี่ ไปเกิดเป็นมนุษย์มาชาติหนึ่งๆ นะ นี่ไงมันชั่วฟ้าแลบแป๊บหนึ่งนั่นนะ ชีวิตนี้อันตรายนัก ชีวิตนี้มันถึงที่สุดแล้วต้องพลัดพรากไป ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันจะพลัดพรากเมื่อไหร่เท่านั้น

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปี นี่วางศาสนาให้ความมั่นคง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ "อานนท์แม้แต่เราตถาคตก็ต้องตายไปๆ" แม้แต่ตถาคตก็สิ้นชีวิตไปแล้ว นี่วางธรรมวินัยมา ๒,๐๐๐ กว่าปีนี่ แล้วเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าพระพุทธศาสนาแล้ว ถ้ามันขวนขวายๆ ถ้านอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ต้องกล่าวตักเตือนอะไรกันเลยล่ะ ถ้ามันนอบน้อมสู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา ธรรมวินัย เราจะไม่ทำความผิดพลาดสิ่งนั้นเลย มันอยู่ในกรอบตลอดเลย นี่ไงเพราะเราเคารพบูชาไง

ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตาขึ้นมา มันถึงได้แถอยู่นี่ พอมันแถเข้าไป การกระทำมันก็ไม่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าในการกระทำจะเป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ศีล สมาธิ ปัญญา สีละความมั่นคงในใจ ถ้าใจมันมั่นคงขึ้นมามันจะมีอะไร มีเหยื่ออะไรมาล่อมันไปอย่างนั้น มีสิ่งใดจะมาทำให้ไขว้เขวไปอย่างนั้น แล้วสิ่งที่ไขว้เขวมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น เช้าออกมาภิกขาจารเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพเสร็จแล้วทำภัตกิจๆ สิ่งที่เราทำนี่ทำภัตกิจ เวลาทำหน้าที่การงาน งานสิ่งใดก็รีบทำให้มันจบซะ จบแล้วเราจะได้ภาวนา

นี่ก็เหมือนกันทำภัตกิจ มันก็เป็นคราวเป็นวาระนะ เวลาไม่มีใครรู้จัก เราก็ขวนขวายมา ได้ตกบาตรมาก็ฉันเท่านั้น ถ้ามีคนรู้จักขึ้นมา เขาก็ปรารถนาของเขา มันเป็นสิทธิของเขา มันเป็นบริษัท ๔ เหมือนกัน เขาขวนขวายของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา นั่นเขามาด้วยน้ำใจของเขา เราก็รับของเขาด้วยความเป็นธรรมเท่านั้น ถ้าด้วยความเป็นธรรม เห็นไหม สิ่งใดรับเขามันเป็นน้ำใจ สิ่งเท่านั้น เสร็จแล้วเราก็ต้องมีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม ทำภัตกิจๆ ถ้ามันจบแล้ว ทำภัตกิจจบแล้วหน้าที่ของเรา เวลาของเราแล้ว

เวลาเราต้อนรับขับสู้ มันเป็นภาระ เป็นความรุงรัง เราก็เห็น ทุกคนก็เห็น ถ้ามันไม่มีมารยาท มันก็เป็นมารยาสาไถย มันเป็นมารยาสาไถยทั้งนั้นน่ะ ไถยจิต จิตคิดอยากได้ ถ้าจิตไม่คิดอยากได้ จิตมันไม่ต้องการปรารถนา มันต้องการภัตกิจๆ เราอยากทำกิจกรรมของเราให้มันจบ ถ้าทำกิจกรรมของเราให้มันจบ บริษัท ๔ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน

นี่มีการศึกษา ศึกษาค้นคว้าในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็ศึกษาได้ เรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เห็นไหม พระเราบวชมาก็เรียนถึง ๙ ประโยค เวลาศึกษามาก็ศึกษาในพระไตรปิฎกในคัมภีร์เล่มเดียวกัน ศึกษามาในตำราเล่มเดียวกันทั้งนั้น เขาก็รู้สิทธิของเขา เราก็รู้สิทธิของเรา นี่บริษัท ๔ เห็นไหม กระบวนการของมันต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน ถ้าขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อความมั่นคงของศาสนา ถ้าเพื่อความมั่นคงของศาสนา เห็นไหม เขาก็มีสิทธิของเขา เราก็มีสิทธิของเรา

ถ้ามีสิทธิของเรา เห็นไหม ด้วยไม่มีมารยาสาไถย ไม่มีไถยจิตที่ต่างคนต่างคิดจะอยากได้ มันจะมีอะไรเข้ามาทำให้มันเสียหายล่ะ ถ้ามันเป็นจริงไง แล้วเราเห็นแล้วมันเป็นการเสียเวล่ำเวลา มันเป็นการคลุกคลี นั่นก็เป็นมุมมอง เป็นจริตนิสัยของคน แต่ถ้าเป็นสังฆะ เป็นสังคมที่ดี เห็นไหม เขาทำของเขา ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทำสิ่งแล้วเราจะภาวนาของเรา แล้วภาวนาของเราเข้าหาที่สงบที่สงัดของเรา ถ้ามันเป็นจริงมันจริงตรงนี้ ถ้ามันเป็นจริงตรงนี้คนมีความสามารถแค่ไหน คนว่าทุกคนมีปัญญา ตรงนี้ทำให้มันเกิดขึ้น ให้มันเกิดขึ้น เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

