เทศน์พระ

ละเลย

๘ ก.ค. ๒๕๖o

 

ละเลย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาล่ะ ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะเพราะวันนี้วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา พรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาเป็นวันพระ พระที่จะเริ่มอธิษฐานพรรษา อธิษฐานพรรษาเพื่อว่า เพื่อเข้มงวดกับตัวเอง เวลาออกพรรษาแล้ว ใครปฏิบัติในพรรษามีเหตุการณ์ขัดข้องหมองใจ มีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง ออกพรรษาแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แก้ไขในการประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเราว่าขาดตกบกพร่องอย่างใด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ไขแล้ว เข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อไปดัดแปลง ฝึกหัดดัดแปลงตน เราดัดแปลงตนเสร็จแล้ว เห็นไหม พยายามแก้ไขของตน ถ้ายังสงสัยอยู่ก็จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ไข ให้แก้ไขตลอด ผู้ที่ใฝ่ดี

ผู้ที่ไม่ใฝ่ดีเวลาเข้าไปแล้ว ดูสิ ในสมัยพุทธกาล พระที่ธุดงค์ไป ไปเจอพระเห็นไหม รับมหากหาปณะ แล้วพระที่ธุดงค์ไปๆ มันพยายามจะยัดเยียดให้รับ ไม่ยอมรับ เขาข่มขู่ ข่มขู่นะ ข่มขู่เสร็จแล้วไปบิณฑบาต มันมีฆราวาสที่เขาเป็นธรรมๆ เขานิมนต์ไปฉันในบ้านเขา เพราะบิณฑบาตไม่มีใครให้เลย เพราะอะไร เพราะว่าเขาเข้ากับพระพวกนั้น พระพวกนั้น เวลาเขาบิณฑบาตไม่ได้ โยมที่เขาฉลาดเขาเห็น เขานิมนต์เข้าไปในบ้านแล้วก็ถวายจังหัน แล้วให้ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระที่นี่เขารับมหากหาปณะกัน เวลาเขาธุดงค์ของเขาไป เขาเจอสภาวะแบบนั้น แล้วเวลามีปัญหาขึ้นมา ถ้ามีปัญหาทั้งนั้น ถ้ามีปัญหาทั้งนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติสังคมมันเรียวแหลมไปเรื่อยๆ

นี่เหมือนกัน เราอยู่กับสังคมๆ เราบวชมาเป็นพระเห็นไหม ถ้าบวชเป็นพระ วันนี้วันอาสาฬหบูชา วันสำคัญในพุทธศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร แสดงธรรมจักรเป็นการยืนยันไง สัจธรรมไง ถ้าสัจธรรม ธรรมะ จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ไม่มีใครสามารถย้อนดึงกลับมาได้ เคลื่อนแล้วเพราะอะไร เพราะได้ฆ่ากิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทำความมหัศจรรย์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยวิมุตติสุขแล้ว มันสำคัญตรงนั้นไง สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศความจริงไง ประกาศความจริงตั้งแต่วันวิสาขบูชาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วเสวยวิมุตติสุขๆ

เวลาถึงที่สุดแล้ว วันนี้วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร แสดงธรรมจักรประกาศสัจธรรมไง สัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สัจธรรมความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีการที่มันจะเป็นไป เรื่องมรรค เรื่องอาสวักขยญาณในสัจจะความจริงอันที่เกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นเหตุไง เป็นเหตุที่ขึ้นมานี่ สัจธรรมอันนี้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าค้นหามาไง แล้วธรรมจักรนี้มรรคญาณอันนี้มันไปทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไงเวลามันเกิดนิโรธ นิโรธคือรู้แจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้แจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สัจจะความจริงอันนี้มันสำคัญ สำคัญที่ผู้รู้แจ้ง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วแสดงธรรมๆ จะต้องมีธรรมและวินัยนี่ไง สาวกสาวกะผู้ได้ยินได้ฟังของเรา เราจะได้พยายามฝึกฝนของเราขึ้นมาไง ถ้าเราฝึกฝนของเราขึ้นมา ทำได้ตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะประกาศเห็นไหม เป็นสันทิฐิฏโกในหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา นี่วันอาสาฬหบูชามันสำคัญ สำคัญอย่างนี้

เพราะมันเป็นวันสำคัญ เราบวชมา เราเป็นศาสนทายาท เราเป็นพุทธชิโนรส บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องมีสติมีปัญญา เราต้องขวนขวาย เราต้องตั้งใจของเราไง ถ้าความตั้งใจของเรานะ ทางโลก ทางโลกมันมีปัญหากัน มันมีปัญหาเพราะความประมาทเลินเล่อ กับความละเลยไม่กระทำ ผู้ที่มีหน้าที่แล้วละเลยปล่อยวาง มันถึงเกิดความเหลวแหลกในสังคมไง ถ้าในสังคมผู้ที่เขามีหน้าที่ของเขา เขาไม่ละเลยของเขานะ เขาทำตามหน้าที่ของเขา แล้วทำหน้าที่ของเขา เวลาทำหน้าที่ของเขามีอิทธิพลบีบคั้นเขา เขาก็ลู่ตามลมนั่น มันปล่อยปละละเลยกันไง เพราะความละเลยอันนั้น เห็นไหม สังคมถึงได้เหลวแหลก

อันนี้มันเป็นเจตนาของเรานะ มันเป็นเจตนาของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดมาพบพุทธศาสนาเห็นไหม เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ แล้วบวชเป็นพระ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยๆ กฎหมายที่บังคับสังคมๆ รอนสิทธิ์ของคนอื่นเพื่อความสงบร่มเย็นของสังคม เพื่อความอยู่เป็นสุขๆ ไง ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเป็นจริงของเราไง เราละเลยกันเอง เราปล่อยปละละเลยกันเอง ความเหลวแหลกสังคมที่มันเป็นไป ก็เพราะความที่เขาปล่อยปละละเลยกัน ผู้ที่มีหน้าที่แล้วไม่ทำตามหน้าที่

แล้วเราบวชๆ เป็นพระ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นนักรบ ถ้านักรบเห็นไหม ที่มันเหลวแหลกกันอยู่นี่ ที่มันไม่เป็นชิ้นเป็นอันกันอยู่นี่ เขาปล่อยปละละเลยไง นี่ตามแต่กิเลสไง กิเลสในหัวใจมันฟูขึ้นมา กิเลสในหัวใจของเรามันเรียกร้องสิ่งใดขึ้นมา ตามไปหมดเลย แล้วเวลาผู้ที่มีปัญญาเห็นไหม ปัญญาๆ กิเลสบังเงา กิเลสบังเงานะ อ้างธรรมะทั้งนั้น เอาธรรมะเป็นหน้าฉากไว้ เบื้องหลังมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เอาแต่ธรรมะมาบังหน้าไว้ๆ ไง

นี่ไง ถ้าเราปล่อยปละละเลยมาจนป่านนี้ เราต้องมีสติแล้ว แล้วถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม พรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าพรรษา พรุ่งนี้ถ้าพูดถึงอธิษฐานพรรษา ใครจะมุมานะอย่างใด ใครจะมีสติสัมปชัญญะยังไง ใครจะเห็นโทษของวัฏฏะ ใครจะเห็นโทษของสังคมที่มันเหลวแหลกกันอยู่อย่างนี้ไง แล้วเราก็จะมาเหลวแหลกอยู่อย่างนี้ใช่ไหม เราก็จะปล่อยปละละเลยให้มันเรียวแหลมไปใช่ไหม แล้วโอกาสของเราจะมีเมื่อไรล่ะ

นี่ไง เวลานี่เห็นไหม ประวัติหลวงปู่มั่นๆ สมัยสงครามโลกๆ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาขาดแคลนกันทั้งนั้นนะ สมัยนั้นประชากรก็น้อย ศรัทธาความเชื่อของเขามันความเชื่อแบบชาวบ้าน ถ้าประพฤติปฏิบัติจริงจังขึ้นมาเขาก็หาว่าเป็นเสือเย็น เป็นผีเป็นเปรตไปนู่น เพราะอะไร เพราะว่าวุฒิภาวะสังคมมันต่ำต้อยไง ต่ำต้อยเพราะอะไร เพราะสังคมมันเหลวแหลกกันไง ปล่อยปละละเลยกันมาจนเต็มที่ไง

เห็นไหม ดูสิ พระจอมเกล้าฯ ที่พยายามขวนขวายจะเอาความจริงขึ้นมาในใจของท่าน ท่านขวนขวายของท่านเอง เวลาความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาปฏิบัติขึ้นมาให้มันรู้แจ้งในใจ ถ้ารู้แจ้งในใจขึ้นมา สิ่งที่มันรู้แจ้งขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติมันมีคุณค่า มีคุณค่าสำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าไง ไม่ใช่ไก่ได้พลอย ได้พลอยมาเม็ดหนึ่งไม่เอา อยากจะได้ข้าวสารข้าวสุกเท่านั้น ไม่เห็นความสำคัญของมันเลย นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติมานะ ในวัฒนธรรมของชาวพุทธ กราบพระพุทธคือตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธรูป กราบพระธรรมก็ตู้พระไตรปิฎก กราบพระสงฆ์ก็ลูกชาวบ้าน มันก็ได้แค่นั้น มันก็อยู่กันด้วยวัฒนธรรมประเพณีไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมาขวนขวายของท่านๆ มาทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ อยู่ในที่สงัด อยู่ในที่วิเวก กายวิเวก จิตวิเวก ถ้าวิเวกขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความจริง ถ้าความจริงขึ้นมามันไม่ปล่อยปละละเลยตัวเองไง ถ้ามันปล่อยปละละเลยตัวเราเอง เพราะมันปล่อยปละละเลยมันถึงเหลวแหลกไง เพราะความเหลวแหลกอันนั้นไง ไม่มีสติปัญญาดูแลหัวใจของตนทั้งนั้น ปล่อยมันตามแต่กิเลสมันจะมีอำนาจ แล้วปล่อยกิเลสมีอำนาจ นี่สังคมๆ ของชาวพุทธไง

ดูสิ ปู่ย่าตายายของเราเป็นผู้ที่ฉลาด เลือกนับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประจำชาติขึ้นมาก็เป็นหน้าที่ หน้าที่ของโยมเขาต้องขวนขวายมาเพื่อเราใช่ไหม เขาเป็นหนี้เราตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครเขาเป็นหนี้เราเลย มันเป็นความสมัครใจของเขา มันเป็นความสมัครใจของเขา มันเป็นความเห็นบุญเห็นคุณของเขา เขาแสวงหาของเขา มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปขูดรีดกับเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่ใช่หน้าที่อะไรของเรา แล้วไม่ใช่หน้าที่ของเรา ดูครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิ หลวงตาเวลาท่านออกวิเวก หาบ้านน้อยๆ สามหลังสี่หลังพอ ถ้ามากๆ กว่านั้นเขามากวนๆ

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านออกประพฤติปฏิบัติท่านจะหาที่สงบสงัดเลย หาที่มันมีโอกาสได้ปฏิบัติไง ไม่ไปหาที่บ้านใหญ่ บ้านใหญ่บ้านน้อย บ้านใหญ่บ้านโต เขาก็ต้องมาส่งมาเสีย เดี๋ยวก็น้ำปานะ เดี๋ยวก็เป็นห่วงเป็นใย เดี๋ยวก็มาดูแล คนที่เขาเอาจริงเอาจังเขาไม่สนใจเรื่องอย่างนี้หรอก เขาสนใจหัวใจนี่มันสงบระงับหรือไม่ แล้วทำให้มันเป็นตามความเป็นจริงของเรา เพราะ เพราะทำอยู่เบื้องหลังไง เบื้องหลังเราอยู่ในป่าในเขาใครจะมาเห็นกับเรา ไม่มีหรอก มีเทวดาอินทร์พรหมเท่านั้น เทวดาอินทร์พรหมเขารู้เขาเห็นของเขา

ดูสิ หลวงปู่ชอบอยู่ในป่าอดอาหารเห็นไหม เทวดาจะเอาอาหารทิพย์มาถูร่างกายเข้าไปนั่นน่ะ นั่นก็เป็นบุญกุศลของท่าน ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ไอ้คนที่ไม่เชื่อมันก็เรื่องของเขา ไอ้คนที่เชื่อไม่เชื่อนี่มันเป็นสิทธิ์ สิทธิ์ของใครก็ประชาธิปไตยก็เรื่องของเขา แต่ความปล่อยปละละเลยของเรา ความปล่อยปละละเลยของเรา เราปล่อยปละละเลยของใจเราให้มันดื้อด้าน ปล่อยปละละเลยไปไง แล้วก็อยู่ในสังคมที่เขายกย่องสรรเสริญ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากมีลาภ อยากมีสักการะ อยากให้เขานับหน้าถือตา อยากให้เขาให้มีชื่อเสียง เอ็งมีอะไร เอ็งมีสิทธิอะไร ก็มนุษย์เหมือนกัน มนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสังคมชาวพุทธไง

สังคมชาวพุทธเขามีศรัทธา เขามีความเชื่อของเขา มันเป็นอำนาจวาสนาของเขา เวลาคนที่เขาไม่เชื่อไม่ศรัทธา เขาดูถูกเหยียดหยามมากนะ พวกที่มาบวชๆ พวกนี้พวกสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีปัญญาจะทำมาหากินแล้วมาบวช เวลาคนที่เห็นเขามาบวชที่มีศักยภาพ เขาก็ยกย่องสรรเสริญ ดูสังคมไทยสิ เห็นพระฝรั่งนี่ตื่นเต้น เห็นพระฝรั่งก็ตื่นเต้นๆ อู้หู มันมหัศจรรย์ ก็คนเหมือนกัน เขามาแล้วมันต่างวัฒนธรรมอีกด้วย เวลาดูถูกดูแคลนก็ดูถูกดูแคลน คนที่เขาดูถูกดูแคลนก็มี ไอ้นี่มันผลของวัฏฏะ เราไม่ได้ไปเพ่งโทษใครนะ ไอ้ผลของวัฏฏะคือว่าทัศนคติของคน นี่ไงนี่เวรกรรมของคน

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระเทวทัตสิ เริ่มต้นมาตั้งแต่เป็นเพื่อนกัน ไปขายของเด็กเล่นด้วยกัน เป็นพ่อค้าเร่ด้วยกัน อีกคนหนึ่งจะไปโกงเอาทองเขา เวลาเห็นถาดทองเขาแล้วก็ตีราคาให้เขาต่ำๆ แล้วก็ไปข้างหน้าก่อนเดี๋ยวจะกลับมาเอา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อู้หูย นี่ทองคำนะ ค่ามันมหาศาล”

“อู๊ย ไม่เป็นไรหรอก หลานมันอยากได้ แลกมาให้หลานได้ เชี่ยนหมากนั่นมันเป็นทองคำ” ท่านบอกว่า “โอ้โห เชี่ยนหมากนั่น ของที่เอามามันยังไม่คุ้มค่า”

“เอาเถอะ ให้” ให้ไป แลกมา เทวทัตกลับมาไม่ได้ อาฆาตมาดร้าย กำทรายขึ้นมาเลยนะ จะอาฆาตกันทุกภพทุกชาติ เป็นอะไรกันมาเนี่ย เป็นเพื่อนกันมา เป็นเพื่อนกันมาแท้ๆ เป็นพ่อค้ามาด้วยกัน แต่เวลามีผลประโยชน์น่ะแบ่งแยกเลย แล้วอาฆาตมาดร้ายมาทุกภพทุกชาติเห็นไหม แล้วเวลาเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มีเวรมีกรรมกันมาตลอด ตั้งแต่พระเวสสันดรกับชูชก แล้วมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเทวทัต นี่ไงผลของวัฏฏะ

ฉะนั้นเวลาโยมที่เขามีความเห็น ที่เขาติฉินนินทา โยมที่เขามีความเห็น เขาดูถูกดูแคลนนั่น ไอ้นั่นก็ผลของวัฏฏะ เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขามาอย่างนั้น เขามีมุมมองอย่างนั้น เขามีทัศนคติอย่างนั้น เราไม่ไปจับผิดเขาหรอก แต่มันมีอยู่ในสังคมไง มันมีอยู่ แล้วเขาเพ่งโทษอย่างนั้น ถ้ามันมีอยู่แล้วเพ่งโทษอย่างนั้น แล้วเราจะทำตัวให้ไปส่งเสริม ไปทำให้ไปสะดุดใจเขาไหม ไปสะดุดใจของเขา ไปเพิ่มความติฉินนินทา เพิ่มสิ่งที่เขาผูกในใจ ปมในใจของเขา เราจะไปทำอย่างนั้นเหรอ

สัพเพ สัตตานะ สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด ผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่มีความเห็นเป็นบวก ผู้ที่มีความเห็นดีก็ขอให้มีความสุข ขอให้มีการประพฤติปฏิบัติ ขอให้เจริญงอกงามขึ้นไป ผู้ที่มีความเห็นลบ ผู้ที่ติฉินนินทา ผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก มองอย่างนั้นสภาพนั้นก็ขอให้มีความเห็นทัศนคติเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเขามีบุญกุศลของเขา สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าไปกว้านเอาพิษเอาภัยมาใส่ตัวเลย ผู้ที่ทำคุณงามความดีก็ขอให้ไปเอามรรคเอาผลเข้ามาใส่ในหัวใจของตน

นี่ไง สัพเพ สัตตา เราไม่ได้ไปเพ่งโทษใครทั้งสิ้น แต่มันมีอยู่ในสังคม ผลของวัฏฏะ ใจของคนต่ำมันต่ำช้าเลย ใจของคนสูงสิ ดูครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการเห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาใจมันสิ้นไปแล้ว นี่จับขี้ก็มีคุณค่า กำขี้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าใจมันเป็นธรรมแล้ว ถ้าใจมันเป็นกิเลส จับทองคำอยู่ยังเป็นขี้เลย กำทองคำ กำเพชรนิลจินดา ก็จะฉ้อโกงเขา จะคอยเม้มของเขา นี่ไง ถ้าจิตใจมันเป็นกิเลส มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น ถ้าจิตใจมันเป็นธรรม กำขี้มันยังเป็นธรรมเลย กำขี้ยังเป็นประโยชน์เลย นี่ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมนะ เราถึงจะต้องไม่ปล่อยปละละเลยหัวใจของเราไง มันจะมีคุณค่าไง

ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนามันต้องตื่นตัว แล้วเวลาจะเข้าพรรษา จะเข้าพรรษา เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เธอทำอะไรกันอยู่ วันคืนล่วงไปๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเรามันก็ชราภาพไปทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะมีคุณวุฒิมากน้อยแค่ไหน มันก็เป็นคุณธรรมของท่าน สาธุ ครูบาอาจารย์มีคุณธรรมในหัวใจ สาธุเลย เป็นผลของความมุมานะบากบั่นของท่านมา องค์ไหนจะมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ความมุมานะบากบั่นของท่าน อยู่ที่ปัญญาของท่าน อยู่ที่ทัศนคติมุมมองที่ประเสริฐอันนั้น มันถึงได้ขวนขวายมาได้ผลอย่างนั้น สาธุ เป็นความสามารถของท่าน แล้วท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา

ถ้าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรานะ ถ้าจิตใจมันเป็นบวก มันเห็นสภาพแบบนั้นแล้วมันชื่นใจนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาที่เป็นธรรมๆ นะ เย็น เข้าไปเถอะ ยังไงก็เมตตา ด่าก็เมตตา ดุยังไงก็ชอบ ดุยังไง เออ ว่าใช้ได้หมด แต่ถ้าไปเจอกิเลสนะ ถ้าพูดนิ่มนวลอ่อนหวานก็ปอกลอก ถ้าจะดุจะด่ารึก็ข่มขี่ ไม่เป็นธรรมไปสักอย่าง เป็นกิเลสแสดงออกมาไง กิเลสทั้งนั้น เวลาเป็นธรรมขึ้นมาแสดงออกมายังไง โอ้โห มันพอใจ มันพออกพอใจ มันเป็นธรรมไปหมดเลยถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมก็เป็นธรรมจริงๆ เราแสวงหาแสวงหาอย่างนี้ เราแสวงขึ้นมาเราเปรียบเทียบในหัวใจของเรา

ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา อย่าปล่อยปละละเลย เพราะการละเลยใจของเราเองไง ใจละเลยกับข้อวัตรปฏิบัตินี้ไง เพราะเราละเลย พอละเลยขึ้นไปแล้ว เราก็จะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าเราไม่ละเลยนะ เพราะใจเป็นนามธรรม เห็นไหม นี่เครื่องอยู่ๆ นี่ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ ข้อวัตรปฏิบัติ นั่นข้อวัตรปฏิบัติทางโลก ทางโลก ดูสิ ในการทำข้อวัตรของเรา มันก็เหมือนเทศกิจ โอ๋ย บวชมาเหมือนเทศกิจเหรอ ไม่ใช่ บวชมาเพื่อทำข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อดูแลของของสงฆ์ ของของเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ ได้สิ่งนี้มา เขาถวายเป็นของของสงฆ์

คำว่าของของสงฆ์นะ กิจของสงฆ์ไง ของที่เขาให้มาเป็นส่วนกลาง ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ให้เป็นของส่วนกลางอยู่ในอารามที่พักของเรา เราจะใช้จะสอยจะทำอะไรต้องทำความสะอาด ต้องดูแลรักษาทั้งนั้น นี่ไง ถ้าใครใช้ของของสงฆ์แล้วปล่อยปละละเลย อาบัติปาจิตตีย์หมดเลย เอาหมอนเอามุ้งเอาอะไรไปใช้ เวลาเอามาคืนต้องซักต้องล้าง สิ่งที่เป็นตั่งเป็นเตียงเห็นไหม ยกไปใช้ไป แล้วเอากลับมาตั้งไว้ให้ปลวกมันขึ้น ดูสิ เวลาปลวกขึ้น เวลาทางโลกเขาเห็นไหม สิ่งนี้ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นปาจิตตีย์ ทำตกล่วง ไม่ได้ทำรักษาของของสงฆ์ เราพยายามทำให้มันรอบคอบที่สุดเพื่อรักษาอันนั้น มันเป็นหน้าที่ แต่ถ้ามันผิดมันพลั้งพลาดไป มันสุดวิสัย ความสุดวิสัยก็ปลงอาบัติ แต่ไม่ใช่เจตนาไปทำร้ายเขานะ

เวลาคนที่มันเป็นธรรมแล้วมุมมองมันเป็นอย่างหนึ่งเลย แต่ถ้ามันง่อยเปลี้ยเสียขา แตะไม่ได้เลย โน่นก็ผิด นี่ก็ผิด โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ง่อยเปลี้ยเสียขา มันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันเป็นจริงๆ มันทำได้ ทำได้ ด้วยเจตนามันไม่มี แล้วด้วยความเป็นจริงเห็นไหม ถ้าเราไม่ปล่อยปละละเลย ไม่ปล่อยปละละเลยเราก็จะเป็นพระโดยสมบูรณ์แบบนะ ถ้าเราปล่อยปละละเลย มันจะเป็นพระได้ยังไง

ดูสิ เด็กน้อยไล่กาได้ ไปบวชสามเณรได้ ไล่กาได้เพื่อประโยชน์เห็นไหม แค่ไล่กาที่มันมากินข้าว ภิกษุฉันอาหารแล้ว สิ่งที่เหลือแล้วตากไว้เพื่อประโยชน์ เวลานกกามา เด็กที่มันไล่กาได้ บวชเป็นสามเณรได้ แล้วเราจะบวช อายุจะบวชได้ต้องครบยี่สิบ พอยี่สิบแล้วบรรลุนิติภาวะ พอบวชมาแล้วไม่มีสติปัญญาเรื่องอย่างนี้เหรอ ถ้ามีสติปัญญาเรื่องอย่างนี้มันทำได้ ถ้ามันทำได้ มันไม่ปล่อยปละละเลย สิ่งใดไม่ปล่อยปละละเลย มันก็สมบูรณ์ในหัวใจ

หลวงตาท่านพูดบ่อย ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ เก็บเล็กผสมน้อยนะ เก็บเล็กผสมน้อยเพราะด้วยวาสนาของท่าน ด้วยอำนาจวาสนา เพราะอำนาจวาสนาอย่างนั้น เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังประจำ ไปอยู่ในความปกครองดูแลของท่าน ท่านคุ้มครองดูแลทั้งนั้น อยู่ที่ผู้ปฏิบัติได้หรือปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติได้ท่านถามเลย จิตเป็นยังไงๆ ถ้าผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้ เหมือนเด็ก เด็กมันทำงานอะไรไม่ได้ เราจะไปคอยถามเอาผลงานจากเด็ก เด็กมันอึดอัด