เวลาหลวงตาท่านบอก พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงที่ใจ แล้วใจอยู่ไหน ถ้าใจอยู่ไหน ใจมีหลักการๆ เห็นไหม เรานอบน้อมสู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราน้อมสู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เรามีสติมีปัญญารักษา มีการกระทำอย่างนั้นเกิดขึ้น ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นมันจะเป็นสัจจะเป็นความเป็นจริงในใจนั้น ถ้าเป็นความจริงในใจนั้น มีมรรค มีมรรคคือมีเหตุมีผล มีเหตุผลมันก็มีการกระทำ มีการกระทำจิตใจมันก็อยู่ในร่องในรอย ถ้าอยู่ในร่องในรอย เวลามันเป็นไป เห็นไหม ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าทำไปมันต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ จบสิ้นกระบวนการของมัน จบสิ้นกระบวนการของมรรค 

นี่เขาบอกว่า เห็นไหม ถึงแห่งมรรค เราต้องทิ้งๆ ถ้าต้องทิ้ง ถ้าต้องทิ้งมันผิดแล้ว กระบวนการของมันมีการกระทำของมัน ถ้าการกระทำของมัน เห็นไหม เราจะไปเร่งให้ผลไม้มันสุกใช่ไหม ผลไม้ขึ้นไปถ้ามันแก่ของมัน มันก็ต้องสุกไปข้างหน้าใช่ไหม แต่มันสุกภายหน้ามันอยู่ที่อุณหภูมิ อยู่ที่อากาศ อยู่ที่ผลไม้มันสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าสมบูรณ์แค่ไหนมันก็สุกของมัน เวลามันหลุดจากขั้ว เวลาผลไม้มันแก่งอมดีแล้วมันหลุดจากขั้ว มันหลุดจากขั้วมันก็จบของมันไง 

นี่บอกว่ามรรคต้องทิ้งๆ มึงมีกระบวนการจัดการอย่างไง ถ้ามึงมีกระบวนการจัดการอย่างไง นั้นน่ะสมมุติทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมัน ผลไม้มันหลุดจากขั้ว ถ้าผลไม้หลุดจากขั้วด้วยความสมบูรณ์ของมัน ด้วยความแก่ถึงจุดของเขา เขาต้องหลุดจากขั้วนั้น ใครทิ้ง มันสมดุลของมัน มันพอดีของมัน ใครไปทิ้งมัน 

แต่เวลาเทศนาว่าการเขาก็พูดอย่างนั้นแหละ ถึงเวลาแล้ว นั่นนะไปกอดมันไว้ไปห่วงหน้าพะวงหลัง ไปพะว้าพะวังของมัน เห็นไหม ถ้าเราไม่ห่วง เราไม่พะว้าพะวังกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เรามีสติปัญญาของเรา เราใช้สติปัญญาเราควบคุมดูแลรักษาของเราขึ้นไป เห็นไหม นี่กระบวนการมันเป็นไป นี่ไงความสมบูรณ์ของมัน แก่โดยรอบ พอแก่โดยรอบด้วยความสมบูรณ์ของมัน ผลไม้มันสุกงอมของมัน มันถึงที่สุดของมัน มันหลุดจากขั้วโดยสัจจะความจริงของมัน นี่ไง โดยข้อเท็จจริงมันเป็นของมันอย่างนั้น 

แต่เวลากระบวนการของทฤษฎี กระบวนการของการศึกษา กระบวนการเขาก็ศึกษาตามนั้น พอศึกษาตามขึ้นมา เราก็ไปศึกษากระบวนการนั้นมา แล้วเราก็ไปจัดรูปแบบจะให้มันเป็นไปอย่างนั้นเลย มันจะเป็นไหม นี่มันไม่เป็นอย่างนั้น ดูสิ ผลไม้ เวลามัน เห็นไหม เม็ดๆ เดียวลงสู่ดิน เห็นไหม เม็ดเม็ดเดียวขึ้นมานี่ต้นใหญ่โตมหาศาล เวลามันออกดอกออกผลๆ เห็นไหม เวลาแค่เป็นดอก ลมแรงพัดขึ้นไปดอกก็ร่วงแล้ว

เวลาเป็นลูกอ่อนขึ้นมา โดนแมลงสัตว์มันเอาไปเป็นอาหารมัน กว่ามันจะเติบโตขึ้นมา กว่ามันจะแก่โดยรอบ เวลาแก่โดยรอบโดยความสมดุลของมัน หลุดจากขั้ว อะไรไปทิ้งมัน นี่ไง ถ้านอบน้อมสู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ศึกษามานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ความจริงๆ ในใจของเรา มันเป็นความจริงในใจของเรา 

ถ้าเป็นความจริงในใจของเรา เรามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เราขวนขวายของเรา เราทำของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดเอง "เราวาสนาน้อยอายุแค่ ๘๐ ปี" นี่วาสนาน้อยๆ ก็ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกันแหละ แต่ว่าคำว่าวาสนาน้อยไปเทียบถึงความสมบูรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ที่ท่านทำมา ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย มาด้วยเหตุมาด้วยต้นทุนที่ต่างกัน

ความที่มาด้วยต้นทุนที่ต่างกันมันก็ต้องต่างกันโดยผลลัพธ์ ถ้าผลลัพธ์มันต่างกันอย่างนั้น มันก็มาด้วยต้นทุนนั้น มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านพูดของท่าน ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน ท่านพูดของท่าน เราวาสนาน้อยๆ ถ้าวาสนาน้อยก็เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วาสนาน้อยก็สิ่งที่เป็นศาสดาของเรา เป็นครูเอกของโลก สอนสามแดนโลกธาตุ 

สิ่งที่เรากราบไหว้บูชากันอยู่นี้ เห็นไหม เราพูดนอบน้อมสู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอบน้อมนอบน้อมอะไร เพราะเราอยู่นี่ เราได้อยู่ได้กิน เราได้อาศัยนี่ อาศัยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะเขาศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น บริษัท ๔ เขาศึกษามาด้วยกัน เขาทำมาด้วยกัน