นี่ก็เหมือนกัน แต่ผู้ที่ทำงานได้ ผู้ที่ทำงานได้มันมีผลงานนะ มีครูบาอาจารย์คอยวัดภูมิ อู้ย มันเป็นประโยชน์ แต่ แต่คนเราก็มีกิเลส เวลามันมีภูมิขึ้นมากิเลสมันก็ครอบงำ เป็นอย่างนั้นๆๆ เราให้ค่าไปก่อนไง การแก้จิตมันแก้ยากอย่างนี้ ถ้าไม่มีอะไรเลย มันก็พาล เป็นคนพาล มันมีอะไรเลยมันก็สำคัญตน จะมีมากมีน้อยก็สำคัญตน การแก้จิต ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ละเลยนะ ถ้าครูบาอาจารย์ละเลย เราก็ปล่อยปละละเลยในชีวิตของเรา การประพฤติปฏิบัติก็ปล่อยให้เร่ร่อนไปอย่างนั้น แล้วผู้ที่ความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ที่ไม่รับผิดชอบสิ่งใดก็ปล่อยปละละเลย อยู่กันไปอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีวุฒิภาวะเห็นไหม ท่านจะจ้ำจี้จ้ำไชนี่แหละ ธรรมทายาท การสร้างศาสนธรรม ธรรมทายาท มันต้องขวนขวาย ขวนขวายการกระทำขึ้นมาให้มันเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม จิตที่สูงกว่า จิตที่สูงกว่า จิตที่สูงกว่าสูงกว่าตรงไหน จิตที่สูงกว่าสูงกว่าเพราะมีคุณธรรม ถ้าจิตที่สูงกว่าที่มันมีคุณธรรมนะ คุณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีคุณค่ามาก แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันเกิดสมุจเฉทปหาน เกิดอกุปปธรรมขึ้นมาแล้ว มันมีคุณค่ากว่าศีลสมาธิปัญญา เพราะศีลสมาธิเป็นเพียงกิริยา สัพเพ ธัมมา อนัตตา อนัตตามันเป็นปฏิกิริยา ปฏิกิริยาที่มีการกระทำไป แต่ถ้าเวลามันถึงที่สุดแล้วมันเป็นผล มันเป็นผลเห็นไหม เป็นอกุปปธรรม นั่นมันพ้นจากการเป็นอนัตตา

แต่ก่อนที่จะพ้นจากการเป็นอนัตตา มันต้องเห็นสภาวะการเป็นอนัตตา การเป็นอนัตตา ทำไมมันถึงเป็นอนัตตาล่ะ มันเป็นอนัตตาเพราะอะไร ศีลสมาธิปัญญานี่ เห็นไหม เพราะจิตถ้าสงบแล้วจิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง พอมันพิจารณาของมันไป มันแปรสภาพของมันไป การแปรสภาพของมันไป มันเป็นอนัตตาชั่วคราว ถ้าเป็นชั่วคราว ตทังคปหานเห็นไหม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ความเป็นอนัตตาๆ ความเป็นอนัตตาเพราะมันมีเหตุมีปัจจัยของมัน มันมีการกระทำของมัน แล้วถ้าเป็นอนัตตาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรม ท่านมีวุฒิภาวะของท่าน ท่านเห็นของท่าน มันเป็นความจริงของท่าน

แต่ของเรา เราทำของเรา เราปฏิบัติของเรา แล้วคิดดูสิ แล้วเวลาเรามีข้อวัตรปฏิบัติ เราก็ปล่อยปละละเลย ปล่อยปละละเลยคือว่าเช้าชามเย็นชาม เวลามันไปพิจารณาขึ้นไปมันละเอียดกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นขึ้นมา ทีนี้ไม่มีหลักเลย จะทำยังไงให้กิเลสมันชักจูงไปเลย พอชักจูงไปเป็นยังงั้นๆ นี่ให้ค่าให้คะแนนตัวเองไง ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ท่านไม่ตามไปหรอก ดึงกลับมา

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ นี่เห็นไหม ระลึกอดีตชาติได้ตลอดเลย จุตูปปาตญาณ ไม่ใช่ทั้งนั้น ท่านดึงกลับๆ หมด ดึงกลับมาเห็นไหม เวลามันสมดุลของมัน เป็นความจริงของมัน เป็นมัธยัสถ์ของมัน ในหัวใจของมัน ในหัวใจไม่ออกไปไหนเลย อาสวักขยญาณในหัวใจ ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้ ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงในหัวใจนั้น มันเป็นจริงว่ามรรคญาณมันชำระล้างกิเลสในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมันเป็นธรรมขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม นี่เพราะความไม่ปล่อยปละละเลย แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

ถ้ามันปล่อยปละละเลยนะ เราไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย ละเลยกับการกระทำ ละเลยกับหัวใจ แล้วเวลาก็ไม่มีหนักมีเบา เวลามีหนักมีเบานะ ดูสิ ชีวิตของเราเห็นไหม เช้าขึ้นมา เช้าขึ้นมาวัตรในโรงธรรม วัตรในศาลา เสร็จแล้วออกบิณฑบาต บิณฑบาตกลับมาทำภัตกิจ ทำภัตกิจ ทำความสะอาดแล้ว ผ้าผ่อนของตนผึ่งแดดไว้ มีเวลาดูหนังสือ ถ้าจะภาวนา ภาวนา นี่ไงถ้ามันไม่ปล่อยปละละเลย มันเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป

เวลาทำขึ้นมา ถึงเวลาแล้วฉันน้ำร้อน ทำข้อวัตรต่อไป ถ้าต่อไป ใครมีเวลาก็ได้ภาวนาต่อ ใครจะท่องบ่นหนังสือก็ท่อง ใครจะภาวนาก็ภาวนา ภาวนาเพื่ออะไร แล้วมันมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แก้ได้ทั้งนั้น ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเห็นคุณค่า ท่านเห็นคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติ เห็นคุณค่าของน้ำใจ เห็นคุณค่าของศีลสมาธิปัญญา สิ่งใดๆ มันเป็นเครื่องอาศัย ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ๆ เห็นไหม คำว่าเครื่องอยู่ จิตเป็นเครื่องอยู่ แต่ความจริงๆ ของเรา เราค้นหาใจเรานะ มันอยู่ที่ความหยาบละเอียดของคน ถ้าหยาบมันก็โน่นไง สวยงาม โอ้โห วิจิตรพิสดาร ทำความสะอาด ใช่ จ้างบริษัทรักษาก็ได้ สมัยนี้ใครมีเงินสร้างวัดได้เลย จ้างบริษัทรักษาให้ จ้างบริษัทมาทำอีเวนต์ให้ด้วย จะเหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งนั้น มีปัญญาทำได้ทั้งนั้น แล้วเราทำมันเป็นประโยชน์ไหม

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ในใจมันสกปรกแค่ไหน ในใจมันสกปรกแค่ไหน แล้วถ้ามันสะอาด อะไรมันสะอาด มันสะอาดมันก็สะอาดมาจากเราปัจจัตตัง สันทิฐิฏโก เราเป็นคนทำเอง ความลับไม่มีในโลก ก็เราทำมาทั้งนั้น จะดีจะชั่วก็ตัวทำ จะดีจะชั่วก็ทำมาทั้งนั้น ไม่มีใครทำให้เรา ก็เราทำเองทั้งนั้น ถ้ามันจะเป็นจริงก็ต้องเป็นจริงอย่างนี้ นี่ถ้าเราไม่ปล่อยปละละเลยนะ มันจะมีคุณค่า แล้วคนที่มีคุณธรรมนะ มีคุณธรรมเห็นคุณค่าตรงนี้มีค่าที่สุด คำว่ามีค่าที่สุดแล้วมันมาจากไหน

ฉะนั้นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะสงวนเวลา หลวงตาท่านพูดประจำ ในวัดของท่านไม่มีงาน งานอย่างเดียวในวัดคือภาวนา งานในวัดของท่านพระต้องประพฤติปฏิบัติ จะออกมาเด้นๆ ด้านๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น เว้นไว้แต่พอชราภาพ พอชราภาพขึ้นไปแล้ว คนมาพึ่งพาอาศัย มันก็เรื่องความเป็นอยู่ทั้งนั้น ต้องดูแลต้องรักษา คนมากเก็บล้างมันก็มาก คนน้อยเก็บล้างมันก็น้อย ยิ่งออกมาโครงการช่วยชาติแล้วก็เลยเป็นตลาดไปเลย แต่ก็เป็นวาสนาของท่าน ท่านเห็นอนาคตเห็นบารมีของท่านตั้งแต่ท่านออกปฏิบัติแล้ว ว่าต่อไปจะเป็นอย่างนั้นๆๆ ถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม โครงการช่วยชาติ นี่คือวาสนาของท่าน ก็พันธุกรรมของจิตไง ท่านสร้างอำนาจวาสนาของท่านมาอย่างนั้นไง นั่นเป็นความจริงของท่านไง แล้วมันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์สำหรับท่าน แต่คนเราเป็นสังคมโลก ก็อยากจะเป็นอย่างนั้นๆ ก็จ้างบริษัทไง เรื่องการตลาดทั้งนั้น เรื่องการตลาดมีประโยชน์อะไร เรื่องการตลาดสร้างเวรสร้างกรรมนะ

แต่นี่เป็นเรื่องความเป็นจริง เรื่องความเป็นจริงเห็นไหม เราไม่ละเลย เห็นคุณค่า เราเห็นคุณค่ากับน้ำใจของเรา น้ำใจมีค่ามาก ศีลคือความปรกติของใจ ใจเป็นปรกติอยู่ได้ ร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่ถ้ามันร้อน อยู่แล้วมันเดือดร้อน ความเดือดร้อนนั่น มันจะทุศีลนั่นล่ะ มันไม่ปรกติแล้ว มันดิ้นรนแล้ว พอดิ้นรนแล้ว เดี๋ยวๆ มันเดือดร้อน ดูสิ สังคมโลกที่มันเป็นปัญหากันอยู่นี่เขาทำไง ก็ปัญญาคนทั้งนั้นนะ สิ่งที่เขาจะล่อลวงกัน เขามีความคิดของเขา ประชุมของเขานะ คณะกรรมการประชุมแล้ววางแผน จะทำยังไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเดือดร้อนนะ เดี๋ยวมันก็คิดแล้ว จะดิ้นรนยังไง จะออกทางไหน แต่ถ้ามันมีปรกติของใจ มันไม่คิดอย่างนั้น มันคิดอยู่โคนไม้ มันคิดอยู่ในที่สงบสงัด นี่มันไม่ปล่อยปละละเลยหัวใจของตน หัวใจนี้ละไม่ได้ วางไม่ได้ ต้องดูแลคุ้มครองมัน หลวงตาท่านพูดเห็นไหม ดูแลรักษาจิตยิ่งกว่านักโทษ นักโทษเขาอยู่เขามีพัศดี เขามีผู้คุมนะ ไอ้ของเรานะ กำหนดเลยพุทโธๆ ทั้งวันทั้งคืนนะ คุมมันขนาดนั้น คุมมันยิ่งกว่านักโทษ

เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่ปล่อยปละละเลยใจนี้เลย นี่พอมันดีขึ้นๆ วางได้บ้าง พอวางได้บ้างฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันออกเดินปัญญาได้ มันกลับมาทำความสงบได้ดีขึ้นเห็นไหม นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านเห็นคุณค่าเห็นคุณค่าตรงนี้ไง เห็นคุณค่าที่คุณธรรม พระไม่ทรงธรรมใครจะทรง พระไม่มีศีลใครจะมี พระมันต้องมีศีลมีธรรมสิ แล้วมีศีลมีธรรมมันมีที่เรานี่ไง

ถ้ามันมีที่เราเห็นไหม วันสำคัญทางพุทธศาสนา ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนา นี่องค์กรพุทธศาสนา แล้วศาสนามันอยู่ที่ไหน ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านเคารพธรรมอันนั้น เคารพธรรมมันก็เป็นสุขไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีวิหารธรรมนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านชอบอยู่คนเดียว เพราะอะไร เพราะในใจมันเป็นธรรม ธรรมเหนือโลก ในสามโลกธาตุไม่มีสิ่งใดเทียบ ไม่มีสิ่งใดมีคุณค่าเท่า แล้วทำไมลดตัวไปคลุกคลีกับไอ้ขี้ ขี้ในสามโลกธาตุนี้ไปคลุกคลีกับมันไง นี่ไง โลกมันสกปรก