แต่ของเรานี่ เรามีวาสนามากกว่า มากกว่าหมายความว่า เราละความเป็นฆราวาส เรามาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นนักรบรบกับอะไร รบกับกิเลสไง เวลาเกิดสงครามๆ สงครามระหว่างเขาต่อสู้กัน เขามีข้าศึก มีข้าศึกเขาถึงได้เกิดสงครามขึ้นมา เวลาไม่มีสงครามขึ้นมา เขาซ้อมรบๆ เห็นไหม ข้าศึกสมมุติๆ เขาฝึกหัดขึ้นมาเพื่อให้ชำนาญในการซ้อมรบ 

ไอ้ของเรานี่ ถ้ามันศึกษามาๆ ก็ศึกษามาในแผนที่ เวลาแผนที่เครื่องดำเนิน แผนที่มาแล้ว เวลาลงในพื้นที่ พอพื้นที่ขึ้นมานี่ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราพยายามหาสถานที่ทำงานของเรา เห็นไหม ทำความสงบของใจให้ได้ หาหัวใจของตนให้เจอ ถ้าหาหัวใจของตนให้เจอนี่ตั้งสติขึ้นมา เวลาหาหัวใจของตนไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปหาที่ไหน นั่งลง เดินจงกรม แล้วกำหนดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธนี่ คนที่หายใจ สิ่งที่หายใจก็พุทธะ ถ้าคนมีชีวิตถึงทำได้ไง คนที่มีชีวิตทำได้ก็ชีวิตแบบโลกๆ ไง ชีวิตแบบโลกๆ มันก็อาศัยโลกอยู่นี่ตลอดไปไง

แต่เวลาเรามีสติมีปัญญา เราหายใจเข้านึกพุธ หายใจออกโธ หน้าที่การงานของเรา ไม่ใช่หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง ไม่ใช่ชีวิตนี้สิ้นไปไง นี่ปากเหยี่ยวปากกา ชั่วพลั้งเผลอนี่ตายหมดนะ เวลาจะตายหมดหัวใจวายโดยฉับพลัน เวลาเดิน ยืน เดิน นั่ง นอน หัวใจวายโดยฉับพลัน เส้นเลือดสมองแตกตายเดี๋ยวนั้นเลย ชีวิตมันสั้นนัก มันอันตราย มันอยู่ที่เรานอนใจไง นอนใจว่าเราจะอยู่ยั่งยืน เห็นไหม เขาฉลองพุทธชยันตี ๒,๕๐๐ ปี นี่เราก็อยู่ไปอีก ๕,๐๐๐ ปี มันประมาณเลินเล่อไง มันไม่ตื่นตัวไง

เราบวชใหม่ๆ นะ เวลาศึกษา เห็นไหม ดูสิ ศึกษาประวัติหลวงปู่มั่น ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ สมัยสงครามโลกๆ ทุกอย่างอัตคัดขาดแคลนไปหมด โอ๊ย เวลามันอ่านแล้วมันเฉา โอ๊ย ถ้าเราเจอสภาพแบบนั้นล่ะ รีบนะ ก็รีบกระทำนะ อย่างไรแล้วทำกระทำให้ได้ ถ้าครั้งหน้าอนาคตเราจะรู้อะไรมันจะเกิดขึ้น เรารู้ได้ยังไงว่าอนาคตข้างหน้ามันจะมีอะไรมันจะเกิดขึ้น แล้วชีวิตเราจะปล่อยสำมะเลเทเมาสะเปะสะปะไปอย่างนั้นเหรอ เราเอาจริงเอาจังนะ 

หลวงปู่มั่นท่านมีชื่อเสียงขนาดไหน หลวงตาท่านพูดประจำ ท่านเล่าฟังให้นะ เวลาเขาเข้ามา เห็นไหม ได้สิ่งใดมานี่ เก็บไว้ก่อนให้ลูกศิษย์ลูกหา ให้คนนั้นก่อนให้คนนี้ก่อน จนหลวงตาท่านพูด "แล้วหลวงปู่ล่ะ ตัวหลวงปู่มั่นเองล่ะ"

อู้ เป็นหัวหน้า หาได้ง่ายๆ ไอ้พระปลายแถวต่างหากที่มันไม่มี ให้มันก่อนๆ นั่นท่านก็สังเกต ท่านก็คอยดูนะ 

ถึงเวลาแล้วก่อนเข้าพรรษา นี่โยมนุ่ม ให้คนแบกมาให้เลย ๒ - ๓ พับ แล้วซื้อหาในตลาดไม่มี หลวงตาท่านเป็นคนนักศึกษาเหมือนกัน ท่านก็ไปถามเอามาจากไหน ในตลาดไม่มีขายสมัยสงคราม มันใต้ดินทั้งนั้น ซื้อหลังร้าน คนที่ซื้อหลังร้านได้เขาต้องมีกำลังของเขา เขาถึงไปซื้อหลังร้าน เขาหาซื้อหลังร้านคือแบบว่าซื้อใต้ดิน นี่ตลาดมืด ในตลาดไม่มี สินค้าไม่มี อยู่ในตลาดมืด พอตลาดมืดขึ้นไปแล้ว ได้มาแล้วเอามาถวาย ถวายเพราะอะไรล่ะ เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

โยมนุ่มที่อยู่สกลฯ ที่ท่านเป็นคนสร้างวัดป่าสุทธาวาส เป็นคนสร้างวัดให้หลวงปู่มั่น เป็นคนสร้างกุฏิให้หลวงปู่มั่น ท่านเป็นลูกศิษย์ลูกหาก้นกุฏิ ถึงเวลาแล้วก่อนเข้าพรรษานี่ เห็นไหม ไปซื้อใต้ดินมาแล้วเอามาถวายๆ ท่านถึงได้ตัดได้รักษา นั่น! มันไม่มี เวลาเกิดสงคราม อนาคตข้างหน้าเรารู้อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วเราประมาทเลินเล่ออย่างนี้ใช่ไหม นี่ปากเหยี่ยวปากกานะ

ชีวิตมันสั้นนัก แล้วสิ่งใดจะเกิดขึ้นนะ ปากเหยี่ยวปากกามันอันตราย ดูอันตรายนะ เป็นอาหารของเหยี่ยวของกามันโฉบมันมาล่า นักล่า เห็นไหม ชีวิตเราเป็นอย่างนั้นเหรอ เราปล่อยชีวิตเราอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเราไม่ปล่อยชีวิตของเราอย่างนั้น เราต้องเข้มแข็งของเรา เราจะต้องขวนขวายของเรา เราต้องขวนขวายนะ อย่าปล่อยให้วันคืนล่วงไปๆ โดยเปล่าประโยชน์ 

มืดกับแจ้งๆ อยู่อย่างนั้นนะ แล้วไม่มีอะไรเริ่มต้นใช่ไหม ไม่มีอะไรที่เราจะเป็นชิ้นเป็นอันเลยเหรอ สิ่งที่มันจะเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาจากของเรานี่ เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาแล้วมันเป็นที่ไหน มืดแจ้งมันก็เป็นอย่างนั้น เวลาคนเกิดคนตายมันก็ตายกันทั้งนั้น มีคนเกิดคนตายทุกสถานที่ ทุกชั่วโมงทุกนาทีทั้งนั้น ในโลกนี้มีคนเกิดคนตายตลอด แล้วคนเกิดคนตายมันก็เป็นอำนาจวาสนาของคนทั้งนั้น

แล้วเรานี่เราเกิดมาแล้วนี่ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ขึ้นมาแล้ว เกิดมานี่ เห็นไหม บวชมานี่กี่พรรษา บวชมาแล้วได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เราก่อสร้างๆ ก็เป็นอาราม ที่อาศัยนั่นเป็นบุญกุศล เห็นไหม ใครสร้างศาลาโรงธรรมขึ้นมาก็ได้วิมานบนสวรรค์ ไอ้วิมานบนสวรรค์มันก็ผลของวัฏฏะไง นี่ผลของวัฏฏะเป็นฆราวาสธรรมไง มันเป็นความจริงอันหนึ่งในวัฏฏะ แต่ของเรา เราจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะใช่ไหม เราจะออกจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะไง เราจะพ้นออกไปจากวัฏฏะนี้ เราจะไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ ถ้าเราจะไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเราทำอย่างไร

สิ่งอย่างใด บวชเป็นพระมันก็มีบุญกุศลไง แล้วก็จะมาเกิดบวชซ้ำบวชซากใช่ไหม นี่ดูสิ ในพุทธประวัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การมาบวชมันก็เป็นบุญกุศลนะ ใช่ ทำไมจะมาบวชทำดีมันไม่เป็นบุญเหรอ มันก็เป็นบุญไง แล้วบุญกับบาปใช่ไหม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติมันข้ามพ้นจากบุญและบาปไป ถ้ามันจะข้ามพ้นจากบุญและบาปไป อะไรจะข้ามล่ะ ข้ามกระโดดข้ามใช่ไหม กระโดดข้ามมันก็ไปเจอตอข้างหน้าโน่นนะ กระโดดข้ามไปเดี๋ยวก็ไปล้มข้างหน้า กระโดดข้ามถ้าเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันก็เป็นวัฏฏะ มันก็อยู่ในวัฏฏะนี้ มันไม่พ้นจากวัฏฏะนี้ไปได้หรอก

แต่ถ้ามันจะพ้นจากวัฏฏะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจสงบระงับแล้วนี่เรามาพิจารณาของเรา เราแสวงหาของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา นี่หน้าที่การงานของพระไง งานของพระคืองานแรงงานคืองานภาวนาไง งานของพระคือหาสัจจะหาความจริงให้ได้ในใจนี้ไง แล้วงานของพระนี่สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ใครจะรู้ใครจะเห็นไม่เห็นเรื่องของเขา

แต่เรื่องของเรา ถ้ามีสติมันก็เห็น ถ้ามีสติปัญญามันก็ใช่ ถ้าขาดสติมันก็เป็นความพลั้งเผลอ ถ้าความพลั้งเผลอก็สักแต่ว่าทำ มันก็เป็นหุ่นยนต์นั่นน่ะ หุ่นยนต์มันทำอะไร ทำดีกว่ามนุษย์อีกเดี๋ยวนี้ ต่อไปหุ่นยนต์แย่งงานหมดเลย ต่อไปหุ่นยนต์มันจะทำงานแทนมนุษย์ แล้วมนุษย์จะมาบวชเป็นพระหมดเลย แล้วพระจะไปบิณฑบาตกับหุ่นยนต์นั่นน่ะ หุ่นยนต์ทำอะไรให้ นั้นมันเป็นปัญญาประดิษฐ์ คือว่ามนุษย์มีปัญญาๆ มันเก่งแต่ข้างนอก เก่งแต่เรื่องกิเลสมันมาหลอกลวง แต่ถ้าเอาจริงๆ ขึ้นมากิเลสมันหลอกไม่ได้ 

ในเมื่อคนคิดคนหนึ่ง คนๆ หนึ่งคิดขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับโลก ทุกคนได้ใช้ได้สอยกันทั้งนั้นนะ แต่เวลาเป็นธรรมๆ ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ เวลาจะเป็นจริงขึ้นมาพยายามขวนขวายพยายามชี้นำ พยายามจะบอก บอกให้ใจดวงนั้น ไอ้ที่มันมืดบอด ใจดวงนั้นที่มันต่ำต้อย ใจดวงนั้นที่มันอับเฉา ใจดวงนั้นที่มีความทุกข์ขึ้นมานะ ให้มันสว่างไสวขึ้นมา ให้ใจดวงนั้นนะรู้จักมุมมอง รู้จักทัศนคติ ให้มีความเห็น ความเห็นว่าสิ่งที่มีค่าข้างนอกหรือข้างใน