แต่เราเกิดมาเป็นคน เกิดมามีพ่อมีแม่ เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีสังคม การเผยแผ่ธรรมๆ ก็เผยแผ่อนุปุพพิกถา ตั้งแต่คนที่ไม่มีความรู้ให้เขารู้จักเสียสละทาน ให้เขามีโอกาสฟังธรรม แล้วเขาก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน นี่คือการเผยแผ่ธรรม ธรรมะจะขับเคลื่อนไป ขับเคลื่อนในบริษัท ๔ ในบริษัท ๔ ของคนถ้ามันมีหัวใจที่เป็นธรรมขึ้นมามันก็จะเป็นประโยชน์ไง ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมาเห็นไหม แล้วเราก็เป็นคนคนหนึ่ง

ผู้ที่บวชใหม่นะ ครูบาอาจารย์บวชใหม่ ประวัติหลวงปู่ชอบ ประวัติครูบาอาจารย์ ท่านกลัวผีท่านกลัวอะไร ท่านเล่า ไปดูตั้งแต่ท่านบวชใหม่ๆ แล้วมันก็อืม มันก็แปลก ดูสิ เวลาอาจารย์สิงห์ทองอย่างนี้ ท่านพูดถึงนะ ท่านศึกษาของท่าน ประวัติของแต่ละคนมันสร้างคุณงามความดีมา แต่เริ่มต้น เริ่มต้นก็ปุถุชนทั้งนั้น คำว่าปุถุชนเห็นไหม มันก็จับผิดจับถูก แต่เพราะมีอำนาจวาสนา เพราะไม่ปล่อยปละละเลย ท่านจริงจังนะ ท่านจริงจังของท่าน ไอ้นี่คำว่าจริงจังและไม่จริงจัง มันก็อยู่ที่วาสนา

ถ้าวาสนาเราจริงจังนะ เราจะคุ้มครองดูแล เราจะตั้งใจของเรา แล้วตั้งใจของเราเห็นไหม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เอาใจให้ได้ก่อน ถ้ามันไม่ได้มันสะเปะสะปะ ดูสิ เดินจงกรมในศาลา แล้วมันเคว้งคว้างไปไหนหมดเลย แล้วมันเป็นยังไง มันอยู่ที่ไหน มันเคว้งคว้างไปหมด นั่นเพราะว่าหัวใจมันไม่มีหลักไง

แต่ถ้าพอมันมีหลักของมันขึ้นมา เดินจงกรมขนาดไหน มันเย็นเข้ามา มันหดสั้นเข้ามา มันเป็นของมันขึ้นมา นี่ไง ถ้าเราไม่ปล่อยปละละเลย สิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนี้ เป็นจริงขึ้นมาเพราะใจมันมีเอกัคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตมีกำลัง จิตมีกำลังขึ้นมาแล้วอะไรมันจะมีอำนาจเหนือกว่าล่ะ อะไรมันจะฉุดลากไปล่ะ ถ้าไม่ปล่อยปละละเลย จิตเราก็เป็นนามธรรม กิเลสมันก็เป็นนามธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมาในหัวใจมันก็ชักลากกันไป แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่จับต้องได้คือร่างกายนี้ เวลาร่างกายนี้เห็นๆ อยู่นะ กูยืนอยู่นี่ กูทุกข์อยู่นี่ กูลำบากอยู่นี่ แล้วใจกูอยู่ไหน กูไม่เห็น ทุกข์ฉิบหายเลย

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา จะทุกข์แค่ไหน เราก็จะพยายามของเรา เกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี่ตั้งแต่ยุคของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านก็ทำของท่านได้ แล้วเราทำไมจะทำไม่ได้ แล้วเราพยายามทำของเรา มันจะลำบากลำบนขนาดไหนเราก็จะทำ เพราะอะไร เพราะเราพอใจจะทำ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ ความจริงอันนั้นมันจะประเสริฐมาก

ถ้าความประเสริฐอย่างนั้น เวลามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ความไม่ปล่อยปละละเลยนี่แหละ ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมามันจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์เลย จิตของคนที่มันสงบระงับนะ เอ๊อะๆๆ เลยนะ ไอ้ที่ว่างๆ ว่างๆ นะ มันกึ่งๆ ไอ้ที่ว่างๆ มันเหมือนคล้ายๆ ภวังค์ มันเพราะอะไร เพราะมันจับต้นชนปลายไม่ได้ เราควบคุมดูแลไม่ได้

แต่ถ้าจิตมันสงบนะ มันมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะ เพราะมีสติสัมปชัญญะ เพราะกำหนดพุทโธ เพราะอานาปานสติ เพราะกำหนดลมหายใจ มันเกาะเข้ามาจนมันปล่อยวางลม ปล่อยวางพุทโธ จนเป็นเอกเทศ มันเป็นเอกเทศแล้วมันถึงเป็นสมาธิ มันเป็นสมาธิแล้วเราถึงรู้จักรสของมัน แต่ด้วยความที่ไม่ชำนาญ เราก็ยังแปลกใจว่านี้มันคืออะไรไง