ข้างนอกที่มันเป็นกันอยู่ โลกที่มันเป็นอยู่มันเป็นเรื่องที่โลกๆ แล้วข้างในๆ ข้างในของใคร ข้างในขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ข้างในของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสำเร็จไปแล้ว แล้วข้างในของเรามีแต่ขี้ ข้างในๆ มันมีแต่ขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง หลงตัวเองอยู่นี่ บ้าบอคอแตก มันทำงานอะไรๆ ความเป็นอยู่ๆ เห็นไหม โยมก็ทำได้ สิ่งปลูกสร้างนี่ เราเป็นคนทำ จ้างช่างก็ทำได้ ช่างทำอะไรได้หมด งานศิลปะช่างทำให้ได้ด้วยความสวยงามหมดเลย แล้วโอ้โฮ วัดนี้สวยๆ วัดพระทำก็มีส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่โยมทำทั้งนั้น โยมก็ทำได้ ทำได้ดีกว่าด้วย นี่มันเรื่องข้างนอกไง 

แต่เรื่องข้างในล่ะ ถ้าเรื่องอะไร เห็นไหม เราเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ใครทำใครได้ แล้วใครทำได้เป็นของของคนนั้น เวลาโยมทำๆ ถ้าโยมเขาทำขึ้นมา ถ้าเขาเป็นมรรคเป็นผลของเขาขึ้นมา เขาก็ได้ของเขา เวลาเขาทำ เขาหน้าที่การงานของเขา เขาทำด้วยเป็นอาชีพของเขา แต่ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาก็ภาวนาได้ เห็นไหม สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย สมาธิไม่มีเพศ ไม่มีนักบวช ไม่มีฆราวาส 

เวลาปัญญาๆ ก็เหมือนกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาโยมเขา เห็นไหม ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะหน้าที่การงานของเขาเป็นอาชีพของเขา เขาทำเป็นอาชีพนะ เพื่อหาเงินหาทองมาเลี้ยงครอบครัวเขา เป็นพระๆ มามันไม่มีอาชีพ อาชีพพระๆ นะเป็นพระจริงๆ เพราะพระจริงๆ มันไม่มีสิ่งใดซื้อขาย ไม่มีสิ่งใดเป็นผลประโยชน์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ทำขึ้นมามันเป็นทาน เป็นทานของเขา สิ่งที่เป็นวัตถุมา วัตถุมาก็เก็บไว้ให้มันเผาตัวเองตายใช่ไหม มันได้มาได้มาก็เป็นประโยชน์กับสังฆะ ประโยชน์กับสงฆ์ ประโยชน์กับโลก ศาสนสงเคราะห์ ศาสนาสงเคราะห์เขา เวลาสงเคราะห์นี่สงเคราะห์เป็นวัตถุไง 

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการรื้อสัตว์ขนสัตว์ นั่นน่ะสงเคราะห์ ศาสนสงเคราะห์มันรื้อภพรื้อชาติ มันรื้อหัวใจ หัวใจอันนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ไอ้นี่ไม่ได้สิ่งศาสนสงเคราะห์มา มันก็ได้บำรุงร่างกาย บำรุงชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ธรรมะ ธรรมโอสถที่มันไปรื้อค้น ธรรมโอสถที่มันไปแผดเผา ธรรมโอสถที่พลิกแพลงในใจอันนี้ นี่หน้าที่ของพระๆ นะ 

หน้าที่ทางโลกของเขา ดูสิ เวลาพุทธในทะเบียนบ้าน เห็นไหม ไปวัดไปวานี่มันก็ไม่มีเวลา งานการก็ล้นมือไปหมด ความรับผิดชอบชีวิตนี้ไม่มีเวลาพอเลย นั้นน่ะเขาอยู่ทางโลกของเขา เขาไม่มีโอกาสของเขา เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชแล้วนะ เราได้ละทิ้งหน้าที่การงานอย่างนั้นมาแล้ว หน้าที่การงานอย่างนั้น ความเป็นอยู่ๆ มันเป็นโดยกิเลสไง ห่วงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เทียมหน้าเทียมตาเขา มันจะไปเทียมหน้าเทียมอะไรกิเลสทั้งนั้นนะ แข่งดีแข่งชั่ว เอาความชั่วมาแข่งกัน มันไปแข่งกับเขาทำไม

ใครจะแข่งขันกันก็เรื่องของเขา เราเข้าทางจงกรม พอมีที่หลีกเร้นคลุมหัวพอแล้ว ที่ไหนเขาก็ทำกันมันจะวิจิตรพิสดารขนาดไหน มันวิจิตรพิสดารขึ้นมาแล้ว แล้วก็ติดพันกัน ของกูๆ นะ มันมีอะไรเป็นของกูสักอย่างไหม มันมีอะไรเป็นความจริงอย่างนั้น ไม่เห็นมีอะไรเป็นความจริงเลย แล้วถ้าเป็นความจริงๆ ก็ไม่ทำ ความจริงก็ไม่เอาขึ้นมา เห็นไหม นี่กิเลสมันโฉบบินจิกกินหัวใจเราตลอด มีแต่ปากเหยี่ยวปากกาอันตรายมาก ชีวิตนี้สั้นนักนะ

ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปๆ หมดไปแล้ว แล้วผู้ที่มาใหม่ๆ ก็อ่อนแอทั้งนั้น มาใหม่ไม่มีวุฒิภาวะอะไร เอาจริงเอาจังมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีวุฒิภาวะเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันจะมีจุดยืนนะ ทำสิ่งใดจะเปรียบเทียบเลย ดูสิ เวลาหลวงตาท่านวางหลักการไว้ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านทำทั้งชีวิตนะ มันไม่มีการเก็บสถิติสิ่งใดไว้ เวลาท่านพูดกับหลวงตา "เราทำความดีมามากพอสมควร ใครเห็นความดีอันนี้บ้าง" หลวงตายกมือเลย เห็นอยู่ครับ เออ แล้วไม่จดจารึกอะไรไว้บ้างล่ะ ตอนนี้งานส่วนตัวยังไม่จบครับ เออ เอางานส่วนตัวให้จบก่อน

พองานส่วนตัวจบเสร็จแล้ว เวลาทำสิ่งใดขึ้นมาเป็นธรรมไง เป็นธรรมหมายความว่า ไม่มีมารยาสาไถย ในประวัติหลวงปู่มั่น ในปฏิปทาพระกรรมฐาน นั่นล่ะวางหลักของการปฏิบัติไว้ ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติโดยที่ขาดแคลนครูบาอาจารย์ ศึกษาได้ ค้นคว้าได้ เวลาค้นคว้าในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกมันเป็นภาษาบาลี ภาษาบาลีภาษาที่มันลึกซึ้ง ภาษาที่เราเข้าใจได้ยาก เวลามันต้องตีความๆ เราถอดมาเป็นภาษาไทย แล้วถอดเป็นภาษาไทยแล้วใครเป็นคนถอดล่ะ 

แต่เวลาประวัติหลวงปู่มั่น เห็นไหม ปฏิปทากรรมฐาน ผู้ที่จดจารึก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามหลวงปู่มั่นแล้วได้ผลตามนั้นไง หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนชี้นำเป็นคนบอก แล้วหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้ผลตามนั้นน่ะ ถ้าได้ผลตามนั้นมันซาบซึ้ง สิ่งนั้นนะจดจารึกไว้ๆ นี่เป็นปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน ถ้าไม่มีสิ่งใดเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราก็เทียบเคียง มันจะจริงอย่างนั้นหรือไม่ 

เวลาปฏิบัติไปแล้วเราก็เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น กิเลสมันโฉบมันเฉี่ยวมันเป็นเหยี่ยว เห็นไหม มันโฉบหัวใจของเรานะ มันกัดมันกินในหัวใจของเรา แล้วกาลเวลาก็กัดกินไปอีก กิเลสมันก็ทำลายไปอีก นี่เวลาทำไปแล้วกิเลสก็บังเงาอีก เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัตินี่สุดยอดๆ ไง เวลาพระผู้ที่เห็นแก่ตัวๆ นี่มีความรู้ดีเด่น มีความรู้เหนือหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นคนยกย่องสรรเสริญเชิดชูบูชา นั่นแหละกิเลสมันกลืนกินไปทั้งหัวใจแล้ว 

เวลาเราสวดมนต์เมื่อกี้นี้ไง นอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่มีคุณธรรมไม่นอบน้อมต่อครูบาอาจารย์ของตน ไม่นอบน้อมนี่ พระอานนท์เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เวลาที่ไหนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคยประทับนั่งอยู่ ที่ดำรงชีพอยู่ ท่านจะทำรักษา ทำประพฤติตนเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่เลยล่ะ ไม่ก้าวล่วงเลยนะ เคารพบูชา แม้สิ่งเหลือเศษนะ เหลือเศษที่ท่านเคยใช้นี่ เคารพบูชากันมาก 

นี่ก็เหมือนกัน หลวงตาเวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นคนสั่งสอนเอง หลวงปู่มั่นเป็นคนชี้นำเอง หลวงปู่มั่นเป็นคนจัดการเอง แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติตามความจริงของท่าน เวลามันขึ้นมามันสันทิฏฐิโก มันกังวานกลางหัวใจ มันเปิดวางหัวใจ โอ้โฮๆ สิ่งนี้มันจะเคารพบูชาหรือไม่ ความเคารพบูชาอย่างนั้นเป็นความจริง 

ไอ้กิเลสมันโฉบเฉี่ยวในหัวใจของสัตว์โลก ในหัวใจของผู้ที่อ้างตน วัดรอยเท้าไง มันต่างกัน พฤติกรรมมันต่างกัน ความเห็นมันต่างกัน พอมันต่างกันมันฟ้อง มันฟ้องถึงว่าจริงเหรอ นี่มันฟ้องจริงๆ เหรอ เราก็ย้อนกลับมาที่เรานี่ไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าสิ่งใดมันกังวล สิ่งใดที่มันไม่แน่ใจไง ลองดูสิ เปิดดูสิว่าหลวงปู่มั่นท่านสั่งไว้อย่างไร แล้วท่านสอนไว้อย่างไร แล้วลูกศิษย์ลูกหาที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีแง่มุมอย่างใด พอแง่มุมขึ้นมา มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของคนไง ถ้าอำนาจวาสนาบารมีของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกันใช่ไหม เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นมาโดยดีเอ็นเอ วิสัยทัศน์ เวลาเกิดเกิดจากกิเลส เกิดจากอวิชชาไง มันแสดงเต็มล่ะ

แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยการชี้นำของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันปราบปรามได้ไหม มันสกัดกั้นได้ไหม มันสกัดกั้นไอ้ที่มันท่วมท้นในหัวใจนั้นได้ไหม สิ่งที่มันท่วมท้นในหัวใจถ้ามันสกัดกั้นได้ เห็นไหม สิ่งที่มันมีหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธนี่ นั่นน่ะมันจะเป็นสัมมาสมาธิไง ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ นั่นล่ะพุทธะ ผู้รู้ไง คนตายทำงานไม่ได้ คนตาย คนสลบไสลไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น คนที่จะทำงานได้ต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ไง 