แต่ถ้ามันว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นั่นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้น เพราะอะไร มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก จิตมันไม่เป็นเอกเทศไง มันเกิดเพราะอะไรล่ะ เกิดเพราะมันปล่อยปละละเลยไง เพราะมันละเลยกับข้อวัตรปฏิบัติ มันละเลยกับธรรมวินัย มันละเลยกับสติ มันละเลยกับความมุมานะของเรา มันละเลย ดูสิ ทางโลก เพราะละเลย สังคมเห็นไหม ผู้มีหน้าที่ไม่ทำตามหน้าที่ สังคมมันถึงมีได้มีเสียกันอยู่อย่างนี้ ถ้าผู้มีหน้าที่ทำตามหน้าที่ ไม่มีใครจะเอารัดเอาเปรียบใครได้ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันปราบกิเลสได้ทั้งนั้น เพียงแต่คนกระทำมันไม่มีสติสัมปชัญญะพอ ไม่มีความเข้มแข็งพอ ปล่อยปละละเลยให้กิเลสมันย่ำยีในใจของตน เพราะกิเลสมันย่ำยีในใจของตน เพราะตนไม่มีกำลังพอ มันถึงบีบบี้สีไฟไง แล้วบีบบี้สีไฟ วันเวลามันก็ผ่านไปๆ ไง แล้วเราจะเอาอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้าไม่เป็นชิ้นเป็นอันตั้งสติขึ้นมา ถามตัวเอง เวลาฟังธรรมๆ ต้องถามตัวเองนะ ถามเรานี่แหละ ว่านี่เราจะเอาอะไร เราจะทำอะไร เราอยากได้อะไร แล้วเราพยายามฝึกของเรา ครูบาอาจารย์มี ถ้ามันไม่มีอยู่จริง มันทำไปไม่ได้ ครูบาอาจารย์นั่งหัวโต๊ะ นั่งอยู่หัวโด่ๆ อยู่เนี่ย แล้วเราอยู่กับครูบาอาจารย์ หลวงตาอย่างนี้ หลวงปู่เจี๊ยะขึ้นไปสิ มีปัญหาขึ้นไป ท่านยันลงหงายท้องลงมาทุกทีเลย เอ้า ก็ไหนว่าเรารู้ เราดีไง มันสู้เหตุผลกันไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์นั่งหัวโด่ๆ อยู่เนี่ย ท่านทำของท่านได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำไมเราปล่อยปละละเลยกันน่ะ เวลาเรื่องทางโลกสุมหัวคุยกันทั้งวันทั้งคืน เรื่องอะไรก็ได้ ทำได้ทั้งนั้น แต่ความเพียรทำไม่ได้ สมาธิ นั่งสมาธิธรรมดาทำไม่ได้ นั่งไปแล้วทั้งเบื่อหน่ายทั้งอึดอัดทั้งขัดข้องไปทั้งนั้น มันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น หลวงปู่ชอบก็เป็นอย่างนี้มาก่อน ยิ่งหลวงปู่มั่นท่านทำแล้วทำเล่า ท่านก็เป็นอย่างนี้มาทั้งนั้น แต่ แต่ด้วยความมุมานะนะ แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยความเป็นจริงของท่าน

ถ้าจะบอกว่าวาสนาด้วยบารมีท่านสร้างมา มันก็ถูกทั้งนั้น แล้วเราไม่ได้สร้างใช่ไหม ถ้าเราไม่ได้สร้างเราก็ไม่ได้เกิดเป็นคน แล้วถ้าเกิดเป็นคนแล้วนะมันก็จะมีเพื่อน คบเพื่อน ตั้งแต่สำมะเลเทเมา คบเพื่อนออกไปไกลๆ ทั้งนั้น มันไม่มีคบเพื่อนแล้วเพื่อนจะชวน ชักชวนเข้ามาในศาสนาหรอก เพราะชักชวนมาศาสนามันจืดมันชืด โลกว่ากันอย่างนั้นนะ มันจืดมันชืด มันไม่สนุก โอ้โหย ไปทางโลกแล้วมันครึกมันครื้น อู๋ย มันสนุกมาก แต่คอตกทั้งนั้นเลย เวลาชราภาพ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาจะไปข้างหน้า คนกลัวเป็นกลัวตายทั้งนั้น

แต่เข้ามาศาสนานะ เรามาสร้างทรัพย์สมบัติของเรา ถ้ามันจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ให้มีคุณสมบัติในวัฏฏะนี้พอพึ่งพาอาศัย ถ้าใครมีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ ทรงศีลทรงธรรม พระเราต้องเป็นผู้ทรงไว้ ถ้าทรงไว้แล้วจะทรงไว้ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ จะทรงไว้ได้ด้วยการฝึกหัดของเรา อย่าปล่อยปละละเลย อย่าวางเฉยสิ เวลาวางเฉยข้างนอกเห็นไหม มันเป็นหน้าที่การงาน ใครทำงานแล้วก็ได้เหงื่อได้ไคลก็ลำบากทั้งนั้น ไอ้ใครไม่ทำอะไร มีความสุขของมัน มีความสบายของมัน ไอ้นั่นเป็นความคิดทางโลก แต่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาของใครของมัน

จิตก็เหมือนกัน เวลาเกิดกำลังขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมาก็ของใครของมัน ปัญญาของพระสารีบุตร เวลาใครฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงสัยไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรแจกแจงให้ฟัง เขาก็จำคำพูดของพระสารีบุตรไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าเราอธิบาย เราก็อธิบายแบบพระสารีบุตรนั่นแหละ เห็นไหม เวลาเป็นปัญญาขึ้นมาก็เป็นปัญญาของพระสารีบุตรนั่นแหละ แต่เวลาเป็นธรรม เป็นธรรมอันเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เป็นธรรม ธรรมทั้งแท่งๆ ธรรมมีหนึ่งเดียว ใครจะประพฤติปฏิบัติมาแนวทางใดก็แล้วแต่พอเข้าถึงธรรมแล้วมันอันเดียวกันทั้งนั้น แต่การแสดงธรรมของคนมันจะมีฉลาดมากน้อยแตกต่างกันยังไง ฉะนั้น เวลาเสนาบดีแห่งธรรม มีปัญญาเลิศที่สุด เวลาแสดงธรรมมันก็เป็นของท่าน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำศีลสมาธิปัญญา ถ้ามันเป็นสมบัติของเรา มันต้องเป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา มันถึงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฐิฏโก มันถึงเป็นการกระทำของเราไง เราถึงต้องขวนขวายไง ใครจะทำแทนใครไม่ได้ ใครทำคนนั้นได้ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฐิโก ไม่มีใครทำแทนกันได้ ฉะนั้น เราต้องมุมานะ ขวนขวายการกระทำ ทำจริงของเราขึ้นมา อย่าละเลย ละเลยชีวิตเรา อย่าละเลยในสมณเพศ อย่าละเลยนะพรรษานี้

พรุ่งนี้อธิษฐานพรรษาแล้ว อย่าละเลยกับชีวิต อย่าละเลยกับสิทธิ์ในความเป็นพระ สิทธิความเป็นพระ บวชมาอุปัชฌาย์ยกเข้ามาเป็นพระเป็นนักรบ แล้วยังเห่อเหิมไปกับสังคม ลอยฟ่องไปอยู่กับสังคมโลกนั่นน่ะเหรอ ไอ้นั่นมันเป็นลิเก เป็นละคร โลกธรรม ๘ งานของเราทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนา แล้วมันเป็นขึ้นมาเป็นกลางหัวใจ ถ้ามันกลางหัวใจนี่เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เราจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเป็นจริงในใจของเรา ทำให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา วันสำคัญทางพุทธศาสนา พรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา ต่างคนต่างอธิษฐานพรรษาเพื่อดูแลใจของตน เอวัง