เวลาสติมันสมบูรณ์ขึ้นมา นั่นนะเวลามันสัมมาสมาธินะ ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม ถ้ามันประพฤติปฏิบัติแล้วความเป็นจริงมีสติมีปัญญาขึ้นมา สามารถสำรวจ สามารถครอบครองสามารถดูแลหัวใจของตนได้ นั่นไง แล้วมาเทียบเคียงๆ ถ้าเราทำไม่ได้ มันเป็นจริงๆ มันทำได้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะหลอกกันได้อย่างไง มันหลอกกันไม่ได้นะ มันจะมาเจ้าเล่ห์แสนงอนอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าเล่ห์แสนงอนมันก็เป็นพระ พระเจ้าเล่ห์นั่นไง อาศัยอยู่กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นคนชี้นำเป็นอาจารย์ เวลาอาจารย์ขึ้นมาแต่พฤติกรรมที่แสดงออกมันเหนืออาจารย์มัน เพราะเวลาเรานอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเราไม่กล้าข้าวล่วง

นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตประจำวันในการกระทำของหลวงปู่มั่น ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน มันไม่มีหรอกที่จะส่งเสริมขึ้นมาให้เป็นการตลาด เวลาปฏิบัติขึ้นมามันแสนยาก พอแสนยาก ขึ้นมาแล้วนี่ เห็นไหม ธรรมและวินัย มันแสนยากขึ้นมาแล้วนี่มันเป็นแบบว่าเป็นแบบอย่าง พอเป็นแบบอย่างนะ อาจารย์ที่เป็นแบบอย่างท่านจะทำอย่างนั้นเหรอ ท่านจะส่งเสริมกันอย่างนั้นเหรอ ไม่มี ไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้

ถ้ามันเป็นจริงๆ ให้มันเป็นจริงขึ้นมาก่อน ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันอยู่ที่วาสนาของคนไง ถ้าวาสนาของลูกศิษย์ลูกหาที่มันเป็นไปอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นมันก็เป็นธรรม เป็นธรรมเพราะใจมันเป็นธรรมแล้ว เห็นไหม ใจที่เป็นธรรม จับขี้มันก็จะเป็นประโยชน์เลย ใจที่มันเป็นกิเลสนะ เหยี่ยวมันโฉบเฉี่ยวกินหมดแล้วนี่ ไปจับเพชรมันยังเสียหายเลย ไปจับเพชรเลยกลายเป็นเพชรไม่มีค่า เป็นทุจริต เป็นสิ่งที่สร้างบาปกรรมทั้งนั้นนะ 

แต่ใจที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม แม้แต่ขี้เขาใส่ปุ๋ย เขาเอาไปใส่ต้นไม้มันออกดอกออกผลเป็นประโยชน์ไปหมดเลย ถ้าใจที่มันดีนะจับขี้มันยังเป็นเพชรเลย ถ้าใจมันเลวจับเพชรมันยังกลายเป็นขี้ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ทำลายเขาไปทั่วนี่ ถ้ามันเป็นธรรมแล้วถ้าใจมันเป็นธรรมแล้ว ถ้ามันเป็นธรรมจริง เห็นไหมเป็นธรรมจริงมันไม่ต้องอ้างหรอกว่าครูบาอาจารย์สั่งไว้อย่างนู้นสั่งไว้อย่างนี้ ไม่มี มันอยู่ที่การวินิจฉัย วินิจฉัยในปัจจุบันนี้ไง

กาลเวลามันล่วงเลยล่วงไปนะ เห็นไหม ดูสิ ชีวิตเรามันก็แค่ฟ้าแลบ ชีวิตมันต่อไปอนาคต นี่เรานอนใจกัน๑๐ ปี ๒๐ ปีไงพรรษามากขึ้นเรื่อยๆ ไง แล้วพรรษามากขึ้นๆ แล้วเรามีภูมิรู้ไหม มีความจริงไหมถ้ามีความจริงขึ้นมา เราทำขึ้นมาสิ เราทำของเราขึ้นมา ถ้ามันทำขึ้นมาไม่ได้มันทำขึ้นมาไม่ได้ เราก็ฝึกหัดขึ้นมา ไอ้การฝึกหัดนั้น นั่นล่ะวิธีการเราได้ทำมา เราก็ได้ประสบการณ์แค่นั้น

เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมานะ เวลาเราทุกข์เรายากทุกข์ยากทั้งนั้นเวลาคนไปปฏิบัติไอ้ที่ว่าง่ายๆ มันง่ายๆอย่างไร แล้วที่มันทุกข์มันยากขึ้นมาแล้วจิตมันสงบมันสงบอย่างไร เวลาจิตมันสงบขึ้นไปแล้ว ความรู้ในความสงบนั้นเป็นอย่างไรแล้วความสงบนั้นยกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาเกิดปัญญาปัญญาเป็นอย่างไร แล้วเกิดปัญญา นี่ด้วยเหตุด้วยผลด้วยข้อเท็จจริงอันนี้ไง ถ้าอันนี้เป็นข้อเท็จจริง 

นี่งานของพระ งานของนักบวชงานของนักพรตงานของพรหมจรรย์ อยู่องค์เดียวก็มีความสุข เห็นไหม วิหารธรรมๆ อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ ถ้ามันเป็นความจริง นี่ใจที่มันสำเร็จแล้วอยู่กับขี้มันก็เป็นดอกเป็นผลเป็นคุณงามความดีหมดเลย อยู่กับขี้ แต่ถ้าใจมันไม่มีอะไรไปอยู่กับเพชร เพชรนิลจินดาทั้งนั้นเวลาคุณหญิงคุณนายมานะโอ้โฮ เพชรนิลจินดาแพรวพราว นั่นนะอยู่กับเพชรใจมันเป็นขี้ ขี้หลอก ขี้ลวง ขี้ฉ้อขี้ฉล มันไม่มีความจริงเลยถ้ามันเป็นความจริงเราอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่อย่างไรก็ได้ ขอให้มันเป็นความจริงขึ้นมาถ้าความจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ปากเหยี่ยวปากกา เราจะบอกเลยนะปากเหยี่ยวปากกา ชีวิตของเราอยู่กับปากเหยี่ยวปากกาทั้งนั้นนะอยู่กับปากเหยี่ยวปากกาด้วยมัจจุราชพญามัจจุราชมันเอาไปหมดทุกชีวิต 

แต่ถ้าเราพ้นจากกิเลสไปแล้วพญามัจจุราชแสดงตัวไม่ได้พญามัจจุราชไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่อยู่ในขอบเขตของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใจที่เป็นธรรมได้ ใจที่เป็นธรรมพ้นจากวัฏฏะอยู่เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือทุกอย่างเลยแล้วจะมีสิ่งใดมาราวี มาควบคุม ไม่มีแต่ของเรายังวิตกกังวลนี่มัจจุราชหัวเราะเยาะ นั้นล่ะทางของเขาทั้งนั้น 

นี่ไง ถ้ามันพ้นปากเหยี่ยวปากกาไปแล้วนะจบนะ ถ้ามันไม่พ้นจากปากเหยี่ยวปากกานี่อย่า อย่าชะล่าใจ อย่านอนใจขวนขวายมีการกระทำให้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกาให้ได้ ถ้าพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาไปแล้วนะ สบาย พ้นจากปากเหยี่ยวไปแล้ว จบ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ได้ทุกที่เพราะมันพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาไปหมดแล้ว มีสิ่งใดจะมีคุณค่าไปกว่าหัวใจดวงนั้น นี่ธรรมธาตุๆ 

สิ่งใดพอสมมุติแล้วมันมีที่มีทาง พอสมมุติแล้วมันโต้แย้งทั้งนั้นนะแต่ถ้าใจมันเป็นจริงเป็นจริงในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นๆ แล้วใจเราล่ะ 

ใจของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะใจของเรานี่ พูดว่าจะเป็นสากลเห็นไหม มันเวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏฏะมามหาศาล แต่เราเกิดมาในชาตินี้ไง พ่อแม่ได้จดทะเบียนไว้ ชื่อสิ่งใดอยู่ที่กรมการปกครอง เวลาตายแล้ว เห็นไหม คนตายต้องจำหน่ายภายใน ๗ วันน่ะ ไม่อย่างนั้นผิดกฎหมายมันเป็นสมมุติครอบคลุมไว้ด้วยทะเบียนบ้าน ครอบคลุมไว้ด้วยสารระบบ

แต่ใจดวงนั้นล่ะ ถ้าใจดวงนั้น ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ นี่ไงที่ว่าเป็นสากล ถ้ามีปัญญาขึ้นมามันเป็นมรรคเป็นผลกับใจดวงนั้น แล้วใครเป็นคนบอก นี่ไงเราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง เรานอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะไสยศาสตร์ ดูสิตอนนี้เข้าผีกันน่ะ ทรงเจ้ากันน่ะ แม้แต่พระยังทำเลย นั่นนะทุศีลทั้งนั้นเลย สีลัพพตปรามาส ห่างไกลจากศาสนาแม้แต่ห่มผ้าเหลืองแท้ๆ เลยแต่อยู่ห่างไกลศาสนา ดูสิแม้แต่ฆราวาสญาติโยมเขาถ้าเขามีศีลมีธรรมของเขาเขาปฏิบัติของเขา เขายังใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่าเรา

แต่ถ้าเราทำของเรา หายใจเข้านึกพุธ หายใจออกโธ เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจ พุทธะ นี่จิตใจมีคุณค่าอย่างนั้น ถ้าพุทธะมันเกิดที่นี่ไง เวลามันเกิดขึ้นมา พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงที่ใจ หลวงตาท่านพูดประจำ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงที่ใจ แล้วมันกังวานกลางหัวใจ โลกธาตุนี่ไหวหมดเลย หักเรือนยอดของวัฏฏะ! หักเรือนยอดของมัน หักแล้ว จบแล้ว กราบแล้วกราบเล่าๆ นี่พ้นจากวัฏฏะ ถ้าพ้นจากวัฏฏะ พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา

เรานี่เรายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่นะ เราก็มองแต่มรณภัย แต่มรณภัยมันคืออะไรล่ะ นี่สมมุติเหมือนเหยี่ยวเหมือนกามันโฉบเฉี่ยวแมลง เราก็เป็นแค่ผลของวัฏฏะ เป็นเหยื่อของเหยี่ยวของกา แล้วก็ให้มันโฉบเฉี่ยวไปเลี้ยงลูกมันไง ลูกมันอ้าปากรออยู่ มันโฉบเฉี่ยวแมลงมาแล้วไปยัดใส่ปากลูกมัน ไอ้เราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันก็ไม่พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา 

เรามีสติมีปัญญานะ นี่จะเข้าพรรษาอีกแล้ว ตั้งสติปัญญาของเรา มีสิ่งใดที่เราจะถือสัจจะ เราจะถือสัจจะข้อไหน เพื่อจะเอาชนะตนเอง เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เราจะต้องสร้างสมขึ้นมาให้หัวใจเราเข้มแข็งขึ้นมา ให้หัวใจเข้มแข็ง สมบัติของพระ พระไม่ทรงธรรมทรงวินัยใครจะทรง เอวัง